วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2567

“The Keystone State”

           เพนซีเวเนีย หรือ ชื่อที่เรียกกันเล่นๆ ว่า "รัฐคีย์สโตน" ซึ่งไม่สามารถสืบย้อนไปยังแหล่งที่มาใด
แหล่งหนึ่งได้ คำว่า "คีย์สโตน" มาจากคำว่าสถาปัตยกรรม และหมายถึงหินรูปลิ่มตรงกลางในซุ้มโค้งซึ่งยึดหินก้อนอื่นๆ ๆว้ด้วยกันได้รับการยอมรับโดยทั่วไปไม่นานหลังจากปี 1800 ในการชุมนุมเพื่อชัยชนะของพรรครีพับลิกันที่เมืองเจฟเฟอร์สันในเดือนตุลาคม ปี 1802 รัฐเพนซิลเวเนียได้รับการยกย่องว่าเป็น "เสาหลักแห่งสหภาพกลาง" และในหนังสือพิมพ์ออโรราในปีถึดมา รัฐก็ถูกเรียกว่า "เสาหลักแห่งรากฐานของประชาธิปไตย" การคงอยุ่ของชื่อนี้ในปัจจุบันนั้นสมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาจากตำแหน่งสำคัญของเพนซิลเวเนียในการพัฒนาด้านเศราฐกิจ สังคม และการเมืองของสหรัฐอเมริกา 
           เพนซิเวเนีย แลว่า "ดินแดนป่าของเพนน์" หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือเครื่อรัฐซิลเวเนีย เป็นรัฐที่ครอบคลุม แอตแลนติกตะวันออก แอปพาเลนและเกรดเลกส์ที่มีอาณาเขตติดกับเดลแวร์ทางตะวันออกเฉียงใต้ แมริแลนด์ทางทิศใต้ เวสต์เวอร์จิเนียโอไฮโอและแม่น้ำฮดไฮโอทางทิศตะวันตก ทะเลสาบอิรีและนิวยอร์กทางทิศเหนือ แม่น้ำเดลาแวร์ และนิวเจรอ์ซีทางทิศตะวันออก และจังหวัดออนแทรีโอ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
          รัฐเพนซิลเวเนียก่อตั้งขึ้นในปี 1681 โดยได้รับพระราชทืานที่ดินจากวิลเลี่ยม เพนน์บุตรชายของรัฐก่อนหน้านั้น ระหว่างปี 1638-1655 พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐเป็นส่วนหนึ่งจองนิวสวีเอน ซึ่งเป็นอาณานิคมของ จักรวรรดิสวีเดนรัฐเพนซิลเวเนียในยุคอาณานิคม ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นที่หลบภัยสำหรับการยอมรับในศาสนาและการเมืองโดยเป็นที่รู้จักจากความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างสงบสุขกับชนเผ่าพื้นเมืองระบบรัฐบาลที่สร้างสรรค์ และความหลากหลายทางศาสนา เพนซิลเวเนียมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติอเมริกาและการแสวงหาอิสรภาพจากจักรวรรดิอังกฤษ ในที่สุด โดยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภาถองเกรสภาคพื้นทวีปครั้งที่หนึ่ง และครั้งที่สอง ซึ่งนำไปสุ่การประกาศอิสรภาพและการก่อตตังกองทัพภาคพื้นทวีป เมือวันที่ 12 ธันวาคม 1787 เพนซิลเวเนียกลายเป็นรัฐที่สองที่ให้สัตยาบันต่อ รัฐะรรมนูญ ของสหรัฐอเมริกา การต่อสุ้ที่นองเดลือดที่สุดของสงครามกลางเมืองอเมิรกา ที่เมืองเกตตี้สเบิร์กเป็นเวลาสามวันในเดือนกำกฎาคม 1863 พิสุจน์ให้เห็นว่าเป็นจุดเปลี่ยของสงครามซึ่งนำไปสู่การรักาาไว้ซึ่งอำนาจของสหภาพตลอดช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และ 20 เศราฐกิจของรัฐที่เน้นการผลิตที่ส่วนสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในช่วงแรกๆ ของประเทศมากมาย รวมถึงสะพานสำคัญตึกระฟ้าและฮาร์ดแวร์ทางการทหารที่ใข้ในชัยชนะที่นำโดยสหรัฐญในสงครามดลกคร้งที่ 1 และ 2 รวมถึงสงครามเย็นด้วย
           เพนซิลเวเนีย มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์อย่างมาก เทือกเขาแอปพาเลเชียนทอดตัวผ่านใจกลางรัฐ เทืองกเขา อัลเลเกนี และโพโดโนทอดตัวครอบคลุม พื้นที่ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐ พื้นที่เกือบ 60% ของรัฐเป็นป่าไม้แม้ว่าจะไม่มีแนวชายทะเล แต่ก็มีแนวชายฝั่งทะเลยาว 140 ไมล์(225km.) ตามแนวทะเลสาบอีรีและแม่น้ำเดลาแวร์ที่น้ำขึ้นน้ำลง
 
        เพนซิลเวเนีย เป็นรัฐที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 5 ของอเมริกา โดยมีผุ้อยู่อาศัยมากกว่า 13 ล้านคนตามสำมะโนประชากรปี 2020 รัฐมีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 33 และมีความหนาแน่นของประชากรสูงเป็นอันดับ 9 ในบรรดารัฐทั้งหมดพื้นที่มหานคร ที่ใหญ่ที่สุด คือเดลาแวร์วัลเลย์ ทางตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งรวมถึงและล้อมรอบฟิลาเดลเฟีย เมือง ที่ใหญ่ที่สุดของรัฐและมีประชากรมากเป็นอันดับ 6 ของประเทศ พื้นที่มหานครที่ใหญ่เป็นอันดับสองคือ เกรทเทอร์ฟิดต์สเบิร์ก มีศูนย์กลางอยุ่ในและรอบๆ พิตต์ สเบิร์กซึ่งเป็น เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของรัฐ เมืองที่มีประชากรมากที่สุดทำอันดับแรกของรัฐรองลงมา ได้แก่อัลเลนทาวน์เรตติ้ง อีรีสแครนตันและเบธเลเฮม เมืองหลวงของรัฐคือแฮร์ริสเบิร์ก
           ตั้งแต่ยุคแรกเร่ิมของประเทศ เพนซิลเวเนียเป็์นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวในหลายๆ ด้าน รัฐนี้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภาคองเกรสภาคพื้นทวีปที่เมืองฟิลาเดลเฟียในปี 1770 และเป็นรัฐสุดท้ายที่ลงมติเอกฉันท์ในการประกาศอิสรภาพเมืองกรกฎาคม 1776 ในช่วงเวลาแห่งการประกาศอิสราภพ เพนซิลเวเนียยังเป็นศุนย์กลางทางภุมิศาสตร์ของอาณานิคมดั้งเดิม 13 แห่ง โดยมี 6 แห่งทางทิศใต้ และอีก 6 แห่งทางทิศเหนือและตะวันออก 
          รัฐนี้ไม่ได้เป็นรัฐที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอยู่เสมอมา แต่โดยทั่วไปแล้ว รัฐนี้มักเป็นศุนย์กลางของการหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และยังเป็นเช่นนั้นถึงปัจจุบัน เพนซิลเวเนียมีผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีมุมองทางการเมืองหลากหลาย ดดยปกติและผลการเลือกตั้งในระดับจะออกมาสูสีกัน
          ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งในฟิลาเดลเฟียส่วนใหญ่มีแนวคิดเสรีนิยมในทุกประเด็นในขณะที่ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งในชนบทของเพนซิลเวเนียส่วนใหญ่มีแนวคิดอนุรักษนิยมและไม่ค่อยเชื่อเรื่องการเมืองในเมืองอย่างไรก็าม พื้นที่ชายเมืองหลักของรับแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ดดยฝ่ายฟิลาเดลเฟียสนับสนุนเดโมแครต และฝ่ายพิตต์สเบิร์กสนับสนนุพรรครีพับลิกัน
            เมื่อความแตกแยกทางการเมืองระดับภูมิภาคระหว่างภาคเหนือและใต้เพิ่มมากขึ้นในศตวรรษที่ 19 บทบามสำคัญของเพนซิลเวนียในการเลือกตั้งประธานาะิบดีก็เพ่ิมขึ้นเช่น ระหว่างปี 1828-1880 เพนซิลเวเนียเป็รัฐเดียวที่ลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัครชิงตำแหน่งประะานาะิบดีพรรครีพับลิกันที่ชนะทั้งหมดในช่วง 1860 และ 1870 เพนซิเวเนียไม่ได้เป็นรัฐที่เปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาหลายทศวรรษ หลังสงครามกลางเมือง ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งในรัฐสนับสนุนผู้สมัครจากพรรครัพับลิกันในการเลือกตั้งประะานาธิบดีทุกครั้งระหวา่งปี 1860-1932 รวมถึง ธีโอดอร์โรสเวลด์สมัครจากพรครีพับลิกันสายก้าวหน้าในปี 1912 ในช่วงแร 1940 เพนซิลเวนียยังคงสนับสนุนผพรรครพับลิกันมากว่าพื้นที่อื่นๆ ในประเทศ แต่ล้วรัฐก็เปลี่ยนใจกะทันหันและเร่ิมสนับสนุนผุ้สัมครจากพรรคเดโมแครตด้วยคะแนนที่มากว่าผมีสิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศเป็เวลา 60 ปี ตั้งแต่ 1952-2021 นั้นเป็เพราะอำนาขของกลไกการเมืองของพรรครัพับลิกันในฟิลาเดลเฟียแตกสลายไป นับตั้งแต่ปี 1952 เป็นต้นมา ไม่มีนายกเทศนตรีที่มาจากพรรครีพับลิกันที่นั้นเลย
             เมื่อภาคใจ้เร่ิมมีแนวโน้มเป็นพรรครีพัลลิกันในช่วงทศรรษ 1950 และ 1960 และฟิลาเดลเฟียกลายเป็นพรรคเดโมแครตมากขึ้น รัฐเพนซิลเวเนียก็กลายเป็นพรรคเดโมแครตมากกว่ประเทศโดยรวมในการ

