เคลต์ หรือ เซลต์ เป้นคำทีใช้เรียกชนยุโปรที่เดิมพูดหรือบังพูดภาษากลุ่มเคลต์ นอกจากนั้นก็ยังเป้นคำที่ใช้ในความมหายหว้างๆ ในการบรรยายผุ้ที่สืบเชื้อสายมาจากชาวเคลต์ ที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมเคลต์อยู่
เคลต์ในประวัติศาสตร์เป็นกลุ่มชนหลายกลุ่มในยุคเหล็ยุโรป อารยธรรมเคลต์ดั้งเดิมเร่ิมก่อตั้งในสมัยต้นยุคเหล็กในตอนกลางของทวีปยุโรป (สมัย วัฒนธรรมฮัลล์ตัทท์ ที่ตั้งชื่อตามบริเวณที่เป็นออสเตียปัจจุบัน) พอมาถึงปลายยุคเหล็ก (สมัยลาแคน) เคลต์ก็ขยายตัวไปในดินแดนต่างๆ ที่รวมทั้งทางตะวันตกที่ไปถึง ไอร์แลนด์ และคาบสมุทรไอบีเรีย ทางตะวันออกไปสุดที่กาเลเซีย (กลางอานาโตเลีย) และทางเหนือสุดที่สกอตแลนด์
หลักฐานแรกที่บ่งถึงภาษาเคลต์อยุ่ในคำจารึกในภาษาเลพอนติค จากคริสต์ศตวรรษที่ 6 กลุ่มภาษาเคลต์ภาคพื้นยุโรป มีหลักฐานเฉพาะชื่อสถานที่ กลุ่มภาษาเคลก์เกาะ ปรากฎในหลักฐานจากคริสต์ศตวรรษที่ 4 ในคำจารึกออกัม วรรณกรรมเริ่มด้วยการใช้ภาษาไอรัชเก่า ตั้เงแต่รวมคริต์ศตวรรษที่ 8 วรรณกรรมไอริชสมัยต้น เช่น"Táin Bó Cúailnge" มีหลักฐานมาจนถึงฉบับแก้ในคริสต์ศตวรรษที่ 12
เมื่อมาถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่หนึ่งหลังจากขยายดินแดนของจักรวรรดิโรมันและสมัยการยายถ่ินฐาน ของกลุ่มชนเจอร์แมนิกแล้ว อารยธรรมเคลต์ก็จำกัดยู่แต่เพียงหมู่เกาะบริติช และภาษาเคลต์ยุดรปก็อยุดใช้กันไปในคริสต์ศตวรรษที่ 6 เคลต์เกาะที่ว่าหมายถึงดินแดนรอบทะเลไอริช รวมทั้งคอร์นวอลล์และบิรตตานี บนสองฝั่งของ่องแคบอังกฤษ..
.. ในปัจจับนคำว่า "เคลต์" โดยทั่วไปใช้ในการบรรยายภาษาและอารยธรรมของไอร์แลนด์ สกอตแลนด์, เวลล์, คอร์นวอลล์, เกาะแมนและบริตตานี หรือที่เรียกว่า ชาติเคลต์ทั้งหก (Six Celtic Nations)ในปัจจุบันยังมีบริเวณสี่บริเวณที่เพ่งเร่ิมเข้ามาคอร์นิช (หนึ่งในภาษากลุ่มบริทอนิกและแมง.์ (หนึ่งในภาษากลุ่มกอยเดล) อกจากนั้นก็ยังมีการพยายามที่จะฟื้นฟูการใช้ภาษาคับริก (หนึ่งในภาษากลุ่มบริทอนิก จากทางตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษและตะวันตกเฉียงใต้ของสกอตแลนด์)
"เดลต์" บางครั้งก็ใช้ในการบรรยายอาณาบริเวณในแผ่งดินใหญยุโรป ที่มีรากฐานมาจากเดลต์แต่ไมไ้ใช้ภาษาเดลต์ซึ่งได้แก่บริเวณทางตะวันตกของคาบสมุทรไอบีเรีย(โปรตุเกส) ทางตอนกลางตอนเหนือของสเปน (กาลิเซีย, อัสตูเรียส, กันตาเบรย, คาสตีลและเลออน, เอกซ์เตรมาตูรา) และบางส่วนของฝรั่งเศส
"เดลต์ยุโรป" หมายถึงผู้ที่พูดภาษเคลตบนแผ่นดินใหญ่ยุโรป ส่วน "ชาวเดลต์เกาะ หมายถึงผุ้ที่พุดภาษาเคลต์บนหมุ่เกาะอังกฤษ ผุ้สืบเชื้อสายเดคต์ในบริตตานีที่มาจากชาวเดคลต์เกาะจากทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษจึงจัดอยุ่ในกลุ่มเดียวกัน
กลุ่มภาษาเดลต์ เป็นสาขาหนึ่งของตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน เมื่อผุ้ใช้ภาษากลุ่มเดอลต์เข้ามามีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ราาว 400 ปีก่อนคริสต์ศักราช หวเหน้าเเผ่าหนึ่งของกลอโจมตีโรม เมื่อ 387 ปีก่อนคริสตศักราช) ก็ได้เเยกตัวเป้นกลุ่มภาษาย่อยแล้วและแผ่ขยายไปทั่วยุโรปตอนกลาง คาบสมุทรไอบีเรีย ไอร์แลนด์และบิรเตน
นักวิชาการบางท่านมีความเห็นว่าเอิร์นฟิลด์ ของทางด้านเหนือของเยอรมนีและเนเธอร์แลนด์เป็นบริเวณตนกำเนิดของเคลต์ที่เป็นอารยธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของสาาอารยธรรมตระกูลอินโด-ยูโรเปียน อารยธรรมนี้มีศุนย์กลางอยุ่ตอนกลางของทวีปยุโรป ระหว่งปลายยุคสำริดตั้งแต่รวม 1200 ปีก่อนคริสต์ศักราชจนกระทั่ง - 700 ปีก่อนคริสต์ศักราชที่สืบเนื่องมรจาก อารยธรรมอูเญชิตเซ และ อารยธรรมทิวมิวลัส ระหว่างสมัยอารยธรรมเดิร์นฟิลด์ก็มีขยายจำนวนประชากรขึ้นเป็นจำนวนมากในบริเวณที่ว่าซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากการปรับปรุงวิะีการเกษตรกรรมนักประวัติศาสตร์กรีก เอโฟรัส แห่งไซม์ไในเอเ๙ียไม่เนอร์บันทึกเมื่อสี่ร้อยปีก่อนคริสต์ศักราชว่าชาวเคลต์มาจากเกาะที่ปากแม่นำ้ไรน์ผู้ถูก "ชับจากบริเวณนั้นเพราะสงครามที่เกิดขึ้ย่อยๆ และความรุนแรงเมื่อน้ำทะเลสุงขึ้น"
การเผยแพร่ของการตีเหล็กเป็นการวิวฒนาการของอารยธรรมฮัลล์ชตัทท์ โดยตรงจากอายธรรมเอิร์ทฟิลด์ (ราว 700 ถึง 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ภาาาเคลต์ดังเดิม ที่เป็นภาษาที่มาก่อนภาษากลุ่มเคลต์เชื่อก้นว่าเป็นภาษาที่ใช้พุดในปลายสมัยเอิร์นฟิลด์ หรือต้นสมยฮัลล์ชตัทท์ เมื่อต้นพันปีก่อนคริสต์ศักราช การแพร่ขยายของกลุ่มภาษาเคลต์ไปยังไอบีเรีย ไอร์แลนด์ และบริเตนสันนิษฐษนกันว่าเกิดขึ้นราวครึ่งแรกของพันปีก่อนคริสต์ศักราช - จากหลักฐานการฝังรถม้ากับผุ้ตายที่พบในอังกฤษที่คาดว่าเกิดขึ้นราาว 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช หลายร้อยปีต่อมากลุ่มภาษาเดลต์ก็แบ่งแยกออกเป็น ภาษเคลต์ไอบีเรีย กลุ่มภาษากอยเดล และภาษากลุ่มบริทอนิก
อายธรรมฮัลล์ชตัทท์ตามมาด้วยวัฒนธรรมลกแตนของยุโรปตอนกลางและรกว่งปลายสมัยยุคเลห็ก็ค่อยๆ กลายเป้นอารยธรรมเดคลต์ แม่น้ำหลายแม่น้ำที่มีชื่เอป้นภาษาเคลต์พบในบริเวณตอนบนของแม่น้ำดานูบ และแม่น้ำไรท์ที่นักวิชาการเกี่ยวกับการยธรรมเดลต์สันนิษฐานกันว่าเป้นบริเวณที่เป็นบ่อเกิดของชาติพันธ์ เคลต์
นักประวัติศาสตร์กรีก ดีโอโตรุส ซีกูลุส และสตราโบ ต่างก็สันนิษฐานว่าศุนย์กลางของอารยธรรมเดลต์อยุ่ทางใต้ของฝรั่งเศส ซีคัลลัสกล่าวว่ากอลอยุ่ทางเหนือของเดลต์ และโรมันเรียกคนทั้งสองกลุ่มว่า "กอล" ก่อนหน้าที่จะพบ อารยธรรมฮัลล์ซตัทท์ และวัฒนธรรมลาแตนเป็นที่เชื่อกัะว่าศุนย์กลางของอารยธรรมเคลต์อยุ่ทางใต้ของฝรั่งเศส
อัลมาโกร-กอร์เบอา เสนอว่าที่มาของอารยธรรมเคลต์ เร่ิมขึ้นเมื่อสามพันปีก่อนคริสต์สํกราชที่เดมมีต้นตอมาจาก อารยธรรมเบล บีคเดอร์ ซึ่งเป้ฯการทำให้อารยธรรมนี้เผยแพร่ไปทั่วยุโรปตะวันตกและสร้างความแตกต่างในหมู่ชาวเคลต์เอง นอกจากนั้นก็ยังเป้นการก่อสร้งางประเพณีโบราณต่างๆ
ขณะเดียวกันการค้นคว้าทางด้านพันธุศาสตร์ ปรวัติศาสตร์ และโบราณคดีและนักเขียนสตีเฟน ออปเพนไฮเมอร์ก็เสนอว่าเคลต์เป็นชนเมดิเตอร์เรเนียนที่เข้ามาตั้งถ่ินฐานครั้งแรกทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศสในปลายยุคน้ำแขช้.ครั้งสุดท้ายราว 11.000 ปีก่อนคริสต์ศักราช และตั้งแต่นั้นมาก็อาจจะรวมตัวกับ ชนกลุ่มบาสก์ตั้งเดิม และขยายตัวไปยังอิตาลี สเปน เกาะอักฤา และเยอรมนี ซึ่งตงกับตำนานที่มาจากเคลต์ที่บันทึกในสมัยกลางของสกอตแลนด์และไอร์แลนด์ที่กล่าวเป็นนัยยะถึงต้จตอว่ามาจากอานาโตเลียและต่อมาไอบีเรียโดยทางอียิปต์ แต่ในหนังสือ "ที่มาของชนบริติช" ฉบับปรับปรุง ออปเพนไฮเมอร์ด้านทฤษฎีเดิมว่าทั้งชาวแองโกล-แซกซัน และชาวเคลต์ไ่มีอิทธิพลต่อพันะูกรรมของผุ้อยุ่อาศัยในหมู่เกาะบริเตนเท่าใดนักและบรพบุรุษของชนบริติชส่่วนใหญ่สืบมาจากชนไอบีเรียของยูหินเก่าที่ปัจจุบันคือชาวบาสก์..https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B9%8C
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2561
วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2561
Trojan War
สงครามกรุงทรอย เป็นสงครามระหวางชาวอะคีอัสน์ (ชาวกรีก) กับกรุงทรอย หลังปารีสแห่งทรอยชิงเฮเลนมาจากพระสวามี พระเจ้าเมเนเลอัสแห่งสปาร์ตา สงครามดังกล่าวเป็นหนึ่งใเหตุการณ์สสำคัญที่สุดในเทพปกรณัมกรีก และมีการบอกเล่าผ่านงานวรรณกรรมกรีกหลายิ้น ที่โดดเด่นที่สุด คือ อีิลียด และโอดิสซีย์ของโฮเมอร์ อีเลียดเกี่ยวข้องกับกับการล้อมกรุงทรอยปีสุดท้าย ส่วนโอดิสซีย์อธิบายการเดินทางกลับบ้านของโอดิสเซียส ส่วนอื่นของสงครามมีการอธิบายในโคลง วัฎจกรมหากาพย์ ได้แก่ ไซเพรีย, เอธิออพิ, อิเลียดน้อย, อีลิอูเพือร์ซิส นอสตอย และเทเลโกนี ซึ่งปัจจุบันเหลือรอดมาเพียงบางส่วนฯ การศึกาแห่งกรุงทรอยเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญที่ กวีและนักประพันธ์โศกนาฎกรรมกรีก เช่น เอสติลัส โซโฟคลีส และ ยูริพิดีส นำมาใช้ประพันะ์บทละคร นอกจากนี้กวี ชขาวโรมัน โดยเฉพาะเวอร์จิล และโอวิด ก็ดึงเอาเหตุการณ์จากสงครามทอยมาเป็นพื้นเรื่อง หรือเนื้อหาส่วนหนึ่งในงานประพันะ์ของตนเช่นกัน
สงครามกำเนิดจากการวิวาทระหว่างเทีพอธีนา เฮรา และแอโฟรไดที หลังอีริส เทพีแห่งการวิวาทและความบาดหมาง ให้ผลแอปเปิดสีทอง ซึงบางครั้งรู้จักกันในนาม "แอปเปิลแห่งความบาดหมาง" แก่ ๐ผู้ที่งามที่สุด" ซูสส่งเทพีทั้งสามไปหาปารีส ผุ้ตัดสินว่าแอโฟร์ไดที เป็น "ผู้งดงามที่สุด" ควรได้รับแอเปิลไปเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน แอโฟรไดที เสกให้เฮเลน หญิงงามที่สุดในโลกและมเหสีของพระเจ้าเมเนเลอัสตกหลุรักปารีส และปารีสได้นำพระนางไปยังกรุงทรอย อกาเมมนอน พระเจ้าอรู่ไม่ซีนี และพระเขษฐาของพระเจ้าเมเนเลอัส พระสวามีของเฮเลน นำกองทัพชาวอะดีอันส์ไปยังกรุงทรอยและล้มกรุงไว้สิบปีหลังสิ้นวีรบุรุษไปมากมาย รวมทั้งอคิลลิสและอาเจแ็กซ์ ของฝ่ายอะดีอันส์ และเฮกเตอร์ และปารีสของฝ่ายทรอย กรุงทรอยก็เสยด้วยอุบายม้โทรจัน
