วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2561

War and Peace (Leo Tolstoy)

           สงครามและสันติภาพ ของ ลีโอ ตอลตอย งานเขียนชิ้นเอกเล่มนี้เคยได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษา
ไทยเมื่อนามาแล้วโดยพลุตรีหลวงยอดอาวุธ...
           ตังละครหลักใน "สงครามและสันติภาพ" ทั้งปแยร์, อองเตร, นาตาชา, นิโคลัย, มาเรีย มีพัฒนาการทางความคิด มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจในแตะละเช่วงของชีวิต แต่ละคนค้นหาความมหายของชีวิตท่ามกลางเหตุการณืต่่างๆ ที่ผ่านเข้ามา
         "ปิแยร์ เบซุฮาฟ" เป็นชายร่างอ้วนใส่แว่น จากตอนต้นเรื่องที่นับถือชมชอบนโปเลียน แลายเป็นคนที่เกลี่ยดชัวและต้องการังหารนโปเลีียน เขาเคยเป็นปัญญาชนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า แต่จากการชักชวนของกลุ่มปรีมาซอนทำให้เปลี่ยนเป็นผุ้ศรัทธาพรเจ้า เขาพยายามเสาะหาความหมาของชีวิต และท้ายนที่สุดได้ค้นพบว่ "ชีวิตคือทุกสิ่งทุกอย่าง ชีวิตคือพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่งเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนไหวกลับไปกลับมา และการเคลื่อนไหวนั้นก็ือพระเจ้า การรักชีวิตก็คือการรักพระเจ้า.."
           
 สำหรับ "อองเตร บอลกอนสกี้ เป้นหนุ่มรุปงามผุ้สูงส่ง เขาต้องการรบเืพ่อประเทศชาติ อองเตรก็เช่นเดียวกับปิแยร์ เขามัชั่วขณะของการค้นพบทางจิตวิญญาณ ในการรบที่ออสเตอร์ลิซ์ อองเตรได้รับบาดเจ็บนอนล้มลงในสนามรบ ในห้วงเวลาแห่งความเป้นความตายนั้น เมื่อเขามองไปยังท้องฟ้าเบื้องบนอันกว้างใหญ่ไพศษล จึงได้รับรู้ถึงความสุข ความสงบ แห่งอนันตภาพ" ..ทไมเราไม่เคยเห็นท้องฟ้านั้นมาก่อนเลยเล่า..เราช่างมีความสุขที่เราได้เห็นมัแล้วในที่สุด จริงสิ ตนอกจากฟ้ากฟ้าอันไร้พรมแดนนี้แล้ว ทุกสิงทุกอย่างล้วนว่างเลป่า ทุกส่ิงทุกอย่างล้วนเป้นมายามั้งส้ิน นอกจากนอกจามนแล้วก็ไม่มีอะไรเลย ไม่ไมีอะไรเลย แม้แต่ท้องฟ้าก็ไม่มีอยู ไม่มีอะไรยู่เลยนอกจากความสงบ ความเงียบงัน ขอบคุณพระเจ้า"..
            นางเองของเรื่อง "นาตาชา รอสตอฟ๐ เป้นตัวละครที่น่ารักมีชีวิตชีวา ในวัยเยาว์เธอชอบบอริส แต่ไม่สมหวัง เนื่องจากฝ่ายชายต้องการความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ต่อมาเธอมีความรักกับอองเตร แต่เมื่อเขาไม่อยู่ ธอเร่ิมีใจให้กดับอนาโตล คูรากิน จนะมื่อเรื่องราวดำเนินไปถึงช่วงท้าย เธอจึงได้ลงเอยอย่างมีความสุขกับปิแยร์
            ตอนท้ายของหนังสือเป็นส่วนที่น่าประทับใจมาก หลังจากเหตุการณ์ในปี 1812 ผ่านไป 7 ปี ตอ
ลสตอยเขียนถึงตัวละครหลักต่าง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยุ่ นิโคลัยทำงานของตัวละครต่างๆ ที่เจะกิดขึ้นตามมา
            ตอลสตอยใช้ภาษาฝรั่งเศสหลายแห่งในหนังือเล่มมนี้ เขาต้องกา "แฝงนัย" ด้วยการใช้คำ ภาษางรั่งเศสใน "สงครามและสันติภาพ " สะท้อนถึงความไม่จริงใจ ไม่ซื่อตรง ในขณะที่ภาษารัศเซียเป้นตัวแทนของความเรียบง่ายตรงไปตรงมา ตอนที่ปิแยร์บอกกับเอเเลนว่า "ผมรักคุณ" ตอลสตอยให้ปิแผยร์พูดเป็นภาษาฝรั่งเศส เพราะต้องการสะท้อนถึงตัวปิแยร์ที่ไม่ได้มีเอแลนอยู่ในหัวใจ ในฉบับแปลภาษาไทยของคุรวิภาดา ได้แปลคำศัพท์ฝรั่งเศสเป็นไทยโดยเน้นตัวอักษรเป็นเอน...http://www.rusciscenter.tu.ac.th/index.php/2012-03-27-09-50-44/2012-04-02-04-40-54/2012-04-02-04-41-55/2-uncategorised/106-war-and-peace
             เลโอ ตอลสตอย หรืเชื่อเต็มว่า เคานต์ เลฟ นิโคลาเยวิช ตอลสตอย นักเขชียนชาวรัสเซีย ผุ้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวรัสเซียในศตวรรษที่ 19 ประกอบด้วยตัวละครมากหน้าหลายตา และเหตุการณ์ที่หลากหลาย มีผลงานที่เป้นรู้จักกันดีเช่น สงครามและสันติภาพ และ อันนา คาเรนินาhttps://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%AD_%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A2
           