เลือกตั้งประธานาธิบดี เพนซิลเวเนียยังคงขาดสภานะเป็นรัฐชี้ขาดในทางการเมืองของคณะผุ้เลือกตั้ง เนื่องจากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งประะานาธิบดีที่สุสีกันทั้งหมดเป็นเวลา 60 แม้แต่เมือพรรครีพัลฃิกันชนะทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงในปี 1968 เมื่อฮิวเบิร์ต ฮัมฟรีย์จากพรรคเดดมแครตชนะการเลือกตั้งในรัฐนี้ ในปี 2000 เมื่อ อัลกอร์จากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งในรัฐเพนซิลเวเนีย แต่แพ้คะแนนเลือกตั้งระดับชาติที่สูสีและเป็นโต้แย้ง และในปี 2004 เมื่อจอห์น เคอร์รีจากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งในรัฐคีย์สโตน
           ปีที่ชาวเพนซิลเวเนียลงคะแนนเลือกผุ้สมัครรชิงตำแหน่งประานาะิบดีจากพรรครีพัลลิกันเป็นปีที่พรรครีพัลลิกัได้รับชัยชนะในระดับประเทศด้วยคะแนนที่สุงมากเป็นพิเศษ คือ 2 ครั้งสำหรับไอเซนฮาวร์ ครั้งสำหรับการเลือกตั้งซ้ำของนิกสัน และอีก 2 ครั้งสำหรับเรแกน
          อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นศตวรรษนี้ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่มีการแข่งขันกันอย่างสุสี พรรครีพัลลิกันเริ่มมองเห็นโอากสที่เพนซิลเวเนียจะมีส่วนร่วมในคำการคำนวณคะณะผุ้เลือกต้งระดับประเทศ
          การขยายตัวของการสำรวจความคิดเห็นทางการเมืองในแต่ละรัฐทำให้สามารถกำหนดแนวดน้มการลงคะแนนเสียงของแต่ละรัฐได้ พบว่ารัฐส่วนใหญ่ลงคะแนนให้พรรคการเมืองหนึ่งพรรคอย่างน่าเชื่อถือในการเลือกตั้งประะานาะิบดีทุกครั้ง ทำให้เกิดการติดป้ายว่า ไรับสีน้ำเงินไ และ "รัฐสีแดง" ซึ่งเริ่มใช้หลังการเลือกตั้งในปี 2000 สื่อต่างๆ เน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเพนซิลเวนีย ฟลอริดา และมิชิแกนเป็นรัฐสำคัญในสมรภูมิโดยอิงจากการสำรวจความคิดเห็นและสัดส่วนคะแนนเสียงเลือกตั้งที่มาก เมือกอร์ได้รับการประกาศให้เป็นผุ้ชนะทั้งสามรัฐในช่วงเช้าของคืนวันเลือกตั้ง ทุกคนต่างคาดเดาว่าเขาจะได้เป็นประธานาธิดบี อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาของคืนนั้นการคาดการณ์ก็จบลงด้วยการที่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้เป็นประะานาธิบดี
           เพนซิลเวเนียยังคงถุกมองว่เป็นรัฐที่มีศักยภาพที่จะเป็นชัยชนะของพรรครีพัลลิกันในการเลือกต้้งประธานาธิบดีอีกสามคร้งข้างหน้า แม้ว่าพรรคเดฮมแครจะชนะการเลือกตตั้งทุกครั้งก็ตาม ความพยายามของรีพับลิกัน บางครั้งถุกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไร้ประโยชน์ในสื่อและในปมุ่่ที่ปรึกษาทางการเมือง
          แต่ด้วยทรัมป์ในปี 2016 พรรครีพับลิกันไม่เพีีงแต่ชนะการเลือกตั้งประานาะิดบีที่เพนซิลเวเนียเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ในปี 1988 เท่านัี้น แต่ยังมีผลงานที่ดีกว่าผลการเลือกตั้งทั่วประเทศอีกด้วย
 ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจครั้งนี้ ได้แก่ ความนิยมอยางสุงของทรัมป์ในพื้นที่ชนบทของรัฐและชานเมืองพิตต์สเบิร์ก และฮิลลารี คลินตันที่ไม่ได้ไปหาเสียงในเมืองต่างๆ หลายแห่งนอกเขตะมือง ชัยชนะที่น่าแปลกใจของทรัมป์ในเพนซิลเวเนีย มิชิแกน และวิสคอนซินในปีนั้น แม้จะเพีีงเล็กน้อยก็ตามทำให้เขาสามารถคว้าชัยชนะจากคณะ(ุ้เลือกตั้งได้และส่งผลให้สื่อและการเมืองทั่วประเทศให้ความสนใจในสามรัฐสำคัญเหล่านี้ขึ้นมาโดยตลอด
         ปี 2024 โดนัลด์ ทรัปม์ ผุ้ได้รับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครัพับลิกันและอดีตประธานาะิบดีสหรัฐฯ จัดการชุมนุมที่เมืองแฮร์ริสเบิร์ก รัฐเพนซิลเวนีย เมือวันพุทธ โดยโจมตีประวัติการย้ายถ่ินฐานของพรรคเดโมแครต เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่เขาตั้งคำถามถึงเชื้อชาติของรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส
          การชุมนุมดังกล่าวจัดขึ้นในร่วมที่สนามกีฬาอนิวฮอลแลนด์ในเมืองหลวงของรัฐ 
          "อย่างที่คุณทราบ นี่เป็นการกลับมาที่เพนซิลเวเนียครั้งแรกของผมนับตั้งการชุมนุมชุมนุมที่บัตเลอร์" เขากล่าว ซึ่งเป็นการชุมนุมที่ ทรัมป์ ถูกพยายามลอบสังหาร https://draft.blogger.com/blog/post/edit/57583117367728393/8200309541380190825?hl=th
         "เมื่อสิบแปดวันก่อน เรามีวันเลวร้ายมา กเราเจอเรื่องแย่ๆ มาเยอะ แันบอกคุณได้เลยว่าวันนี้แันไม่ควรอยุ่กับคุณ แันไม่ควรอยุ่กับคุณ แต่ฉันอยุ่ตรงนี้" ในระหว่างงานที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดกับสมาคมนักข่าวผิวสีแห่งชาติของสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ในวันพุธ ทรัมป์ได้เผยว่า แฮร์ริสเคยระบุว่าตนเป็นคนเอเชียใต้ แต่กลับยอมรับตัวตนว่่าเป็นผุ้หญิงผิวสีเพื่อความได้เปรียยทางการเมือง 
         "เธอเป็นคนอินเดียมาโดยตลอด แต่จู่ๆ เธอก็เปลี่ยนมาเป็นคนผิว่ำ" ทรัมป์กล่าวถึงแฮร์ริส ซึ่งมีพ่อเป็นคนผิวดำและแม่เป็นคนอเมริกันเชื้อสายอินเดีย
         แฮร์ริส วัย 59 ปี เป็นคนผิวสีและเอเชียใต้มาเป็นเวบานานแล้ว เธอเป็นคนผิวสีและเอเชียใต้อเมริกันคนแรกที่ดำรงตำแหน่งรอบประธานาธิบดีของประเทศ
        ทั้งสองฝ่ายต่างออกมาประณามกันอย่างรวดเร็ว.. 
 ทรัมป์และแฮร์ริสทุ่มสุดตั้งเพื่อทำให้เพนซิลเวเนียกลายเป็นฟลอริดาแห่งใหม่ ในปี 2000 คือ ฟลอริดา ฟลอริดา ฟลอริดา ในปี 2024 คือ เพนซิลเวนีย เพนซิลเวเนีย เพนซิลเวเนีย ทั้งสองฝ่ายต่างปฏิบัติต่อเพนซิลเวเนียเหมือนกับโอไฮโอหรือฟลอริดาในสมัยก่อน ซึ่งเป็นรัฐที่ผุ้ชนะังมีแนวดน้มที่จะเป็นผุ้ขนะทำเนียบขาวด้วย 
         แคมเปญหาเสียงชิงตแหน่งประะานาะิบดีของ ทรัมป์ และแฮร์ริส ในปี 2024 มีแนวโน้มที่จะใช้งบโฆษณาในเพนซิลเวเนียมากว่าสองเท่า มากว่าในรัฐชี้ขาดอื่นๆ ทั้ง 6 รัฐ ตามการวิเคราะห์
          ทั้งสองฝ่ายต้องปรับกลยุทะ์การโฆษณาของตนเนหืองจาก นาง แฮร์ริสเป็นหัวหอกแทน ประธานาธิบดีไบเดน 
         ทีมของทรัมปืมองว่าเพนซิลเวเนียเป็นโอกาสที่ดีในการฝ่านด้าน รัฐ "กำแพงสีน้ำเงิน" ในมิดเวสต์ซึ่งรวมถึงมิชิแกนและวิสคอนซิน ซึ่งไบเดนพึ่งพาชัยชนะมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่รัฐสำคัญอื่นๆ มีแนวโน้มไปในทางเดียวกับทรัมป์ ในสัปกาห์ที่ผ่านมา ทีมของทรัมป์เร่ิมทุ่มเงนิจำนวนมากในหารโฆษณาในรัฐนอร์ธแคโรไลนาและเนวาดาเป็นตรั้งแรก ซึ่ก่อนหน้านี้ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่ามีผุ้นำที่น่าพอใจ
           
           https://www.cbc.ca/news/world/trump-pennsylvania-rally-harrisburg-1.7281387
           https://theconversation.com/pennsylvania-continues-tradition-as-keystone-state-in-presidential-elections-232646
          https://www.axios.com/2024/08/03/trump-harris-pennsylvania-ad-spending-president
            
           https://en.wikipedia.org/wiki/Pennsylvania
           https://www.50states.com/state_nickname/pennsylvania/
          

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2567

The Badger State

            "แบดเจอร์" มาจากอดีตที่ร่ำรวยจากการขุดแร่ตะกั่ว โฮ-ชังก์และชนเผ่าพื้นเมืองอื่นๆ ขุดแร่ตะกั่วในภูมิภาคตะวันตะเฉัยงใต้ของวิสคอนซินมาเป็นเวลาหลายร้อยหรืออาจจะหลายพันป ความขัดแย้งเรื่องอาณาเขตในข่วงแรกๆ ในประวัติศาสตร์วิสคอนซินเกิดขึ้นในพท้นที่ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุแห่งนี้ เมื่อชาวอเมริกันที่เข้ามาตั้งรกรากและชาวยุโรปที่เข้ามาตั้งรกรากเริ่มย้ายเข้ามาในพื้นที่ดังกล่าวในช่วงหลายปีก่อนที่จะมีการสถาปนาเป็นรัฐในปี 1848 ชนพื้นเมืองถูกบังคับให้ยกดินแดนให้กับผุ้ตั้งรกรากมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงพื้นทีททางตะวันตกเฉียงใต้ของวิสคอนซินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ ชาวอเมริกันและชาวยุดรปแห่กัยนมายังพื้นที่ดังกล่ายเป็นจำนวนหลายหมื่นคน ทำให้ประชากรชายผิวขาวทีีมีสิทธิออกเสียงเพื่ิมขึ้นจนทให้วิสคอนซินเปลี่ยนจากดินแดนหนึ่งไปสู่อีกรัฐหนึ่งอย่างรวดเร็ว แต่ทำไมเราถึงเป็นรัฐแบดเจอร์

           ปรากฎวานักขุดใยุคแรกๆ นั้นยากจนเกินไปยุ่งเกินไป หรือทั้งสองอย่างจึงไม่สามารถสร้างบ้านบนพื้นทีทีั่ขุดแร่ตะกั่วได้ ในทางกลับกันเืพ่อที่จะผ่านพ้นฤดูหนาวที่โหด้ายของวิสคอนซินไปได้ พวกเขาจึงอาศัยอยู่ภายในเหมืองของตนเอง ผุ้คนล้อเลียนพวกเขา โดยเรียกพวกนั้นว่า "แบดเจอร์"ที่อาศัยอยุ่ในโพรงใต้ดินเหมือสัตว์

         ถ้าคุณรุ้จักแบดเจอร์ดีพอ คุณจะรู้ว่าพวกมันเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่ง แข็งแรงและดุร้าย คนงานเหมืองรู้สึกภูมิใจที่ได้เกี่ยวข้องกับสับสัตว์ร้ายเช่นนี้ และด้วยเหตุนี้ คนงานเหมืองจึคงกลายเป็นแบดเจอร์ และพวกเราจึงกลายเป็นรัฐแบดเจอร์...

 วิดคอนซิน เป็นรัฐในเกรดเลกส์ของภาคระว้นตกเแียงเหนือของสหรัฐฯ มีอาณาเขตติดกับมินนิโซตาทางตะวันตก ไอโอวา,อิลินอยส์ ทางทิศใต้ ทิศตะวันออกติดกับทะเลสาบมิชิแกน ตะวันออกเแียงเหนือติดกับ มิชิแกนและทะเลสาบสุพีเรีย ทางทิศเหนือ 

        วิสคอนซินเป็นรัฐที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 20 และรับที่มีพื้นที่มากป้นอันดับ 23 แบ่งออกเป็น 72 มณฑล และจากการสำรวจสำมะโนประชากรในปี 2020 มีประชากรเกือบ 5.9 ล้านคน เมืองที่มีประชากรมากที่สุดคือมิลวอกี ในขณะที่เมืองหลวงและเมืองที่มประชากรมากเป็นอันดบสอคือเมดิสัน ศูนย์กลางประชากรขนาดใหญ่แห่งอื่นๆ ได้แก่ กรีนเบย์ เคโนชาราซีน และฟ็อกซืซิตี้ส์

        ภูมิศาสตร์ของ วิสคอนซิน มีความหลากหลาย ดดยมี ะารน้ำแข็ง ในยุคนำ้แข็ง เป็นตัวกำหนด ยกเว้นพื้นที่ "ดริวท์เลส" พื้นที่สูงทายงต่อเหนือและพื้นที่สูงทางตะวันตกรวมถึงพื้นที่ราบภ-าคกลาง บางส่วนครอบคลุมพื้นที่ทางตะวันตกของรัฐ ดดยมีพื้นที่ราบลุ่มทอดยาวไปจนถึงชายั่งทะเลสาบมิชิแกน วิสคอนซินมีความยาวเป็นอันดับสามรองจากออนแทรีโอ และมิชิิแกนในด้านความยาวของ แนวชายฝั่งทะเลสาบเกรดเลกส์ ส่วนทางตอนเหนือของรัฐเป็นที่ต้งของป่าสงวนแห่งชาติ Chequamegon-Nicoletในช่วงเวบาที่มีการติดต่อกับยุโรปพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่อยุ่อาศัยของ ชขเผ่า Algonquian และ Siouan และปัจจุบันเปนที่อยุ่อาศัยของชนเผ่าที่รัฐบาลกลางรับรอง 11 เผ่า ในช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ผุ้ตั้งถ่ินฐานชาวยุดรปจำนวนมากเข้ามาในรัฐ โดยส่วนใหญ่อพยพมาจากเยรมัน และสแกนดิเนเวีย วิสคอนซินยังคงเป็นศุนย์กลางของวัฒนะรรม อเมริกันเชื้อสายสแกนดิเนเวีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านอาหารโดยมีอาหารอย่าง Bratwurst และ kringle 

        วิสคอนซิน เป็นหนึ่งในผุ้ผลิต ผลิตภัณฑ์นมชั้นนำของประเทศและเป็นที่รุ้จักในชื่อ "ดินแดนแห่งนมของอเมริกา" ดดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชีส รัฐนี้ยังมีชื่อเสียงในด้านเบียร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิลวอกี ในฐานะสำนักงานใหญ่ ของ Miller Brewing Company วิคอนซิน มีกฎหมายแอลกอฮอล์ที่ผ่นปรนที่สุดแหนงหนึ่งในประเทศและเป็นที่รุ้จักในเรืองวัฒนธรรมการดื่ม

         เศรษฐกิของรัฐ เป็นการ ผลิต การดูแลสุขภาพ เทคโนโลยีสารสนเทส และเกษตรกรรม ดดยเฉพาะผลิตภัณฑ์นม แครนเอบร์รีและโสม การท่้องเที่ยวยังเป็นปัจจัยสำัญต่อเศราฐกิจของรัฐอีกด้วย ผลิตภัฒฑ์มวบรวมในประเทศในปี 2020 อยุ่ที่ 348 พันล้านดอลลาร์ วิสคอนซินเป็นที่ตังของแหล่งมรดกโลกของ UNNESCO หนึ่งแห่ง ซึ่งเประกอบด้วยอาคารที่สำคัญที่สุดสองหลัง ที่ออกเปบโดย "แฟรน์ค ลอย์ด วริงท์" สภาปนิกชาววิสคอนซิน สตุดิโอของเขาที่ "ทาเลียซิน ใกล้ สปริง กรีน และ จาคอปส์ ไอ เฮาส์ ของเขา ในแมนดิสัน พรรครีพับลิกันก่อตั้งขึ้นในวิสคอนซินในปี 1854 ในช่วงไม่กีปีที่ผ่านมา วิสคอนซินเป็นรัฐสมรภูมิ หรือสวิง สเตรทในการเลือกต้่งประธานาธิบดีดดยเฉาพอย่างยิ่งในปี 2016และ2020

          ก่อนที่ไบเดนจะถอนตัวจากการแข่งขัน ยูเอส นิวส์ได้ประเมินวิสคอนซินในเดือนมิถุนายนว่าเป็นรัฐที่ "เสี่ยงดวง" ในการเลือกตั้งประธานาะิบดีปี 2024 ซึ่งเป็นคำอธิบายที่เหมาะสมสำหรับรัฐที่การแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในทำเนียบขาว 4 ครั้ง จาก 6 ครั้งที่ผ่านมา มีการตัดสินด้วยคะแนนน้อยกว่า 1 คะแนนผุ้ชนะในรัฐนี้ยังได้ชนะการเลือกตั้งประธานาะิดบี 4 ครั้งที่ผ่านมาอีกด้วย

 รัฐนี้อยู่ในแคมเปญหาเสียงของทั้งสองพรรค แต่บางที่อสจสำคัญกว่าสำหรับเดโมแครต เนื่องจากพวกเขาพยายามยึด "กำแพงสีน้ำเงิน" ของวิสคอนซิน มิชิแกน และเพนซิลเวเนีย ซึ่งช่วยให้ไบเดนมีชัยชนะเหนือทรัมป์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว

         ก่อนจะยุติการเสนอชื่อชิงตำแหน่งสมัยที่สอง ไบเดนได้ไปเยื่อนวิสคอนซินหลายคร้งในปี 2024 เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของรัฐนี แฮร์ริสได้จัดการชุมนุมในรัฐที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม หสึีงวันหลังจาก ได้รับการสนับสนุน จากผุ้แทนพรรคเดดมแครตส่วนใหญ่ ซึ่งจะเป็นผุ้กำหนดผลการเสนอชื่อในงานที่เมืองมิวอกี รองประะานาธิดบดีกล่าว "เส้นทางสุ่ทำเนียบขาวต้องผ่านสิสคอนซิน และเืพ่อที่จะชนะในวิสคอนซิน เราหวังพึ่งคุณที่นี่ในมิลวอกี" โดยระบว่าสำนักงานใหญ่ของแคมเปญในรัฐตั้งอยุ่ในเมืองนี้

           ทรัมป์ เดินทางเยือนรัฐดังกล่าวเป็นครั้งแรกเมือวันที่ 2 เมษายนนับต้งแต่ปี 2022 ซึ่งตรงกับช่วงการเลือกตั้งขั้นต้นของประธานาธิบดี เขาเดินทางกลับวิสคอนซินอีกครั้งเมือวันที่ 1 พฤษภาคม ดดยไปเยือนเมืองวอเคชา ซึ่งเป็นที่ตั้งมณฑ,สมรภูมิสำคัญ ที่มีชื่อเดียกัน ในปี 2024 ซึ่งถือเป็นการชุมนุมครั้งแรกของทรัมป์นับตั้งแต่เริ่มการพิจารณาคดีเงินปิดปากในนิวยอร์ก ซึ่งในทีุสดเขาก็ ถุกตัดสิน ว่ามีความผิด

        อดีตประะานาธิบดีเดินทางกลับมายังรัฐอีกครงในวันที่ 18 มิถุนายน เพื่อเข้าร่วมงานที่เมืองราซีน ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท Foxconn ผุ้ผลิตเทคดนดลยีองไต้หวัน ซึ่งไดรับการยกย่องอย่างมากในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง แต่หลังจากนั้นก็พิสูน์แล้วว่าไม่ประสบความสำเร็จ ในขณะที่อยุ่ในเมืองราซีน ทรัปม์ได้ดจมตีจุดออ่นทางเศราฐกิจของไบเดน (ซึ่งในขณธนั้นเป็นผุ้ได้รับการเสนอชื่อโดยสันนิษฐานป โดยเน้นย้ำถึงอัตราดอกเบี้ยที่สูงและกล่าว่า "ความฝันแบบอเมริกันนั้นตายไปแล้ว" การเดินทางดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากที่ทรัมป์ได้บอกกับสมาชิกรัฐสภาของพรรครีพับลิกันว่ามิลวอกี ซึ่งเป็นสถานที่จัดการประชุมใหญ่แห่งชาติของพรรครีพับลิกันเป็น "เมืองที่แย่มาก" เขาปฏิเสะคำพูดดังกล่าวในดพสต์บนโซเชียล แต่หลังจากที่เขาดูเหมือนจะยืนยันว่าจะไปที่นั้นและพยายามอะิบายเรื่องนี้ในการให้สัมภาษณ์กับ ฟ็อกนิวส์ สองวันก่อนที่พรรครีพัลลิกันจะเร่ิมการประชุมใหญ่ในรัฐที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อเสนอชื่อทรัมป์และคู่หูของเขา เจดี แวนซ์จากโอไฮโอ ซึ่งจะได้รับการเสนอชื่ออย่างเป็นทางการ อดีตประธานาธิบดีรายนี้รอดชีวิตจากความพยายามลอบสังหารในการชุมนุมหาเสียงที่เพนซิวาเนีย

          ทรัมป์พยายามอย่างหนัก เพื่อพลิกกลับความพ่ายแพ้ในปี 2020 ในวิสคอนซนและจบลงด้วยการแพ้คดีหลายคดี ผุ้สนับสนุนของเขายังพยายามบังคับให้มีการเลือกตั้งถอดถอนสมาชิกพรรครีพัลลิกันที่ได้รับการเลือกตั้งสุงสุดของรัฐ ซึ่งปฏิเสธความพยายามที่จะถอดถอนชัยชนะของไบเดน ในปี 2020 และไม่สนับสนุนแผนการถอดถอนเจ้าหน้าที่การเลือกตั้งระดับสูงของรัฐ

  กลุ่มผุ้มีสิทธิออกเสียงที่สำคัญในวิสคอนซิน

         ชาววิสคอนซินประมาณ 80.1% เป็นชาวผิวขาว รองลงมาคือกลุ่มชาติพันธ์คือกลุ่มอิสแปนิก 7.6% และกลุ่มคนผิวดำหรือแอฟริกันอเมริกัน 6.6% การที่รัฐมีความหลากหลายน้อย หมายความว่าผุ้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งเป็นชนชั้นแรงงานผิวขาวเป็นกลุ่มสำคัญสำหรับผุ้สมัครทั้งสองคน พวกเขาเป็นผุ้สนับสนนุทรัมป์อย่างสำคัญในปี 2016 แม้ว่าไบเดนจะเข้ามาแทรกแซงกลุ่มนี้ในวงกว้างขึ้นระหว่างทางสุ่ชัยชนะในปี 2020 

       กลุ่มสำคัญอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเห็นได้ชัดเจนสำหรับทั้งแฮร์ริสและทรัมป์ทั่วประเทศก็คือผุ้มีสิทธิเลือกตั้งอิสระ แม้ว่าวิสคอนซินจะไม่ลงทะเบียนผุ้มีสิทธิเลือกตั้งตามพรรคการเมือง แต่ข้อมุลการสำรวจในอดีต แสดงให้เห็นว่าผุ้มีสิทะิเลือกตั้งของวิสคอนซินมีการแบ่งแยกค่อนข้างเท่าๆ กันระกว่างเดโมแครและรีพับลิกัน ดดยมีประชากรอิสระจำนวนไม่น้อยที่อยุ่ระหว่างทั้งสองพรรค กลุ่มนี้ช่วยให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในรัฐนี้ในปี 2016 และช่วยให้ไบเดนขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคในปี 2020 

       ในการสำรวจล่าสุด ประเด็นสำคัญสำหรับผุ้มีสิทธิลงคะแนนเสียงในวิสคอนซิน ล่าสุด สำรวจเมือเดือนกุมภาที่ผ่านมา แดสงหใ้เห็นว่า เศราฐฏิจเป็นปัญหาสำคัญที่สุดสำหรับผุ้ัมีสิทธิเลือกตั้งในวิสคอนซินเกือบหนึ่งในสาม 31% รองลงมาคือภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย 13% การย้ายถ่ินฐาน 11% การดุแลสุขภาพ 10% การศึกษา 7% ความสามารถในการซื้อที่อยุ่อาศัย 7% อาชญากรรม 7% และการเข้าถึงการทำแท้ง 7% 

          https://www.usnews.com/news/elections/articles/the-2024-swing-states-wisconsin-could-sway-the-presidential-election

          https://en.wikipedia.org/wiki/Wisconsin

          https://wisconsinhistory.org/Records/Article/CS16342

      

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2567

"The Great Lakes State"

            ชื่อเล่นประจำรัฐมิชิแกน คือ  "รัฐวูล์ฟเวอรีน" มีทฤษำีมากมายทีอธิบายว่าทำไมมิชิแกนถึงได้รับชื่อเล่นนี้ วุล์ฟเวอรีนมีชื่อเสียงในด้าน "นิสัยดุร้ายและความสามารถในการทำลายล้าง" ปัจจุบัน มิชิแกนมักถุกเรียวกวา่ ไรัฐเกรดเลกส์" ชือเล่นนี้ปรากฎอยุ่ในเหรียญที่ระลึกฉลองครบตอบ 200 ปี มิชิแกนของโรงกษาหณืสหรัฐฯ มิชิแกนยังถุกเรียกว่า "ดินแดนแห่งน้ำ"  เป็นรัฐเดียวที่สัมผัสกับเกรดเลกส์ 4 แห่งจากทั้งหมด 5 แห่ง มิชิแกนมีอาณเขตติดกับ ทะเลสาบมิชิแกน ทะเลสาบสุพีเรีย ทะเลสาบฮุรอน และทะเลสาบอีรี ทะเลสาบออนแทรีโอ เป็นเกรดเลกส์แห่งเดียวที่ไม่อยู่ในมิชิแกน


            ตามประวัติ การประชุมระดับมณฑลครั้งแรกของพรรครีพับลิกันจัดขึ้นที่เมืองแจ็กสันในวันที่ 6 กรกฎาคม 1854 และพรรคดังกล่าวก็ครอบงำมิชิแดนมาจนถึงช่วยภาวะเศราฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในการเลือกตั้ง ปี 1912 มิชิแกนเป็นหนึ่งในหกรัฐที่สนับสนุน ธีโอดอร์ โรสเวลต์ ผุ้สมัครจากพรรครีพัลลิกันและพรรคที่สามที่ก้าวหน้าให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี หลังจากที่เขาแพ้การเสนอชื่อชิงตำแหนงประะานาธิบดีจากพรรครีพัลลิกันให้กับ วิลเลียม โฮเวิร์ด แทฟท์ 

            รัฐมิชิแกนยังคงเลือกรีพับลิกันในระดับประธานาธิบดีอย่างเหนี่ยวแน่นตลอดช่วงศตวรรษที่ 20 รัฐนี้เป็นส่วนหนึ่งของเกรตเตอนิวอิงแลนด์ ซึ่งเป็นรัฐทางตอนเหนือของรัฐที่มีผุ้อพยพจากนิวอิงแลนด์เขามาตั้งถ่ินฐานเป็นหลัก ซึ่งพวกเขานำวัฒนะรรมของตน ติดตัวมาด้วย รัฐนี้เป็นหนึงในไม่กี่รัฐที่สนับสนุน เวน เอลล์ วิลกี แทน แฟรงคลิน รูสเวลต์ในปี 1940  และสนับสนุนโทมัส อี. ดิวอี้ในการหาเสียงที่แพ้ให้แก่ แฮร์รี่ เอส. ทรูแมนในปี 1948 

         มิชิแกนได้เข้าร่วมกับพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีทั้งสามครั้งในช่วงทศวรรษทื 1960 แต่ได้ลงคะแนนใหกับผุ้สมัครจากพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งทุกครั้งตั้งแต่ปี 1972 ถึง 1988 รวมถึงเจอรัลฟอร์ด "ลูกชายพื้นเมือง" ในปี 1976 ตั้งแต่ปี 1992 รัฐได้สนับสนุนพรรคเดโมแครตด้วยคะแนนเสียงที่พอประมาณ ยกเว้นชัยชนะอย่างหวุดหวิดของ โดนัลด์ ทรัมป์ในปี 2016 ซึ่งถือเป็นการเลือกตั้งที่สูสีที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐ ในปี 2020 โจ ไบเดนได้ชัยชนะกลับมาด้วยคะแนน 2.8 คะแนน

 31/7/2024 รองประะานาะิบดีกลมา แฮร์ริสแซงหน้าอดีตประะานาธิดบีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการสำรวจความคิดเห็นครั้งใหม่ของรัฐมิชิแกน ซึ่งเป็นรัฐสำคัญในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึง

          การสำรวจความคิดเห็นซึ่งจัดทำโดย Morning Consult สำหรับ "บลูมเบิร์ก" พบว่าแฮร์ริสจากพรรคเดโมแครตมีคะแนนนำทรัมป์จากพรรครัพับลิกัน 12 คะแนนใน "สวิง สเตรท" ซึ่งเป็นที่ที่เขเคย สำรวจความคิดเห็น นำ โจ ไบเดน มาดดยตลอดแต่ก็อย่างหวุดหวิด ก่อนที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะประกาศยุติการหาเสียง

        การสำรวจนี้สำรวจผุ้มีสิทธิลงคะแนนเสียง 706 คนในรัฐมิชิแกนระหว่างวันที่ 24-28 กรกฎาคม และมีค่าความคล่ดเคลื่อนบวกหรือลบ 4% 

       เมื่อถามว่าหากการเลือกตั้งจัดขึนในวันนี้พวกเขาจะลงคะแนนให้ใคร ผุ้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 51


เลือกแฮร์ริส ร้อยละ 39 เลือกทรัมป์ และร้อยละ 5 เลือก โรเบิร์ต เอฟ.เคนเนดี้ จูเนียร์ ผุ้สมัครอิสระ ร้อยละ 3 ของผุ้ตอบแบบสอบถามเลือกผุ้สมัครรายอื่น

       เมื่อวันพุทธที่ผ่านมา นิตยสาร "นิวส์วีค" ติดต่อไปยังทัมหาเสียงของทรัมป์ทางอีเมลเพื่อขอความเห็น

       แม้จะมีการสำรวจความคิดเห็น ผุ้เชี่ยวชาญก็ยังระบุว่ามิชิแกนไม่ใช่รัฐที่ปลอดภัยสำหรับ พรรคเดโมแครต เดวิด ดุลิโอ ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโอ็คและนด์ของมิชิแกน กล่าวกับนิตยสาร "นิวส์วีค" ว่าการสำรวจความคิดเห็นของ "มอร์นิ่ง คอนซูลท์"ถือว่าแตกต่างไปจาการสำรีวจความคิดเห็นอื่นๆ เมื่อเร็วๆนี้ และไม่จำเป็นต้องเป็นจุดเร่ิมต้นของแนวโน้มใหม่

       ในขณะที่บริษัทสำรวจความคิดเ็นอื่นๆ มักจะจัดอันดับให้ทรัมป์นำหน้าไบเดน ในมิชิแกนเมืองช่วงต้นปี แต่ "มอร์นิง คอนซูลท์" ซึ่งดำเนินการสนำรวจความคิดเห็นนี้ เป็นบริษัทเดียวที่จัดอันดับให้ ไบเดนนำในรัฐนี้ โดยการสำรวจความคิดเห็นของพวกเขาระบุว่า ไบเดนนำหน้าในมิชิแกนตั้งแต่เดือนเมษายน