ฝ่ายอะคีอันส์สังหารชาวกรุงทรอย (ยกเว้นหญิงและเด็กบางส่วนที่ไว้ชวิตหรือขายเป็นทาส ) และทำลายวิหาร ทำให้เทพเจ้าพิโรธ ขาวอะคีอันส์ส่วนน้อยที่กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยและหลายคนตั้งนิคมในขชายฝั่งอันห่างไกล ภายหลังชาวโรมันสืบเชื้อสายของพวกตนไปถึงเอเนียส หนึ่งในชาวกรุงทรอย ผุ้กล่าวกันว่านำชาวกรุงทรอยที่เหลือรอดไปยังประเทศอิตาลีในปัจจุบัน
ชาวกรีกโบราณคาดว่าสงครามกรุงทรอยตั้งอยู่ในประเทศตุรกีปัจจุบัน ใกล้กับช่องแคบดาร์คาเนลส์เมือล่วงมาถึงสมัยใหม่ คนส่วนใหญ่เชื้อว่าทั้งสงครามและกรุงทรอยเป็นนิทานปรำปราที่แต่งชขึ้นอย่างไรก็ดี ในปี 1868 นักโบราณคดีชขาวเยอรมัน ไฮน์ริช ชไลมันน์พบกับแผรงก์ คัลเวิร์ท ผุ้โน้มน้าวชไลมันน์ว่า กรุงทรอยเป็นสถานที่ที่มีอยุ่จริง โดยตั้งอยู่ที่ฮิสซาร์รคิประเทศตุรกี และชดลมันน์เข้าควบคุมการขุดค้นของคัลเวิร์ทบนพื้นที่ซึ่งเป็นทรัพย์สินองคับเลิร์ท คำถามที่ว่ามีความเป้นจริงทางประวัติศาสตร์ใดอยู่เื้องหลังสงครามกรุงทรอยหรือไม่นั้นยังไม่มีคำตอบ นักวิชาการจำนวนมากเชื่อว่านิยายดังกล่าวมีแก่นความจริงทางประวัติศาสตร์ แม้อาจหมายคึวามว่า เรื่องเล่าของโอเมอร์เป็นการผสมผสานของชาวกรีก ไม่ซีเนียนระหว่างยุคสัมฤทิธิ์ก็ตาม ผุ้ที่เชื่อว่าเรื่องเล่าสงครามกรุงทรอยมาจากความขัดแย้งในประวัติศาสตณ์อย่างเฉพาะมักระบุเวลาไว้ว่าอยุ่ในศตวรรษที่ 12 หรือ 11 ก่อนคริสตกาล ซึ่งค่อนข้างสอดคล้องกับหลักฐานทางโบราณคดีของการเผาทำลายทรอย https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2
สงครามกำเนิดจากการวิวาทระหว่างเทีพอธีนา เฮรา และแอโฟรไดที หลังอีริส เทพีแห่งการวิวาทและความบาดหมาง ให้ผลแอปเปิดสีทอง ซึงบางครั้งรู้จักกันในนาม "แอปเปิลแห่งความบาดหมาง" แก่ ๐ผู้ที่งามที่สุด" ซูสส่งเทพีทั้งสามไปหาปารีส ผุ้ตัดสินว่าแอโฟร์ไดที เป็น "ผู้งดงามที่สุด" ควรได้รับแอเปิลไปเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน แอโฟรไดที เสกให้เฮเลน หญิงงามที่สุดในโลกและมเหสีของพระเจ้าเมเนเลอัสตกหลุรักปารีส และปารีสได้นำพระนางไปยังกรุงทรอย อกาเมมนอน พระเจ้าอรู่ไม่ซีนี และพระเขษฐาของพระเจ้าเมเนเลอัส พระสวามีของเฮเลน นำกองทัพชาวอะดีอันส์ไปยังกรุงทรอยและล้มกรุงไว้สิบปีหลังสิ้นวีรบุรุษไปมากมาย รวมทั้งอคิลลิสและอาเจแ็กซ์ ของฝ่ายอะดีอันส์ และเฮกเตอร์ และปารีสของฝ่ายทรอย กรุงทรอยก็เสยด้วยอุบายม้โทรจัน
ฝ่ายอะคีอันส์สังหารชาวกรุงทรอย (ยกเว้นหญิงและเด็กบางส่วนที่ไว้ชวิตหรือขายเป็นทาส ) และทำลายวิหาร ทำให้เทพเจ้าพิโรธ ขาวอะคีอันส์ส่วนน้อยที่กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยและหลายคนตั้งนิคมในขชายฝั่งอันห่างไกล ภายหลังชาวโรมันสืบเชื้อสายของพวกตนไปถึงเอเนียส หนึ่งในชาวกรุงทรอย ผุ้กล่าวกันว่านำชาวกรุงทรอยที่เหลือรอดไปยังประเทศอิตาลีในปัจจุบัน
วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2561
Alexander the Great II
พระเจ้าโปรุส, พระเจ้าเปาวระ อเล็กซานเดอร์มหาราช กับศึกพระเจ้าเปาวระ (พระเจ้าโปรุส) กองทัพเกรียงไกรของ พระเจ้าอเล็กซานเอร์มหาราช จมราชันย์ผุ้พิชิตจักรวรรดิ์ต่างๆ ลงอย่างราบคาบ ได้กรีธาทัพทำศึกขึ้นแตกหักกับ พระเจ้าโปรุส จอมราชันย์แห่งรัฐ ปัญจาบ ซึ่งเป็นแค้วนหนึ่งของอินเดียโบราณ หรือชมพูทวีป
แม้เวลาจะล่วงเลยมาเนิ่นนาม แต่ด้วยความกล้าหาญของโปรุส ที่ไม่สยบยอมผุ้รุกราน ยืนหยัดต่อสู้อย่างไม่หวั่นเกรง ก็ทำให้ศึกครั้งนั้นด้รับการจดจำว่า เป้นมหาสครามที่ยิ่งใหญ่ระหว่าง 2 จอมราชันย์ ที่ฝ่ายหนึ่งรบเพื่อเป็นผู้พิชิต โดยมีความปรารถนาที่จะครอบครองโลก ในขณะที่อีฝ่ายรบเพื่อปกป้องบ้านเมือง เพื่อสันติสุขในของประชาราษฎร
อเล็าซานเดอร์ได้รับกายกย่อง่่า เป้น นักรบที่เก่งที่สุดในโลกยุคโบราณเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ เป้นจอมทัพที่นำหน้าทหารบุกตะลัยไปในทุกๆ ที่ประกอบกับงความชาญฉลาดในการใช้ยุทธซิธีต่างๆ อย่างแยบยล ทไใ้พระองค์สามารถกำลัยได้ในทุกสมารภูมิ แม้กองทัพฝ่ายจรจะมีจำนวนน้อยกว่าก้ตาม
โดยปัจจัยที่ทำให้พระองค์เป็นจอมราชันย์ที่เก่งทั้งบู๊และบุ๋น ที่เห็นแววว่า ต่อไปในภายภาคหน้พระโอรสจะต้องป็นกษัตรยิ์ท่ย่ิงใหย๋ ฟิลิปจึงถ่ายทอดความรู้ในด้านการทำศึก และเคี่ยวกรำฝึกฝนเพือให้พระองค์เติบใหญ่ตมแนวทางของมหารบุรุษ และได้เชื้อเชิญ อริสโตเติล สุดยอดนักปราชญ์ ผุ้รอบรู้ศาสตร์แขนงต่างๆ มาเป็นพระอาจารย์ให้กับพระโอรสอีกด้วย ซึ่งส่ิงที่พระเจ้าฟิลิปมุ่งหวัง ก็คือรวบรวมอาณาจักรกรีกให้เป็นหนึงเดียวและพระองค์ก็ทำได้สำเร็จในการรบกับพันรธมิตรกรีก บนทุ่งราบบีโอเชีย เชิงเขาปาร์นาสซัส โดยมีอเล็กซานเดอร์ ขณะพระชนมายุ 18 ชันษา ร่วมทำศึกด้วย
ฟิลิปเป็นผุ้ที่คิดค้นยุทธวิะีที่แรียกว่า ฟาลังค์ โดยทหารแต่ละนายจะมีหอกยาวประมาณ 5 เมตร เป็นอาวุธคู่กาย ที่ใช้ป้องกันไม่ให้ข้าศึกบุกประชิดถึงตัว ในขณะเดียวกันก็ใช้เป็นอาวุธทำลายแนวตั้งรับของข้าศึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต่อมาอเล็กซานเดอร์ได้นำยุทธวิะีนี้มาประยุกต์ใช้ด้วยการฝึกฝนทหารของพระองค์ให้ช่ำชองในการใช้หอกยาว 5 เมตรบนหลังม้า ทำให้กองทัพม้าของพระองค์ได้ชื่อว่า เก่งกาจในระดับไร้เที่ยมทาน
เมื่อพระเจ้าโปรุส ทราบว่าอเล็กซานเดอร์กำลังยกทัพมาบทขยี้แค้วนปัญจาบแต่ก็หาหวั่นเกรงไม่ เพราะพระองค์ก็มีความช่ำชองในยุทธวิะีเชนกัน และด้วยความเชี่ยวชาญในตำราพิชัยสงคราม โปรุสซึ่งทราบถึงความไร้เที่ยมทานของกองทัพม้าของกรีก จึงได้ใช้ยุทธวิธีที่แตกต่างออกไป เพราะถ้ารบกันด้วยกองทัพม้าเหมือนเมื่องอื่นๆ โอกาสที่จะมีชัยเหนือกองทัพอเล็กซานเดอร์ ก็แทบไม่มีทางเป็นไปได้
โดยส่งิที่กองทัพกรีกได้ประสบเมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน นั่นก็คือกองทัพช้างขนาดมนึมาจำนวนมหาศาล ที่สร้างความตื่นตะลึคงให้กับทั้งคนและม้้า ทำให้อเล็กซานเดอร์ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ชนิดที่เรียกว่า คิดนอกตำรา เพื่อไม่ให้โปรุสคาดเดาแนวทางการต่อสู้ของพระองค์ได้
ประวัติศาสตร์ได้เล่าขานถึงการต่อสู่ระหว่าง 2 กองทัพว่าเป็นไปอย่างสูสี ซึ่งลึกๆ แล้ว น่าจะเป็นส่งิที่เอเล็กซานเดอร์ทรงโหยหามาเนิ่นนาน นั่นก็คือ ศัตรูที่คู่ควร ที่มีฝีมือและสติปัญญาทัดเทียมกัน
เฮฟิสเทียน เป็นเม่ทัพชาวมาเกโดนีอา ของกองทัพอเล็กซานเดอร์มหาราช เขาเปนเพื่อสนิทกับอเล็กซานเดอต์มาตั้งแต่เยาว์วัย จนยในที่สุด ความสัมพันะ์ของทั้งสองก็ได้พัฒนาเหนือกว่ามิตรภาพระหว่งางเพื่อน เขาเป็นคนที่อเล็กซานเดอร์ไว้วางใจที่สุด แต่อย่งไรก็ตาม ด้วยความเสื่อขชองวัฒนธรรมกรีกและการมีอิทธิพลขึ้นมาของศาสนาคริสต์ซึ่งต่อต้านการรักร่วมเพศ ทำให้ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเรื่องราวของทั้งสองว่าเป็น "เพื่อนที่ดีที่สุด" แทนเพื่อให้ได้รับการยอมรับ
ในบันทึก "อเล็กซานเดอร์ โรแมนซ์" บันทึกไว้ว่า "..วันหนึ่ง เมื่ออเล็กซานเดอร์อายุได้ 15 ชันษา [...] ได้แล่นเรื่อไปกับสหายเฮไพส์ตีออนจนไปถึงปิซา แล้วจึงลงไปเดินเล่นกับแฮไพส์ตีออน ซึ่งอายุของอเล็กซานเดอรืในบันทึกนี้เอง เป็นเบาะแสที่สำคัญต่อการศึกษาที่มาของเฮผิสเทียน เพราะขณะอเล็กซานเดอร์อายุ 15 ชันษา เขาต้องกำลังศึกษาอยุ่ที่มีเอซา ภายใต้การประสาทวิชาโดย อริสโตเติล และด้วยมิตภาพของทั้งสองที่แน่แฟ้นทำให้รู้ได้ว่า เฮฟิสเทียนเป็นหนึ่งในนักเรียนที่นี่เช่นกัน
เป็นที่รู้กันว่า ความสัมพันะ์ของเฮฟิสเทียนและอเล็กซานเดอร์นั้นมีมากเกิดกว่ามิตรภาพระหว่างเพื่อน ดังที่ อริสโตเติล ครุของทั้งสอง ได้อธิบายความสัมพันะ์ของทั้งคุ่ว่าเปรียบดั่ง "หนึ่งวิญญาณที่ดำรงอยุ่ในสองร่าง"
ครั้งที่อเล็กซานเดอร์ รบชนะเปอร์เซีย เฮฟิสเทียนได้เดินนำอเล็กซานเดอร์ไปยังกระโจมที่คุมตัวสมาชิกราชวงศ์เปอร์เซียไว้ เมื่อพระพันปีแกมบิสทอดพระเจตรเห็นก็รีับเข้าไปคุกเขาอ้อนวอนขอชีวิตสมาชิกราชวงศ์เปอร์เซียต่อเฮฟิสเทียนด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเฮฟิสเทียนคืออเล็กซานเดอร์ เนื่องจากเฮฟิสเทียนนั้นตัวสุงบกว่าอเล็กซานเดอร์ ประกอบกับทั้งคุ่ยังหนุ่มและสวมชุดที่เหมือนกัน ซึ่งเมื่อพระพันปีแกมบิสทรงทราบก็เกิดความอับอาย แต่อเล็กซานเดอร์ก็รับสังแก่พระพันปีว่า "ทานไม่ได้เข้าใจผิดไปหรอกท่านแม่ เขาคนนี้ก็คือเล็กซานเดอร์เช่นกัน"
ในฤดุใบไม่ผลิ 324 ปีก่อนค.ศ. เฮฟิสเทียนพร้ออเล็กซานเดอร์ได้เคลื่อนพลไปยังเอกแบบทานา และไปถึงในฤดูใบไม้ร่วง วันหนึ่งเฮฟิสเทียนเดินทางไปยังโรลละคร และทานไก่ต้นและไวน์เย็น แล้วจึงเกิดอาการไข้ เขาผ่วยอยู่เจ็ดวัน วันที่เจ็ดนันมีอาการหนักมาก จนอเล็กซานเดอร์ต้องรีบละทิ้งการชมการแข่งขันและมาหาเฮฟิสเทียนในทันที แต่ก็มาไม่ทัน เมื่ออเล็กซานเดอร์มาถึง เฮฟิสเทียนได้เสียชีวิตแล้ว พลูทาร์ก บันทึกไว้ว่า เนื่องจากเฮฟิสเทียนคิดว่ายังอายุน้อยและแข.แรงจึงปฏิเสธยาและคำแนะนำจาหมอมาโดยตลอด
อเล็กซานเดอร์บัญชาให้สงสารไปยังโหรหลวงเพื่อตรัสถาม ว่าจะสามารถสักการะเฮฟิสเทียนเยี่ยงเทพเจ้าได้หรือไม่ โหรหลวงตอบกลัยมาว่มิอาจสักการะเยี่ยงเทพได้ แต่สามารถกระทำเยี่ยงวีรบุรุษจากสวรรค์ได้ อเล็กซานเดอร์เคลื่อนพลสุ่บาบิโลนเพื่อสร้างสุสานเฮฟิสเทียนอย่างย่ิงใหญ่ในฐานะวีรบุรุษจากสวรรค์ ..