 วณณคดีรัสเซียได้รเริ่มต้นขึ้นในยุคกลาง (คริสต์ศตวรรษที่ 10 ) กล่าวคือ ในช่วง 50 ป หลังากที่คริสต์ศาสนานิกายกรีกออร์โธดอกซ์ ได้เข้ามาเผยแพร่ในรัสเซีย ซึ่งก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากการประดิษฐ์อักษร และภาษาเชียนภาษารัสเซียขึ้นเป็นครั้งแร ดดยนักบวชชาวกรีก ๒ คน นักบุญคีริล และนักบุญเมโธดิอัส ในปี คซศ. 988 งานวรรกรรมในยุคแรกเป็นงานเขียนของนักบวช ซึ่งเป็นเรื่องราวทางศาสนา และไม่ได้ระบุชัดว่าเขียนขึ้นในปี ค.ศ.ใด วรรณกรรมชิ้นแรกของรัศเวียที่ปรากฎเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คือ "กาพย์เกี่ยวกับการศึกของเจ้าชายอีกอร์ เป็นกาพย์ที่เชิดชูวีกรรมของเจ้าชายอีกอร์ และเหล่าทหารที่แต่งโดยนักปราชญ์ที่ไม่ปรากฎนาม คาดว่าได้ประพันธ์ไว้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 วรรกรรมเรื่องนี้จัดว่าเป็นวรรณกรรมที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของยุโรปในยุคกลาง
            หลังจากที่รัสเซียนได้ปลดปล่อยตนเองให้เป้นอิสระจากมองโกลแล้ว ในรัชสมัยอีวานผุ้โหดร้าย ได้มีการประพันธ์หนังสือ"การจัดการครอบครัว" ขึ้นโดย ซีลเวสเตอร์ นักบวชที่มีบทบาท และอิทธพลสูงสุดในขณะนั้น (เป็นที่ปรึกษาของซาร์) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดการครอบครัวในสังคมที่เพศชายมีอำนาจสุงสุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสังคมและวัฒนธรรมของรัสเซียในช่วงนั้นได้เป็นอย่างดี
           วรรณกรรมที่โดเด่นของรัสเซียในยุคต่อมาเร่ิมขึ้นในรัชสมัยของคัทรีมหาราชินี ในยุคดังกล่าววรรณกรรมรัสเซียนได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมของเยอรมัน อังกฤษ และฝรั่งเศ เนื่องจากกระแสอารยธรรมตะวันตกที่เริ่มเข้ามาในช่วงตอนต้นศตวรรษ ได้ไหลบ่าเข้าท่วมกระแสอารยธรรมรัสเซียดังเดิมในสังคมชั้นสูงจนแทบหมดสิ้น ซึ่งก็สืบเนื่องมาจากนโยบายเปิดประเทศรับชาวตะวันตกของพระนางคันทรีน และพระนางก็เป็นชาวเยอรมันโดยกำเนิ นิโคลัย โนวิกอฟ ซึ่งเป็นบรรณาธิการวารสารแนวเสียดสีสังคมดดยทั่วไป ในขณะนั้น ได้วิพากษ์วิจาร์ และเสียดสีระบบการปกครองและนโยลบายของพระนางคันทรีน จนวารสารพถุสั่งปิด และถุกจองจำ หลังจากนั้นคัทรีมหาราชินี ยังได้สั่งเนเทส อาเล็กซานเดอร์ ราดีเชฟ เจ้าของบทประพัธ์ที่กำหนิระบบการปกครองของพระนาง ที่มีนโยบายที่ดีกับต่างชาติและชั้นสูง โดยไม่ได้ใส่ใจกับชาวนาผุ้ยากจน ซึ่งเป้นคนส่วนใหญ่ของประเทศที่มีชื่อเรื่องว่า "การเดินทางจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กถึงมอสโก"
          จากการกระทดังกล่าว ได้กลายเป็นจุดเร่ิทมต้นของการรวมตัวของปัญญาชน ที่ไม่เห็นด้วยกับระบบและการกระทำของพระนาง ก่อตั้งกลุ่มที่มีแนวความคิดที่จะปฏิวัติล้มล้างสภาบันและรบบการปกครอง...http://www.rusciscenter.tu.ac.th/index.php/2012-03-27-09-50-44/2012-04-02-04-40-54/2012-04-02-04-42-21
           

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2561

Divine Comedy ( Dante Alighieri)

         
ดีวีนากอมเมเดีย หรือไตรภูมิดันเต เป็นวรรณกรรมอุมานิทัศน์ที่ ตัดเต อาลีกีเอรี เขียนขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1308 จนกระทั่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1321 ถือเป็นกวีนิพนธ์สำคัญของวรรณกรรมอิตาลีและเป็นหนึ่งในงานช้ินสำคัญที่สุดขิ้นหนึ่งของวรรณกรรมของโลก กวีนิพนธ์นี้เป็นจิตนิยายและอุปมานิทัศน์ของคริสเตียนสะท้อนให้เห็นถึงการวิวัฒนาการของปรัชญาสมัยกลางในเรื่องที่เกี่ยวกับโรมันคาทอลิกของตะวันตก นอกจากนั้นก็ยังเป็นหนังสือ ที่มีบทบาทต่้อสำเนียงทัสคัน ตามที่เชียนเป็นภาษาอิตาลีมาตรฐาน
         "ดวีนากอมเมเดีย" แบ่งออกเป็นสามตอน "นรก" "แดนชำระ" และ "สวรรค์" กวีนิพนธ์เขียนในรูปของบุคคลที่หนึ่งและเป็นเรื่องที่บรรยายการเดินทางของดานเตไปยังภูมิสามภูมิของผุ้ที่เสียชีวิตไปแล้ว ที่เริ่มการเดินทางตั้งแต่วันศุกร์ ศักดิ์สิทธิ์ ไปจนถึงวันพุธหลังจากวันอีสเตอร์ของปี ค.ศ. 1300 โดยมีกวีโรมัน เวอร์จิล เป็นผู้นำใน "นรก" และ "แดนชำระ" และเบียทริเช พอร์ตินาริ เป็นผุ้นำใน "สวรรค์" เบียทริเชเป็นสตรีในอุดมคติที่ดันเตพบเมือยังเป็นเด็กและชืนชมต่อมาแบบ "ความรักในราชสำนัก" ที่พบในงานสมัยแรกของดันเตใน "ชีวิตใหม่" ที่เขียนในปี ค.ศ. 1295
       
ชื่อเดิมของหนังสือก็เป็นเพียงชื่อสั้นๆ ว่า " Commedia" แต่ต่อมา โจวันนี บอกกัชโชก็ํมาเพิ่ม "Divina" ข้างหน้าชื่อ ฉบับแรกที่พิมพ์ที่มีคำว่า "Divine" อยู่หน้าชื่อ เป็นฉบับที่นักมานุษยวิทยาฟื้นฟูศิลปวิทยาของเวนิส โลโตวีโก ดอลเช พิพม์ในปี ค.ศ. 1555
           ดูรันเต เตกลี อาลีกีเอรี หรือ ดันเต อาลีกีเอรี หรือเรียกสั้นๆ ว่าดันเต ดันเต อาลีกีเอรีเป็นรัฐบุรุษ กวี และนักภาษาศาสตร์ คนสำคัญของฟลอเรนซืใคริสต์ศตวรรษที่ 13 และ 14 ในยุคกลาง งานชิ้นที่สำคัญที่สุดคือ "ดีวีนากอมเมเดีย" ที่เดิมชื่อ "คอมเมเดีย" แต่ต่อมาเรียกว่า "ดิวินา" โดยโจวันนี
           ดันเตได้รับการขนานนามในอิตาลีว่า“il Sommo Poeta”  หรือ "มหากวี" และได้ชือว่าเป็น "บิดาแห่งภาษาอิตาลี" ดานเต เปตราก และโจวันนี บอกกัชโช รู้จักรวมกันว่า "สามมุกุฎ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2

           ข้อมูลเพิ่มเติม http://chotirosk.blogspot.com/2014/09/hell-and-heavens-in-dantes-la-divina.html
              ดันเต อลิเกียรี กำเนิดในปี ค.ศ. 1265 ที่เมืองฟลอเรนซ์ ในครอบครัวขุนนางต่ำศักด์ เมื่อมีอายุได้ยี่สิบปี ดังเตก็ทำการสมรสกับเกมมา โดนาติ และมีบุตกับบางด้วยกันทั้งส้ินสามคน ดังเตเข้าเรียนที่โบโลญญ่ามหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในช่วงวัยหนุ่มดังเตคบค้าสาคมกับคีตกวีหรือศิลปินที่มีชื่อเสียงและอิทธิพล ณ เวลานั้นหลายคน ดังเตหลงรักเบีทริชสุถาำสตรีผุ้สูงศักดิ์คนหนึ่งกระทั่งเขาเชียนกลอนยาวและประพันธ์ วิต้า เนาว่า เพื่อุดทิศแด่เบียทริชหลังจากเธอเสียชีวิตลงใในปี ค.ศ. 1290
             
ส่วนผลงานของเขาที่มีชื่อว่า ดิวิน่า คอมมีเดีย นั้นประพันะ์ขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 14 คือหลังจากที่เขาได้ลี้ภัยทางการเมืองและไปศึกษาที่ปารีส กระทั่งใช้ชีวิตในบั้นปลายขเงอขาในสภานกักกันรเวทนาที่วึ่งดังเตได้อุอทิสเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตเพื่อเขียนผลงาน ดิวินา คอมเมเดีย จนเสร็จสมบูรณ์ ก่อนหน้าที่เขาจะสิ้นลมเพียงไม่นาน
         