 "ดูลิโอ" กล่าวว่า เมื่อผุ้ตอบแบบสอบถามถุกถามว่าผุ้สมัครคนใดจะสามารถจัดการกับประเด็นเฉพาะได้กีกว่า แฮร์ริสเป็นผุ้นำในเรื่องการทำแท้ง พวกเขามีคะแนนเท่ากันในเรื่องเศราฐกิจ และทรัมป์เป็นผุ้นำในเรื่องการย้ายถ่ินฐาน

 ไเปอร์เซ็นต์ที่บอกว่าการทำแท้งมีความสำคัญต่อการลงคะแนนเสียงของพวกเขานั้นขับเคลื่อนโดยฐานเาียงของพรรคเดโมแครต แต่การย้ายถ่ินฐานอาจมีความสำคัญต่อผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่สามารถโน้มน้าวใจได้มากกว่า" เขากล่าว

      ดูลิโอ กล่าวว่า ทรัมป์มีฐานเสียงที่ภักดีในมิชิแกนซึ่งส่วนใหญ่จะออกมาลงคะแนนให้เขา "การประกาศของแฮร์ริสทำให้ฐานเสียงขอวพรรคเดโมแครตกลับมาคึกคักขึ้นอย่างแน่นอน แต่ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะมีพลังมากกว่าพรรครีพัลลิกัน" เขากล่าว "เช่นเดียวกับแคมเปญฯส่วนใหญ่ในมิชิแกน ผลลัพธ์จะขึ้นอยุ่กับสองสิ่ง แคมเปญที่ดึงผุ้สนับสนุนออกมาได้ และการต่อสู้เพื่อชิงผุ้สนับสนุน 10% ที่ "สามารถเอาชนะได้"

      "ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่แสดงให้เห็นว่ามิชิแกนยังไม่ปิดตัวลงก็คือเธอ (แฮร์ริส) และเพื่อร่วมทีมที่ยังไม่ได้ประกาศชื่อจะม่ที่นี้ในสัปดาห์หน้า พวกเขาไม่ได้มองข้ามเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอน"

         เบอร์นี่ พอร์น นักสำรวจตความคิดเห็นและผุ้ก่อตั้งบริษัท EPIC-MRA ซึ่งตั้งอยู่ในมิชิแกน กล่าวกับนิตยสาร นิวส์วีค ว่า แฮร์ริสกำลังได้รับความนิยมจากผุ้มีสิทธิเลือกตั้งในกลุ่มประชากรสำคัญที่ไบเดนมีผลงานตำ่กว่าที่คาดไว้ในมิชิแกน รวมถึงในกลุ่มผู้หญิง และในกลุ่มชาวอเมริกันอาหรับ เนืองจากเธอมีจุดยืนในการเรียกร้องให้หยุดยิงในฉนวนกาซา


       "จากผลสำรวจครั้งหนึ่ง แันจะไม่บอกว่ามิชิแกนกลายเป็นคู่แข่งของพรรคเดโมแครต แต่ผลสำรีวจครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าแฮรืริสเป็นผุ้นำในหลายประเด็นไ พอร์นกล่าว "แฮร์ริสและพรรคเดดมแครตดูเหมือนจะมีกำลังใจและอาจเป็นเพราะไบเดนตัดสินใจลาออกและสนับสนุนแฮร์ริส

      "หากการสำรวจความคิดเห็นเพ่ิมเติมแสดงให้เห็นผลลัพธ์แบบเดียวกันในขณะที่การรณรงค์ดำเนินไป ในกาณีนั้นการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอันดับของมิชิแกนจึงควรได้รับการพิจารณา

       มิชิแกนน่าจะเป็นหนึ่งในรัฐที่สำคัญที่สุดในการตัดสินผลการเลือกตั้งเนื่องจากเป็นรัฐที่มีคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งมากที่สุดรัฐหนึ่ง (มี 15 คะแนน) และมีการแข่งขันสูงกว่ารัฐอื่นๆ ที่มีประชากรหนาแน่น เช่น แคลิฟรอ์เนีย เท็กซัส ฟลอริดาร และนิวยอร์ก

           https://www.newsweek.com/kamala-harris-michigan-lead-donald-trump-1932556

          https://en.wikipedia.org/wiki/Politics_of_Michigan

          https://statesymbolsusa.org/symbol-official-item/michigan/state-nickname-state-quarter/great-lakes-state

        

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Swing State

            Swing State  ในทางการเาืองอเมริกันรัฐที่มีฮอกาสชนะ เรียกอีอย่างว่า รัฐสมรภุมิ, รัฐเสี่ยง,หรือรัฐม่วง คือรัฐใดๆ ที่ผู้สมัครจาก พรรคเดฮมแครตหรือรีพับลิกัน สามารถคว้าชั้ยชนะในการเลือกตั้งระดับรัฐได้ โดยส่วนใหญ่มักจะหมายถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยอาศัย ผลคะแนนที่เปลี่ยนแปลงไป รัฐเหล่านี้มักเป็นเป้าหมายของแคมเปญหาเสียงของพรรคใหญ่โดยเฉพาะในการเลือกตั้งที่มีการแข่งขันกันสูง ในขณะเดียวกัน รัฐที่มักจะโน้มเอียงไปทางพรรคใดพรรคหนึ่งมักจะเรียกว่า "รัฐปลอดภัย" หรือดดยเฉาพะคือ "รัฐแดง"และ "รัฐน้ำเงิน" ขึ้นอยู่กับการโน้มเอียงของพรรค เนื่องจากโดยทั่วไปถือว่าผู้สมัตรหนึ่งคนมีฐานเสียงที่ดึงคะแนนเสียงจากผุ้สมัครได้เพียงพอโดยไม่ต้องลงทุนหรือพยายามมากนักในการหาเสียง

             เนื่องจาก รัฐส่วนใหญ่ใช้วิธี "ผุ้ชนะกินรวบ" เพื่อกำหนดผุ้เลือกตั้งประธานาธิบดี ผุ้สมัครจึงมัหาเสียงเฉพาะในรัฐที่มีการแข่งขันสุงเท่านั้นซึ่งเป็นสาเหตุที่กลุ่มรัฐที่คัดเลือกมาอย่างดีจึงมักได้รับการโฆษณาและผุ้สมัรเขาเยี่ยมชมเป็นส่วนใหญ่ สนามรบอาจเปลี่ยนแปลไปในแต่ละรอบการเลือกตั้งและอาจสะท้อนให้เห็นได้จากการสำรวจความคิดเห็นโดยรวม ข้อมุลประชากร และความดึงดุดใจทางอุดมการณ์ของผู้ได้รับการเสนอชื่อ

            ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา แต่ละรัฐมีอิสระในการตัดสินใจเลือกคณะผุ้เลือกตั้งของตน เพื่อเพิ่มอำนาจการลงคะแนนในระบคณะผุ้เลือกตั้ง รัฐทุกแห่ง ยกเว้น เมน และ เนแบรสกาได้นำ ระบบ ผุ้ชนะกินรวบโดยผุ้สมัครที่ได้รับะแนนนิยมสุงสุดในรัฐหนึ่งจะชนะคะแนนเลือกตั้งทั้งหมาดของรัฐนั้น ความคาดหวังก็คื อผุ้สมัตรจะดูแลผลประโยชน์ของรัฐที่มีคะแนนเสียงเลือกตั้งมากที่สุด อยางไรก็ตาม ในทางปกิบัติผุ้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่มักจะไม่เปลี่ยนพรรคการเมืองจากการเลือกตั้งครังหนึ่งไปสู่การเลือกตั้งครั้งต่อไป ทำให้ผุ้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีใช้เวลาและทรัพยากรที่มีจำกัดในการหาเสียงในรัฐที่พวกเขาเชือ่ว่าสามารถหันเข้าหาพวกเขาหรือหยุดรัฐต่างๆ ไม่ให้หันเข้าหาพวกเขาได้ และไม่ใช้เวลาหรือทรัพยากรในรัฐที่พวกเขาคาดวาจะชนะหรือแพ้ เพนืองมาจากระบบการเลือกตั้ง ทำให้การรณรงค์หาเสียงมีความกังวลน้อยลงกับการเพ่ิมคะแนนเสียงนิยมในระดับประเทศของผุ้สมัครและมักจะภม่งเน้นที่คะแนนเสียวนิยเฉพาะในรัฐที่สามารถให้คะแนนเสียงเลืกอตั้งที่จำเป็นในการชนะการเลือกตค้งเท่านั้น และไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผุ้สมัครจะได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งที่เพียงพอในขณะที่ไม่ได้ชนะคะแนนเสียงนิยมในระดับประเทศ

            หกรัฐชี้ชะตาเตรียมตักสินผลการเลือกตั้งสหรัฐฯปี 2024 การเลือกตั้งสหรัฐฯในปีนี้มีผุ้มีสิทธิลงคะแนนเสียงราว 240 ล้านคนแต่มีแนวโน้มว่าจะมีเพียงจำนวนเล็กนอ้ยเท่านั้นที่จะสามารถตัดสินใจได้ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป

             ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ามีเพียงไม่กี่รัฐเท่านั้นที่มีแนวโน้มว่าผุ้สมัตรจากพรรคเดโมแครตอย่าง กมลา แฮร์ริส หรือ โดนัลด์ ทรัมป์ จะคว้าชัยชนะได้ 

             ทั้งหกรัฐ ได้แก่ แอริโซนา จอร์เจีย มิชิแกน เนวาดา เพนซิลเวเนีย และวอิสคอนซิน ดูเหมือนว่าจะอยุ่ในภาวะเสียง และอาจเป็นผุ้ถือครองกุญแจสำคัญในการที่จะได้ครองทำเนียบขาว

            ทั้งสองฝ่ายจึงหาเสียงกันอย่างเข้มข้นเพื่อชนะใจผุ้มีสิทธิเลือกตังที่ยังไม่ตัดสินใจตในรัฐเหล่านี้

           แอริโซน่า 

           นายไบเดน ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในปี 2020 โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐแกรนด์แคนยอน ซึ่ลงคะแนนสนับสนุนผุ้สมัครจากพรรคเดดมแครตอย่างหวุดหวิดเป็นครั้งแรกนับตึ้งแต่ทศวรรษ 1990

          รัฐนี้ติดกับเม็กซิโกเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์ และกลายเป็นจุดศุนย์กลางของการอภิปรายเเรดืองการอพยพเข้าเมืองของประเทศ จำนวนผุ้เดินทางมาถึงชายแดนสหรัฐฯ ถุ่งสูงเป็นประวัติกาณณ์ในช่วงที่นาย ไบเดน ดำรงตำแหน่งอยุ่ทำให้เขาต้องปวดหัวกับการเลือกต้งอย่างหนัก จำนวนผุ้ข้ามพรมแดนลดลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่เขาได้แสดงจุดยืนที่แข็งกร้าวขึ้นและวางแผนที่จะปิดพรมแดนเมือจำนวนผุ้ข้ามพรมแอนพุ่งสูงขึ้น

        เขายังให้คำมั่นว่าจะดำเนินการ "ปฏิบัติกาเนรเทศครั้งวใหญ่ที่สุด" ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ หากเขาได้ดำรงตำแหนงผระธานาธิบดีอีกครั้ง


          รัฐแอริโซนาบังเผชิญความขัดแย้งอย่างระนแรงเกี่ยวกับสิทธิในการทำแท้ลหลังจากพรรครีพัลลิกันของรัฐพยายามฟื้นคืนกฎหมายห้ามการทำแ้งแบบถาวรที่บังคับใช้มายาวนาน 160 ปี กฎหมายนี้กลายเป็นประเด็นร้อนทั่วประเทศตั้งแต่ปี 2022 เมื่อศาลฎีกาสหรัฐฯ พลิกคำตัดสินสำคัญที่หใ้สิทธิสตรีในการทำแท้ตามรัฐธรรมนูญ

            จอร์เจีย

             รายชื่อรัฐที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเรานั้นใกล้เคียงกับรายชื่อสถานที่ที่เจ้าหน้าที่พรรคีพับลิกันที่ได้รับการสนับสนุนจากทรัมป์พยายามขัดขวางชัยชนะของนายไบเดนในการเลือกตั้งปี 2020 ในรัฐจอร์เจีย การกล่าวหาว่านายทรัมปืถุก แทรกแซงการเลือกตั้งส่งผลให้เขาต้องติดอยุ่ในคดีอาญา 1 ใน 4 คดี เขาและอีก 18 คนถุกกล่าวหาว่าร่วมกันวางแผนพลิกกลับสถานการณ์ที่เขาพ่ายแพ้ต่อนาย ไบเดน อยางหวุดหวิดในรัฐนั้น เขาปฏิเสธข้อกล่าวหาใดๆ และคดีนี้ดุเหมือนจะไม่ได้รับการพิจารณาในศาลก่อนการเลือกตั้ง

            อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องรอดูว่าปัญหาทางกฎหมายของนายทรัมป์จะส่งผลกระทบต่อตัวเขาในการเลือกตังหรือไม่ เราอาจได้ทราบเร็วๆ นี้เนืองจากการพิจารณาคดเงินปิดปากของเขาสิ้นสุดลงด้วยการตัดสินว่าเขามีความผิด 

           ด้วยจำนวนประชากร 33% จอร์เียจึงมีสัดส่วนคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันสูงที่สุดแหงหนึ่งของประเทศ และเชื่อกันว่าประชากรกลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการที่นาย ไบเดน พลิกสถานการณืในรัฐในปี 2020 อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนผิวดำ ในอเมริกผิดหวัง โดยบางคนบอกว่าทำอะไรไม่มากพอในการต่อสุ้กับความอยุติะรรมทางเชื้อชาติหรือพัฒนาเศรษฐกิจ

            มิชิแกน 

            รัฐเกรดเลกส์ได้เลือกผุ้สมัตรชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ชนะการเลือกตั้งสองครั้งล่าสุด แม้จะสนับสนุนนายไบเดนในปี 2020 แต่การทำเช่นนั้นก็กลายเป็นัญลักษณ์ของการตอบดต้จากทั่วประเทศต่อการสนับสนุนอิสราเอลของประธานาธิบิดีระหว่างสงครามในกาซา