อริสโตเติล ยอดนักคิดจาโลกโบราณ ผุ้นำสมองของโลกยุคก่อนคริสต์ศักราชส่งความคิดเนิ่นนานถึงพันปี อริสโตเติล คือ ผุ้คิดค้นทฤษฎีมากมาย และมีหลายฤษฎีที่เปลี่ยนมุมองของความเชื่อดังเดิมจากหน้ามือเป็นหลังมือ และอริสโตเติลยังมีบทบาทที่โดดเด่นคือ การเป็น "บิดาแห่งสัววิทยา"
เมื่ออเล็กซานเดอร์อายุได้ 13 ปี ฟิลปิโปสตัดสินพระทัยว่าอเล็กซานเดอร์ความได้รับกาณศึกษาขึ้นสุงขึ้น จึงเริ่มเสาะหาอาจารญ์ดีให้แก่บุตร เขาเปลี่ยนอาจารย์ไปหลายคน ซึ่งเป็นผู้สืบทอดของเพลโต ที่วิทยาลัยแห่งเอเธนส์ ซึ่งของลาออกเองเพื่อไปรับตำแหน่ง ในที่สุดฟิลิปโปสเสนองานนี้ใก้แก่ อริสโตเตลิ ฟิลิปโปสยกวิหารแห่งนิมฟ์ที่มีซษให้พวกเขาใช้เป็นห้องเรียน ค่าตอบแทนในกานสอนหนึังสือแก่อเล็กซษนเอร์ คือการสร้างเมืองเกิดของอริสโตเติล คือเมือง สตาเกราที่ฟิลิปโปสทำลายราบ ขึ้นมาใหม่ และให้ฟื้นฟูเมืองนี้โดยการซื้อตัวหรือปลดปล่อยอีดพลเมืองของเมื่องที่ถูกจับตัวไปเป็นทาศ และยกโทษให้แก่พวกที่ถุกเนรเทศไปด้วย
นิเอซา เป็นเหมือนโรเงรียนประจำสำหรับอเล็กซานเดอร์และบรรดาบุตรขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์ของมาเกโตนีอา นักเรียนที่เรียนพร้อมกับอเล็กซานเดอร์กลายเป็นเพื่อนของเขาและต่อมาได้เป็นแม่ทัพนายหารประจำตัว มักถูกกล่าวถึงด้วยคำว่า "สหาย" อริสโตเติลสอนเอล็กซานเดอร์กับบรรดาสหายในเรื่องการแพทย์ ปรัชญา ศีลธรรม ศาสนา ตรรกศาสตร์ และศิลปศาสตร์ ด้วยการสอนของอริสโตเติลทำให้อเล็กซานเดอร์เติบโตขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจอย่างสูงในงายเขียนของดอเมอร์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงเรื่อง "อีเลียด" อริสโตเติลมอบงานเขียนฉบับคัดลอกของเรื่องนี้ให้เขาขุดหนึ่ง ซึงอเล็กซานเดอเอาติดตัวไปด้วยยามออกรบ
อริสโดเติลเกิดที่สตายิรา ในแคว้นมาซิโดเนีย ประเทศกรซเมื่อ 384 ปี ก่อนคริสตกาล บิดาเป็นแพทย์ประจำราชสำนักพระจเ้าอมินทาสที่ 2 เนื่องจากเป็นบิดาเป็นแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ทำให้อริสดตเติลในวัยเยาว์ได้ร่ำเรียนสรีรศาสตร์และสัตวศาสตร์จากบิดา เมื่อายุ 18 ปี เขาไปศึกษาอยุ่กับเพลโต ที่กรุงเอเธนส์ กระทั่งอายุ 38 ปี อาจารย์ได้ถึงแก่กรรมอริสโตเติลคิดว่า จะได้รับตำแหน่งหน้าที่การสอนแทน แต่ตรงกันข้าม กลับเป็นเซดนกราติส ที่ได้รับต่อมาเป็นเวลา 25 ปี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อริสโตเติลน้อยใจกลับไปยังแคว้นมาซิโเนียบ้านเกิดแล้วตั้งตนเป็นอาจารย์สอนหนังสือเพื่อเผยแพร่ทฤษฎีของตน
จนกระทั้งพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช พระโอรสของพระเจ้าฟิลปิส์ที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์ในมาซิโดเนีย อริสโตเติลก็กลับมายังกรุงเอเธนส์อีกครั้ง และยกบ้านของตนให้เป็นโรงเรียนเรียกว่า ไลเซียม อริสโตเติลจัดตั้งดรงเรียนสอนวิชาปรัชญาซึ่งมีการแลกเปลี่ยนทรรศนะระหว่าลูกศิษย์กับอาจารย์ขึ้น
ความเลื่อมใสที่มีต่ออริสโตเติลนั้นค่อยๆ หมดไปตามกาลเวลา พร้อมกบการสิ้นพระชนม์ของพรเจ้าอเล็กซานเอร์มหาราชบวกกับการที่อรสโตเติลถูกความอิจแาริษยาและถูกใส่ร้ายป้ายสีไม่ไหม ทำให้เขาต้องเนรเทศตัวเองไปอยุ่ในเขตเมืองกาลาส และถึงแก่กรรมเมื่อ 322 ปีก่อนคริสต์ศักราชวรมอายุได้ 62 ปี...
- https://kunlamai105.wordpress.com/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A5-aristotle/
- https://wikivisually.com/lang-th/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AE%E0%B8%9F%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99
- https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AE%E0%B8%9F%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99
- https://workpointnews.com/2018/02/04/%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%AA-vs-%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AF-%E0%B9%80%E0%B9%80/
-
แม้เวลาจะล่วงเลยมาเนิ่นนาม แต่ด้วยความกล้าหาญของโปรุส ที่ไม่สยบยอมผุ้รุกราน ยืนหยัดต่อสู้อย่างไม่หวั่นเกรง ก็ทำให้ศึกครั้งนั้นด้รับการจดจำว่า เป้นมหาสครามที่ยิ่งใหญ่ระหว่าง 2 จอมราชันย์ ที่ฝ่ายหนึ่งรบเพื่อเป็นผู้พิชิต โดยมีความปรารถนาที่จะครอบครองโลก ในขณะที่อีฝ่ายรบเพื่อปกป้องบ้านเมือง เพื่อสันติสุขในของประชาราษฎร
อเล็าซานเดอร์ได้รับกายกย่อง่่า เป้น นักรบที่เก่งที่สุดในโลกยุคโบราณเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ เป้นจอมทัพที่นำหน้าทหารบุกตะลัยไปในทุกๆ ที่ประกอบกับงความชาญฉลาดในการใช้ยุทธซิธีต่างๆ อย่างแยบยล ทไใ้พระองค์สามารถกำลัยได้ในทุกสมารภูมิ แม้กองทัพฝ่ายจรจะมีจำนวนน้อยกว่าก้ตาม
โดยปัจจัยที่ทำให้พระองค์เป็นจอมราชันย์ที่เก่งทั้งบู๊และบุ๋น ที่เห็นแววว่า ต่อไปในภายภาคหน้พระโอรสจะต้องป็นกษัตรยิ์ท่ย่ิงใหย๋ ฟิลิปจึงถ่ายทอดความรู้ในด้านการทำศึก และเคี่ยวกรำฝึกฝนเพือให้พระองค์เติบใหญ่ตมแนวทางของมหารบุรุษ และได้เชื้อเชิญ อริสโตเติล สุดยอดนักปราชญ์ ผุ้รอบรู้ศาสตร์แขนงต่างๆ มาเป็นพระอาจารย์ให้กับพระโอรสอีกด้วย ซึ่งส่ิงที่พระเจ้าฟิลิปมุ่งหวัง ก็คือรวบรวมอาณาจักรกรีกให้เป็นหนึงเดียวและพระองค์ก็ทำได้สำเร็จในการรบกับพันรธมิตรกรีก บนทุ่งราบบีโอเชีย เชิงเขาปาร์นาสซัส โดยมีอเล็กซานเดอร์ ขณะพระชนมายุ 18 ชันษา ร่วมทำศึกด้วย
ฟิลิปเป็นผุ้ที่คิดค้นยุทธวิะีที่แรียกว่า ฟาลังค์ โดยทหารแต่ละนายจะมีหอกยาวประมาณ 5 เมตร เป็นอาวุธคู่กาย ที่ใช้ป้องกันไม่ให้ข้าศึกบุกประชิดถึงตัว ในขณะเดียวกันก็ใช้เป็นอาวุธทำลายแนวตั้งรับของข้าศึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต่อมาอเล็กซานเดอร์ได้นำยุทธวิะีนี้มาประยุกต์ใช้ด้วยการฝึกฝนทหารของพระองค์ให้ช่ำชองในการใช้หอกยาว 5 เมตรบนหลังม้า ทำให้กองทัพม้าของพระองค์ได้ชื่อว่า เก่งกาจในระดับไร้เที่ยมทาน
เมื่อพระเจ้าโปรุส ทราบว่าอเล็กซานเดอร์กำลังยกทัพมาบทขยี้แค้วนปัญจาบแต่ก็หาหวั่นเกรงไม่ เพราะพระองค์ก็มีความช่ำชองในยุทธวิะีเชนกัน และด้วยความเชี่ยวชาญในตำราพิชัยสงคราม โปรุสซึ่งทราบถึงความไร้เที่ยมทานของกองทัพม้าของกรีก จึงได้ใช้ยุทธวิธีที่แตกต่างออกไป เพราะถ้ารบกันด้วยกองทัพม้าเหมือนเมื่องอื่นๆ โอกาสที่จะมีชัยเหนือกองทัพอเล็กซานเดอร์ ก็แทบไม่มีทางเป็นไปได้
โดยส่งิที่กองทัพกรีกได้ประสบเมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน นั่นก็คือกองทัพช้างขนาดมนึมาจำนวนมหาศาล ที่สร้างความตื่นตะลึคงให้กับทั้งคนและม้้า ทำให้อเล็กซานเดอร์ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ชนิดที่เรียกว่า คิดนอกตำรา เพื่อไม่ให้โปรุสคาดเดาแนวทางการต่อสู้ของพระองค์ได้
ประวัติศาสตร์ได้เล่าขานถึงการต่อสู่ระหว่าง 2 กองทัพว่าเป็นไปอย่างสูสี ซึ่งลึกๆ แล้ว น่าจะเป็นส่งิที่เอเล็กซานเดอร์ทรงโหยหามาเนิ่นนาน นั่นก็คือ ศัตรูที่คู่ควร ที่มีฝีมือและสติปัญญาทัดเทียมกัน
เฮฟิสเทียน เป็นเม่ทัพชาวมาเกโดนีอา ของกองทัพอเล็กซานเดอร์มหาราช เขาเปนเพื่อสนิทกับอเล็กซานเดอต์มาตั้งแต่เยาว์วัย จนยในที่สุด ความสัมพันะ์ของทั้งสองก็ได้พัฒนาเหนือกว่ามิตรภาพระหว่งางเพื่อน เขาเป็นคนที่อเล็กซานเดอร์ไว้วางใจที่สุด แต่อย่งไรก็ตาม ด้วยความเสื่อขชองวัฒนธรรมกรีกและการมีอิทธิพลขึ้นมาของศาสนาคริสต์ซึ่งต่อต้านการรักร่วมเพศ ทำให้ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเรื่องราวของทั้งสองว่าเป็น "เพื่อนที่ดีที่สุด" แทนเพื่อให้ได้รับการยอมรับ
ในบันทึก "อเล็กซานเดอร์ โรแมนซ์" บันทึกไว้ว่า "..วันหนึ่ง เมื่ออเล็กซานเดอร์อายุได้ 15 ชันษา [...] ได้แล่นเรื่อไปกับสหายเฮไพส์ตีออนจนไปถึงปิซา แล้วจึงลงไปเดินเล่นกับแฮไพส์ตีออน ซึ่งอายุของอเล็กซานเดอรืในบันทึกนี้เอง เป็นเบาะแสที่สำคัญต่อการศึกษาที่มาของเฮผิสเทียน เพราะขณะอเล็กซานเดอร์อายุ 15 ชันษา เขาต้องกำลังศึกษาอยุ่ที่มีเอซา ภายใต้การประสาทวิชาโดย อริสโตเติล และด้วยมิตภาพของทั้งสองที่แน่แฟ้นทำให้รู้ได้ว่า เฮฟิสเทียนเป็นหนึ่งในนักเรียนที่นี่เช่นกัน
เป็นที่รู้กันว่า ความสัมพันะ์ของเฮฟิสเทียนและอเล็กซานเดอร์นั้นมีมากเกิดกว่ามิตรภาพระหว่างเพื่อน ดังที่ อริสโตเติล ครุของทั้งสอง ได้อธิบายความสัมพันะ์ของทั้งคุ่ว่าเปรียบดั่ง "หนึ่งวิญญาณที่ดำรงอยุ่ในสองร่าง"
ครั้งที่อเล็กซานเดอร์ รบชนะเปอร์เซีย เฮฟิสเทียนได้เดินนำอเล็กซานเดอร์ไปยังกระโจมที่คุมตัวสมาชิกราชวงศ์เปอร์เซียไว้ เมื่อพระพันปีแกมบิสทอดพระเจตรเห็นก็รีับเข้าไปคุกเขาอ้อนวอนขอชีวิตสมาชิกราชวงศ์เปอร์เซียต่อเฮฟิสเทียนด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเฮฟิสเทียนคืออเล็กซานเดอร์ เนื่องจากเฮฟิสเทียนนั้นตัวสุงบกว่าอเล็กซานเดอร์ ประกอบกับทั้งคุ่ยังหนุ่มและสวมชุดที่เหมือนกัน ซึ่งเมื่อพระพันปีแกมบิสทรงทราบก็เกิดความอับอาย แต่อเล็กซานเดอร์ก็รับสังแก่พระพันปีว่า "ทานไม่ได้เข้าใจผิดไปหรอกท่านแม่ เขาคนนี้ก็คือเล็กซานเดอร์เช่นกัน"
ในฤดุใบไม่ผลิ 324 ปีก่อนค.ศ. เฮฟิสเทียนพร้ออเล็กซานเดอร์ได้เคลื่อนพลไปยังเอกแบบทานา และไปถึงในฤดูใบไม้ร่วง วันหนึ่งเฮฟิสเทียนเดินทางไปยังโรลละคร และทานไก่ต้นและไวน์เย็น แล้วจึงเกิดอาการไข้ เขาผ่วยอยู่เจ็ดวัน วันที่เจ็ดนันมีอาการหนักมาก จนอเล็กซานเดอร์ต้องรีบละทิ้งการชมการแข่งขันและมาหาเฮฟิสเทียนในทันที แต่ก็มาไม่ทัน เมื่ออเล็กซานเดอร์มาถึง เฮฟิสเทียนได้เสียชีวิตแล้ว พลูทาร์ก บันทึกไว้ว่า เนื่องจากเฮฟิสเทียนคิดว่ายังอายุน้อยและแข.แรงจึงปฏิเสธยาและคำแนะนำจาหมอมาโดยตลอด
อเล็กซานเดอร์บัญชาให้สงสารไปยังโหรหลวงเพื่อตรัสถาม ว่าจะสามารถสักการะเฮฟิสเทียนเยี่ยงเทพเจ้าได้หรือไม่ โหรหลวงตอบกลัยมาว่มิอาจสักการะเยี่ยงเทพได้ แต่สามารถกระทำเยี่ยงวีรบุรุษจากสวรรค์ได้ อเล็กซานเดอร์เคลื่อนพลสุ่บาบิโลนเพื่อสร้างสุสานเฮฟิสเทียนอย่างย่ิงใหญ่ในฐานะวีรบุรุษจากสวรรค์ ..