ดิวินา คอมเมเดีย แบ่งออกเป็น 3 ภาคด้วยกัน โลกหลังความตายของดังเต่นั้นประกอบไปด้วยสามโลกคือ นรก แดนชำระ และสรวงสวรรค์และในแต่ละภพภูมินั้นก็คือแต่ละภาคของ ดิวินา คอมมเเดีย นั้นเอง ดังเตไม่ได้ใช้อรรถกถาธรรมดาๆ เพื่อพรรณนาภาพพจน์โลกหลังความตายของคริสเตียน หากเขาใช้กลวิธีทางการประพันธ์ที่แนบเนียนกว่าด้วยการนำเสนอเรื่องราวทั้งหมดในฐานะที่เขาได้พบเห้นโลกทั้งสามมาแล้ว ดดยที่มีเวอจิลมหากวีชาวโรมันเป็นมัคคุเทศนำชม
         
ประตู่สู่นรกตั้งอยุ่ใต้นครเยรูซาเลม โครงสร้างของแดนนรกสามารถแบ่งออกเป็นสามระดับกว้างๆ คือนรกขชั้นบน นรกชั้นล่างและใจกลางโลกอันเป็นที่พำนักของซาตาน นรกขั้นบนและชั้นล่างถูกกั้นไว้ด้วยกำแพงแห่งดิส ในแต่ละชั้นนั้นามารถแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ ได้อีกโดยจำแนกจากประเภทของบาป ซึ่งใน่วนย่อยนี้ดังเตเรียกว่า ไซเคิล หรือ "วงจร" ดังนั้นยิ่งลำดับของ "วงจร" มากเท่าไร วงจรดังกล่าวก็ย่ิงเข้าใกล้ศุนย์กลางของโลก (จะมองว่าสัญญานของนรกในทัศนะของดังเตเป็นรูปทรงกรวยที่ปลายแหลมดิ่งสู่ใจกลางโลกก็คงไม่ผิดแ่ประการใด) ซึ่งวงจรทั้งหมดสามรถแบ่งออกเป็น อีก 9 วงจร
           ข้อมูลเพิ่มเติม - http://www.thaiwriter.org/?p=468
                                   - https://www.thairath.co.th/content/371223

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2561

A Christmas Carol (Charles John Huffam Dickens)

         
A Christmas Carol นวนิยายของ ชาร์สล์ คิดเก้นส์ ตีพิมพ์ครั้งแรกในประเทศอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1843 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชายชื่อ เอเบเนเซอร์ สครูจ นายธนาคารผุ้เลื่อดเย็นและละโมบ ที่ได้รับการมาเยื่นจากวิญญาณของเพื่อเก่า ที่มาเตื่อนให้ระวังภูมิแห่งเทศกาลคริสต์มาส จำนวน 3 คน ที่จะมาเยื่อนตัวเขา คือ "ภูติแห่งคริสต์มาสในอดีต เป้นภาพชีวิตของสครูจในอดีตเมื่อเริ่มทำงานใหม่ ๆยังยากจนอยู่ แต่ใช้ชีัวิตอย่างมีความสุข มีความเอื้อารีต่อผุ้คน "ภูมิแห่งคริสต์มาสในปัจจุบัน" เป็นภาพชีวิตในปัจจุบันของสครูจ ที่เบียบดเบียบผุ้คนอย่างเลือดเย็น จนเป็นที่หวาดเกรงและเกลียดชังจากคนรอบข้าง และ "ภฺมแห่งคริสต์มาสในอนาคต" เป็นภาพของสครุที่นอนตายอย่างเดียวดาย และถูกหัวขโมยเข้ามารุมทึ้งทรัพย์สมบัติ และหลุมฝังศพ
          นวนิยายจบลงเมือสครูจตื่นขึ้นมาในเช้าวันคริสต์มาส สำนึกตัวได้ว่าชีัวิตขเงเขานั้นขาดความรักและความเหนอกเห็นใจต่อคนรอบข้าง เขาใช้เวลาที่เหลือยู่ในวันนั้นไปกับการแบ่งปันให้กับผุ้ยากไร้ และกลับไปอยู่กับครองครัวอย่างมีความสุข
          คิดเก้สน์เร่ิมแต่งนวนิยายเรื่องนี้ โดยใช้เวลาเขียน 6 สัปดาห์ และตีพิพม์จำหน่ายในช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาสต์ ปี 1843 ในช่วงนั้นอยู่ในช่วงต้นสมัยวิกตอเรีย ของสหราชอาณาจักร เป็นจุดสูงสุดของการปฏิวัตอุตสาหกรรม และเป็ยุคสูงสุดของจักรวรรดิอังกฤษซึงตรงกับสมัยการปกครองขชอง
สมเด็จพระราชินนีนาถวิกตอเรียระหว่างปี ค.ศ.1837 ถึงปี ค.ศ. 1901
         ชาลส์ จอห์น ฮัฟแฟม ดิกคินส์ นักประพันธ์ชาวอังกฤษ และมีนามปกกาว่า "โบซ" เกิดที่เมืองแลนด์พอร์ท แฮมเชียร์อังกฤษใต้ สหราชอาณาจขักรเป็นบุตเสมียนฝ่ายเงินเดือนกองทัพเรือ ในปี พ.ศ. 2357 ดิกคินส์ได้ย้ายมาอยู่ในลอนดอนแล้วย้ายไปอยู่ที่เมืองแชทแธม และที่นี่เขาีโอกาสได้เข้าโรงเรียน และได้ทำงานด้านหนังสือพิมพ์และได้เป็นผุ้สื่อข่าวแลเข้าทำงานกับหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งในลอนดอนในเวลต่อมา
         ชาลส์ ดิกคินส์ เป็นคนทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ ผิตงานวรรณกรรมรวมทั้งงานเขียนเพื่อรณรงค์ต่อต้านความชั่วร้ายในสังคมสมัยนั้นออกมาอย่างสม่ำเสมอเป็นจำนวนมาก และไม่เคยส่งเรื่องช้ากว่ากำหนด ดิกคินส์เริ่มงานวรรณกรรมด้วยการเขียนลงหนังสือพิมพ์รายเดือน เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในต่างประเทศ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B9%8C_%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%8C
           
ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 มีวรรณกรรมประเภทหนึ่งเร่ิมปรากฎครั้งแรกในประวัติวรรณคดีอังกฤษ คือ นวนิยาย โดยเขียนสะท้อนถึงชีวิตของชนชั้นกลางและชนชั้นล่างมากขึ้นก่าชนชั้นขุนนางดังในช่วงเวลาก่อนสมัยครสต์ศตวรรษที่ 18 เนื่องจากทั้งสองชนชั้นนี้มีจำนวนประชากรมากขึ้นในยุดรป ตอ่มา เมื่อเข้าสูคริสต์ศตวรรษที่ 19 การเขียนวรรณกรรมเร่ิมเขียนด้วยจินตนาการของผุ้เขียน มีลักษณะสนับสนุนเสรีภาพ ต่อต้านการกดขี่ หรือที่เรียกว่า สมัย
"โรแมนติก" ซึ่งาจเกิดจากแนวคิดในกาปฏิวัติอเมริกา ใชนช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 18 และปฏิวัติฝรั่งเศส ในค.ศ. 1789 ก็เป็นได้ นอกจากนี้ ยังเกิดการปฏิวัติอุตสา่เร่ิมขึ้นต้งแต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ในอังกฤษ ผุ้เป็นเจ้าอาณานิคมหลายแห่งบนโลกเวลานั้น การปฎิวัติดังล่าวทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศราฐกิจอย่างมา เนื่องมาจากการค้นพบพลังงานถ่านหินที่มีอย่างล้นเหลือกับเครื่องจักรไอน้ำ และอื่นๆ อันช่วยให้การผลิตมีประสิทธิภาพและรวมเร้ซย่ิงขึ้น ซึ่งชนชั้นกลางมีส่วนอย่างมากในการส่งเสริมอุตสาหกรรมในกรสนับสนุน เศรษฐกิจ บ้างก็เป็นเจ้าของกิจการอุุตสาหกรรม และเจ้าของธุรกิจส่วนตัวที่ได้รับการสนับสนุนจากระบบอุตสาหกรรมแต่กลับสร้างความเดือนร้อนให้กับชนชั้นกรรมาชีพ ด้วยระบบเศรษฐกิจแบบตัวใครตัวมันดังทฎีของ อดัม สมิทซ์ ที่แถลงไว้ในหนังสือ "ความมั่งคั่งของชาติ"
              ทั้งหมดที่นี้ คือ พัฒนาการของการเขียนวรรณกรรมผ่านช่วงเวลาต่างๆ ตั้งแต่ในคริสต์ศตวรรตที่ 18 จนในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งจะปรากฎในวรณกรรมในสมัยพระราชินีวิกตอเรีย แห่งสหราชอาณาจักร โดยมีนักเขียนคนสำคัญของอังกฤษที่เขียนสะท้อนสภาพของสังคมไว้หลายแง่มุม ซึ่งในเรื่อง "อาถรรพ์วันคริสมาสต์" เป้นวรรณกรรมทีสะท้อนวิถีชีวิตชนชั้นกลางระดับต่างๆ จนถึงชนชั้นล่
งสุดของังคมอังกฤษ รวมถึงความเห็นแก่ตัวและความมีน้ำใจของชนชั้นกลางระดับสูงอีกด้วยดังนั้น วรรณกรรมเรื่องนี้จะเป็นวรรณกรรมเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ที่สำคัญเรื่องหนึ่งของยุโรปที่สะท้อนสังคมในหลายๆ แง่มุม...https://creative-path.wixsite.com/creativepath/single-post/AChristmasCarolwithEnglishCultureHistory

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2561

Madame Bovary (Gustave Flaubert)

         
กุสตาฟ โฟลแบรต์ เป็นนักเขียนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเร่ิมการเขียนนวนิยายในแนวเหมือนจิรงหรือสัจนิยม หลักสำคัญของวรรณกรรมแนวนี้คือการวางตัวเป้นกลางของผุ้แต่งโดยปล่อยให้ผุ้อ่านตัดสินและประเมินค่าตัวละครหรือเหตุการณ์ต่างๆด้วยตนเอง เอมิล โซลา นักเขียนชั้นนำของกลุ่มสัจนิยมถึงกับยบยกย่องให้นวนิยายเรื่องมาดามโบวารี ของโฟลแบรต์ให้เป็นแม่บทของนวนิยายในแนวนี้ มาในยุคปัจจุบัน นักวรรณคดีล้วนเห้ฯพ้องต้องกันว่าโฟลแบรต์คือนักเขียนผุ้บุกเบิกการเขชียนนวนิยายแนวใหม่โดยดูจากเทคนิคหลายๆ ประการที่เขาใช้ไม่ว่าจะเป้น วิธีการเขียนบทพรรณนาที่มีความหมารยกลมกลืนไปกับองค์ประกอบอื่นๆ ของนวนิยาย การเสนอตัวละครจากทรรศนะของตัวละครด้วยกันเอง วมไปถึงวิธีการตัดต่อเหตุการณ์และฉากต่างๆ วึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับการตัดต่อภาพยนตร์
          นอกจากนี้ โฟลแบรต์ยังเป้นผุ้ที่ให้ความสำคัญกับการค้นคว้าหาข้อมูลพอๆ กับการเชียนอย่างประณีตบรรจง ตามปกติแล้วเขาจะใช้เวลาเขียนนวนิยายแต่ละเรื่อง นาน 4 ข-5 ปี หรือมากกว่านั้น นวนิยายแต่ละเรื่องของเขานอกจากจะมี
ความสมจริงแล้ว ถ้อยคำและสำนวนต่างๆ ที่เขาใช้ยังมีเสียงไพเราะเสนาะโสต มีความบรรสารกลมกลืน และมีจังหวะจะโคนที่ดีอีกด้วย ที่เป้นเช่นนี้ก็เรพาะสำหรับโฟลแตรต์แล้วหัวใตจของการสร้างสรรค์ความงามทางวรรณศิลป์นั้น อยุ่ที่ลีลาการเขียนเป็นสำคัญ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลงใจเลยที่นวนิยายหลายเรืองของเขาซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นนวนิยายที่ยิ่งใหญ่ของโลกวรรณกรรมตะวันตกนั้น เรียกวได้ว่ามีเนื่้อเรื่องที่ธรรมดาที่สุดในสมัยนั้น เช่น เรื่อง มาดามโบวารี ซึ่งมีเนื้อหารเกี่ยวกับประเด็นทางด้านชู้สาว หรือเกือบไม่มีเนื้อเรื่องเลย เช่น เรื่องบทเรียนชีวิต ซึ่งมีเนื้อเรื่องเพียงแค่ชีวิตของชายหนุ่มผุ้หนึ่งซึ่งรำลึกได้ในตอนอวสานว่าตนได้ประสบความล้มเหลวในชีวิต
            มาดามโบวารี เอ็มมา รูโอต์/เอ็มมา โบวารี ในสายตาชาย/ชู้
         
