การเลือกตั้งประธานาะิบดีสหรัฐฯ ชาวอเมริกันจะเป็นผู้ออกเสียงเลือกตั้งคณะผุ้เลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งจะเลือกตั้งประธานาธิบดีในโดยผุ้สมัครรับเลือกตั้งผุ้ใดได้รับเสียงของคณะผุ้เลือกตั้งขั้นต่ำ 270 เสียง จาก 538 เสียงก็ชนะการเลือกตึ้งได้เป็นประธานาธิบดี ชาวอเมริกันออกเสียงเลือกต้งจะเลือกคณะผู้เลือกตัง ไม่ได้เลือกตัึ้งตัวประธานาธิบดีโดยตรง
สหรัฐอเมริกาเป็นรัฐรวม ไม่ใช้รัฐเดี่ยว เปรียบเสมือนการมีประเทศ 50 ประเทศเข้ามารวมกันดดยความสมัรใจเป็นประเทศเดียว ดังนั้น มลรัฐทั้ง 50 มลรัฐของอิมริกา ซึ่งมีวัฒนธรรม ระเบียบแบบแผน กฎหมาย ความเชื่อ วิธีคิด ฯลฯ ที่แตกต่างกัน กฎหมายเลือกตั้งของแต่ละมลรัฐของสหรัฐฯ ก็ไม่เหมือนกัน เช่นการนับบัตรลงคะแนน
การใช้ระบบคณะผุ้เลือกตั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ นั้นมาจากคัดกรอง สองขั้นตอน และคณะผุ้ร่างรัฐะรรมนฝูญของอเมริกานั้นมองพรรคกาารเมืองว่าเป็น "การเล่นพวกอย่างเปิดเผย" จึงไม่ได้ใส่เรื่องพรรคการเมืองลงในรัฐธรรมนูญเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรืองการเลือกตั้งประธานาธิเบี ดังนั้น ไรบบการเลือกตั้งคณะผุ้เลือกตั้ง" นั้นในการเลือกตั้งปรธานาธิบดี 2 ครั้งแรกจึงไม่มีพรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
เมื่อคณะ(ุ้เลือกตั้งที่ได้รับเลือกตั้งในวันอังกคารแรกของเดือนพฤศจิรกายนแล้ว ก็จะเดินทางไปยังเมืองหลวงของมลรัฐของตนในวันจันทร์แรกของเดือนธันวาคมเพื่อทำการหย่อนบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีเสร็จแล้วก็หมดหน้าที่ ทางมลรัฐจะส่งผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีไปให้ประะานวุฒิสภาสหรัฐ ซึ่งประะานวุฒิสภาก็จะนำคะแนนเสียงของแต่ละมลรัฐไปนับกันอย่างเปิดเผยในที่ประชุมร่วมของสภาผุ้แทรราษำรและวุฒิสภาในต้นเดือนมกราคมแล้วประกาศผลอย่างเป็นทางการว่าใครได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป...
อเมริกาเลือกประธานาธิบดีผ่านคณะผุ้เลือกตั้งรัฐทั้ง 50 รัฐและกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ได้รับคะแนนเสียงจากคณะผุ้เลือกตั้ง Election College Vote ECV จำนวน 538 เสียง จำนวนคะแนนเสียงที่มอบให้แต่ละรัฐขึ้นอยุ่กับการเป็นตัวแทนในวุฒิสภาและสภาผุ้แทนราษฎร แต่ลรัฐมีวุฒิสมาชิก 2 คน และผุ้แทนอยางน้อย 1 คน ดังนั้นแม้แต่รัฐที่มีประชากรน้อย เช่น มอนทานา ก็รับประกันได้ว่าจะมี 3 คะแนน โอไฮโอซึ่งเป็น "รัฐสมรภูมิ" มีสมชิกรัฐสภา 16 คน ในสภาผุ้แทนราษฎร ดังนั้นเมือรวมวุฒิสมาชิก 2 คนเข้าด้วยกันก็จะได้ ECV 18 ใบ วอชิงตัน ดี.ซี. ไม่มีตัวแทนในวุมฺสภหรือสภาผุ้แทนราษำร แต่ได้รับ ECV 3 ใบในปี 2504 เกือบทุกรัฐมอบ ECV ทั้งหมดให้กับผุ้ที่ชนะคะแนนนิยมใสนรัฐนั้น (มีเพียงเมนและเนแบรสกาเท่านั้นที่อนุญาตให้แบ่ง ECV ให้กับผู้สมัคร) เพื่อชนะการเลือกต้้งประธานาธิบดี ผุ้สมัตตรจะต้องได้รับคะแนนเสียงอย่างน้อย 270 เสียง