อริสโตเติล ยอดนักคิดจาโลกโบราณ ผุ้นำสมองของโลกยุคก่อนคริสต์ศักราชส่งความคิดเนิ่นนานถึงพันปี อริสโตเติล คือ ผุ้คิดค้นทฤษฎีมากมาย และมีหลายฤษฎีที่เปลี่ยนมุมองของความเชื่อดังเดิมจากหน้ามือเป็นหลังมือ และอริสโตเติลยังมีบทบาทที่โดดเด่นคือ การเป็น "บิดาแห่งสัววิทยา"
เมื่ออเล็กซานเดอร์อายุได้ 13 ปี ฟิลปิโปสตัดสินพระทัยว่าอเล็กซานเดอร์ความได้รับกาณศึกษาขึ้นสุงขึ้น จึงเริ่มเสาะหาอาจารญ์ดีให้แก่บุตร เขาเปลี่ยนอาจารย์ไปหลายคน ซึ่งเป็นผู้สืบทอดของเพลโต ที่วิทยาลัยแห่งเอเธนส์ ซึ่งของลาออกเองเพื่อไปรับตำแหน่ง ในที่สุดฟิลิปโปสเสนองานนี้ใก้แก่ อริสโตเตลิ ฟิลิปโปสยกวิหารแห่งนิมฟ์ที่มีซษให้พวกเขาใช้เป็นห้องเรียน ค่าตอบแทนในกานสอนหนึังสือแก่อเล็กซษนเอร์ คือการสร้างเมืองเกิดของอริสโตเติล คือเมือง สตาเกราที่ฟิลิปโปสทำลายราบ ขึ้นมาใหม่ และให้ฟื้นฟูเมืองนี้โดยการซื้อตัวหรือปลดปล่อยอีดพลเมืองของเมื่องที่ถูกจับตัวไปเป็นทาศ และยกโทษให้แก่พวกที่ถุกเนรเทศไปด้วย
นิเอซา เป็นเหมือนโรเงรียนประจำสำหรับอเล็กซานเดอร์และบรรดาบุตรขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์ของมาเกโตนีอา นักเรียนที่เรียนพร้อมกับอเล็กซานเดอร์กลายเป็นเพื่อนของเขาและต่อมาได้เป็นแม่ทัพนายหารประจำตัว มักถูกกล่าวถึงด้วยคำว่า "สหาย" อริสโตเติลสอนเอล็กซานเดอร์กับบรรดาสหายในเรื่องการแพทย์ ปรัชญา ศีลธรรม ศาสนา ตรรกศาสตร์ และศิลปศาสตร์ ด้วยการสอนของอริสโตเติลทำให้อเล็กซานเดอร์เติบโตขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจอย่างสูงในงายเขียนของดอเมอร์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงเรื่อง "อีเลียด" อริสโตเติลมอบงานเขียนฉบับคัดลอกของเรื่องนี้ให้เขาขุดหนึ่ง ซึงอเล็กซานเดอเอาติดตัวไปด้วยยามออกรบ
อริสโดเติลเกิดที่สตายิรา ในแคว้นมาซิโดเนีย ประเทศกรซเมื่อ 384 ปี ก่อนคริสตกาล บิดาเป็นแพทย์ประจำราชสำนักพระจเ้าอมินทาสที่ 2 เนื่องจากเป็นบิดาเป็นแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ทำให้อริสดตเติลในวัยเยาว์ได้ร่ำเรียนสรีรศาสตร์และสัตวศาสตร์จากบิดา เมื่อายุ 18 ปี เขาไปศึกษาอยุ่กับเพลโต ที่กรุงเอเธนส์ กระทั่งอายุ 38 ปี อาจารย์ได้ถึงแก่กรรมอริสโตเติลคิดว่า จะได้รับตำแหน่งหน้าที่การสอนแทน แต่ตรงกันข้าม กลับเป็นเซดนกราติส ที่ได้รับต่อมาเป็นเวลา 25 ปี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อริสโตเติลน้อยใจกลับไปยังแคว้นมาซิโเนียบ้านเกิดแล้วตั้งตนเป็นอาจารย์สอนหนังสือเพื่อเผยแพร่ทฤษฎีของตน
จนกระทั้งพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช พระโอรสของพระเจ้าฟิลปิส์ที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์ในมาซิโดเนีย อริสโตเติลก็กลับมายังกรุงเอเธนส์อีกครั้ง และยกบ้านของตนให้เป็นโรงเรียนเรียกว่า ไลเซียม อริสโตเติลจัดตั้งดรงเรียนสอนวิชาปรัชญาซึ่งมีการแลกเปลี่ยนทรรศนะระหว่าลูกศิษย์กับอาจารย์ขึ้น
ความเลื่อมใสที่มีต่ออริสโตเติลนั้นค่อยๆ หมดไปตามกาลเวลา พร้อมกบการสิ้นพระชนม์ของพรเจ้าอเล็กซานเอร์มหาราชบวกกับการที่อรสโตเติลถูกความอิจแาริษยาและถูกใส่ร้ายป้ายสีไม่ไหม ทำให้เขาต้องเนรเทศตัวเองไปอยุ่ในเขตเมืองกาลาส และถึงแก่กรรมเมื่อ 322 ปีก่อนคริสต์ศักราชวรมอายุได้ 62 ปี...
- https://kunlamai105.wordpress.com/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A5-aristotle/
- https://wikivisually.com/lang-th/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AE%E0%B8%9F%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99
- https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AE%E0%B8%9F%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99
- https://workpointnews.com/2018/02/04/%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%AA-vs-%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AF-%E0%B9%80%E0%B9%80/
-
วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2561
Alexander the Great
อเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งมาเกโดนีอา 323 ปีก่อนคริสตกาล หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า อเล็กซาน
เดอร์มหาราชเป็กษัตริย์กรีก จากราชอาณาจักมาเกโดนีอา ผุ้สร้างชื่อเสียงมากที่สุดของราชวง์อาร์กีด เป็นผุ้สร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคโบราณ เกิดที่เมืองเพลลา ตอนเหนือของมาเกโดนีอา เมื่อปีที่ 356 ก่อนคริสตกาล ได้รับการศึกษาตามแบบกรีกดั้งเดิมภายใต้การกำกับดูแลของอริสโตเติล นักปรัชญากรีกผุ้มีชื่อเสียง สืบทอดราชบัลลังก์ ต่อาก พีลิปโปสที่ 2 แห่ง มากเกโดนีอา เมื่อ ปีที่ 336 ก่อน คริสตกาลหลังจากที่พระบิดาถูกลอบสังหาร สวรรคตในอีก 13 ต่อมาเมื่อพระชมมายุเพียง 32 พรรษาแม้ว่าราชบัลลังก์และจักรวรรดิของอเล็กซานเดอร์จะอยู่เพียงชั่วครู่ยาม แต่ผลกระทบจากการพิชิตดินแดน
ของพระองค์ส่งผลสืบเนื่องต่อมาเป็นเวลาหลายศตวรรษท อเล็กซานเดอร์ถือเป็นหนึ่งในบุรุษผุ้มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกยุคโบราณมีชื่อเสียงเลื่อลือในความสามารถทางการรบ ยุทธวิธีและการเผยแพร่อารยธรมกรก ไปในดินแดนตะวันออก
พระเจ้าฟีลิปโปทรงนำแว่นเคว้นกรีกโดยมกบนแผ่นดินใหญ่กรีซให้มาอยู่ภายใต้การปกครองของมาเกโดนีอา โดยใช้ทั้งกลวิะีทางการทูตและทางทหาร เมื่อพลิปโปสวรรคต อเล็กซานเดอร์จึงได้สืบทอดราชอาณาจักรที่เข้มแข็งและกองทัพที่เปี่ยมประสบการณ์ พระองค์เป้นที่ยอมรับในด้านการรบจากแว่นเคว้นกรีซ และได้เร่ิมแผนการขยายอำนาจแผ่อาณาจักรเปอร์เซีย และกระทำการรณยุทธ์อย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลาร่วมสิบปี อเล็กซานเดอร์เอาชนะชาวเปอร์เซียครั้งแล้วคั้งเล่า นำัพข้ามซีเรีย อัยิปต์ เมโสโปเตเมีย เปอร์เซีย และแบคเทรีย ทรงโค่นล้มกษัตริย์พระเจ้าอาไรอัสที่ 3 แห่งเปอร์เซียและพิชิตจักรวรรดิเปอร์เซียได้ทั้งหมด พระองค์ไล่ตามความปรารถนาที่ต้องการเห็น "จุดส้ินุสดของโลลกและมหาสุมทรใหญ่ที่เบื้องปลาย" จึงยกทัพบุกอินเดียแต่ต่อมาถูกบีบให้ต้องถอยทัพกลับโดยบรรดาทหารท่กำเริบขึ้นเนืองจากเลื่อหน่ายสงคราม
ปีที่ 336 ก่อนคริสตกาล ขณะที่พีลิปโปอยู่ที่ Aegae เข้าร่วมในพิธีวิวาห์ระหว่างคลีโอพัตรา บุตรสาวของตนกับโอลิเพียส กับอเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งเอพิรุส ซึ่งเป็นน้องชายของโอลิมเพียส พระองค์ถุกลอบสังหารโดยยานทหารราชองครักา์ของพระงค์เอง ค อเพาซานิอัสแห่งโอเรสติส ขณะที่เพาซานิอัสพยายาลหลบหนี ก็สะดุดล้มและถูกสังหารโดยสหายสองคนของอเลกซานเอร์ คือ เพอร์ติดคัส กับเลออนนาตุส อเล็กซานเดอร์อ้างสิทธิ์ขึ้นเป็นกษัตริย์ด้วยกาสนับสนุนของกองทัพมาเกโดนีอาและขุนนางแห่งมาเกโดนีอาเมืออายุได้ 20 ปี
ศึกแห่งอสซุส
เมื่อ 333 ปี ก่อนคริสการ พ.ศ. 212 พระองค์ยกทัพสู่อาณาจักรเปอร์เซียเพื่อท้ารบกับกษัตริย์ดาไรอุสที่ 3 แห่งเปอร์เซีย ที่เชื่อว่าเป็นผุ้จ้างคนลอบสังหารพรเจ้าพีลิปโปที่ 2 พระบิดาของพระองค์ ในศึกแห่งอสซุส ทัพของทั้งคู่เผชิญหน้ากันที่กัวกาเมล่า (ในตะวันออกกลาง หรือพื้นที่ส่วนมากของระเทอิรักในปัจจุบัน) โดยที่กองทัพของอเล็กซานเดอร์มหาราชมีเพียง 20,000 เท่่านั้น ขณะที่อกงทัพเปอร์เซียมีนบแสน แต่ด้วยความกล้าหาญของทหารมาเกโดนีอาทุกคน กับการวางแผนการรบที่ชาญฉลาดอเล็กซานเดอร์มหาราช ทำให้พระองค์ได้รับชัยชนะแม้จะสูญเสียเป็นจำนวนมากก็ตาม ในการรบครั้งนี้นับเป็นการรบที่มีชื่อของอเล็กซานเอร์มหาราชที่สุด เนื่งอจากพระองค์ารงควบบูซาเฟลัสบุกเดียวฝ่ากองป้องกันของทหารเปอร์เซียแล้วข้างหอกใส่กษัรติย์ดาโไรอุส ทำให้กษัตริย์ดาไรอุสตกพระทัย และหบหนีขึ้นเขาไปในที่สุด ผลจากการบครั้งนี้ทำให้อเล็กซานเดอร์มหาราชได้เข้าสู่นครเปอร์ซีโปลิส ศุนย์กลางอาณาจักรเปอร์เซีย และได้เป็นพระราชาแห่งเอเชีย
พ.ศ. 216 พระองค์ได้ทุลถึง กรุงตักศิลา แคว้นคันธาระ เมื่อที่มีชื่อเสียงด้านการศึกษาทั้งพุทธ
ศาสนา และพราหมณ์ ณ ที่นี้ พรเจ้าอัมพิราชา ไม่ได้ทรงต่อต้านเพราะเห็นว่าตัวเองมีกำลังอำนาจไม่เข้มแข็. พอท่จะต้านศัตรูต่างแดนได้ จึงได้เปิดเมืองต้อนรับอเล็กซานเดอร์ ซึ่งพระองค์ก็ไม่ได้ทำอะไร เพีงแต่ให้ตักกศิลาเป็นเมืองขึ้นต่อมาเดโดนีอาเท่านั้น แล้วให้ปกครองตามเดิมแลวทรงขอให้ตักกศิลาส่งทหารมาช่วยรบปัญจาบ 5,000 คน ซึ่งพระเจ้าอัมพิราชาก็ยินยอม
การรับครั้งสุดท้าย ของอเล็กซานเดอร์กับพระเจ้าโปัศหรือ เจ้าพอรุศ (หากใชสำเรียงเอชียจะเรียกว่า พระเจ้าเปารวะ) แม้จะจบลงด้วยการหย่าศึก แต่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ก็ได้รับชัยชนะและสามารถจับตัวประเจ้าเปรุสเป็นเชลยศึกได้อีกด้วย
หลังจากเสร็จศึกพระเจ้าเปาวระแล้ว อเล็กซานเดอร์ได้สดับถึงความมั่งคั่งสมบูรณ์ของ แคว้นมคธ และได้ตระเตรียมยาตราทัพมาตีแต่ทหารของพระองค์ที่ร่วมศึกกับพระองค์ พากันเบื่อหน่ายการรบ ซึ่งแต่แต่ศึกพระยุพราช เป็นเวลากว่า 15 ปีที่ทหารไม่ได้กลับบ้านเลย และใหนความเห็นว่าถ้าตีมคธได้ก็คงตีแคว้นอื่นต่อไปอีกไม่มีกำหนดสิ้นสุดประกอบกับ ทหารบางคนลังเลและก่อกบฎไม่ยอมสุ้รบอีกต่อไป อเล็กซานเดอร์จึงต้องจำพระทัยเลิกทัพกลับ..