โฟรแบรต์ใชการเล่าเรื่องด้วยบุรุษที่ 3 และใช้เสียงผุ้เล่าที่มิได้เป็นตัวละครหนึ่งในนวนิยาย แต่ใช้มุมองการเล่าเรื่องผ่านาสายตาตัวละครผู้เล่าทอดเรื่องราวผ่านสายตาของชาร์ลส์สลับกับเอ์มมาเป้นหลัก
           การบรรยายอารมร์ของตัวละครเกคือเอ็มมา หรือบทพรรณนาฉากภายในบ้านของครอบครั้งโบวารี ฉากสถานที่ของเมือโตตส์และมืองยองวิล มีรายละเอดียดลึกซึ้งจนกระทั่งผุ้อ่านเข้าใจได้ ถึงความเบื่อหน่ายหดหู้ของเอ้ฒมาที่มีต่อสภาพแวดล้อมรอบกาย ตัวอย่าง เช่น โฟลแบรต์เปิดฉากแรกของบทที 1 ภาค 2 ด้วยบทพรรณนาภาพเมืองยองวิลจากระยะไกล เร่ิมจากบริเวณนอกเมืองแล้วเขาสู่ตัวเมือง แต่โผลแบรต์มิได้ใช้กลวิธีเดียวกันนี้ในการนำเสนอรูปลักษณ์ของตัวละครเอ็มมา ผุ้อ่านมิได้เห็นภาพของเอ็มมาอย่างละเอียดในข้อความแนะนำตัวละครเป็นเนื้อเดียวกันตั้เงแต่ต้นเรื่อง ผุ้อ่รนต้องเก็บรายละเอดียดที่ละน้อยด้วยตนเองแล้วนำมาประติดประต่อกัน ที่สำคัญคือโฟลแบรต์นำเสนอภาพเอ็มมาผ่านสายตาของตัวละครอื่นๆ ซึ่งเป็นชายที่เข้ามาอยู่ในแวดวงชีวิตของเธอโดยเฉาพะอย่างยิ่งด้านชู้สาว กลวิธีนำเสนอตัวละครหนึ่งผ่านสายตาของอีกตัวละครหนึ่งทำให้ผุ้ประพันธ์ถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครสู่ผู้อ่านได้อย่างแยบยล
          ตั้งแต่ครั้งังเป้นนางสาวเอ็มมา รูโอต์ ก่อนจะกลายเป็นมาดามโบวารี ตัวละครนี้เป็นศูนย์กลางการมองของตัวละครชายโฟลแบรต์เปิดตัวนางเอกของเรื่องด้วยการนำเสนอภาพตัวละครผ่านสายตาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขชื่อชาร์ลส์ โบวารี ซึ่งถูกตามตัวมารักษาบิดาของเธอ เอ็มมามิได้ปรากฎตัวต่อสายตาผุ้อ่านทันที่อย่างเต็มตัวในการพบกันครั้งแรกของตัวละครทั้งสอง ในชั้นแรก ตามสายตาชของขชาร์ลส์ ผุ้อ่านเห็นเล็บมือที่ "เงางามปลายเรียบขัดสะอาดยิ่งกว่างาช้างจากเดียป"ของเอ็มมา ซึ่งชาร์ลส์ประทับใจมาก ล้วจึงมองเห็นภาพมือที่ "ไม่สวย" แต่ส่วนที่ชาร์ลส์มองห็นว่าสวยมากคือดวงตาสีน้ำตาลที่แลดูเป็นสีเข้มจัดเนื่องจากขนตาดกหนา ต่อจากนั้นผุ้อ่านมองเห็ฯภาพริฝีปากอ่ิมเต็มและลำคอระหง รวมทังแก้มแดงระเรื่อเป็นสีกุหลาบ โฟลแบรต์ทำให้ผุ้อ่านมองเห็นภาพสาวสวนเอ็มมาผ่านสายตาของชขาร์ลส์ แลฃะทำให้ผุ้อ่านล่วงรุ้ความในยใจของชาร์ลส์ที่นึกเปรียบเทียบเอ็มมากับภรรยาคนปัจจุบันของตนซึ่งเป็นหญิงม่ายมาก่อน อายุมากก่า และมีรูปฃลักษณ์ "ขีเหร่แห้งกระงลางเหมือนไม้ซากและเนื้อตัวอุดมไปด้วยดอกดวงราวกับฤดูใบไม้ผลิ  ด้วยเหตุนี้ ตามสายตาของชาร์ลส์ เอ็มมาย่อมเป็นาวน้อยโฉมงามทรงเสน่ห์ ภายหลังการแต่งงานของทั้งสอง ความงามของเอ็มมาผนวกความเย้ายวนย่ิงกลายเป็นเสน่ห์มัดใจชาร์ลส์ให้หลงไหลในตัวภรรยาสาวไม่เสื่อมคลาย "เช่นเดียวกับเมื่อแต่างงานกันใหม่ๆ ชาร์ลส์เห็นว่าเธองมหยดย้อยและมีเสน่ห์อย่างสุดที่จะต้านทานได้...
         
การที่ผลแบรต์ใช้เสียงผุ้เล่าที่มิใช้ตัวละคร เป็นกลวิธีซึ่งเอื้อให้ผุ้อ่นม่โอกาศล่วงรุ้ความรุ้สึกของโรดอล์ฟที่มีต่อเอ็มมา ผุ้อ่านได้ยินเสียงถ้อยคำในความคิดของโรดอล์ฟ และติดตามจินตนาการของตัวละครชายหนุ่มผุ้จัดเจนเชิงโลกีญื ที่โลดแล่นไปไกลถึงขนาดนึดวาดภาพร่างเปลื่อยเปล่าของเอ็มมา
          โอเมส์ เจ้าของร้านปรุงยาแห่งเมืองยองวิล กฃล่าวชมเอ้ฒมาเมื่อชาร์ลส์กำลังจะพาเธอไปชมละครที่เมืองรูอัง โฟลแบรต์ช้ภาษาภาพพจน์เพียงสั้นๆ ผ่านคำชมของโอเมส์ ว่่า "คุณงามราวกับงีนัส" ..การเปรียบเทียบเอ็มมากับวินัส กล่าวคือ วีนัสเป็นชื่อเรียกตาทเทพปกรณัมโรมันของเทวีแอโฟไดต์ ในเทพปกรณัมกรีก และเป็นเทพธิดาแห่งความงามแบบเย้ายวน ความปรารถนา และกามารมณ์ เมื่อแอโฟรไดต์ผุดขึ้นจากฟองสมุทรและถูกนำตัวไปยังภูเขาโอลิมปัสซึ่งเป็นที่สถิตแห่งทวยเทพ เอรอส หรือเทพแห่งความรัก และเทพฮิเมรอส หรือเทพแห่งความปรารถนา ได้ร่วมเดินทางไปด้วย นัยยะเชิงนิทานเปรียบเทียบ จากเทพปรกณัมกรีก-โรมัน ได้แก่ ความงาม ความรัก และความปรารถนา เป้นสิงที่ไ่อาจแยแยกจากกันได้ ... บางส่วนจาก บทความ มาดามโบวารี : เพศหญิง เพศชาย ความตาย ชายชู้ โดยวรุณีอุดมศิลป

วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2561

Les Lettres philosophiques ou Lettres anglaises (François-Marie Arouet : Voltaire)

         
  ฟร็องซัว มารี อรูเอ หรือเป็นที่รู้จักกันในนามปากกาว่า วอลแตร์ เป็นปราชย์ นักเขียนและนักปรวัติศาสตร์ในยุคเรื่องปัญญาของฝรั่งเศส เขาเป็นผุ้โจมตีการจัดตั้งศาสนจักรคาทอลิกในฝรังเศส และยังสนับสนุนเสรีภาพทางศาสนา เสรีภาพในการพูดและยังผลักดันให้มีการแบ่งแยกศาสนจักรออกจากรัฐ
            ผลงานองวอลแตร์มีจำนวนมากมายหลากหลายประเภททั้ง บทละคร นิยาย นิทาน เชิงปรัชญา ประวัติศาสตร์ และบทกวี เขาได้รับยกย่องจากคนร่วมสมัยว่าเป็นนักเขียนบทละครชั้นนำและกวีชั้นนำ แต่ในปัจจบันเขากลับเป็นที่ยกย่องในฐานะนักเขียนเชิงเสียดสี วิพาก วิจารณื ผลงานของเขาส่วนใหญ่เป็นการเผยแพร่ความคิดทางปรัชญาไปสู่สาะารณชน เพื่ปลุกความคิดวิพากษืวิจารณืให้แก่ชาวฝรั่งเส เพื่อต่อต้านความคิดระบบสภาบันแบบเก่า การต้อสู้เพื่อขจัดความอยุติธรรมในสังคม ารวมทั้งความเชื่อที่งมงายและความบ้าคลั่งทางศาสนา นอกจากนี้เขายังส่งเสริมเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพและการแสดงความคิดเห็นอีกด้วย
            ผลงานของวอลแตร์เกิดสิ่งที่เรียกว่า "ความคิดวิพากษ์วิจารณื" แก่ชาวฝรั่งเศสโดยรวม ความคิดวิพากวิจารณ์นี้ทำให้ชาวฝรั่งเศสตั้งคำถามต่อทุกเรื่องทุกเหตุการณืที่ปากฎในสังคมขอฦ.ตน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสถาบันการเมืองการปกครอง โดยเขาได้โจมตีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิาชย์ สถาบันกษัตริย์ การใช้อำนาจตามอำเภอใจของกษัตริย์ สถาบันศาสนา โจมตีคำสอนความเชื่อที่
งมงาย เป็นต้น
            วอลแตร์ได้นำหลักการใช้เหตุผล มาแพร่หลายให้แก่ประชาชน เพือมาใช้ในการดำเนินชีวิต โดยการใช้เหตุผลแก้ปัญหา และรู้จักคิดพิจารณาก่อนจะเชื่ออะไรง่ายๆ เขาใช้ผลงานของเขามาเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่แนวความคิดทางปรัชญาและนำไปสู่สาธารณชน เืพ่อทไใ้ประชาชนได้เห็นได้เข้าใจและตระหนักถึงส่ิงเหล่านั้น วางแนวคึิดและควารู้เหล่านี้จึงเปรียบเสมือนกับแสงสว่างทางปัญญาให้แก่ประชาชน วอลแตร์จึงเป้นผู้ที่มีส่วนทำให้ประชาชนมีเสรีภาพทางความคิดและทำให้ผุ้คนสนใจการเมืองการปกครองแบบอังกฤษ
       
 ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าวาอลแตร์มีอิทะิพลต่อคริสตวรรษที่ 18 เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นผลนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งย่ิงใหญ่ทั้งทางด้านการเมือง เศราฐกิจ สังคมและศาสที่รุ้จักกันในนาม "การปฏิวัติฝรั่งเศส พ.ศ. 2332"
        Les Lettres philosophiques ou Lettres anglaises  หรือ Letters on the Rnglish จดหมายปรัชญา
หรือ จดหมายจากอังกฤษ ตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นภาษาอังกฤษ ที่กรุงลอนดอน เมื่อปี ค.ศ. 1733 และปีต่อมาจึงตีพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศส ผลงานช้ินนี้เขียนขึ้นในรูปแบบขอจดหมายรวมทั้งสิ้น 25 ฉบับ ซึ่งเหนื้อหาส่วนใหญ่จะเล่าถึงสภาพสังคมของประเทศอังกฤษ ผ่านประสบการณ์ขงตัววอลแตร์ โดยเชียนด้วยโวหารที่คมคายและสอดแทรกด้วยการเสียดสีถากถางวอลแตร์ได้ใช้สภาพสังคมดงกล่าวเป็นเครื่องมือกระตุ้นให้ชาวฝรั่งเศสได้รู้จักถงศาสนา เศรษฐกิจการเมือง ปรัชญาและวันธรรมของประเทศอังกฤษ แล้วนำมาเปรียบเทีียบกับประเทศฝรั่งเศสทำให้เห็นว่าประเทศฝรั่งเศนั้นยังล้าสมัยอยู่ อีกทั้งเขายังต้องการให้เกิดความเท่าเทียมกันในการเสียภาษีระหวา่งชนชั้นสามัญกับชนชั้นอภิสิทธิ์ ต้องการให้เกิดความสมดุลของอำนาจทางการเมืองและต้องการให้รัฐบาลส่งเสริมเสรีภาพด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์อีกด้วย ส่วนตอนท้ายของผลงานชิ้นนี้ วอลแตร์ได้กล่าววิจารณ์ ปาสกาล นักคิดคนสำคัญในศตวรรษที่ 17 อย่างดุเดอดในแง่ความเชื่อความสรัทธาในพระจ้า เนื่องจากปาสคาเห้ฯว่า "ความทุกข์ของมนุษย์จะเกิขึ้นเมื่อมนุษย์ปราศจากพระเจ้า และมนุษย์จะค้นพบความสุขได้เื่อมีศรัทธาในพระเจ้า "ซึงแนวคิดนี้ได้ขัดแย้งกับความิด้านศษสนาของวอลแตร์โดยสิ้นเชิง อาจกล่าวไดว่าผลงานชิ้นนี้ทำให้วอลแตร์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C    

วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2561

Social Contract (Jean Jacques Rousseau)

          ".. มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกหนหทุกแห่งเขาอยู่ในเครื่องพันธนาการ ตราบเท่าที่ราษฎรถูกบังคับให้เชขื่อฟัง และก็เชื่อฟัง เขาก็ทำดีแล้ว แต่ทว่าเขาจะทำดียิ่งขึ้น ถ้าหากเขาสลัดอกจากบ่าในทันที่ที่เขาสามารถสลัดได้ เื่อมีใครถือสิทธิเข้าแย่งชิงเสรีภาพราษ๓ร ราษฎรก็ย่อมจะมีสิทธิเช่นกันที่จะยื้อแย่งเสรีภาพกลับคืน ราษฎรมีสิทธิจะกู้เสรีภาพของตนได้ แต่ไม่มีใครจะมีสิทธิชิงเอาเสรีภาพไปจากราษฎร.."
           Jean Jacques Rousseau ฌ็อง ฌัก รุสโซ เป็นนักปรัชญา นักเขียน นักทฤษฎีการเมือง และนักประพนธ์เพลงที่ฝึกหันด้วยตนเองแห่งยุคเรืองปัญญา
           คำสอนของเขาสอนให้คนหันกลัยไปหาธรรมชาติ เป็นการยกย่องคุณค่าของคนว่า "ธรรมชาติของคนดีอยู่แล้วแต่สังคมทำใหนไม่เสมอภาคกัน" เขาบอกว่า "เหตุผลมีประโยชน์ แต่มิใช่คำตอบของชีวิต ดังนั้นเราจึงต้องพึงความรู้สึก สัญชาตญาณและอารมณ์ของเราเอง ให้มากกว่าเหตุผล"
           ทฤษฎีคนเถือนใจธรรม รุสโซ่ เชื่อว่ามนุษย์นั้นเป็นคนดีโดยธรรมชาติ หรือเป็น "คนเถือนใจธรรม" เมื่ออยู่ในสภาวะธรรมชาติเดียวกนกับสัตว์อื่นๆ และเปนสภาพที่มนุษย์อยุ่มาก่อนที่จะมีการสร้างอารยธรรม แลสังคมแต่ถูกทำให้เเปดเปื้อนโดยสังคม เขามองสังคมว่าเป็นส่ิงที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น และเชื่อว่าการพัฒนาของสังคม ดดยเฉาพะการเพิ่มขึ้นของการพึงพากันในสังคมนั้น เป็นสิ่งที่อันตรายต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์
         