รัฐที่มักจะเลือกทางใดทางหนึ้ง เช่น แคลิฟอร์เนีย และเท็กซัส มักไม่รับความสนใจจากผุ้ลงสมัครแม้ว่าจะมีผุ้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมาก ก็ตาม ผุ้มัครกลับมุ่งเน้นไปที่ "รัฐที่มีโอกาสชนะสุง" ประมาณ 12 รัฐ ซึ่งมีชนาดตั้งแต่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ซึ่งมี ECV 4 เสียง ไปจนถึงฟลอริดาซึ่งมี 29 เสียง ซึ่งทำให้กลุ่มประชากรและธุรกิจในรัฐที่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงได้มีอำนาจในการเลือกประธานาธิดบีมากว่าที่ควรจะเป็น ในรัฐฟลอริดาพรรคการเมืองต่างๆ ดึงดุดผุ้เกษียณอายุและชาวฮิสแปนิก ไอโอวา พรรคการเมืองเหล่านี้เอาใจเกษตรกรผุ้ปลูกขั้าวโพดที่ผลิตเอธานอล ระบบนี้ยังให้ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งในรัฐที่ม่ีประชากรน้อยที่สุดมีน้ำหนักสัมพันธ์มากกว่าด้วย ไวโอมิงมี ECV 3 เสียง ต่อประชากร 586,000 คนที่อาศัยอยุ่ที่นั้น หรือหรือ 1 เสียง ECV ต่อประชากร 195,000 คน ขณะที่แคลิฟอร์เนียซึ่งมีประชากร 39 ล้านคน มีผุ้มีสิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดี 55 คน หรือ มี EVC 55 เสียง หรือหนึ่งเสียง(หนึ่งผุ้มีสิทธิ)ต่อประชากร 712,000 คน
ผุ้สนบสนุนระบบคณะผุ้เลือกตั้งกล่่าวว่านั้นคือประเด็นสำคัญ ระบบนี้สะท้อนถึงระบบสหพันะรัฐของอเมริกาด้วย การให้อิทธิพลแก่รัฐที่เล็กกว่มากขึ้น หากไม่มีคณะผุ้เลือกตั้ง ผุ้สมัครจะมุ่งเน้นไปที่เมืองใหญ่และขตชานเมืองแทน ระบบนี้บังคับให้ว่าที่ประธานาธิบดีต้องแสวงหาการสนับสนุนจากกลุ่มผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่หลากหลาย ระบบนี้ยังขยายขอบเขตของชัยชนะ ทำให้ประธานาธิบดีมีอำนาจในการบริหารประเทศมากขึ้น โดยคะแนนเสียงที่ชนะในคณะผุ้เลือกตั้งมักจะกว้างกว่าคะแนนนิยมมาก
ปัญหาเกิดขึ้นเมือผุ้สมัครรายหนึ่งแพ้คะแนนนิยมแต่กลับชนะคณะผุ้เลือกตั้ง ซึ่งเกิดขึ้นถึง 4 ครั้ง รัฐสภาพยายามปรับระบบการเลือกตั้งให้สอดคล้องกับคะแนนนิยมมากขึ้น การเคลือนไหวดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากริชาร์ด นิกสัน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีขณะนั้น แต่ถูกขัดขวางโดยวุฒิสมาชิกจากภาคใต้ ซึ่งกังวลว่าจะทำให้อำนาจในการเลือกตั้งในภูมิภาคชของตนอ่อนแอลง
คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันมากที่สุดในภุมิทัศน์ทางการเมืองปัจจุบัน คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา แทนที่จะลงคะแนนเลือกประะานาธิบดีโดยตรง ประชาชนจะลงคะแนนเสียงเลือกผุ้เลือกตั้งเพื่อลงคะแนนเสียงให้กับตน แต่ละรัฐมีจำนวนผุ้เลือกตั้งเท่ากับสมาชิกสภผุ้แทนราษำรและวุฒิสภชิกในรัฐสภา และบางคนอาจโต้แย้งว่าจำนวนผุ้เลือกตั้งนี้เือ้ประโยชน์ต่อรัฐที่มีประชากรน้อยกว่าเนื่องจากผุ้เลือกตั้งสองคนแรกทำให้จำนวนประชากรลดลง สมมติว่ รัฐ A มีผุ้แทน 5 คน และรัฐ B มีประชากรมากกว่ารัฐ A ถึงสองเท่า หากเป็นสัดส่วนกับประชากรอย่างสมบูรณ์ รัฐ B จะมีผุ้เลือกตั้งมากกว่าสองเท่า(10) รัฐ B จะมีผุ้เลือกตั้ง 12 คนใสสมมติฐานที่เป็นจริงนี้ และรัฐ A จะมีผุ้เลือกตั้ง 7 คน ในรัฐที่เล็กกว่า การลงคะแนนเสียงแต่ละครั้งมีน้ำหนักมากกว่ารัฐที่ใหญ่กว่ ตลอดประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ผุ้ชนะการลงคะแนนเสียงแบบนิยมแพ้หลายครึ้ง และในความเป็นจริง ปรธานาะิบดี 2 คนจาก 4 คนสุดท้ายแพั้การลงคะแนนเสียงแบบนิยม ทิ้งคำถามไว้ว่าใครมีอำนาจ เสียงของประชาชนหรืออนาคของประเทศอยุ่ในมือของนักการเมืองที่ชาญฉลาด