แม้อเล็กซานเอดร์จะมีมเหสีอยุ่ 3 อค์ แต่สาเหตุที่ทำการอภิเษกสมรนั้นก็ล้วนเกิดจาปัจจัยทางการเมืองเป็นสำคัญ ดังที่คนส่วนใหญ่ทราบกันดีว่าความสัมพันธ์ของพระองค์กับทหารและเพื่อสนิทที่มีนามว่า เฮฟีสเทียน นั้นเกิดกว่าคำว่าเพื่อสนิทหรือเจ้ากับขา อริสโตเติล อธิบายว่าอเล็กซานเดอร์กับเฮฟีสเทียนนั้น เป็น "หนึ่งวิญญาณที่ดำรงอยุ่ในสองร่าง เมื่อเฮฟีสเทียนเสียชีวิตจากอาการป่วย อเล็กซานเดอร์โทมนัสนอนกอดศพของเฮฟีสเทียนและร้องไห้อยู่สองวันสองคืนโดยที่ไม่ได้เสวยอะไรเลย ไม่ตอบสนองต่อส่ิงรอบข้าง
พลูตาร์ก ได้บันทึกว่า ในปี พ.ศ. 220 ตรงกับฤดูใบไม่ผลิ เมื่อเอล็กซานเดอร์เสด็จฯ ไปถึงเมืองบาลิโลนเพื่อไปทอดพระเนตรสุสานที่เก็บศพ"เฮฟิสเทียนพระสหายสินท แต่กลับยังสร้างไม่เสร็จ ปรากฎว่า พระองค์ทรงยกเลิกพิธีเคารพศพกลับมาเสวยน้ำจันฑ์ติดต่อกันหลายวัน ด้วยความตรอมใจและพระวรกายทรุดโทรด ทำให้อเล็กซานเดอร์เสด็จสวรรคตเพียงไม่กี่เดือนให้กลังเฮฟีสเทียนเสียชีวิต อย่างไรก็ตามสาเหตุการสวรรคตยังไม่เป็นที่แน่ชัด บ้างสันนิษฐานว่า ทรงถุกบอลปลงพระชนม์โดยการวางยาพิษในไวน์...https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A#%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2_(%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%8B%E0%B8%B8%E0%B8%AA)
เดอร์มหาราชเป็กษัตริย์กรีก จากราชอาณาจักมาเกโดนีอา ผุ้สร้างชื่อเสียงมากที่สุดของราชวง์อาร์กีด เป็นผุ้สร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคโบราณ เกิดที่เมืองเพลลา ตอนเหนือของมาเกโดนีอา เมื่อปีที่ 356 ก่อนคริสตกาล ได้รับการศึกษาตามแบบกรีกดั้งเดิมภายใต้การกำกับดูแลของอริสโตเติล นักปรัชญากรีกผุ้มีชื่อเสียง สืบทอดราชบัลลังก์ ต่อาก พีลิปโปสที่ 2 แห่ง มากเกโดนีอา เมื่อ ปีที่ 336 ก่อน คริสตกาลหลังจากที่พระบิดาถูกลอบสังหาร สวรรคตในอีก 13 ต่อมาเมื่อพระชมมายุเพียง 32 พรรษาแม้ว่าราชบัลลังก์และจักรวรรดิของอเล็กซานเดอร์จะอยู่เพียงชั่วครู่ยาม แต่ผลกระทบจากการพิชิตดินแดน
ของพระองค์ส่งผลสืบเนื่องต่อมาเป็นเวลาหลายศตวรรษท อเล็กซานเดอร์ถือเป็นหนึ่งในบุรุษผุ้มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกยุคโบราณมีชื่อเสียงเลื่อลือในความสามารถทางการรบ ยุทธวิธีและการเผยแพร่อารยธรมกรก ไปในดินแดนตะวันออก
พระเจ้าฟีลิปโปทรงนำแว่นเคว้นกรีกโดยมกบนแผ่นดินใหญ่กรีซให้มาอยู่ภายใต้การปกครองของมาเกโดนีอา โดยใช้ทั้งกลวิะีทางการทูตและทางทหาร เมื่อพลิปโปสวรรคต อเล็กซานเดอร์จึงได้สืบทอดราชอาณาจักรที่เข้มแข็งและกองทัพที่เปี่ยมประสบการณ์ พระองค์เป้นที่ยอมรับในด้านการรบจากแว่นเคว้นกรีซ และได้เร่ิมแผนการขยายอำนาจแผ่อาณาจักรเปอร์เซีย และกระทำการรณยุทธ์อย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลาร่วมสิบปี อเล็กซานเดอร์เอาชนะชาวเปอร์เซียครั้งแล้วคั้งเล่า นำัพข้ามซีเรีย อัยิปต์ เมโสโปเตเมีย เปอร์เซีย และแบคเทรีย ทรงโค่นล้มกษัตริย์พระเจ้าอาไรอัสที่ 3 แห่งเปอร์เซียและพิชิตจักรวรรดิเปอร์เซียได้ทั้งหมด พระองค์ไล่ตามความปรารถนาที่ต้องการเห็น "จุดส้ินุสดของโลลกและมหาสุมทรใหญ่ที่เบื้องปลาย" จึงยกทัพบุกอินเดียแต่ต่อมาถูกบีบให้ต้องถอยทัพกลับโดยบรรดาทหารท่กำเริบขึ้นเนืองจากเลื่อหน่ายสงคราม
ปีที่ 336 ก่อนคริสตกาล ขณะที่พีลิปโปอยู่ที่ Aegae เข้าร่วมในพิธีวิวาห์ระหว่างคลีโอพัตรา บุตรสาวของตนกับโอลิเพียส กับอเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งเอพิรุส ซึ่งเป็นน้องชายของโอลิมเพียส พระองค์ถุกลอบสังหารโดยยานทหารราชองครักา์ของพระงค์เอง ค อเพาซานิอัสแห่งโอเรสติส ขณะที่เพาซานิอัสพยายาลหลบหนี ก็สะดุดล้มและถูกสังหารโดยสหายสองคนของอเลกซานเอร์ คือ เพอร์ติดคัส กับเลออนนาตุส อเล็กซานเดอร์อ้างสิทธิ์ขึ้นเป็นกษัตริย์ด้วยกาสนับสนุนของกองทัพมาเกโดนีอาและขุนนางแห่งมาเกโดนีอาเมืออายุได้ 20 ปี
ศึกแห่งอสซุส
เมื่อ 333 ปี ก่อนคริสการ พ.ศ. 212 พระองค์ยกทัพสู่อาณาจักรเปอร์เซียเพื่อท้ารบกับกษัตริย์ดาไรอุสที่ 3 แห่งเปอร์เซีย ที่เชื่อว่าเป็นผุ้จ้างคนลอบสังหารพรเจ้าพีลิปโปที่ 2 พระบิดาของพระองค์ ในศึกแห่งอสซุส ทัพของทั้งคู่เผชิญหน้ากันที่กัวกาเมล่า (ในตะวันออกกลาง หรือพื้นที่ส่วนมากของระเทอิรักในปัจจุบัน) โดยที่กองทัพของอเล็กซานเดอร์มหาราชมีเพียง 20,000 เท่่านั้น ขณะที่อกงทัพเปอร์เซียมีนบแสน แต่ด้วยความกล้าหาญของทหารมาเกโดนีอาทุกคน กับการวางแผนการรบที่ชาญฉลาดอเล็กซานเดอร์มหาราช ทำให้พระองค์ได้รับชัยชนะแม้จะสูญเสียเป็นจำนวนมากก็ตาม ในการรบครั้งนี้นับเป็นการรบที่มีชื่อของอเล็กซานเอร์มหาราชที่สุด เนื่งอจากพระองค์ารงควบบูซาเฟลัสบุกเดียวฝ่ากองป้องกันของทหารเปอร์เซียแล้วข้างหอกใส่กษัรติย์ดาโไรอุส ทำให้กษัตริย์ดาไรอุสตกพระทัย และหบหนีขึ้นเขาไปในที่สุด ผลจากการบครั้งนี้ทำให้อเล็กซานเดอร์มหาราชได้เข้าสู่นครเปอร์ซีโปลิส ศุนย์กลางอาณาจักรเปอร์เซีย และได้เป็นพระราชาแห่งเอเชีย
พ.ศ. 216 พระองค์ได้ทุลถึง กรุงตักศิลา แคว้นคันธาระ เมื่อที่มีชื่อเสียงด้านการศึกษาทั้งพุทธ
ศาสนา และพราหมณ์ ณ ที่นี้ พรเจ้าอัมพิราชา ไม่ได้ทรงต่อต้านเพราะเห็นว่าตัวเองมีกำลังอำนาจไม่เข้มแข็. พอท่จะต้านศัตรูต่างแดนได้ จึงได้เปิดเมืองต้อนรับอเล็กซานเดอร์ ซึ่งพระองค์ก็ไม่ได้ทำอะไร เพีงแต่ให้ตักกศิลาเป็นเมืองขึ้นต่อมาเดโดนีอาเท่านั้น แล้วให้ปกครองตามเดิมแลวทรงขอให้ตักกศิลาส่งทหารมาช่วยรบปัญจาบ 5,000 คน ซึ่งพระเจ้าอัมพิราชาก็ยินยอม
การรับครั้งสุดท้าย ของอเล็กซานเดอร์กับพระเจ้าโปัศหรือ เจ้าพอรุศ (หากใชสำเรียงเอชียจะเรียกว่า พระเจ้าเปารวะ) แม้จะจบลงด้วยการหย่าศึก แต่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ก็ได้รับชัยชนะและสามารถจับตัวประเจ้าเปรุสเป็นเชลยศึกได้อีกด้วย
หลังจากเสร็จศึกพระเจ้าเปาวระแล้ว อเล็กซานเดอร์ได้สดับถึงความมั่งคั่งสมบูรณ์ของ แคว้นมคธ และได้ตระเตรียมยาตราทัพมาตีแต่ทหารของพระองค์ที่ร่วมศึกกับพระองค์ พากันเบื่อหน่ายการรบ ซึ่งแต่แต่ศึกพระยุพราช เป็นเวลากว่า 15 ปีที่ทหารไม่ได้กลับบ้านเลย และใหนความเห็นว่าถ้าตีมคธได้ก็คงตีแคว้นอื่นต่อไปอีกไม่มีกำหนดสิ้นสุดประกอบกับ ทหารบางคนลังเลและก่อกบฎไม่ยอมสุ้รบอีกต่อไป อเล็กซานเดอร์จึงต้องจำพระทัยเลิกทัพกลับ..
แม้อเล็กซานเอดร์จะมีมเหสีอยุ่ 3 อค์ แต่สาเหตุที่ทำการอภิเษกสมรนั้นก็ล้วนเกิดจาปัจจัยทางการเมืองเป็นสำคัญ ดังที่คนส่วนใหญ่ทราบกันดีว่าความสัมพันธ์ของพระองค์กับทหารและเพื่อสนิทที่มีนามว่า เฮฟีสเทียน นั้นเกิดกว่าคำว่าเพื่อสนิทหรือเจ้ากับขา อริสโตเติล อธิบายว่าอเล็กซานเดอร์กับเฮฟีสเทียนนั้น เป็น "หนึ่งวิญญาณที่ดำรงอยุ่ในสองร่าง เมื่อเฮฟีสเทียนเสียชีวิตจากอาการป่วย อเล็กซานเดอร์โทมนัสนอนกอดศพของเฮฟีสเทียนและร้องไห้อยู่สองวันสองคืนโดยที่ไม่ได้เสวยอะไรเลย ไม่ตอบสนองต่อส่ิงรอบข้าง
พลูตาร์ก ได้บันทึกว่า ในปี พ.ศ. 220 ตรงกับฤดูใบไม่ผลิ เมื่อเอล็กซานเดอร์เสด็จฯ ไปถึงเมืองบาลิโลนเพื่อไปทอดพระเนตรสุสานที่เก็บศพ"เฮฟิสเทียนพระสหายสินท แต่กลับยังสร้างไม่เสร็จ ปรากฎว่า พระองค์ทรงยกเลิกพิธีเคารพศพกลับมาเสวยน้ำจันฑ์ติดต่อกันหลายวัน ด้วยความตรอมใจและพระวรกายทรุดโทรด ทำให้อเล็กซานเดอร์เสด็จสวรรคตเพียงไม่กี่เดือนให้กลังเฮฟีสเทียนเสียชีวิต อย่างไรก็ตามสาเหตุการสวรรคตยังไม่เป็นที่แน่ชัด บ้างสันนิษฐานว่า ทรงถุกบอลปลงพระชนม์โดยการวางยาพิษในไวน์...https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A#%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2_(%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%8B%E0%B8%B8%E0%B8%AA)
วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2561
Julius Caesar II
หลังเข้าควบคุมรัฐบาล ีซาร์ เร่ิมโครงการปฏิรูปสังคมและสังคมและรัฐบาล รวมที้งการสถาปนา ปฏิทินจูเลียน ปฏิทินเจูเลียดคือ ปฏิทินที่สร้างขึ้นดดยกงศุล จูเลียส ซีซาร์ แห่ง โรมัน โดยปฏิรูปจากปฏิทินโรมัน เมื่อ 46 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีผลบังคับใช้ในปีถัดไปคือ 45 ปี ก่อนคริสต์ศักราช รอบปีหนึ่งของปฏิทินจูเลียนมี 12 เดือน มีจำนวน วัน 365 วัน นอกจากนี้เดือนกุมภาพันะ์จะเพิ่มอธิกวาร ทุกๆ สี่ปี ดังนั้นรอบปีโดยเฉลี่ยต่อสี่ปีของปฏิทินจูเลียนเท่ากับ 365.25 วัน
Et tu Brute" เจ้าเองหรือบรูตุส สงครามแลางเมืองชุดใหม่ อุบัติ และรัฐบาล สาธารณรัฐอันมีรัฐธรรมนูญไม่เคยถูกฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ อ็อกตาวิอุส ทายาทบุญธรรมชองซีซาร์ ซึงภายหลังรู้จักกันในพระนาม จักพรรดิเอากุสตุส เถลิงอำนาจแต่ผุ้เียวหลังพิชิตศัตรูในงครามกลางเมืองนั้น อ็อกตาวิอุสรวบรวมอำนาจและเร่ิมสมัยจักรวรรดิโรมัน
เขารวมระบบข้าราชการประจำของสาธารณรับเข้าสุ่ศุนย์กลางและสุดท้ายประกาศตนเป้น "ผู้เผด็จการตลอดชีพ" ทำให้เขายิ่งมีอำนาจมากขึ้นไปอีก แต่ความขัดแย้งทางการเมืองใต้น้ำยังไม่สงบ และใน ไอดส์มีนาคม คือ 15 มีนาคม 44 ปี ก่อน ค.ศ. ซีซาร์ถูกลุ่มสมาชิกวุฒิสภากบฎลอบสังหาร นำโดยมาร์กุส ยูนิอุส บรูตุสผุ้ลูก ผู้ซึ่งเป็นคนสนิทและเป็นเสมือนลูกศิษย์ โดยพูดเป็นประโยคสุท้ายเป้นภาษาละตินว่า
คนรู้จักชีวิตส่วนมากของซีซาร์จากบันทึกการทัพของเขาเองและจากแหล่งข้อมุบร่วสมัยอื่น ส่วนใหญ่เป็นจดหมายและสุทรพจน์ของกิแกโรและงานเขียนประวัติศาสตร์ หลายคนถือซีซาร์เป็นผุ้บัญชาการทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คนหนึ่งhttps://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AA_%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C