ในหนังสือ "สัญญาประชาคม" รุสโซ กล่าวถึงสัญญาประชาคมว่า หมายถึง สัญญาที่แต่ละคนเข้าร่วมกับทุกคนภายใต้เอกภาพและเจตจำนงอันเดียวกัน โดยที่ประาชนสามารถก่อตั้งรัฐบาลขึ้นได้และให้อำนาจแก่รัฐบาลเพื่อรับใช้ประชาชนแต่ถ้าเมื่อใดที่ประชาชนไม่พอใจรัฐบาลก็อาจเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ รุสโซ่ ชี้ให้เห็นว่าสภาวะธรรมชาตินั้นเป็นสภาวะที่มนุษย์มีความผาสุก มีอิสระเสรี และความเสมอภาคอย่างไรก็ตามแม้มนุษย์จะเกิดมาเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งมนุษย์ก็ถูกตรึงด้วยโซ่ตวนแห่งพันธนาการ แนวความคิดของรุสโซถือว่าเป็นรากฐานของระบอบประชาธิไตยในเวลาต่อมา
         รุสโซอธิบายการกำเนิดสังคมว่ามีสาเหตมาจากการเกิดและการขยายการปฏิสัมพันะ์ระหว่างครอบครัวและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวก็บังเกิดขึ้น รุสโซ ชี้ถึงปัจจัยสำคัญคื อพัฒนาการทางเสณษบกิจ และความรักแบบโรแมนติก เขาเน้นถึงบทบาทสำคัญของเศรษบกิจที่มีค่อการก่อตัวของสังคมเมือง ดังที่กล่าวได้ว่า "คน แรกที่กั้นรั่วแผ่นดินคือผุ้เร่ิมสังคมเมืองที่แท้จริง" การคิดค้นการเกษตรกรรมที่นำไปส.ู่การสร้าง กฎ กติกา เพื่อความยุติธรรมขึ้นเป็นครั้งแรก ลบะในที่สุดแล้ว ด้วยการแนะนำของผุ้มั่งคั่ง ก็จะนำไปสู่การสถาปนาการเมืองการปกคอรงขึ้นมาหมายความว่าการเกิดการปกครองขึ้นมานั้นจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าปราศจาก เงื่อนไขของการเกิดกรรมสิทธิในทรัพย์สินส่วนตัวในที่ดิน มาก่อนหน้าและแท้ที่จริงแลว พัฒนาการการเกษตรที่เกิดขึ้นั้น เป็นผลพวงมาจากการเกิดครอบครัวก่อนหน้านี้ แต่กระนั้น ก็เสนอด้วยว่า
"เศรษฐกิจการเกษตรในตัวของมันเอง เป็สิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองพัฒนาการของความต้องการทางเพศ เรื่อง เพศ คือสะพานนำไปสู่การเมือง โดยมีนัยของการเปลี่ยนแปลงเรื่องความสัมพันะ์ทางเพศของมนุษ์เป็นปัจจัย เงือนไขที่จำเป็นอย่างยิ่งในการกำเนิดสังคมการเมือง รุสโซ อธิบาย ความขัดแย้ง ความไร้ระเบียบ ที่อุบัติขึ้นเมื่อสังคมได้ถือกำเนิดไว้ดังนี้คือความขัแย้งจะเกิดขึ้นเมื่อสภาวะของมนุษย์ในสงคมไม่เพื่ออำนวย หรือไม่เหมาะสมกับพวกเขา ความขัดแยง เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อมนุษญ์มองมนุษย์ด้วยกันว่า เป็นศัตรูที่แข่งขันกับพวกเขา เพื่อความโดดเด่นหรือเพื่อความเหนือกว่า หรือเพื่อสิงที่พึงปรารถนา และสุดท้ายความขัดแย้งยังคง่ำรงอยู่ ภายในปัจเจกบุคคล เมื่อจิตใจของเขาตกอยู่ภายใต้พันธนาการของกิเลสตัณหาอันไม่มีขีดจำกัด อารยธรรมหรือความเจริญก้าวหน้าของศิลปะวิยากานี้ทำให้ศัลธรรมการดำเนินชีวิตของมนุษย์เสื่อทรามลงเสียมากกว่าที่จะทำให้ดีขึ้น เมื่อมนุษย์ตกเป็นทาสของศิลปะวิทยาการเสรีภาพที่เคยมีและเป็นแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ก้ไ้สูญหายไป
            http://www.stou.ac.th/forum/page/Answer.aspx?idindex=142283
ด้วยเหตุนี้เองที่รุสโซ ได้กล่าวขึ้นต้นใน "สัญญาประชาคม" ไว้ว่า มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งเขาอยู่ในพันะนาการ ใครที่่คิดว่านเป็นนายคนดื่อน ย่อมไม่วายจะกลับเป็นเสียทาศยิ่งกว่า" ความผันแปรเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรไม่ทราบ อะไรเล่าที่จะพึงทำให้ความผันแปรนั้นกลายเป็นส่ิงที่ชอบด้วยกฎหมาย ข้อนี้คิดว่าจะตอบปัญหาได้เพราะในสภาวะสังคมมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดระเบียบเงือ่นไขที่กลีเลี่ยงไม่ได้ที่มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่โดยไม่เหยียบหัวแย่งชิง หลอกลวง ทรยศ และทำลายซึ่งกันและกัน การแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการที่ มนุษย์มาอยุ่ร่วมกันเป้นสังคมเขาเสนอให้มีการสร้าง หรือการจัดระเบียบสังคมใหม่ขึ้นมา นั้นคือเราจะทำอย่างไรที่จะหารูปแบบของการอยู่ร่วมกันที่ สามารถปกป้องบุคคล และส่ิงที่พึงปรารถนาของสมาชิกแต่ละคนในสังม ดดยการ่วมพลังของทุกคน และเป้นรูปแบบการอยู่ร่วมกันที่ปัจเจกบุคคลแต่ละคน แม้ว่าจะรวมตัวเข้ากันกับคนอื่น แต่ก็มิได้ต้องเชื่อฟังใคร นอกจากตัวเขาเอง และยังควมีอิสรเสรีเหมือนแต่ก่อนคำตอบนั้นคือ "สัญญาประชาคม" และคือคำตอบสำหรับการหลุดจากสภาวะอันไม่อำนวย่อการดำรงชีวิตความเป็นมนุษย์มาทำใัญญา่วกัน หมายถึงการยอมเสียเสรีภาพตามธรรมชาติที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของเขาเพื่อแลกกับเสรีภาพทางสังมการเมือง รุสโซ กล่าวว่าแก่นของ
สัญญาประชาคม คือการที่พวกเราแต่ละคนยอมเเละตัวเอง และอำนาจหน้าที่ ที่เขามีอยุ่ทั้งหมดให้กับส่วนร่วม ภายใต้การนำสุงสุดของ "เจตนำนงร่วม" และในฐาานะองค์ร่วม เราได้รวมสมาชิกทุกคนเข้าไเปนเนื้อเดียวกันในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของทั้ง หมดที่แบ่งแยดไม่ได้ อันประกอบด้วยจำนวนสมาชิกที่มีจำนวนเท่ากับผุ้ออกเสียงในที่ประชุมซึงทำให้องค์รวม ดังกล่าวมีชีวิต มีเจตจำนง และในฐานะองค์รวม เราไมด้รวมสมาชิกทุกคนเข้าเป็นเนื้อเดียวกันในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของทั้ง หมดที่แบ่งแยกไม่ได้ อันประกอบด้วยจนวนสมาชิกที่มีจำนวนเท่ากับผู้ออกเสียงในที่ประชุมซึ่งทำให้ องค์รวม ดังกล่าวมีชีวิต มีเจตจำนง มีตัวตน และมีเอกภาพ ของตัวเองขึ้นมา องค์รวมทางการเมืองหรือ บุคคล สาธารณะที่ก่อตัวขึ้นนี้ คือสังคมเมือง หรือสาธารณรัฐ และในสภานะที่เป็นผู้ถูกกระทำซึ่งเรียกว่ารัฐ  แต่ถ้าอยุ่ในสภานะ ผุ้ถูกกระทำ เรียกว่ องค์อธิปัตย์ และเมื่อมีการเปรียบเทียบระหว่างองค์อธิปัต ด้วยกน เราเรียกว่า "อำนาจ"และสำหรับผุ้ที่เข้าร่วมอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐ เรียกว่า "ประชาชน" และเรียกว่า "พลเมือง" ตราบเท่าที่พวกเขามีส่วนร่วมในอำนาจอธิไตย และเรียกวพเขาว่ "ราษฎร" ตรบเท่าที่พวเกขาอยู่ภายใต้กฎหมายของรัฐ...

วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2561

Les Misérables (Victor-Marie Hugo)

       
เลมีเซราบล์ หรือ เหยืออธรรม เป็นนวนิยายประพันธ์โดย วิกเตอร์ อูโก ชาวฝรั่งเสส และเรียกได้ว่าเป็นหนึง่ในนิยายที่ดีที่สุดในศตวรรษที่ 19
         วิตอร์-มารี อูโก เป็นกวี นักเขียนบทละคร นักประพันธ์ ศิลปิน รัฐบุรุษ และนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนชาวฝรั่งเศส เป็นผุ้มีบทบาทอย่างสูงสำหรับการเคลื่อนไหวทางวัฒธรรมยุคโรแมนติกในประเทศฝรั่งเศส
         ชื่อเสียงของอูโกทางด้านงานวรรณกรรมในประเทศฝรั่งเศสมาจากงานกวีนิพนธ์และบทละคร ส่วนงานนวนิยายเป็นที่รู้จักรองลงมา ในบรรดางาน กวีนิพนธ์ของเขา คือLes Contemplations และ La Légende des siècles  จัดเป็นงานที่โดดเด่นและถุกวิพากษ์วิจารณือย่างมาก บางครั้งอูโกได้รัยการกล่าวขวัญถึงในฐานะกวีผุ้ยิ่งใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศสขณะที่เขาเป็นที่รู้จักภายนอกประเทศจากผลงานนวนิยาย เรื่อง เหยือ่อธรรม
          ตัวละคร
          ฌอง วับฌอง นายมาดแลน อูลติม โฟชเลอวองต์ นายเลออล็อง, อูร์แบง ฟาบร์ หรือ 20601 เป็นตัวละครหลักของเรื่อง เขาต้องโทษฐานขโมยขนมปัง้ก้อนหนึ่ง แต่อีกสิบเก้าปีต่อมาก็พ้นโทษโดยมีทัณฑ์บน เขาไม่ได้รับการต้อนรับจากสังคมโดยหาวาเขาเคยเป็นนักโทษ บิชอบมีเรียล จึงเข้ามาอ้มขูเขา และชี้ทางสว่างในเขาดำเนินชีวิตใหม่อันสะอาดบริสุทธิ์กระทั่งเขาได้เป็นเจ้าของโรงงานและเป็นนายกเทศมนตรีตามลำดับ ต่อมาเขาได้รับบุตรสาวของฟองตีน นามว่า "โกแซต"  ไว้เป็นบุตรบุญธรรมและอุปการะจนกระทั่งเธอเติบใหญ่ แต่ต้องการไม่ให้โกแซตรู้ถึงอดีตของเขา จึงตัดสินใจกันตนออกห่างทำให้เขาอ่อนแอลง และล้มป่วย แต่ท้ายสุดมริอุสและโกแซตก็มาเยี่ยม เขาจึงสิ้นใจที่นั่น
       

 ฌาแวร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีบุคลิกภาพย้ำคิดยำ้ทำ และปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานสืบสวน เขาได้รับหน้าที่ให้ตามล่าตัวฌอง วัลฌองหลายครั้งหลายครา ครั้งหนึ่ง ฌอง วับฌองมีโอกาสสังหารเขาแต่ก็ปล่อยเขาไป ในครั้งต่อมาที่เจ้าหน้าที่ฌาแวร์เผชิญหน้ากับฌอง วัลฌอง เขารู้สึกว่าการกระทำความผิดของฌอง วัลฌองเป็นส่งิอันมิชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่อีกใจหนึ่งของเขากลับบอกว่าฌอง วัลฌอง มีบุญคุณต่อเขา ท้ยที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่ฌาแวร์ก็ตัดสินใจกระทำอัตวินิบาตกรรม โดยกระโดดลงแม่น้ำแซน เพื่อยุตความขัดแย้งในจิตใจ
       
 บิชอบมีเรียล สัฆราชแห่งดีญ ผุ้มีจิตใจเมตตาอารี เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งบิชอบในครั้งที่ได้เข้าเผ้าจักรพรรดินโปรเลียนที่ 1 โดยบังเอิญ  บิชอบมีเรียลได้ชีทางสว่างให้ฌอง วัลฌอง ดำเนินชีวิตใหม่หลังจากที่ฌอง วัลฌอง เข้ามาขโมยเครื่องเงินและเชิงเทียนของเขา
           ฟองดีน กรรมกรหญิงชาวปรรีสผุ้ถุกสามีคือ เฟล็กซ์ โตโลมีแย ทอดทิ้งให้อยู่กับทารกน้อยเพศหญิง นาม "โกแซต" ซึ่งเป็นบุตของทั้งสอง ฟองดีนนั้นได้ฝากบุตรสาวให้อยู่ในความดุแลของคู่สามีภรรยาเตนาร์ดีแยร์ซึ่งมีอาชีพเป็นผู้จัดการรเตี๊ยมในหมู่บ้านมงต์แฟร์ แมย โชคร้ายที่สามีภรรยาคู่นี้มักข่มเหงโกแซตและบังคับใช้แรงงานเยี่ยงทาส ระยะนั้นฟองดีนก็ได้งานทำที่โรงงานของนายมาดแลน และครั้งหนึงเธอซึ่งไม่รู้หนังสือวานให้คนช่วยเขียนจดหมายไปถึงคู่สามาีภรรยาเจ้าของ
โรงเตี๊ยมให้ ทำให้นายหญิงจับได้ว่าเธอให้กำเนิดบุตรทั้งที่ยังมิได้สมรสและไล่เธอออกจากงาน ซ้ำร้ายถุกเตนาร์ดิเยร์หลอกว่าโกแซตป่วยเป็นโรคไข้ผื่นคัน เพื่อให้ได้เงินมาช่วยลูกของตน ฟองดีนจึงขายเส้นผมและฟันหน้าของเธอ สุดท้ายแล้วก็ขายตัวเป็นหญิงโสเภณี ต่อมา ฌอง วัลบฌอง ทราบถึงชะตากรมอันรันทดของฟองตีนขณะที่เธอถูกเจ้าหน้าที่เาแวร์จับกุมตัวเพราะเข้าทำร้ายชายคนหนึ่งที่ร้องด่าเธอและทุ่มหิมะใส่หลังเธอ และก่อนที่ ฌอง วัลบฌอง จะสามารถนำโกแซตมาพบกับฟองตีน เธอก็หมดลมหายใจไปก่อนด้วยโรค ซึ่งคล้ายวัฒโรค
            โกแซต, ยูฟราซี, เป็นบุตรสาวของฟงอตีนกับเฟล็กซ์ โตโลมีแย เมื่ออายุได้สามขวบมารดาฝากเธอไว้ในวามดุแลของคู่สามีภรรยาแห่งสกุลเตนาร์ดีเยร์ เธอถูกสามีภรรยาคุ่นี้เฆี่ยนและบังคับให้ใช้แรงงานอย่างหนักกระทั่งฌอง วัลฌอง เข้าช่วยเหลือเมื่อเธอมีอายุได้แปดปีโดยำนเงินมาไถ่ตัวโกแซตไปจากสามีภรรยาคู่นี้ และขณะที่จะนำเธอไปพบกับฟองตีนผุ้เป็นมารดานั้น ฟองตีนก็หมดลมหายใจลงก่อน ฌอง วัลฌอง จึงรับเธอไว้เป็นบุตรบุญธรรม โกแซตมีความรักกับมารียูส ปงต์แมร์ซีและสมรสกับเขาในตอนท้ายของเรื่อง...เป็นต้นhttps://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C_%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B9%82%E0%B8%81
           นอกจากนี้ยังมีตัวละครตัวหลักอีกหลายตัวละคร และตัวและครตัวรอง อีกหลายตัวละครเช่นกัน หาอ่านฉบับสมบุรณ์กันได้ โดย "เลส์ มี -เซ-ราบลส์" เคยได้รับการแปลเป็นภาษาไทยแล้วตั้แต่ปี พ.ศ.2503 ในชื่อ "เหยื่ออธรรม" แปลเพียง 2 ภาคจากทั้งหมด 5 ภาคและไม่สมบูรณ์
           ต่อมาในปี 2545 สำนักพิมพ์ข้าวฟ่างได้จักให้มีการแปล ออกมาอีกครั้งในชื่อ "ตรวนชีวิต"  ซึ่งเป็นเพียงฉบับย่อ
           ปี พ.ศ. 2546 ได้มีการแปลชื่อภาษาไทยว่า "เหยื่ออธรรม" ฉบับสมบูรณ์ขึ้นมา โดย วิภาดา กิตติโกวิทhttps://web.facebook.com/notes/10150187153513139/
         

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...