          ในระหวางการแ่งขันขั้นต้นของพรรคเดโมแครตในรัฐมิชิแกนเมื่อเอืนกุมภาพันธ์ ผุ้มีสิทธิออกเสีงกว่า 100,000 คนได้เลือกตัวเลือก "ไม่ผูกมัด" ในบัตรลงคะแนของตน หลังจากที่มีการรณรงค์โดยกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ต้องการให้รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนการหยุดยิงในฉนวนกาซาและหยุดความช่วยเหลือทางทหารแก่อิสราเอล ที่น่าสังเกตคือ มิชิแกนมีชาวอเมริกันเชื่้อสายอาหรับมากที่สุดในประเทศซึ่กลุ่มคนที่สนับสนุนนายไบเดน กำลังตกอยู่ในอันตราย แตแฮร์ริสได้เริ่มต้นการรณรงค์ของเธอด้วยนำ้เสียงที่แข็งกร้าวต่ออิสราเอล และผุ้ประท้วงในฉนวนกาซาบางส่วนบอกกับบีบีซีว่าพวกเขาหวังว่าเธอจะเห็นใจจุดยืนของพวกเขามากขึ้น

         ประะานาธิบดีทรัมป์เน้นย้ำถึงความสำคัญของรัฐในเส้นทางสุ่ชัยชนะของเขาโดยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ในตะวันออกลางว่า เขาเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการรณรงค์ต่อต้านกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา แต่ "ต้องทำให้เสร็จโดยเร็ว" 
            เนวาดา

            รัฐซิลเวอร์สเตดได้ลงคะแนนเสียงให้กับพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา แต่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าพรรครีพัลลิกันอาจพลิกกลับมาชนะได้ ค่าเฉลี่ยล่าสุดทีเ่ผยแพร่โดยบริษัทติดตามผลสำรวจ 538ระบุว่านายทรัปม์มีคะแนนนำนายไบเดนอย่างท่าวท้น แต่เราต้องรอดูผลสำรวจว่านางแฮร์ริสจะทำได้ดีแค่ไหน ผู้สมัครทั้งสองคนกำลังแข่งขันกันเพื่อคว้าชัยชนะจากประชากรละติน จำนวนมากของรัฐ

           แม้ว่าเศราฐกิจ สหรัฐฯ จะเติบโตอยางแข็งแกร่งและมีการสร้งงานเพื่อมขึ้นับตั้งแต่ที่นายไบเดนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี แต่การฟื้นตัวหลังโควิดในเนวาดากลับช้ากวาที่อื่นๆ ด้วยอัตราว่างงาน 5.1% รัฐนี้มีอัตราการว่างงานสุงที่สุดในประเทศ รองจากรับแคลิฟอร์เนียและเขตโคลัมเบีย ตามสถิติล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง เขาให้คำมั่นว่าจะกลับมาใช้นดยบายลดหย่อนภาษีในทุกด้าน และมีกฎเกณฑ์ี่น้อยลง

           เพนซิลเวนีย

           ชาวเพนซิลเวเนียไม่ใช่กลุ่มคนอเมริกันกลุ่มเดียวที่รุ้สึกดดันเรื่องค่าครองชีพอันเป็นผลจากภาวะเงินเฟ้อ แต่ราคาอาหารชำในรัฐเพนซิลเวนีกลับพุ่งสุงขึ้นเร็วกว่าในรัฐอื่น ตามข้อมุลของ "ดาต้าเซมบลี" ซึ่งเป็นผุ้ให้บริการข้อมูลตลาด

          สำนักข่าว BBC รายงานเมื่อเร็วๆ นี้ว่าประชาชนในเมืองอีรีต้องดินรนต่อสุ้เพียงใด ซึ่งเป็นเมืองสำคัญสำหรับรับเพนซิลเวเนียที่เหลือ โดยมีคนมากถึง 1 ใน 8 คนที่ถูกมองว่า "ขาดแคลนอาหาร" รัฐได้พิสูจน์ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญในการเลือกตั้ง 2020 โดยสนับสนุนนายไบเดนในการหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ประสบความสำเร็จเเขามีความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งกับเมืองสแครนตัสซึ่งเป็นเมืองชนชั้นแรงงาน ซึ่งเป็นเมืองที่เขาเติบโตขึ้นมา

         เงินเฟ้อที่สูงอาจส่งผลกระทบต่อนายไบเดนทั่วสหรัฐฯ เนื่องจากผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าเงินเฟ้อทำให้ผุ้มีสิทธิออกเสียงมีมุมมองต่อเศราฐกิจในเชิงลบ 

         ทรัมป์พยายามดจมตีคู่ต่อสุ้ของตนในเรื่องราคาที่สุงอยางต่อเนื่อง แต่เขาก็เชิญกับความท้าทายในรัฐเพนซิลเวเนียเช่นกัน หลังจากที่คุ่แข่งจากพรรครีพับลิกันอย่างนิกกี เฮลีย์ทำผลงานได้ค่อนข้องดีในกาเรลือกตังขึ้นต้น

           วิสคอนซิน 

           รัฐแบดเจอร์ยังเลือกผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ชนะในทั้งปี 1996 และ 2000 ด้วยคะแนนห่างกันเพียงเล็กน้อยกว่า 20,000 คะแนนในแต่ละครั้ง

          ผุ้เชี่ยวชาญได้เสนอแนะว่าในรัฐชายอบเช่นนี้ผุ้สมัครจากบุคคลภายนอกที่รัณรงค์ต่อต้านนโยบายของผุ้สมัครรายใหญ่ทงสองราย อาจสร้างผลกระทบได้ การสำรวจความคิดเห็นระบุว่าการแสดงการสนับสนุนผุ้ที่เป็นอิสระ เช่น โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ อย่างมาก ซึ่งกำลังต่อสุ้เพื่อชิงตำแหน่งในวิสคอนซิลและรัฐอื่นๆ อาจส่งผลเสียต่อคะแนนเสียงของนายไบเดนหรือนายทรัมป์

        ทรัมป์ได้กล่าวถึงรัฐนี้ว่า "สำคัญมาก..หากเราชนะวิสคอนซิน เราก็จะชนะทั้งหมด" การประชุมใหญ่แห่งชาติของพรรครีพับลิกันในช่วงฟูดร้อนนี้จะจัดขึ้นที่เมืองมิลวอกี

        เมื่อไม่นานมานี้ นายไบเดนชี้ให้เห็นถึงศุนย์ข้อมุลแห่งใหม่ของ ไมโครซอฟ ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังวิสคอนซิน เพื่อเป็นหลักฐานว่าเขากำลังสร้างงานใหมทได้อย่างไร โดยให้เหตุผลว่าผุ้ดำงตำแหน่งก่อนของเขาไม่สามารถรักษาคำมั่นสัญญาของเขาไว้ได้

           https://www.bbc.com/news/articles/c511pyn3xw3o

           https://en.wikipedia.org/wiki/Swing_state

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Electoral College

           การเลือกตั้งประธานาะิบดีสหรัฐฯ ชาวอเมริกันจะเป็นผู้ออกเสียงเลือกตั้งคณะผุ้เลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งจะเลือกตั้งประธานาธิบดีในโดยผุ้สมัครรับเลือกตั้งผุ้ใดได้รับเสียงของคณะผุ้เลือกตั้งขั้นต่ำ 270 เสียง จาก 538 เสียงก็ชนะการเลือกตึ้งได้เป็นประธานาธิบดี ชาวอเมริกันออกเสียงเลือกต้งจะเลือกคณะผู้เลือกตัง ไม่ได้เลือกตัึ้งตัวประธานาธิบดีโดยตรง

         สหรัฐอเมริกาเป็นรัฐรวม ไม่ใช้รัฐเดี่ยว เปรียบเสมือนการมีประเทศ 50 ประเทศเข้ามารวมกันดดยความสมัรใจเป็นประเทศเดียว ดังนั้น มลรัฐทั้ง 50 มลรัฐของอิมริกา ซึ่งมีวัฒนธรรม ระเบียบแบบแผน กฎหมาย ความเชื่อ วิธีคิด ฯลฯ ที่แตกต่างกัน กฎหมายเลือกตั้งของแต่ละมลรัฐของสหรัฐฯ ก็ไม่เหมือนกัน เช่นการนับบัตรลงคะแนน 



        การใช้ระบบคณะผุ้เลือกตั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ นั้นมาจากคัดกรอง สองขั้นตอน และคณะผุ้ร่างรัฐะรรมนฝูญของอเมริกานั้นมองพรรคกาารเมืองว่าเป็น "การเล่นพวกอย่างเปิดเผย" จึงไม่ได้ใส่เรื่องพรรคการเมืองลงในรัฐธรรมนูญเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรืองการเลือกตั้งประธานาธิเบี ดังนั้น ไรบบการเลือกตั้งคณะผุ้เลือกตั้ง" นั้นในการเลือกตั้งปรธานาธิบดี 2 ครั้งแรกจึงไม่มีพรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง 

         เมื่อคณะ(ุ้เลือกตั้งที่ได้รับเลือกตั้งในวันอังกคารแรกของเดือนพฤศจิรกายนแล้ว ก็จะเดินทางไปยังเมืองหลวงของมลรัฐของตนในวันจันทร์แรกของเดือนธันวาคมเพื่อทำการหย่อนบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีเสร็จแล้วก็หมดหน้าที่ ทางมลรัฐจะส่งผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีไปให้ประะานวุฒิสภาสหรัฐ ซึ่งประะานวุฒิสภาก็จะนำคะแนนเสียงของแต่ละมลรัฐไปนับกันอย่างเปิดเผยในที่ประชุมร่วมของสภาผุ้แทรราษำรและวุฒิสภาในต้นเดือนมกราคมแล้วประกาศผลอย่างเป็นทางการว่าใครได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป...

         อเมริกาเลือกประธานาธิบดีผ่านคณะผุ้เลือกตั้งรัฐทั้ง 50 รัฐและกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ได้รับคะแนนเสียงจากคณะผุ้เลือกตั้ง Election College Vote ECV จำนวน 538 เสียง จำนวนคะแนนเสียงที่มอบให้แต่ละรัฐขึ้นอยุ่กับการเป็นตัวแทนในวุฒิสภาและสภาผุ้แทนราษฎร แต่ลรัฐมีวุฒิสมาชิก 2 คน และผุ้แทนอยางน้อย 1 คน ดังนั้นแม้แต่รัฐที่มีประชากรน้อย เช่น มอนทานา ก็รับประกันได้ว่าจะมี 3 คะแนน โอไฮโอซึ่งเป็น "รัฐสมรภูมิ" มีสมชิกรัฐสภา 16 คน ในสภาผุ้แทนราษฎร ดังนั้นเมือรวมวุฒิสมาชิก 2 คนเข้าด้วยกันก็จะได้ ECV 18 ใบ วอชิงตัน ดี.ซี. ไม่มีตัวแทนในวุมฺสภหรือสภาผุ้แทนราษำร แต่ได้รับ ECV 3 ใบในปี 2504 เกือบทุกรัฐมอบ ECV ทั้งหมดให้กับผุ้ที่ชนะคะแนนนิยมใสนรัฐนั้น (มีเพียงเมนและเนแบรสกาเท่านั้นที่อนุญาตให้แบ่ง ECV ให้กับผู้สมัคร) เพื่อชนะการเลือกต้้งประธานาธิบดี ผุ้สมัตตรจะต้องได้รับคะแนนเสียงอย่างน้อย 270 เสียง

         รัฐที่มักจะเลือกทางใดทางหนึ้ง เช่น แคลิฟอร์เนีย และเท็กซัส มักไม่รับความสนใจจากผุ้ลงสมัคร
แม้ว่าจะมีผุ้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมาก ก็ตาม ผุ้มัครกลับมุ่งเน้นไปที่ "รัฐที่มีโอกาสชนะสุง" ประมาณ 12 รัฐ ซึ่งมีชนาดตั้งแต่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ซึ่งมี ECV 4 เสียง ไปจนถึงฟลอริดาซึ่งมี 29 เสียง ซึ่งทำให้กลุ่มประชากรและธุรกิจในรัฐที่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงได้มีอำนาจในการเลือกประธานาธิดบีมากว่าที่ควรจะเป็น ในรัฐฟลอริดาพรรคการเมืองต่างๆ ดึงดุดผุ้เกษียณอายุและชาวฮิสแปนิก ไอโอวา พรรคการเมืองเหล่านี้เอาใจเกษตรกรผุ้ปลูกขั้าวโพดที่ผลิตเอธานอล ระบบนี้ยังให้ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งในรัฐที่ม่ีประชากรน้อยที่สุดมีน้ำหนักสัมพันธ์มากกว่าด้วย ไวโอมิงมี  ECV 3 เสียง ต่อประชากร 586,000 คนที่อาศัยอยุ่ที่นั้น หรือหรือ 1 เสียง ECV ต่อประชากร 195,000 คน ขณะที่แคลิฟอร์เนียซึ่งมีประชากร 39 ล้านคน มีผุ้มีสิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดี 55 คน หรือ มี EVC 55 เสียง หรือหนึ่งเสียง(หนึ่งผุ้มีสิทธิ)ต่อประชากร 712,000 คน

         ผุ้สนบสนุนระบบคณะผุ้เลือกตั้งกล่่าวว่านั้นคือประเด็นสำคัญ ระบบนี้สะท้อนถึงระบบสหพันะรัฐของอเมริกาด้วย การให้อิทธิพลแก่รัฐที่เล็กกว่มากขึ้น หากไม่มีคณะผุ้เลือกตั้ง ผุ้สมัครจะมุ่งเน้นไปที่เมืองใหญ่และขตชานเมืองแทน ระบบนี้บังคับให้ว่าที่ประธานาธิบดีต้องแสวงหาการสนับสนุนจากกลุ่มผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่หลากหลาย ระบบนี้ยังขยายขอบเขตของชัยชนะ ทำให้ประธานาธิบดีมีอำนาจในการบริหารประเทศมากขึ้น โดยคะแนนเสียงที่ชนะในคณะผุ้เลือกตั้งมักจะกว้างกว่าคะแนนนิยมมาก