จุดจบรัฐบุรุษผุ้ิย่งใหญ่ "จูเลียส ซีซาร์"
ซีซาร์ เกิด เมื่อประมาณ 100 ปี ก่อนคริศต์ศักราช ครอบครัวเป้นตระกูลขุนนางเก่าแก่ ฐานะมั่งคั่ง บิดาชื่อว่า "เคอุส จูเลียส ซีซาร์" ส่วนมารดาคือ "ออเรเลีย คอตต้า" เข้าเป็น มนุษย์คนแรกที่เกิดโดยวิธีผ่าตัดหน้าท้อง แต่กำพร้าพ่อตั้งแต่อายุ 16 ปี จึงต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว
ในยุคนั้น สาธารณรัฐโรมัน กำลังตกอยุ่ในวิกฤตการณ์เลวร้ายหลังสงครามพุนิคครั้งที่สอง ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยุ่ยากจนข้นแค้น บ้านเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายและแตกสามัคคี มีการก่อกบฎต่อต้านรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง รุนแรง เพราะชนชั้น ปกครองเอาแต่เสวยสุขไม่สนใจบ้านเมือง และแข่งขันแย่งชิงอำนาจกัน ขาดผุ้นำที่มาสร้างความเป็นปึกแผ่นในชาติ แต่แล้วฟ้าก็ประทาน "จูเลียส ซีซาร์" ให้มาเป็นรัฐบุรุษผุ้ยิ่งใหญ่
หลังสะสมบารมีทางการเมืองได้มากพอ โดยไต่เต้าจากทหารหนุ่มตัวเล็กๆ ขึ้นมาเป้นผุ้กำกับดูแลการเงินการคลังของรัฐ ผุ้ว่าการสเปน และกงศุล เขาได้ร่วมมือกับสองนายพลผุ้ทรงอิทธิพบของสาธารรรับโรมันคือ "ปอมเปย์" และ "คราสซุส" จัดตั้งคณะไตรมิต ขึ้นปกครองโรมัน ด้วยเสียงสนับสนุนจากสภาสูงเป็นครั้งแรก จากนั้นจึงได้รับเลือกเป็นแม่ทัพใหญ่ยกพลออกไปรบกับพวกกอล หรือฝรั่งเศสในปัจจุบัน ตีเมืองเล็กเมืองน้อยมาอยุ่ในอาณัติโรมากมาย
บารมีของเขาแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างไกล พร้อมกับฐานะที่มั่งคั่งขึ้น และศัตรูมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ดดยภายหังเขากับสองนายพลคู่มิตรเปิดศึกชิงดีชิงเด่นกันเองจนแกตหัก เพราะต่างก็อยากจะผุกขาดการปกครองโรม ผลสุดท้ายด้วยกำลังทหารและอำนาจบารฒีที่เหนือกว่า ทำให้ "ซีซาร์" ยึดอำนาจสำเร็จ และได้รับเลือกเป็นผุ้ชี่ำของโรม คุมการปกครองเบ็ดเสร็จแต่เพียงผุ้เดียวสมใจปรารถนาถึง 10 ปีเต็ม ต่อมาเมือยกพลปราบปรามดตีดินแดรแอฟริกาและสเปนได้สำเร็ จึงได้รับการยกย่องเป็น "หัวหน้าผุ้เผด็จการ" ตลอดชีวิต
อย่างไรก็ดี คนที่เป็นใหญ่และอยุ่ในอำนาจนานๆ มักจะลุแก่อำนาจและหวงแหนเก้าอี้ จนยอมทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาไว้ "ซีซาร์" ก็เช่นเดียวกัน จารัฐบุรุษผุ้ยิ่งใหญ เขากลายเป้นผุ้ทำลายสาธารณรับดรมั แม้จะเป้นักรบที่เก่งกล้าสามารถในศึกสงคราม แต่ "ซีซาร์" ก็มีความทะเยอทะยานกระหายอำนาจ จนขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายทารุณ
กระนั้น จุดอ่อน สำคัญที่นำไปสู่จุดจบคือ ความเมตตาที่เขามัหยับยืนให้ศัตรุ ทั้งๆ ที่จับได้หลายหนว่ามีแผนลอบสังหารตน แต่เขากลับน่ิงนอนใจไว้ชีวิตซะทุกครั้ง กระทั่งต้องมาจบขีวิตโดยไม่ทันระวังตัว จากการถูกลอบสังหารของลูกเลี้ยงทรพี "มาร์คุส จนิอุส บรูตุส" ขณะอายุ 55 ปี
ก่อนปิดฉากชีวิต มีลางบอกเหตุหลายอย่างที่บ่งชีว่า ดรมกำลังจะสุญเสียนักรบและนักปกครองผุ้ยิ่งใหญ่ โดยหนึ่งวันก่อนวันเกิดเหตุ จู่ๆ พายุก็โหมกระพือย่างหนัก และมีดาวหางปรากฎบนท้องฟ้า ภรรยา ของ "ซีซาร์ รู้สักสังหรณืใจไม่ดี จึงอ้อนวอนสามี มิให้เดินทางไปประขุมสภาเชเน? รุปปั้นของเขาได้หล่นลงมาแตกละเอดียเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ระหว่งนั้นมีชายผุ้หวังดีแอลสงจดหมายที่มีรายชือผุ้บอลทำร้ายและรายละเอดียดเป็นชิ่นเล็กชิ้นน้อย ระหว่างนั้นมีชายผุ้หังดีแอบส่งจดหมายที่มีรายชื่อผุ้ลอบทำร้ายและรายละเอดียดเกี่ยวกับแผนการบอลสังหารทั้งหมด กระนั้น "ซีซาร์" ไม่ใยดีแม้แต่จะเปิดจดหมายอ่น กระทังวินาที สุดท้ายของขชีวิตมาถึง ของวันหนึ่ง 44 ปีก่อนคริสต์ศักราช ขณะที่ำลังยืนอ่านรายงานประชุม สภาเซเนท "ซีซาร์" ถุกลูกเลี้ยงทรพีปลิดชีพอย่างไม่ทันตั้งตัว ด้วยคมดาบที่ปักทะลุลำคอ สงผลให้ลมลงขาดใจตาย จมกองเลือด
ความบ้าอำนาจและกระหายสงคาม เพื่อแผ้วถางทางสุ่ความยิ่งใหญ่ ทำให้รัฐบุรุษขอกงกรุงโรมสร้างศัตรุไว้มากมายรอบตัว แต่แล้วเขาก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันที่อยากจะขึ้นเป็นจักรพรรพิปกครองโรมั เพราะสุดท้ายตำแหน่งจักพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิโรมันตกเป็ของ "กายุส ยูลิอุส "กซาร์ ออกุสตุส" บุตรลุญธรรมที่ถุกวางตัวให้เป็นทายาทการเมืองของ "จูเลียส ซีซาร์" https://www.thairath.co.th/content/417260
Et tu Brute" เจ้าเองหรือบรูตุส สงครามแลางเมืองชุดใหม่ อุบัติ และรัฐบาล สาธารณรัฐอันมีรัฐธรรมนูญไม่เคยถูกฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ อ็อกตาวิอุส ทายาทบุญธรรมชองซีซาร์ ซึงภายหลังรู้จักกันในพระนาม จักพรรดิเอากุสตุส เถลิงอำนาจแต่ผุ้เียวหลังพิชิตศัตรูในงครามกลางเมืองนั้น อ็อกตาวิอุสรวบรวมอำนาจและเร่ิมสมัยจักรวรรดิโรมัน
เขารวมระบบข้าราชการประจำของสาธารณรับเข้าสุ่ศุนย์กลางและสุดท้ายประกาศตนเป้น "ผู้เผด็จการตลอดชีพ" ทำให้เขายิ่งมีอำนาจมากขึ้นไปอีก แต่ความขัดแย้งทางการเมืองใต้น้ำยังไม่สงบ และใน ไอดส์มีนาคม คือ 15 มีนาคม 44 ปี ก่อน ค.ศ. ซีซาร์ถูกลุ่มสมาชิกวุฒิสภากบฎลอบสังหาร นำโดยมาร์กุส ยูนิอุส บรูตุสผุ้ลูก ผู้ซึ่งเป็นคนสนิทและเป็นเสมือนลูกศิษย์ โดยพูดเป็นประโยคสุท้ายเป้นภาษาละตินว่า
คนรู้จักชีวิตส่วนมากของซีซาร์จากบันทึกการทัพของเขาเองและจากแหล่งข้อมุบร่วสมัยอื่น ส่วนใหญ่เป็นจดหมายและสุทรพจน์ของกิแกโรและงานเขียนประวัติศาสตร์ หลายคนถือซีซาร์เป็นผุ้บัญชาการทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คนหนึ่งhttps://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AA_%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C
จุดจบรัฐบุรุษผุ้ิย่งใหญ่ "จูเลียส ซีซาร์"
ซีซาร์ เกิด เมื่อประมาณ 100 ปี ก่อนคริศต์ศักราช ครอบครัวเป้นตระกูลขุนนางเก่าแก่ ฐานะมั่งคั่ง บิดาชื่อว่า "เคอุส จูเลียส ซีซาร์" ส่วนมารดาคือ "ออเรเลีย คอตต้า" เข้าเป็น มนุษย์คนแรกที่เกิดโดยวิธีผ่าตัดหน้าท้อง แต่กำพร้าพ่อตั้งแต่อายุ 16 ปี จึงต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว
ในยุคนั้น สาธารณรัฐโรมัน กำลังตกอยุ่ในวิกฤตการณ์เลวร้ายหลังสงครามพุนิคครั้งที่สอง ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยุ่ยากจนข้นแค้น บ้านเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายและแตกสามัคคี มีการก่อกบฎต่อต้านรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง รุนแรง เพราะชนชั้น ปกครองเอาแต่เสวยสุขไม่สนใจบ้านเมือง และแข่งขันแย่งชิงอำนาจกัน ขาดผุ้นำที่มาสร้างความเป็นปึกแผ่นในชาติ แต่แล้วฟ้าก็ประทาน "จูเลียส ซีซาร์" ให้มาเป็นรัฐบุรุษผุ้ยิ่งใหญ่
หลังสะสมบารมีทางการเมืองได้มากพอ โดยไต่เต้าจากทหารหนุ่มตัวเล็กๆ ขึ้นมาเป้นผุ้กำกับดูแลการเงินการคลังของรัฐ ผุ้ว่าการสเปน และกงศุล เขาได้ร่วมมือกับสองนายพลผุ้ทรงอิทธิพบของสาธารรรับโรมันคือ "ปอมเปย์" และ "คราสซุส" จัดตั้งคณะไตรมิต ขึ้นปกครองโรมัน ด้วยเสียงสนับสนุนจากสภาสูงเป็นครั้งแรก จากนั้นจึงได้รับเลือกเป็นแม่ทัพใหญ่ยกพลออกไปรบกับพวกกอล หรือฝรั่งเศสในปัจจุบัน ตีเมืองเล็กเมืองน้อยมาอยุ่ในอาณัติโรมากมาย
บารมีของเขาแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างไกล พร้อมกับฐานะที่มั่งคั่งขึ้น และศัตรูมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ดดยภายหังเขากับสองนายพลคู่มิตรเปิดศึกชิงดีชิงเด่นกันเองจนแกตหัก เพราะต่างก็อยากจะผุกขาดการปกครองโรม ผลสุดท้ายด้วยกำลังทหารและอำนาจบารฒีที่เหนือกว่า ทำให้ "ซีซาร์" ยึดอำนาจสำเร็จ และได้รับเลือกเป็นผุ้ชี่ำของโรม คุมการปกครองเบ็ดเสร็จแต่เพียงผุ้เดียวสมใจปรารถนาถึง 10 ปีเต็ม ต่อมาเมือยกพลปราบปรามดตีดินแดรแอฟริกาและสเปนได้สำเร็ จึงได้รับการยกย่องเป็น "หัวหน้าผุ้เผด็จการ" ตลอดชีวิต
อย่างไรก็ดี คนที่เป็นใหญ่และอยุ่ในอำนาจนานๆ มักจะลุแก่อำนาจและหวงแหนเก้าอี้ จนยอมทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาไว้ "ซีซาร์" ก็เช่นเดียวกัน จารัฐบุรุษผุ้ยิ่งใหญ เขากลายเป้นผุ้ทำลายสาธารณรับดรมั แม้จะเป้นักรบที่เก่งกล้าสามารถในศึกสงคราม แต่ "ซีซาร์" ก็มีความทะเยอทะยานกระหายอำนาจ จนขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายทารุณ
กระนั้น จุดอ่อน สำคัญที่นำไปสู่จุดจบคือ ความเมตตาที่เขามัหยับยืนให้ศัตรุ ทั้งๆ ที่จับได้หลายหนว่ามีแผนลอบสังหารตน แต่เขากลับน่ิงนอนใจไว้ชีวิตซะทุกครั้ง กระทั่งต้องมาจบขีวิตโดยไม่ทันระวังตัว จากการถูกลอบสังหารของลูกเลี้ยงทรพี "มาร์คุส จนิอุส บรูตุส" ขณะอายุ 55 ปี
ก่อนปิดฉากชีวิต มีลางบอกเหตุหลายอย่างที่บ่งชีว่า ดรมกำลังจะสุญเสียนักรบและนักปกครองผุ้ยิ่งใหญ่ โดยหนึ่งวันก่อนวันเกิดเหตุ จู่ๆ พายุก็โหมกระพือย่างหนัก และมีดาวหางปรากฎบนท้องฟ้า ภรรยา ของ "ซีซาร์ รู้สักสังหรณืใจไม่ดี จึงอ้อนวอนสามี มิให้เดินทางไปประขุมสภาเชเน? รุปปั้นของเขาได้หล่นลงมาแตกละเอดียเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ระหว่งนั้นมีชายผุ้หวังดีแอลสงจดหมายที่มีรายชือผุ้บอลทำร้ายและรายละเอดียดเป็นชิ่นเล็กชิ้นน้อย ระหว่างนั้นมีชายผุ้หังดีแอบส่งจดหมายที่มีรายชื่อผุ้ลอบทำร้ายและรายละเอดียดเกี่ยวกับแผนการบอลสังหารทั้งหมด กระนั้น "ซีซาร์" ไม่ใยดีแม้แต่จะเปิดจดหมายอ่น กระทังวินาที สุดท้ายของขชีวิตมาถึง ของวันหนึ่ง 44 ปีก่อนคริสต์ศักราช ขณะที่ำลังยืนอ่านรายงานประชุม สภาเซเนท "ซีซาร์" ถุกลูกเลี้ยงทรพีปลิดชีพอย่างไม่ทันตั้งตัว ด้วยคมดาบที่ปักทะลุลำคอ สงผลให้ลมลงขาดใจตาย จมกองเลือด
ความบ้าอำนาจและกระหายสงคาม เพื่อแผ้วถางทางสุ่ความยิ่งใหญ่ ทำให้รัฐบุรุษขอกงกรุงโรมสร้างศัตรุไว้มากมายรอบตัว แต่แล้วเขาก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันที่อยากจะขึ้นเป็นจักรพรรพิปกครองโรมั เพราะสุดท้ายตำแหน่งจักพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิโรมันตกเป็ของ "กายุส ยูลิอุส "กซาร์ ออกุสตุส" บุตรลุญธรรมที่ถุกวางตัวให้เป็นทายาทการเมืองของ "จูเลียส ซีซาร์" https://www.thairath.co.th/content/417260
วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561
Julius Caesar
กาอิอุส ยูลิอุส ไกซาร์ หรือ จูเลียส ซีซาร์ เป็นรัฐบุรุษ แม่ทัพ และผุ้ประพันธ์ร้อยแก้วอันเลื่องชื่อ
ขาวโรมัน เขามีบทบาทสำคัญในเหตุกาณ์อันำไปสู่การสิ้นสุดสาธารณรัฐโรมันและความเจริญของจักรวรรดิโรมัน
ใน 60 ปี ก่อน ค.ศ. ซีซาร์, กรัสซุส และพอมพีย์ ตั้งพันธมิตรทางการเมือง ซึ่งจะครอบ
สงครามกอล เป็นชุดการทัพ ซึ่งจูเลียส ซีซาร์ เป็นผุ้ดำเนินต่อชนเผ่ากอลหลายเผ่า สงครามกินเวลาตั้งแต่ 58 ปี ก่อน ค.ศ. ถึง 50 ปีก่อน ค.ศ. จนลงเอยด้วยยุทการที่อะลีเซียอันเด็ดขาดใน 52 ปีก่อ ค.ศ. ชัยชนะอย่างสมบูรณ์ของโรมันส่งผลให้สาธารณรัฐโรมัน ขยายเหนือทั้งอกล( ประเทศฝรั่งเศสและเบลเยียนในปัจจุบันเป็นหลัก) แม้ว่าเผ่ากอลจะมีความเข้มแข็งทางทหารสูสีกับโรมัน แต่ความแตกแยกภายในทำให้ซีซาร์คว้าชัยได้โดยง่ายและความพยายามของเวอร์ซินเกโทริกซ์ ในการผนึกชาวกอลต่อการบุกครองของโรมันสายเกินไป สงครามนี้ปูทางให้จูเลียส กลายเป้ฯผุ้ปกครองสาธารณรัฐโรมันแต่ผุ้เดียว
เขาบุกเข้าอิตาลีพร้อมอาวุธ เกิดสงครามกลางเมือง ที่เป้ฯความชัดแย้งทางการเมือง การทหาร ในสาะารณรับโรมัน ก่อนสถาปนาเป็นจักรวรรดิโรมัน สงครามนี้เร่ิมจากการเผชิญหน้าทั้งทางการเมืองและการทหารหลายครั้งระหว่างจุเลียน ซีซาร์ ผุ้สนับสนุทางการเมืองของเขา และ ลีเจียด กับ กลุ่มแยกอนุรักษนิยมทางการเมืองปละประเพณีนิยมทางสังคมของ วุฒิสภาโรมัน ผุ้ได้รับการสนับสนุนโดย ปอปีย์แม่ทัพและผุ้นำทางการเมืองของสาธารณรัฐโรมันยุคสุดท้าย
ขาวโรมัน เขามีบทบาทสำคัญในเหตุกาณ์อันำไปสู่การสิ้นสุดสาธารณรัฐโรมันและความเจริญของจักรวรรดิโรมัน
ใน 60 ปี ก่อน ค.ศ. ซีซาร์, กรัสซุส และพอมพีย์ ตั้งพันธมิตรทางการเมือง ซึ่งจะครอบ
งำทางการเมืองโรมันไปอีกลายปี ความพยายมของพวกเขาในกสั่งสมอำนาจผ่านยุทธวิะีประชานิยม ถุกชนชั้นปกครองอนุรักษนิยมในวุฒิสภาโรมันคัดค้าน ซึ่งในบรรดานั้นมี กาโตผุ้เยา(Cato the Younger) ร่วมด้วย
ด้วยการสนับสนุนบ่อยครั้งของ กิแกโร "มาร์กุส ตุลลิอุส กิแกโร นักปรัชญา รัฐบุรษ นักกฎหมาย นักทฤษฎีการเมือง และนักนิยมรัฐธรรมนูญชาวโรมันโบราณ เขาเกิดในตระกุลขุนางอันมั้งคั้งในตำแหน่งขุนคลัง เป็นที่รู้จักแพร่หลายในฐานะนักพูดและกวีทีมีชื่อเสียงที่สุดของโรมันทำให้ ซีซาร สามารมขยายดินแดนโรมันไปถึงช่องแคบอังกฤษ และแม่น้ำไรน์ ซีซาร์เป็นแม่ทัพโรมันคนแรกที่ข้ามทั้งสองฝั่งเมื่อเขาสร้างสะพานข้ามแม่น้ำไรน์และบุกครองบริเตนครั้งแรก
แม้ซีซาร์พรรณนาการบุครองนี้ว่าเป้ฯการปฏิบัติตัดหน้าข้อศึก แต่นัประวัติศสตร์ส่วนใหย่ตกลงกันว่าสงครามนี้ส่วนใหญ่ต่อสู้เพื่อส่งเสริมอาชีพทางการเมืองของซีซาร์และจ่ายหนี้สินมหาศาลของเขา กระนั้น สงครามกอลยังเมีความสำคัญทางทหารอย่างมากต่อชาวโรมัน เพราะโรมันถุกชนเผ่าพื้นเมืองทั้งที่อาศัยอยู่ในกอลแะหนือไปกว่านั้นโจมตีหลายครั้ง การพิชิตกอลทำให้โรมันควบคุมแม่น้ำไรน์ ซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติ จูเลียส ซีซาร์อธบายไว้ในหังสือ "ความเห็นต่อสงครามกอล"..https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AA_%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C
หนึ่งในงานเขียนสำคัญที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์การทหารสมัยดรมันคือ "ความคิดเห็นต่อสงครามกอล Commentarii de Bello Gallico กับ "ความคิดเห็นต่อสงครามกลางเมือง Commentarii de Bello Civiliที่เขียน โดยแม่ทัพและรัฐบุรุษของสาธารณับโรมัน จูเลียส ซีซาร์ งานเขียนทั้งสองนี้เป็นผลงานชิ้นสำคัญที่เขาเขียนขึ้น เพื่อยกย่องความสามารถของตัวเขาเองว่า มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะขึ้นเป็นผุ้ปกครองโรมเหนือคู่แข่งทางการเมือง คนอื่นๆ วึ่งซีซาร์ได้แสดงถึงการเป็นนักเขียนที่มีความสามารถเท่าๆ กับเป็นผุ้บัญชาการทหาร และลักษณะงานเขียนของเขากลายเป็นแบบอย่างของงานเขียนประวัติศาสตร์การทหารในสมยศตวรรษที่ 19
ด้วยวัตถประสงค์ของงานเขียนที่หวังผลทางการเมือง เนื้อหาในงานเขียนของซีซาร์ย่อมีลักษณะเชิดชูความสามารถของเขาและลทบาทในสงครามที่เขาเป็นผุ้บัญชาการโดยอ้งความเป็นhttp://kamiuzg.blogspot.com/2015/02/normal-0-false-false-false-en-us-x-none.html
เจ้าของความสำเร็จในการวิเคราะห์เหตุการณ์ในสมารภูมิอย่างเยือกเย็น กระนั้นเหตุการณ์ที่เขาบันทึกเป็นข้อเท็ํจจริงที่เกิดขึ้น ลักษณะการเขียนของซีซาร์จะใช้วิะีการบรรยายการดำเนินสงครามและการเล่าเรื่องสมรภูมิตามรูปแบบของกรีก แตงานเขียนของเขามีความแตกต่างจากของ ธูซิดิเอด และ เซโนฟอน ที่มองบุคลากรในกองทัพและจิตวิทยาของมวลขนเป็นส่ิงขับเคลื่อนสงคราม ซึซาร์มอง่า สงครามเป็นศาสตร์ที่ใช้ความรุ้ความสามารถของผุ้บั๙าการในการชับเคลื่อนและกำหนดทิศทางขณะที่เหล่าทหารในสนามรบเป็นหุ่นที่ำทหน้าที่ตามแผนอันเฉลียวฉลาดของผุ้บัญชาการ(แม้ซีซาร์จะให้การยอย่องทหารที่ทำหน้าที่ได้สมวีรบุรุษก็ตาม) ซึ่งมอมองดังกล่าวนี้ทำให้เกิดมุมองในการเขียนประวัติศาสตร์การทหารที่ให้ความสำคัต่อศาสตร์การบัญชากองทัีพ หรือจะเรียกว่า "ประวัติศาศตร์ของผุ้นำทางทหารผุ้ยิ่งใหญ่"
ความสำเร็จจากการบุคครองบริเตน และความสำเร็จจากสงครามกอลทำให้เขามีอำนาจทางทหารซึ่งไม่มีผุ้ใดเทียม และคุกคามฐานะของพอมพีย์ซึ่งเปลี่ยนไปเข้ากับวุฒิสภา หลังกรัสซุสเสียชีวิตใน 53 ปี ก่อน ค.ศ. เมื่อสงครามกอลยุติ วุฒิสภาสั่งซีซาร์ให้ลงจากตำแหน่งบังคัฐบัญชาทหารของเขาและกลังกรุงโรม ซีซาร์ปฏิเสธคำสั่งนั้น และใน 49 ปี ก่อน ค.ศ. เขาทำการบข้ามแม่น้ำรุบิโก ซึ่งเป็นแม่น้ำตื้นๆ ทางตะวันออกเฉียเหนือของประเทศอิตาลี ยาวปรมาณ 80 กิโลเมตร ทอดยาวจากเทือกเขาแอเพนไนน์ไปจนถึงทะเลเอเดรียติก.. ทำให้เกิดสำนวน "ข้าแม่น้ำูบิคอน" ซึ่งแปลว่า ผ่านจุดที่ไม่มีทางหวนกลับ และหมายถึง การประกาศสงครามของจูเลียส เนื่องจากเส้นทางการไหลของแม้น้ำได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากนับตั้งแต่นั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะยืนยันอย่างชัดเจนว่าแม่น้ำรูบิคอนมีเส้นทางการไหลอย่างไรเมือซีซาร์และกองทหารลีเจียของเขาข้ามแม้น้ำนั้น
หลังการต่สูทางการเมือง การทหารนานสีปี ซึ่งสุ้รบกันใน อิตาลี อัลเบเนีย กรีซ อียิต์ แปฟริกา และฮิสปาเนีย ซีซาร์ก็เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ และกลายเป็นผุ้เผด็จการตลอดชีพแห่งโรม การเปลี่ยนแปลงการปกครองโรมันที่เกิดขึ้นพร้อมกับสงครามส่วนใหญ่กำจัดประเพณีทางการเมืองของสาธารณรับโรมัน และนำไปสู่จักรวรรดิโรมันในที่สุด...https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AA_%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C
วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2561
Literature
วรรณกรรม หมายถึง วรรณคดีหรือศิลปะ ที่เป็นผลงานอันเกิดจากการค่อด และจินตนาการ แล้ว
เรียบเรียงนำมาบอกเล่า บันทึก ขับร้อง รือสื่อออกมาด้วยกลวิธีต่าง ๆโดยทั่วไปแล้วจะแบ่งวรรณกรรมเป็น 2 ประเภทคื อวรรณกรรมลายลักษณ์ คือวรรณกรรมที่บันทึกเป็นตัวหนังสื และวรรณกรรมมุขปาฐะ อันได้แก่วรรณกรรมที่เล่าด้วยปาก ไม่ได้จดบันทึก
ด้วยเหตุนี้ วรรณกรรมจึงมีความหายครอบคลุมกว้าง ถึงประวัติ นิทาน ตำนาน เรื่องเล่า ขำขัน เรื่องสั้น นวนิยาย บทเพลง คำคม เป็นต้น
วรรณกรรมเป้นผลงานศิปละที่แสดงออกด้วยการใช้ภาษา เพื่อการสื่อสารเรื่องารวให้เข้าใจระหว่างมนุษย์ภาษาเป็นสิงที่มนุษย์คิดค้น และสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อใช้สื่อความหาย เรื่องราวต่าง ๆภาษาที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสารได้แก่
1 ภาษาพูดโดยการใช้เสียง
2 ภาษาเขียน โดยการใช้ตัวอังกณ ตัวเลข สัฐญลักษณ์ และภาพ
3 ภาษาท่าทาง โดยการใช้กิริยาท่าทาง หรือประกอบวัสดุอย่างอื่น
ความงามหรือศิลปะในการใช้ภาษขึ้นอยุ่กับ การใช้ภาษาให้ถุกต้อง ชัดเจน และเหมาะสมกับเวลา โอกาส และบุคคล นอกจากนี้ ภาษาแต่ละภาษาบังสามารถปรุงแต่ง ให้เกิดความเหม่าะสม ไพเราะ หรือสวยงามได้ นอกจากนี้ยังมีการบัญญัติคำราชาศัพท์ คำสุภาพ ขึ้นมาใช้ได้อย่างเหมาะสม แสดงให้เห็นวัฒนธรรมที่เป็นเลิศทางการใช้ภาษาที่ควรดำรงและยึดถือต่อไป ผู้สร้างสรรค์งานวรรณกรรม เรียกว่า นักเขียน นักประพันธ์ หรือ กวีhttp://www.finearts.go.th/fad15/parameters/km/item/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1.html
ประเภทของวรรณกรรมต่างๆ
- สารคดี เป็นงานเขียนหรือ วรรณกรรมร้อยแก้วในลักษณะตรงข้ามกันกับบันเทิงคดีที่มุ่งสาระความรู้แก่ผุ้อ่านเป็นเบื้องต้น มีความเพลิดเพลินเป็นเบื้องหลัง ที่มุ่งแสดงความรุ้ ความคิด ความจริง ความกระจ่างแจ้ง และเหตุผลเป็นสำคัญ อาจจะเขียนเชิงอธิบาย เชิงวิจารณ์เชิงแนะนำสั่งสอน เป็นต้น..