          ปัญหาเกิดขึ้นเมือผุ้สมัครรายหนึ่งแพ้คะแนนนิยมแต่กลับชนะคณะผุ้เลือกตั้ง ซึ่งเกิดขึ้นถึง 4 ครั้ง รัฐสภาพยายามปรับระบบการเลือกตั้งให้สอดคล้องกับคะแนนนิยมมากขึ้น การเคลือนไหวดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากริชาร์ด นิกสัน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีขณะนั้น แต่ถูกขัดขวางโดยวุฒิสมาชิกจากภาคใต้ ซึ่งกังวลว่าจะทำให้อำนาจในการเลือกตั้งในภูมิภาคชของตนอ่อนแอลง

          คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันมากที่สุดในภุมิทัศน์ทางการเมืองปัจจุบัน คณะ
กรรมการการเลือกตั้งเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา แทนที่จะลงคะแนนเลือกประะานาธิบดีโดยตรง ประชาชนจะลงคะแนนเสียงเลือกผุ้เลือกตั้งเพื่อลงคะแนนเสียงให้กับตน แต่ละรัฐมีจำนวนผุ้เลือกตั้งเท่ากับสมาชิกสภผุ้แทนราษำรและวุฒิสภชิกในรัฐสภา และบางคนอาจโต้แย้งว่าจำนวนผุ้เลือกตั้งนี้เือ้ประโยชน์ต่อรัฐที่มีประชากรน้อยกว่าเนื่องจากผุ้เลือกตั้งสองคนแรกทำให้จำนวนประชากรลดลง สมมติว่ รัฐ A มีผุ้แทน 5 คน และรัฐ B มีประชากรมากกว่ารัฐ A ถึงสองเท่า หากเป็นสัดส่วนกับประชากรอย่างสมบูรณ์ รัฐ B จะมีผุ้เลือกตั้งมากกว่าสองเท่า(10) รัฐ B จะมีผุ้เลือกตั้ง 12 คนใสสมมติฐานที่เป็นจริงนี้ และรัฐ A จะมีผุ้เลือกตั้ง 7 คน ในรัฐที่เล็กกว่า การลงคะแนนเสียงแต่ละครั้งมีน้ำหนักมากกว่ารัฐที่ใหญ่กว่ ตลอดประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ผุ้ชนะการลงคะแนนเสียงแบบนิยมแพ้หลายครึ้ง และในความเป็นจริง ปรธานาะิบดี 2 คนจาก 4 คนสุดท้ายแพั้การลงคะแนนเสียงแบบนิยม ทิ้งคำถามไว้ว่าใครมีอำนาจ เสียงของประชาชนหรืออนาคของประเทศอยุ่ในมือของนักการเมืองที่ชาญฉลาด

           ปัจจัยอีกแระการหนึ่งในกระบวนการเลือกตั้งคณะผุ้เลือกต้งคือข้อตกลงระหว่างรัฐว่าด้วยการลงคะแนนเสียนิยมแห่งชาติ National Popular Vote Interstate Compact ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐต่างๆ หลายแห่งและเขตโคลัมเบยในการมอบคะแนนเสียงเลือกตั้งของตนให้กับผุู้สมัครรายใดก็ตามที่ได้รับคะแนนเสียงนิยมทั่วทั้งประเทศ ขอ้ตกลงดังกลบ่าวอาจเป็นแวทางแก้ไขที่ประชาธิปไตยมากกว่าาสำหรับคณะผู้เลือกตั้ง เนื่องจากให้อำนาจแก่คะแนนเสียงนิยมมากขึ้น มีข้อเสนอแนะว่าแนวทางดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์ต่อพรรคเดโมแครต

        พรรครีพับลิกัน ในปี 2016 ชาวอเมริกัน 47% สนับสนุนระบคณะผุ้เลือกตั้ง เพ่ิมขึ้นจาก 35% ในปี 2011 อะไรเป็นแรงผลักดัน ส่วนใหญเป็นเพราะการเปลี่วยนจุดยืนอย่างเด็ดขาดของพรรครีพับลิกันเพือสนับสนุนระบบคณะผู้เลือกตั้ง มีการกล่าวหาว่มุมมองของพรรครีพัลลิกันต่อระบบนี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของจอร์จ ดับเบิลยู บุช และโดนัลด์ ทรัปม์ ซึ่งทั้งคู่ได้รับชัยชนะในการเลือกต้้งผ่านคณะผุ้เลือกตั้ง ดดยแพ้เคะแนนนิยม สิ่งนี้มีความสมเหตุสมผลทางการเมืองเนือ่งจากหลักการพื้นฐานของพรรครีพับลิกันยังคงมั่นคง แม้ว่าอาจจะรุนแรงขึ้น เนื่องจากความแตกแยกกำลังขยายกว้างขึ้น แม้ว่า 54% ของ


พรรครีพับลิกันสนับสนุนการใช้คะแนนนิยมเท่านั้นในปี 2011 ในขณะที่เพียง 19% เท่านั้นที่สสนับสนุนในปี 2016 ข้อสังเกตแบบคงที่คือ การเปลี่ยนค่านิยมหลักใน 5 ปี ดูเหมือนจะมีปัจจัยงบรรเท่าชัี่วคราวและปัจจัยดังกล่วกาจเป็นชัยชนะล่าสุดจากากรใช้คณะผุ้เลือกตั้งเรื่องนี้สมเหตุสมเผลเนื่องจากสมมติฐานที่ใช้ในตอนแรกมักจะสนับสนุพรรครีพับลีกัน เนื่องจากรัฐที่มีขนาดเล็กและอยู่ในชนบทมีแนวโน้ม ีจะเลือกพรรครีพับลิกันมากกว่า แนวทางดั้งเดิมของพรรครีัพับลิกันส่งผลต่อมุมมองของพวกเขา เนืองจากพวกเขาเชื่อว่าควรมีการคงเนือหาสน่วนใหญ่ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบีบดั้งเดิมให้มากที่สุดเท่ารที่จะเป็นไปได้ พรรครีพัลลิกันในปัจจุบันเชื่อว่าคะแนนนิยมยัง "เปิดประตูน้ำให้เกิดการทุจริตได้" ควบคู่ไปกับการทุจริตรัฐะรรมนูญด้วย

         เพรรคเดโมแครต เชื่อว่า ระบบการเลือกตั้งนั้นล้าสมัย และมองว่าระบบดังกล่าวเป็นเพียงสิ่งตกค้างที่ไร้ประดยชน์ซึ่งเกิดจากการประนีประนอมระหว่างคะแนนนิยมและการคัดเลือกสมาชิกรัฐสภที่ล้มเหลว าวอเมริกันเข้าถึงข้อมุลเกี่ยวกับผุ้สมัครได้น้อยลงมาก และผุ้เลือกตั้งจะลงคะแนนแทนพวกเขาเพราะพวกเขาไม่ได้รับความไว้วางใจให้ตัดสินใจอยข่างชาญฉลาดและมีข้อมุลเพียงพอ ปัญหานี้ไม่มีอยุ่อีกต่อไป ดังนั้ พรรคเดโมแครต จึงเชื่อว่าระบบที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัยหานี้ไร้ประดยชน์และ้ พรรคเดโมแครตหลายคนและพรรรครีพับลิกันบางคนเชื่อว่า "ผุ้เลือกตังที่ไร้ศรัทธา" เป็นปัญหาใหญ่หลวงนั้นคืเมืองผุ้เลือกตั้งละท้ิงการตัดสินใจลงคะแนนเสียงของประชาชนและเลือกคนที่พวเกขาต้องการ ในการเลือตั้งปี 2016 ผุ้เลือกตั้ง 7 คน "ไร้ศรัทะา" พวกเขาลงคะแนนเสียวไม่เห็นด้วยกับมุมมองของผุ้เลือกพวกเขา ซึ่งหมายความว่า ฮิลลารี คลินตันเสียคะแนนเสียงไป 5 คะแนน และโดนัลด์ ทรัมป์เสียไป 2 คะแนน ในการเลือกต้งครั้งหน้าผุ้เลือกตั้งที่ไร้ศรัทะพาสามารถทำให้คะแนนนิยมเป็นโมฆะได้ตามกฎหมาย โดยทั่วไปแล้วพรรคเดโมแครรตมีมุมมองที่ก้าวหน้ามากว่าดดยเชื่อว่าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรัฐะรรมนูญบางประการให้เหมาะกับยุคสมัย

             https://crossing-the-divide.org/materials/electoral-college?gad_source=1&gclid=CjwKCAjwnqK1BhBvEiwAi7o0X4lZkDvU-j0TbdKNRNdi6W6r1LH2MxoOveRgck2DuDdbJd89OAlKwhoCBQQQAvD_BwE

            https://www.economist.com/the-economist-explains/2016/11/07/how-does-americas-electoral-college-work

            https://www.matichon.co.th/politics/news_2393135

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

War affect elections?

           16/1/2020 หลังจากที่โรนของสหรัฐฯ โจมตีอิรักจนทำให้ผุ้นำองทัพอิหร่านเสียชีวิต 10 นาย ทหารจากฟอร์ตแปรกก์ในนอร์ทแคดรไลนาประมาณ 3,500 นายจึงถูกสงไปตะวันออกกลาง การส่งกำลงทหารดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่การเลือกตั้งของสหรัฐฯ กำลังเข้มข่นขึ้น ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามต่อากรเมืองการเลือกตั้ง


         เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2016 เขวิจารณืพรรครีพับรีกันและเดโมแครตอย่างเงเป็นเผยถึงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามที่ยือเยื้อในตะวันออกกลาง เขาวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นผุ้สมัครที่จะยุติสงครามในอัฟกานิสสถาน นำทหารกลับบ้าน และป้องกันไม่ใ่้ห้ประเทศเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งที่ไร้เหตุผลอีกต่อไป

        ต่อมา ทรัมป์กำลังพิจารณาลดจำนวนทหารในอัฟการนิสถาน แม้วาจะไม่มีข้อตกลงกับหลุ่มตาลีบันก็ตาม  แต่ในช่วงต้นเดือนนี้ ทรัปม์ทำให้หลายคนกลัวว่าเขากำลังเปิดแนวรบใหม่ในสงครามตะวันออกกลาง หลังจากที่รัฐบาลของเขาได้โจมตีทางอากาศโดยโครนในอิรักอย่างกะทันหัน จนทำให้ผุ้นำกองทัพอิหร่านเสียชีวิต 10 ราย รวมถึงผุ้บัญชาการกองกำลังความั่นคงและหน่วยข่าวกรองระดับสูงของประเทศด้วย ซึ่งทำให้เกิดความสงสัยว่าสงครามในต่างประเทศส่งผลต่อการเลือกตั้งภายในประเทศอยางไร 

         นั่นคือหัวข้อการศึกษาวิจัยในปี 2017 ช่อว่า "Battlefield Casualties and Ballot Box Defeat: Did the Bush-Obama Wars Cost Clinton the White House?" โดย Douglas Kriner ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบอสตัน และ Francis Shen จากคณะนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลับมินนิโซตา พวกเขาตั้งข้อสังเกตว่าความแตกแยกกำลังเพื่ิมขึ้นในสหรัฐฯ ระหว่าชุมชนที่มีคนหนุ่มส่าวเสียชีวิตในสงครามและชุมชนที่มีคนหนุ่มสาวไม่เสียชีวิต และ"ช่องว่างความสูญเสีย" นี้มีส่วนทำให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะหรือไม่

       "แม้จะควบคุมด้วยแบบจำลองทางสถิติสำหรับคำอธิบายทางเลือกอื่นๆ อีกมากมาย เราก็พบว่ามีความสัมพันธ์ที่สำคัญและมีความหมายระหวางอัตราการเสียสละทางทหารของขุมชนกับการสนับสนุนทรัมป์" พวกเขาเชียนโดยให้เครดิตเขาที่ "พุูดถึงส่วนหนึ่งของอเมริกาที่ถูกลืมแห่งนี้" 

        นักวิจัยสรุปว่า หากรัฐสำคัญ 3 แห่งที่ทำให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะ ได้แก่ มิชิแก เพนซิลเวเนีย และวิสคอนซิน มีอัตราการเสียชีวิตที่ลดลงเล็กน้อย ทั้งสามรัฐอาจเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีน้ำเงิน และส่งฮิลลารี คลินตันจากพรรคเดโมแครตเข้าทำเนียบขาวได้ ซึ่งเรื่องนี้มีนัยสำคัญต่อนโยบายต่างประเทศ พวกเขาเขียนไว้ดังนี้

         "หากทรัมป์ต้องการชนะการเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2020 ชะตากรรมในการเลือกตั้งของเขาอาจขึ้นอยุ่กับแนวทางของรัฐบาลต่อต้นทุนด้านมนุษยธรรมของสงคราม ทรัมป์ควรมีความอ่อนไหวอย่างยิ่งต่อการสูญเสียชีวิตจากการสู้รบของชาวอเมริกัน ไม่เช่นนั้นเขาจะกลายเป็นนักการเมืองอีกคนที่มองข้ามความไม่เท่าเทียมที่มองไม่เห็นของการเสียสละทางทหาร ในวงกว้างกว่านั้น ผลการวิจัยชี้ให้เห็นวานัการเมืองจากทั้งสองพรรคควรตระหนักและตอบสนองความต้องการของชุมชน ที่มีหญิงสาวและชายหนุ่มวัยรุ่นที่เสียสละชีวิตเพื่อประเทศชาติโดยตรงมากขึ้น"

         นักวิจัยยังได้ศึกษา,กระทบของสงครามต่อการมีส่วนร่วมของผุ้ลวคะแนนเสียง ซึค่งรวมถึงไมเคิล โดช จากมหาวิทยาลัย "เท็กซัส เอแอนเอ็ม" และสตีเผนนิโคลสัน จากมหาวิทยลังแคลิฟอร์เนีย เมอร์เซค การศึกษาในปี 2016 เรื่อง "Death and Turnout: The Human Costs of War and Voter Participation" ของพวกเรา ได้เจาึกข้อมุลข้ามชขาติจากากรเลือตั้งในระบอบประชาธิปไตย 23 แห่งตลอดระยะเวลา 50 ปี และข้อมูลการสำรวจจากสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรในช่วงสงครามอิรักและอัฟกานิสถาน ข้อสรุปคือ "การเสียชีวิตที่เพ่ิมขึ้นทำให้มีผู้เข้าร่วมเพ่ิมมากขึ้น"

       โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Kock และ นิโคลสัน พบว่าจำนวนผุ้มาใช้สิทธิเลือกตั้งเพ่ิมขึ้นเมือความขัดแย้งส่งผลให้มีผุ้เสียชีวิตมากกว่า 300 ราย จำนวนผุ้เสียชีวิตจากสงครามจำนวนมากทำให้จำนสนผุ้มาใช้สิทธิเลือกตั้งเพ่ิมขึ้นพวกเขาเขียนว่า "โดยเข้าถึงสมาชิกในสังคมที่ไม่ค่อยมีส่วนร่วมทางการเมือง" พวกเขายังบพอีกว่ากลุ่มที่มีความสนใจในการลงคะแนนเสียงต่ำมีแนวโน้มที่จะมีแรงจูงใจในกรรลงคะแนนเสียงมากขึ้นเมือจำนวนผุ้เสียชีวิตจาการสู้รบเพ่ิมขึ้นภายใน 60 วันหลังจากการเลือกตั้ง

        แต่ในเวบาเดียวกัน การศึกษายังพบว่ารูปแบบการลงคะแนนเสียงเหล่านี้ไม่มีผลกระทบต่อผลการเลือกตั้งมากนัก เนือ่งจาก "ในทุกๆ คนที่ถูกระดมให้ลงคะแนนเสียงไม่เห็นด้วยกับความขัดแย้งโดยการลงคะแนนเสียงไม่เห็นด้วยกับผุ้นำที่มีความผิด ดูเหมือนว่าอีกคนจะถูกจูงใจให้ลงคะแนนเสียงสนับสนุนสงครามโดยการสนับสนุนผุ้นำที่มีความผิด"

        15/5/2024 เมื่อเกิดสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ตั้งปี 2022 ยาวต่อเนืองมาถึงการเลือกตั้งประธานาธิดบีสหรัฐฯในปี 2024 ต่อคำถามที่ว่าสงครามยูเครนยังสำคัญต่อการเลือกตั้งสหรัฐฯ หรือไม่ ?

        ในขณะที่ผุ้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิดีสหรัฐฯทั้งสองคนคือ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน(ซึ่งต่อมาถอนตัวด้วยปัญหาสุขภาพ) และอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังให้ความสนใจด้านนโยบายต่างผระเทศกับสงครามในกาซา คำถามที่เร่ิมภถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ คือ ประเด็นเรื่องสงครามในยูเครนยังคงมีความสำคัญต่อการตัดสินใจของผุ้มีสิทธิเลือกตั้งในอเมริกาหรือไม่ 

          ประชาชนหลายพันคนที่เมืองวอฟแชนสก์ ทางภาคเหนือของยูเครน อพยพออกจากมเืองเมือต้นสัปดาห์นี้เมือมีข่าวว่ากองทัพรัสเซียกำลังยคดเมืองดังกล่าวไว้ได้แล้ว ขณะที่กองทัพยูเครนพยายามโต้กลับการรุกรานของรัสเว๊ย ด้วยความช่วยเหลือชุดล่าสุดจากสหรัฐฯ มุลค่ีากว่า 50,000 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งประธานาธิบดี โจ ไบเดน เป็นผู้ลงนามรับรองเมือเดือนที่แล้ว

          หลายเดือนที่ผ่านมา ไบเดนเน้นย้ำหลายครั้งว่า ความช่วยเหลือที่ให้แก่ยูเครนถือเป็นแก่นกลางของนโยบายด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ไบเดนกล่าวว่า "หากสหรัฐฯ ถอนตัวออกมาตอนนี้จะทำให้ยูเครนตกอยุ่ในความเสี่ยง ยุโรปจะตกอยู่ในความเสี่ยง และโลกเสรีก็จะตกอยู่ในความเสี่ยงด้วย ซึ่งจะยิ่งทำให้ผุ้ที่ต้องการทำอันตรายเรายิ่งได้ใจ" ไบเดนระบุว่ ข้อความที่ตนต้องการส่งถึงประธานาธิบดีปูตินก็คือ "สหรัฐฯจะไม่ถอนตัวเด็ดขาด"

         อย่างไรก็ตาม นักวิเคราห์ชี้ว่า ปกติแล้วนโยบายต่างประเทศจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุดสำหรับผุ้มีสิทธิเลือกตั้งในสหรัฐฯ เจม เธอร์เอบร์ อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยอเมริกัน กล่าวว่า "ประเด็นยูเครนแทบไม่มีผลต่อการลงคะแนนในคูหา เช่นเดียวกับนโยบายต่างประเทศที่มีความสำคัญต่อผุ้มีสิทธิลงคะแนนเพียงไม่ถึง 5% ซึ่งโดยทัี่วไปแล้วตรวมถึง จีน พรรคคอมมิวนิสต์จีน การตอบโต้ปูติน และส่ิงที่เกิดขึ้นในกาซา

        ด้านทรัมป์ วิจารณืว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ส่งความช่วยเหลือให้ยูเครนมากเกินไปแลบ้ว และก่อนหน้าทนี้ทรัมป์เคยบอกว่า ตนจะไม่ปฏิบัติตามความตกลงของชาติสมาิชกองค์การนาโต้ที่ต้องร่วมกันปกป้องชาติสมาชิกอื่น หากถูกรัสเซียรุกราน

        บาร์บารา เพอร์รี นักวิเคราะห์แห่งศุนย์มิลเลิอร์ มหาิทยาลัยเวอร์จิเนีย ชี้ว่า สิ่งที่ทรัมป์กล่าวนั้นสอดคล้องกับความกังวลของชาวอเมริกันจำนวนมากเรื่องที่สหรัฐฯเข้าไปข้องเกี่ยวักบกิจการของประเทศอื่นมากเกินไป

        นักวิเคราห์ผุ้นี้กล่าวว่า "การทำสงครามกับผุ้ก่อการร้ายเป็นเวลา 20 ปี และส่งิที่เรียกว่าสงครามไม่รู้จบ อาจส่งผลให้มีชาวอเมริกันมากขึ้นที่สนับสนุนให้อเมริกาโดดเดียวจากชาติอื่น รวมทั้งนโยบายอเมริกามาก่อน ซึ่งเป็นหตุผลที่ทำให้ทรัมป์ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเลือกตั้งเมือ่ปี 2016 รวมทั้งการที่เขาได้รับเลือเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันในการเลือต้งประธานาธิบดีในปี 2024 นี้ด้วย" 

         ในขณะเดียวกัน ผุ้เชี่ยวชาญเชื่อว่า การชุมนุมตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนปาเลสไตน์และต่อต้านสงครามในกาซา ยิ่งนำไปสู่คำถามถึงการจัดสรรวบประมาณของสหรฐฯ เพื่อช่วยเหลือประเทศอืนในการทำสงคราม 

         บาร์บารา เพอร์รี จามหาวิทยาลัยเวอร์จิเนย ให้ความเห็นว่า คถถาที่นักศึกษาบางส่วนต้องการคำตอบคือ "ทำไมเราจึงทุ่มเงินหลายพันหลายหมื่นล้านดอลลาร์ และส่งอาวุธยุทธโธปกรณ์ไปยังยูเครนและอิสราเอล ทำใมเราจึงไม่ใช้เงินเลห่านี้ไปกับการแก้ปัญหาต่างๆ ภายในประเทศ

         ด้านประธานสภาผุ้แทนารษฎรสหรัฐฯ ส.ส. ไม่ค์ จอห์นสัน จากพรรครีพับรีกัน กล่าวหลังจากผ่านร่างกฎหมายความช่วยเหลือต่างชาติเมืองเดอืนเมษายน ซึ่งคาดว่าจะเป็นความช่วยเหลือชุดสุดท้ายก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยบอกว่า ตนยินดีส่งอาวุธไปยูเครนมากว่าส่งชายหนุ่มอเมริกันไปร่วมรบที่นั้น....

              https://www.voathai.com/a/will-us-voters-continue-to-care-about-ukraine-amid-israel-hamas-conflict-/7611152.html

              https://www.facingsouth.org/2020/01/how-does-war-affect-elections


วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

War and Election

           สงครามมักจะเกิดขึ้นในสนามรบ แต่บ่อยครั้งก็จบลงที่การเลือกตั้ง ตั้งแต่การรบของฝรั่งเศสในแอจีเรียไปจนถึงสงครามเวียดนามของสหรัฐฯ สงครามครั้งนี้มีทั้งการสนับสนุนจากประชาชนที่ลดลงและความล้มเหล่วทางการทหารที่ผลักดันใหผุ้เข้าร่วมต้องยอมจำนน  ในขณะที่สงครามกับยูเครนของรัสเซียใกล้จะครบรอบ 2 ปี การเลือกตั้งใหญ่ 2 ครั้งก็ใกล้จะเกิดขึ้นเช่นกัน โดยชาวยุโรปจะเข้าร่วมเพียงการเลือกตั้งสภายุโรปในเดือนมิถุนายน และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกา อย่างไรก็ตามผลลัมธ์ของการเลือกตั้งทั้งสองคร้งจะส่งผลอย่างสำคัญต่อภูมิรัฐศาสตร์ของยุโรป การคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในการเลือตั้งครั้นี้อาจส่งผลกระทบต่อกลยุทธทางการทหารของทั้งมอสโกและเคียฟ พลวัตในสนามรบน่าจะสงผลต่คะแนนเสียง 


          ปูติน คาดหวัีงความเหนื่อยล้าจากสงคราในช่าติตะวันตกจะช่วยให้รัสเซียได้รับชัยชนะ สภานการณ์ในอุดมคติสำหรับเขาคือการที่รัฐบาลทรัมป์ชุดที่สองยุติการสนับสนุนเคียฟของสหรัฐฯ พร้อมกับความสนใจของยุโรปในสงครามก็ลดน้อยลง สถานการณืดังกล่าวจะส่งผลดีต่อเขาหากยูเครนกล่ยเป็นส่วนหนึ่งของสงครามวัฒศนธรรมยุโรปก่อนการเลือกตั้งในเดือนมิถุนาย โดยกลุ่มต่อต้านยุโรป คัดค้านการสนับสนุนเคียฟต่อไ ปและกลุ่มที่นิยมยุโรปต้องการคงการสนับสนุนนี้ไว้

        บทความนี้จะสรุปสถานการณ์ปัจจุบันของความคิดเห็นของประชาชนในยุโรปกี่ยวกับสงครามในยูเครน โดยอ้างอิงจากผลการสำรวจที่ ECFR จัดทำขึ้นเมือ มกราคม 2024 ใน 12 ประเทศยุโรป (ออสเตรีย ฝรั่งเศส เยอรมัน กรีซ ฮังการี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ โปรตุเกส โรมาเนีย สเปน และสวีเดน) เมื่อพิจารณาจากภาพรวมที่การวิเคราะห์นี้เผยให้เห็น บทความนี้จึงเสนอแนวทางว่าผุ้นำควรทำย่างไรจึงจะสนับสนุนเคียฟต่อไปได้ดีที่สุด

        ในแง่หนึ่ง ชาวยุโรปดูเหมือนจะมองในแง่ร้ายเกี่ยวกับโอกาสที่ยูเครจะชนะสงคราม และส่วนใหญ่คาดการณ์วาสงครามจะจบลงด้วยการยุติความขัดแย้ง ในทางกลับกัน ชาวยุโรปสวนใหย่ก็ไม่ต้องการการประนีประนอมเช่นกัน พวกเขายังไม่ค่อยพอใจนักกับโอกาสที่โดนัลด์ ทรัมป์จะได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง และหลายคนคิดว่าชัยชนะของเขาอาจเป็นชัยชนะของปูตินด้วยเช่นกัน

        ผุ้นำในยูเครนและพันธมิตรจำเป็นต้องหาวิะีใหม่ในการแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนยูเครนต่อไป พวกเขาควรยึดหลักความเป็นจริงที่ชขาวยุโรปไม่รต้องการให้รัสเซียชนะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกวาตัวเองเป็นวีรบุรุษ
เช่นกัน หากทรัมป์ได้รับชัยชนะในเดือนพฤศจิกายน ชาวยูเครนและพันธมิตรในยุโรปจะต้องสร้างเรื่องราวเพื่อป้องกันไม่ให้ทรัมป์และปูตินต้องแสร้างทำเป็น "พรรคสันติภาพ" ในความขัดแย้งที่ผลลัพธ์ยังไม่ชัดเจน ดังนั้นการตอสู้เพื่อกำหนดความหายของ "สันติภาพที่ยังยืน" จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

       เมือสองปีก่อน ประชาชนในยุโรปแสดงความเห็นอกเห็นใจยูเครนเป็นพิเศษแต่ก็แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามด้วย สงครามคร้งใหญ่ที่เกิดขึ้นใกล้ตัวทำให้บรรดาผุ้นำและสังคมในยุโรปต้องตือนตัวและเผชิญกับความเป็นจริงใหม่ในวงการเมืองโลก

        ในตอนแรก ความวิตกกังวลของชาวยุโรปดุเหมือนจะส่งผลต่อความคิดเห็นของพวกเขาเก่ยวักบผลลัพธ์ของสงคราม การวิจัยของ ECFR ในเดือน มิถุนายน 2022 เผยให้เห็นว่าชาวยุโรปจำนวนมากสนับสนุนการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว แม้วายูเครนจะต้องเสียดินแดนก็ตาม อย่างไรก็ตามหนึ่งปีต่อมา การสำรวจแสดงให้เห็นว่าความสำเร้๗ของกองทัพยูเครนและการแสดงความเป็นผุ้นำของสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนการรับรู้ของสาธารณชนในยุโรปซึ่งต่างจากผุ้คนจำนวนมากในโลกได้ ชาวยุโรปจำนวนมาต้องการสนับสนุนยูเครนจนกว่เคียฟจะยึดดินแดนทั้งหมดคืนมาได้ ตอนนี้ หลังจากที่ยูเครนโต้กลับอย่างน่าผิดหวัง และท่ามกลางการสนับสนุนที่ลดลงในเมืองหลวงของชาติตะวันตก ความหวังดังกล่าวบางส่วนดูเหมือนจะจางหายไป