- มหากาพย์ คือ วรรณคดีที่เล่าเรื่องราวของวีรบุรุษ วัฒนธรรม มักเป็นเรื่องที่เก่าแก่ มีโครงเรื่องซับซ้อนและยาว ตัวละครมากมาย และได้รับการยกย่อง อาทิ โอดิสซี, อีเลียด
- ปกรฌัมชุด คือ กลุ่มปกรฌัมหรือ ตำนานต่างๆ ที่เกี่ยวกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ที่อาจจะเป็นบุคคลในตำนานหรือกึ่งบุคคลในประวัติศาสตร์ ปกรณัมชุดที่เกี่ยวกับประเทศใดประเทศหนึ่งบางครั้งก็เรียกว่า "ปกรณัมเกี่ยวกับ" เช่น ตำนานต่าง ๆที่เกียวกับบริเตนก็เรียกว่า "ปกรณัมเกี่ยวกับบริเตน" ถ้าเป้นปกรณัมของบุคคในจิตนาการบางครั้งก็จะเรียกว่า "ปกรณัมไมธอส" อาทิ สงครามเมืองทรอย
ในหมวดหมู่ของปรกรฌัม ยังแยกย่อยออกเป็น
ชีวประวัติ คืองานเขียนชนิดนึ่งที่เป็นการกล่วถึงเรื่องราวของบุคคลในช่วงชีวิต ชีวประวัติของบุคคลหนึ่งๆ ไม่เพียงแต่กล่าวถึง วันเกิด อาชีพ นักธุรกิจ การศึกษา แต่จะมีการถึงเรื่องราวของแต่ละช่วงชีวิต และเหตุการณืสำคัญที่เกิดขึ้นในชีวิต ทั้นนี้หากเป็นประวัติของผุ้เขียนเอง จะนิยมเรียกว่าอัตชีวประวัติ
ชีวประวัติ เป็นงานเขียนประเภทหนึ่งที่เป็นการนำเสนอข้อมูลและเรื่งราวเกี่ยวกับบุคคล โดยปกติจะนไเสนอในรูปแบบของหนังสือหรือบทความ บางครั้งอาจนำเสนอใรูปแบบของภาพยนต์ก็ได้ ซึ่งอค์ประกอบของชีวประวัตินั้น อาจนอกเหนือไปจากข้อมุลสวนบุคคล อาทิ การศึกษา การทำงาน ความสัมพันธ์ หรือการเสียชีวิต ก็ได้ โดยลักษระของชีวประวัติจะไม่เมหือกนักบประวัติโดยย่อ หรือประวัติส่วนตัวโดยสังเขป ทั้งนี้อาจเป็นการนำเสนอเรื่องราวประสบการณ์ มุมองของบุคคล รวมทั้ง เกร็ดต่างๆ ในชีวิต และการวิเคราะห์บุคลิกลักษณะของบุคคล
อัตชีวประวัติ หมายถึง ประวัติชีวติที่เจ้าของเขียนหรือเล่าด้วยตนเอง การทำงานก็เป็นชีวประวัติได้หากครอบคลุมช่วงชีวิตของบุคคลนั้น เช่น ชีวประวัติการทำานโดยปกติจะเป็นงานเขียนที่ได้จากเรื่องจริง แต่บางครั้งก็สามารถใช้บันเิงคดีในการนำเสนอชีวิตของบุคคลได้ หนึ่งในรูปแบบการเชียนจะชีวประวัติจะครอบคลุมไปถึงการเขียนที่สืบทอดมาจากคนรุ่นก่อน รวมทั้งชีวประวัติในวรรณกรรม ภาพยนตร์ และสื่อรูปแบบอื่นๆ
บันทึกประจำวันและบันทึกการเดินทาง อนุทิน หรือ ไดอารี เป็นการบันทึก แรกเริ่มบันทึกในรูปแบบของสมุด ซึ่งแยกข้อมูลป็นวัน รายงานส่ิงที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ในแต่ละช่วงเวลา อนุทินบางครั้งยังมีจุดประสงค์ ลักษระ ความศิวิไลซื ของมนุษย์ รวมถึงการบันทึกของรัฐบาล การบันทึกทางธุรกิจ การบันทึกทางการทหาร โรงเรียหรือผู้ปกครอง บางคนสอนเด็นให้เขียนอนุทิน เพื่อแสดงความรุ้สึกและความคิดออกมา
บทความ หมายถึงงานเชียนที่เผยแพร่ในสื่อสิ่งพิมพื หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเผยแพร่ข่าวสาร ผลการวิจัย เผยแพร่ความรุ้ การวิเคราะห์ทางการศึกษา การวิพากวิจารณ์ เป็นต้น โดยปกติบทความหนึ่งบทความจะพูดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป้นประเด็นหลักเพียงเรื่องเดียวในบทความยังแยกออกเป็น บทความประวัติศาสตร์ คือ การสอบถาม ความรุ้ที่ได้มาโดยการสอบสวน เป็นกาค้นพบ
รวบรวม จัดระเบียบและนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเหตุกาณืในอดีต ประวัติศาสตร์ยังอาจหมายถึง ช่วงเวลาหลังมีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้น นักวิชาการผุ้เขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เรียกกันว่า "นักประวัติศาสตร์" , บทความทางศาสนา ซึ่งรวมถึง วรรณกรรมขอขมา สภาษิต คัมภีร์ วรรณกรรมคริสต์ศาสนา
บทละคร เป็นงานวรรณศิลป์ ประเภทหนึ่งที่เน้นในด้านการแสดง คำว่า "ดร่ามา" ซึ่งมาจากคำภาษากรีกคำหนึ่ง แปลว่า "การกระทำ"
ตำนาน คื่อ เรื่องเล่าขานที่มีมาแต่อดีต เปรียบเหมือนเครื่องมือท่ช่วยถ่ายทอดเรื่องราวมทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงวิธีชีวิต ความคิด ความ ความเชื่อ รวมถึงประเพณีต่างๆ ของคนในยุคอดีต อาจเป็นเรื่งอจริงหรือไม่ก็ได้ อาจมีหลักฐานหรือไม่ก็ได้, นิทานเ ป็นเรืองเล่าสืบต่อกนมา กล่าวได้ว่าเป็นวรรกรรมที่เก่าแก่ที่สุด นิทานอาจมีกำเนิดพร้อม กับครอบครัวมนุษยชาติ มูลเหตุที่มาแต่เร่ิมแรก คงเป็นเรืองที่เกิดขึ้นจริงแล้วเล่าสู่กันฟัง มีการเพ่ิมเติมเสริมแต่งให้พิสดารมากยิ่งขึ้น จนห่างไกลจากเรื่องจริง กลายเป็นนิทานไป การเขียนนิทาน อาจเป็นการเชียนจากจินตนาการก็ได้, ตำนานพื้นบ้าน เป็นคติชน ยุคปัจจบุันรูปแบบหนึ่ง ประกอบด้วยเรื่องที่ผุ้เล่าอาจเชื่อว่าจริงหรือไม่จริง เฉกเช่นเดียวกับคติชนและปกรณัม ตำนานพื้นบ้านไม่ได้มุ่งหมายที่ความถูกต้องแท้จริงของเนื้อหา เพียงแต่ได้ไขเรื่องาวนั้นให้แพร่หลาย ฉะนั้น เนื้อหาจึงมีลักษณะเปลี่ยนแปลงผกผันได้เป็นระยะๆ แต่ก็มีความสำคัญบางประการที่จูงใจให้ชุมชนรักษาและถ่ายทอดเรื่องนั้นต่อๆ ไป
- นวนิยาย เป็นรูปแบบหนึ่งของวรรณกรรม ลายลักษณ์ แต่งในรุปร้อยแก้ว มีลักาณะแตกต่างจากเรืองแต่งแบบเดิม ที่เรียกว่า นิยาย หรือนิทาน ที่เรียกว่า "นวนิยาย" ก็เพราะถือเป็นนิยายแบบใหม่ ตามแบบตะวันตก นั้นเอง อย่างไรก็ตาม ในภาษาพูดโดยทั่วไป นิยมเรียกว่า "นิยาย" ซึ่งกะทัดรัดกว่า โดยคำว่า โดยคำว่า "นิยาย" เป็นคำมาจากภาษาเขมรที่ออกเสียงว่า"นิเยย" หมายถึง "พูด"
ซึ่งในหมวของนวนิยาย แยกออกไปอีกมากมายหลายหลาก อาทิ นวนิยาเชิงสารคดี นวนิยายอิงอัตชีวประวัติ นวนิยายอิงชีวประวัติ นวนิยายแนวผจญภัย ...ฯลฯhttps://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5
-
เรียบเรียงนำมาบอกเล่า บันทึก ขับร้อง รือสื่อออกมาด้วยกลวิธีต่าง ๆโดยทั่วไปแล้วจะแบ่งวรรณกรรมเป็น 2 ประเภทคื อวรรณกรรมลายลักษณ์ คือวรรณกรรมที่บันทึกเป็นตัวหนังสื และวรรณกรรมมุขปาฐะ อันได้แก่วรรณกรรมที่เล่าด้วยปาก ไม่ได้จดบันทึก
ด้วยเหตุนี้ วรรณกรรมจึงมีความหายครอบคลุมกว้าง ถึงประวัติ นิทาน ตำนาน เรื่องเล่า ขำขัน เรื่องสั้น นวนิยาย บทเพลง คำคม เป็นต้น
วรรณกรรมเป้นผลงานศิปละที่แสดงออกด้วยการใช้ภาษา เพื่อการสื่อสารเรื่องารวให้เข้าใจระหว่างมนุษย์ภาษาเป็นสิงที่มนุษย์คิดค้น และสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อใช้สื่อความหาย เรื่องราวต่าง ๆภาษาที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสารได้แก่
1 ภาษาพูดโดยการใช้เสียง
2 ภาษาเขียน โดยการใช้ตัวอังกณ ตัวเลข สัฐญลักษณ์ และภาพ
3 ภาษาท่าทาง โดยการใช้กิริยาท่าทาง หรือประกอบวัสดุอย่างอื่น
ความงามหรือศิลปะในการใช้ภาษขึ้นอยุ่กับ การใช้ภาษาให้ถุกต้อง ชัดเจน และเหมาะสมกับเวลา โอกาส และบุคคล นอกจากนี้ ภาษาแต่ละภาษาบังสามารถปรุงแต่ง ให้เกิดความเหม่าะสม ไพเราะ หรือสวยงามได้ นอกจากนี้ยังมีการบัญญัติคำราชาศัพท์ คำสุภาพ ขึ้นมาใช้ได้อย่างเหมาะสม แสดงให้เห็นวัฒนธรรมที่เป็นเลิศทางการใช้ภาษาที่ควรดำรงและยึดถือต่อไป ผู้สร้างสรรค์งานวรรณกรรม เรียกว่า นักเขียน นักประพันธ์ หรือ กวีhttp://www.finearts.go.th/fad15/parameters/km/item/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1.html
ประเภทของวรรณกรรมต่างๆ
- สารคดี เป็นงานเขียนหรือ วรรณกรรมร้อยแก้วในลักษณะตรงข้ามกันกับบันเทิงคดีที่มุ่งสาระความรู้แก่ผุ้อ่านเป็นเบื้องต้น มีความเพลิดเพลินเป็นเบื้องหลัง ที่มุ่งแสดงความรุ้ ความคิด ความจริง ความกระจ่างแจ้ง และเหตุผลเป็นสำคัญ อาจจะเขียนเชิงอธิบาย เชิงวิจารณ์เชิงแนะนำสั่งสอน เป็นต้น..
- มหากาพย์ คือ วรรณคดีที่เล่าเรื่องราวของวีรบุรุษ วัฒนธรรม มักเป็นเรื่องที่เก่าแก่ มีโครงเรื่องซับซ้อนและยาว ตัวละครมากมาย และได้รับการยกย่อง อาทิ โอดิสซี, อีเลียด
- ปกรฌัมชุด คือ กลุ่มปกรฌัมหรือ ตำนานต่างๆ ที่เกี่ยวกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ที่อาจจะเป็นบุคคลในตำนานหรือกึ่งบุคคลในประวัติศาสตร์ ปกรณัมชุดที่เกี่ยวกับประเทศใดประเทศหนึ่งบางครั้งก็เรียกว่า "ปกรณัมเกี่ยวกับ" เช่น ตำนานต่าง ๆที่เกียวกับบริเตนก็เรียกว่า "ปกรณัมเกี่ยวกับบริเตน" ถ้าเป้นปกรณัมของบุคคในจิตนาการบางครั้งก็จะเรียกว่า "ปกรณัมไมธอส" อาทิ สงครามเมืองทรอย
ในหมวดหมู่ของปรกรฌัม ยังแยกย่อยออกเป็น
ชีวประวัติ คืองานเขียนชนิดนึ่งที่เป็นการกล่วถึงเรื่องราวของบุคคลในช่วงชีวิต ชีวประวัติของบุคคลหนึ่งๆ ไม่เพียงแต่กล่าวถึง วันเกิด อาชีพ นักธุรกิจ การศึกษา แต่จะมีการถึงเรื่องราวของแต่ละช่วงชีวิต และเหตุการณืสำคัญที่เกิดขึ้นในชีวิต ทั้นนี้หากเป็นประวัติของผุ้เขียนเอง จะนิยมเรียกว่าอัตชีวประวัติ
ชีวประวัติ เป็นงานเขียนประเภทหนึ่งที่เป็นการนำเสนอข้อมูลและเรื่งราวเกี่ยวกับบุคคล โดยปกติจะนไเสนอในรูปแบบของหนังสือหรือบทความ บางครั้งอาจนำเสนอใรูปแบบของภาพยนต์ก็ได้ ซึ่งอค์ประกอบของชีวประวัตินั้น อาจนอกเหนือไปจากข้อมุลสวนบุคคล อาทิ การศึกษา การทำงาน ความสัมพันธ์ หรือการเสียชีวิต ก็ได้ โดยลักษระของชีวประวัติจะไม่เมหือกนักบประวัติโดยย่อ หรือประวัติส่วนตัวโดยสังเขป ทั้งนี้อาจเป็นการนำเสนอเรื่องราวประสบการณ์ มุมองของบุคคล รวมทั้ง เกร็ดต่างๆ ในชีวิต และการวิเคราะห์บุคลิกลักษณะของบุคคล
อัตชีวประวัติ หมายถึง ประวัติชีวติที่เจ้าของเขียนหรือเล่าด้วยตนเอง การทำงานก็เป็นชีวประวัติได้หากครอบคลุมช่วงชีวิตของบุคคลนั้น เช่น ชีวประวัติการทำานโดยปกติจะเป็นงานเขียนที่ได้จากเรื่องจริง แต่บางครั้งก็สามารถใช้บันเิงคดีในการนำเสนอชีวิตของบุคคลได้ หนึ่งในรูปแบบการเชียนจะชีวประวัติจะครอบคลุมไปถึงการเขียนที่สืบทอดมาจากคนรุ่นก่อน รวมทั้งชีวประวัติในวรรณกรรม ภาพยนตร์ และสื่อรูปแบบอื่นๆ
บันทึกประจำวันและบันทึกการเดินทาง อนุทิน หรือ ไดอารี เป็นการบันทึก แรกเริ่มบันทึกในรูปแบบของสมุด ซึ่งแยกข้อมูลป็นวัน รายงานส่ิงที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ในแต่ละช่วงเวลา อนุทินบางครั้งยังมีจุดประสงค์ ลักษระ ความศิวิไลซื ของมนุษย์ รวมถึงการบันทึกของรัฐบาล การบันทึกทางธุรกิจ การบันทึกทางการทหาร โรงเรียหรือผู้ปกครอง บางคนสอนเด็นให้เขียนอนุทิน เพื่อแสดงความรุ้สึกและความคิดออกมา
บทความ หมายถึงงานเชียนที่เผยแพร่ในสื่อสิ่งพิมพื หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเผยแพร่ข่าวสาร ผลการวิจัย เผยแพร่ความรุ้ การวิเคราะห์ทางการศึกษา การวิพากวิจารณ์ เป็นต้น โดยปกติบทความหนึ่งบทความจะพูดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป้นประเด็นหลักเพียงเรื่องเดียวในบทความยังแยกออกเป็น บทความประวัติศาสตร์ คือ การสอบถาม ความรุ้ที่ได้มาโดยการสอบสวน เป็นกาค้นพบ
รวบรวม จัดระเบียบและนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเหตุกาณืในอดีต ประวัติศาสตร์ยังอาจหมายถึง ช่วงเวลาหลังมีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้น นักวิชาการผุ้เขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เรียกกันว่า "นักประวัติศาสตร์" , บทความทางศาสนา ซึ่งรวมถึง วรรณกรรมขอขมา สภาษิต คัมภีร์ วรรณกรรมคริสต์ศาสนา
บทละคร เป็นงานวรรณศิลป์ ประเภทหนึ่งที่เน้นในด้านการแสดง คำว่า "ดร่ามา" ซึ่งมาจากคำภาษากรีกคำหนึ่ง แปลว่า "การกระทำ"
ตำนาน คื่อ เรื่องเล่าขานที่มีมาแต่อดีต เปรียบเหมือนเครื่องมือท่ช่วยถ่ายทอดเรื่องราวมทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงวิธีชีวิต ความคิด ความ ความเชื่อ รวมถึงประเพณีต่างๆ ของคนในยุคอดีต อาจเป็นเรื่งอจริงหรือไม่ก็ได้ อาจมีหลักฐานหรือไม่ก็ได้, นิทานเ ป็นเรืองเล่าสืบต่อกนมา กล่าวได้ว่าเป็นวรรกรรมที่เก่าแก่ที่สุด นิทานอาจมีกำเนิดพร้อม กับครอบครัวมนุษยชาติ มูลเหตุที่มาแต่เร่ิมแรก คงเป็นเรืองที่เกิดขึ้นจริงแล้วเล่าสู่กันฟัง มีการเพ่ิมเติมเสริมแต่งให้พิสดารมากยิ่งขึ้น จนห่างไกลจากเรื่องจริง กลายเป็นนิทานไป การเขียนนิทาน อาจเป็นการเชียนจากจินตนาการก็ได้, ตำนานพื้นบ้าน เป็นคติชน ยุคปัจจบุันรูปแบบหนึ่ง ประกอบด้วยเรื่องที่ผุ้เล่าอาจเชื่อว่าจริงหรือไม่จริง เฉกเช่นเดียวกับคติชนและปกรณัม ตำนานพื้นบ้านไม่ได้มุ่งหมายที่ความถูกต้องแท้จริงของเนื้อหา เพียงแต่ได้ไขเรื่องาวนั้นให้แพร่หลาย ฉะนั้น เนื้อหาจึงมีลักษณะเปลี่ยนแปลงผกผันได้เป็นระยะๆ แต่ก็มีความสำคัญบางประการที่จูงใจให้ชุมชนรักษาและถ่ายทอดเรื่องนั้นต่อๆ ไป
- นวนิยาย เป็นรูปแบบหนึ่งของวรรณกรรม ลายลักษณ์ แต่งในรุปร้อยแก้ว มีลักาณะแตกต่างจากเรืองแต่งแบบเดิม ที่เรียกว่า นิยาย หรือนิทาน ที่เรียกว่า "นวนิยาย" ก็เพราะถือเป็นนิยายแบบใหม่ ตามแบบตะวันตก นั้นเอง อย่างไรก็ตาม ในภาษาพูดโดยทั่วไป นิยมเรียกว่า "นิยาย" ซึ่งกะทัดรัดกว่า โดยคำว่า โดยคำว่า "นิยาย" เป็นคำมาจากภาษาเขมรที่ออกเสียงว่า"นิเยย" หมายถึง "พูด"
ซึ่งในหมวของนวนิยาย แยกออกไปอีกมากมายหลายหลาก อาทิ นวนิยาเชิงสารคดี นวนิยายอิงอัตชีวประวัติ นวนิยายอิงชีวประวัติ นวนิยายแนวผจญภัย ...ฯลฯhttps://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5
-
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...