          การสำรวจล่าสุดของ ECFR แสดงให้เห็นคุณลักษณะสำคัญ 3 ประการในความคิดเห็นสาะารณะของยุโรปที่อาจส่งผลต่อกลยุทธ์ของผุ้นำทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนการทดสอบเบื้องต้นของการเลือกต้งรัฐสภายุโปรในเดือนมิถุนาย

         
ประการแรก ชาวยุโรปดูเมหือนจะมองโลกในแง่ร้ายต่อผลลัมธ์ของสงคราม โดยเฉลี่ยแล้วชาวยุโรปเพียงร้อยละ 10 จาก 12 ประเทศเชื่อว่ายูเครนจะชนะ และอีกสองเท่าคาดว่ารัสเซียจะชนะ ความเชื่อมั่นที่อ่อนแอในโอกาสที่ยูเครนจะชนะนั้นเห้นได้ชัดเจนทั่วทั้งยุโรป อยางไรก็ตาม การคาดหวังการยุติสงครามนั้นไม่เหมือนกับการเลือผลลัพธ์ดังกล่าวในสงครามครั้งนี้ และเมื่อถามชาวยุโรปว่าพวกเขาต้องการให้รัฐบาลดำเนินการอย่างไรกับยูเครน ภาพที่ปรากฎก็มีความหลากหลายมากขึ้น ผู้ตคอบแบบสอบถามใน 3 ประเทศ แสดงความชัดเจนว่าต้องการสนับสนุนให้ยูเครนยึดดินแดนคืน แต่ในอีก 5 ประเทศ ประชาชนมักต้องการให้รัฐบลกดดันเดียฟให้ยอมรับข้อตกลงในขณะที่อีก 4 ประเทศที่เหลือมีความเห็นแตกแยกกัน

          ประการที่สอง การสำรวจของเราชี้ให้เห็นถึงการเปล่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ของการสนับสนุนยูเครน ก่อนหน้านี้ ความคิดแบบเดิมคือเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดที่สุดของยูเครนเป็นกลุ่มที่สนับสนุนมากที่สุด ซึ่งก็เป็นกรณีเดียวกันในแง่ของการสนับสนุนเดียฟของรัฐบาลและความเปิดกว้างในการต้อนรับผุ้ลี้ภัยชายยูเครน แต่ในปัจจุบัน ยูเครนดูเหมือนจะได้รับการสนับสนุนจากสาะารณชนอย่างแข็งแกร่งที่สุดในโปรตุเกสและฝรั่งเศสที่อยุ่ห่างไกลในขณะที่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของประชาชนดูเหมือนจะไม่แน่นอนในเพื่อบ้านที่อยู่ติดกันบางแห่งของประเทส

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ฮังการีภายใต้การนำของวิกเติร์ ออร์บัน นายกรัฐมนตรีที่สรับสนุนปูติน ดูเหมือนจะเป็นประเทศที่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ การสำรัวจล่าสุดยังพบว่าฮังการีเป็นประเทศที่มีผุ้ตคาดหวังว่ารัสเซียจะชนะมากที่สุด และผุ้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ต้องการให้ยูเครนต้งถิ่นฐาน แต่ตัวเลขของโรมาเนียไม่แตกต่างกันมากนัก โดย 18% เชื่อว่ารัสเซียจะชนะ และ 50% ต้องการให้ยูเครนตั้งถิ่นฐาน

         อย่างไรก็ตาม ที่น่าสังเกตที่สุดคือ โปแลนด์ซึ่งภายใต้รัฐบาลประชานิยมก่อนหน้าและรัฐบาลที่นิยมยุโรปปัจจุบัน ได้งางตำแหนงตวเองให้เป็นหนึ่งในผุ้สนับสนุนยูเครนที่กระตือรือร้นและเชื่อถือได้มากที่สุด กลับพบว่าประชากรของประเทศมีความไม่มั่นใจเพ่ิมมากขึ้นเมือต้องเผชิญกับปัญหาบางประการที่เกี่ยวข้องกับยูเครน โดยเฉพาะการเข้าถึงผลิตภัฒฑ์ทางการเกษตรของยูเครนสู่ตลอดโปแลนด์และยุโรป

          นอกจากนี้ แม้ว่าชาวโปแลนด์ (ร่วมกับชาวสวีเดนและโปรตุเกส) ยังคงเป็นผุ้สนับสนุนอยางแข็งขันต่อปฏิบัติการทางทหารของยูเครนแต่พวกเขาก็ไม่ได้มีความหวงมากนักเกี่ยวกับโอากสที่เคียฟจะชนะ ในระดับความคิดเห็นของประชาชน หลักฐานก็เร่ิมมีมากขึ้นเรือยๆ ที่แสดงถึงความรู้สึกที่หลกาหลายต่อผุ้ลี้ภัยชาวยูเครน

         ต่อประเด็นผุ้อพยพชาวยูเครนผุ้ตอบแบบสอบถามทั้ง 12 ประเทศ มองว่าผู้อพยพจากสวนต่างๆ ของโลกเป็นโอกาศหรือภัยคุกคามหรือไม่ในหลายประเทศที่สำรวจ พบว่ามีควมกลัวการอพยพเข้าเมืองอย่างมาก แต่สวนใหญ่มักจำกัดอยุ่แค่ผู้อพยพจากตะวันออกกลางหรือแอฟริกา ชาวยูเครนมักได้รับกรมองในแง่ดีหรืออย่างน้อยก็เป็นกลาง สิ่งที่อันตรายที่สุดคือ เมือพูดถึงการผนวกยูเครนเข้ากับสหภาพยุโรป(และตรงกันข้ามกับประเพณีของยุโรป) เพือ่นบ้านใหกล้ชิดของยูเครนอาจกลายเป็นผุ้วิพากษ์วิจารณืยูเครนอย่างรุนแรงที่สุด แทนที่จะเป็นผุ้สนับสนุนยูเครนอย่างแข็งขันที่สุด

          ประการที่สาม การสำรวจแสดงให้เห็นวาประชาชนยุโรปจำนวนมากตระกนักดัว่าสงครามในยูเครนเป็เรื่องที่ยุโรปกังวลใจมากที่สุด ในขณะที่สงครามอื่นๆ อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อโลกโดยรวมเช่นกัน

          ต่อคำถามที่ว่า สงครามในยูเครนหรือสงครามสนกาซามีผลกระทบต่อชีวิตและประเทศของตน ยุโรป และอนาคตของโลกมากกวากัน ผุ้ตอบแบบสอบถาม 12 ประเทศ โดยหนึ่งในสามมองว่าสงครามในยูเครน่งผลกระทบต่อประเทศของตนและยุโรปมากว่า แต่พวกเขาเชื่อวาไม่เป็นเช่นั้นสำหรับอนาคตของโลก ในความเป้นจริงชาวยุโรปสวนใหญ่(60%) เชื่อว่าสงครามในกาซามีผลกระทบต่ออนาคตของโลกเท่าๆ กับสงครามในยูเครน

         ผลกระทบของทรัปม์ต่อการเมืองโลกกำลังเบาบางลงแม้ว่าจะยังไม่งไม่ชัดเจนว่าเขาจะสามารถกลับเข้าสู่ทำเนีบขาวได้หรือไม่ หรือจะดำเนินนโยบายใดหากเขาสามารถกลับมาได้ คงไม่น่าแปลกในที่ผุ้มีสิทะิเลือกตั้งส่วนใหญ่ในยุดรปจะผิดหวังหากทรัมป์ได้รับชัยชนะและแทบไม่มีใคร แม้แต่ในฮิังการี ซึ่งเป็นประเทศที่สนับสนุนทรัปม์มากที่สุดในบรรดาประทเทศที่สำรัวจ มีผุั้
ตอบแบบสอบถามเพียงร้อยละ 28 เท่านั้นที่พอใจหากทรัมป์กลับมา 

         เมื่อทรัปม์ขึ้นสู่อำนาจในปี 2016 พรรคการเืองฝ่ายขวาจัดและแพรรประชานิยมในยุโรปต่างยกย่องขัยชนะของเขาว่าเป็นจุดเร่ิมต้นของการปกิวัติของฝ่ายอนุรักษ์นิยมในฝั่งนี้ของมหาสมุทรแอตลอนติก เรือ่งราวดังกลบล่าวไม่ประสบความสำเร็จโดยสิ้นเชิงในตอนนั้น และดูเหมือนวาจะมไม่สามารถจูงใจผุ้มีสิทธิเลือกตั้งในปัจจุบันได้ แม้จริงแล้ว มีเพียงผุ้สนับสนุนพรรค Fidesz ของ Prban เท่านั้นที่จะพอใจหากทรัมป์กลับมามีอำนาจอีกครั้ง ซึ่งคิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของผุ้สนับสนุน "บราเทอร์ ออฟ อิตาลี "อัลเตอร์เนทีฟ ฟอร์ เยอรมันนี" และ "ฟรีดอม ปาร์ตี้ ออฟ ออสเตรีย" สัดส่วนจองผุ้ม่ีสิทธิเลือกตั้งของ "รัสเซมเบลเมนท์ เนชั่นแนล" ของฝรั่งเศสและ "ลอว์ แอน จัสติก" ของโปแลนด์นั้นน้อยกว่ามาก ทรัมปือาจขึ้นสู่อำนาจในอเมริกา แต่การปฏิวัติของทรัมป์ในยุโรปไม่ได้เกิดขึ้นตามไปด้วย ชาวยุโรปจะไม่ต้อรับทรัมป์กลับมาอยางแน่นอน แต่พวกเขาไม่แน่ใจักและแบ่งแยกมากขึ้นเกี่ยวกับผลที่ตามมาของการที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งครั้งที่ 2 ต่อกิจการระดับโลก อาทิ ในขณะที่ขชาวยุโรปเพียงหนึ่งในสี่คิดว่าการเลือกตั้งของทรัป์จะทำให้สงครามระหวางจีนกับสหรัฐฯมีโอกาสเกิดขึ้นมากขึ้น แต่ก็มีชาวยุโรปอีกจำนวนหนึ่งที่คิดว่าทรัมป์จะทำให้สงครามมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลง สิ่งที่น่าตกตะลึกคือ ผุ้ตอบแบบสอบถามประมาณครึ่งไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นสำหรับความขัดแย้งทั้งหมดที่ถาม

         เป็นไปได้วามีหลายสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนีั ทรัปม์สร้างความวุ่วายในช่วงดำรงตำแหน่งวาระแรก แต่ความกลัว ที่เลวร้ายที่สุดของชาวยุดรป เช่น กลัวว่าความสัมพันธ์ระหวางสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกจะพังทลายลง อาจไม่คงอยุ่ตลอดไป ชาวยุโรปบอกกับตัวเองว่าการกลับมาของทรัปม์คงไม่น่ายินดี แต่ผลกระทบของเขาต่อเหตุกาณ์ต่างๆ ทั่วโลกอาจไม่เลวร้าย การรับรู้เช่นนี้อาจเชื่อมดีดจำกัดของอำนาจสหรัฐฯในโลกปัจจุบัน และธรรมชาติที่ผิดปกติของการมืองภายในประเทศของสหรัฐฯผลจาการสำรวจแล้ว ร้อยละ 48%-ของประชากรทั้งหมดมองว่าระบบการเมืองของสหรัฐมีปัญหา

         อย่างไรก็ตาม มีปัญหาหนึ่งที่ผุ้ตอบแบบสอบถามคาดหวังว่าการกลับมาของทรัปม์จะส่งผลกระทบมากกวานั่นคือโอาสที่ยูเครนจะชนะสงคราม  โดยส่วนใหญ่เชื่อว่าทรัมป์จะทำให้ยูเครนมีโอาสชนะน้อยลง 

        หากทรัปม์กลับมาจริงๆ และหากเขาทำให้เคียฟต้องลำบาก สหภาพยุโรปและประเทสสมาชิกจะสนับสนุนยูเครนได้หรือไม่ และความคิดเห็นของสาธารณชนในยุโรปจะสนับสนุนพวกเขาในเรือ่งนี้หรือไม่ นี่คือคำถามที่ทำให้บรรดาผุ้นำยุโรปนอนไม่หลับ

        ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าประชาชนชาวยุโรปไมได้อยุ่ในอารมณ์ที่กบ้าหาญพิเศษ หลังจากหสรัฐฯ


ถอนทหารออกไป มีเพียงชาวยุโรปสวนน้อยที่อยากให้ยุดรปสนับสนุนยูเครนมากขึ้น

         ความเห็นที่แพร่หลายในบางประเทศคือ ยุดรปควรสะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐฯ จำกัดการสนับสนุนยูเครนโดยทำเช่นเดียวกัน และสนับสนุนให้เคียฟทำข้อตกลงสันติภาพกับมอสโกว์ มุมองนี้เห็นพ้องกับผุ้ตอบแบบสอบถามคนส่วนใหญ่ใน ฮังการี ดรมเนีย ออสเตรียและกรีซ ต้องการข้อตกลง ไม่ว่าใครจะเป็นปรธานาธิบดีสหรัญฯคนต่อไปก็ตาม

          เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามว่าชาวยุดรปไม่เต็มใจที่จะสนับสนุนยูเครนในหลักการหรือไม่ หรือพวกเขาเพียงแค่สงสัยเกี่ยวกับความสารมารถของสหภาพยุโรปและประเทสสมาชิกในการดำเนินการอยางมีประสิทธิผลหรือไม่ สองสิ่งทีอาจแยกไม่ออก แต่ชาวยุโรปจำนวนมาก มองว่าระบบการเมืองของหภาพยุโรปนั้นพังทลายไปโดยสิ้นเชิงหรือบางส่วน และการรับรู้ของประชาชนที่มีต่อสหภาพยุโรปว่าไร้ประสิทธิภาพนั้นสัมพันธ๋กับความต้องการที่จะผลักดันยูเครนให้บรรลุข้อตกลงสันติภาพ และการลอการสนับสนุนยูเครนในกรณีที่สหรัฐฯ ถอนตัวภายใต้การนำของประธานาธิบดี คนใหม่

         https://ecfr.eu/publication/wars-and-elections-how-european-leaders-can-maintain-public-support-for-ukraine/

“rural resentment.”

         บางส่วนจากบทสัมภาษณ์  Jon K. Lauck  ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งมหา วิทยาลัยเซาท์ดาโกตา ซึ่งได้คิดค้นสาขาการศึกษาเก...