ปัจจัยอีกแระการหนึ่งในกระบวนการเลือกตั้งคณะผุ้เลือกต้งคือข้อตกลงระหว่างรัฐว่าด้วยการลงคะแนนเสียนิยมแห่งชาติ National Popular Vote Interstate Compact ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐต่างๆ หลายแห่งและเขตโคลัมเบยในการมอบคะแนนเสียงเลือกตั้งของตนให้กับผุู้สมัครรายใดก็ตามที่ได้รับคะแนนเสียงนิยมทั่วทั้งประเทศ ขอ้ตกลงดังกลบ่าวอาจเป็นแวทางแก้ไขที่ประชาธิปไตยมากกว่าาสำหรับคณะผู้เลือกตั้ง เนื่องจากให้อำนาจแก่คะแนนเสียงนิยมมากขึ้น มีข้อเสนอแนะว่าแนวทางดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์ต่อพรรคเดโมแครต
พรรครีพับลิกัน ในปี 2016 ชาวอเมริกัน 47% สนับสนุนระบคณะผุ้เลือกตั้ง เพ่ิมขึ้นจาก 35% ในปี 2011 อะไรเป็นแรงผลักดัน ส่วนใหญเป็นเพราะการเปลี่วยนจุดยืนอย่างเด็ดขาดของพรรครีพับลิกันเพือสนับสนุนระบบคณะผู้เลือกตั้ง มีการกล่าวหาว่มุมมองของพรรครีพัลลิกันต่อระบบนี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของจอร์จ ดับเบิลยู บุช และโดนัลด์ ทรัปม์ ซึ่งทั้งคู่ได้รับชัยชนะในการเลือกต้้งผ่านคณะผุ้เลือกตั้ง ดดยแพ้เคะแนนนิยม สิ่งนี้มีความสมเหตุสมผลทางการเมืองเนือ่งจากหลักการพื้นฐานของพรรครีพับลิกันยังคงมั่นคง แม้ว่าอาจจะรุนแรงขึ้น เนื่องจากความแตกแยกกำลังขยายกว้างขึ้น แม้ว่า 54% ของ
พรรครีพับลิกันสนับสนุนการใช้คะแนนนิยมเท่านั้นในปี 2011 ในขณะที่เพียง 19% เท่านั้นที่สสนับสนุนในปี 2016 ข้อสังเกตแบบคงที่คือ การเปลี่ยนค่านิยมหลักใน 5 ปี ดูเหมือนจะมีปัจจัยงบรรเท่าชัี่วคราวและปัจจัยดังกล่วกาจเป็นชัยชนะล่าสุดจากากรใช้คณะผุ้เลือกตั้งเรื่องนี้สมเหตุสมเผลเนื่องจากสมมติฐานที่ใช้ในตอนแรกมักจะสนับสนุพรรครีพับลีกัน เนื่องจากรัฐที่มีขนาดเล็กและอยู่ในชนบทมีแนวโน้ม ีจะเลือกพรรครีพับลิกันมากกว่า แนวทางดั้งเดิมของพรรครีัพับลิกันส่งผลต่อมุมมองของพวกเขา เนืองจากพวกเขาเชื่อว่าควรมีการคงเนือหาสน่วนใหญ่ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบีบดั้งเดิมให้มากที่สุดเท่ารที่จะเป็นไปได้ พรรครีพัลลิกันในปัจจุบันเชื่อว่าคะแนนนิยมยัง "เปิดประตูน้ำให้เกิดการทุจริตได้" ควบคู่ไปกับการทุจริตรัฐะรรมนูญด้วย
เพรรคเดโมแครต เชื่อว่า ระบบการเลือกตั้งนั้นล้าสมัย และมองว่าระบบดังกล่าวเป็นเพียงสิ่งตกค้างที่ไร้ประดยชน์ซึ่งเกิดจากการประนีประนอมระหว่างคะแนนนิยมและการคัดเลือกสมาชิกรัฐสภที่ล้มเหลว าวอเมริกันเข้าถึงข้อมุลเกี่ยวกับผุ้สมัครได้น้อยลงมาก และผุ้เลือกตั้งจะลงคะแนนแทนพวกเขาเพราะพวกเขาไม่ได้รับความไว้วางใจให้ตัดสินใจอยข่างชาญฉลาดและมีข้อมุลเพียงพอ ปัญหานี้ไม่มีอยุ่อีกต่อไป ดังนั้ พรรคเดโมแครต จึงเชื่อว่าระบบที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัยหานี้ไร้ประดยชน์และ้ พรรคเดโมแครตหลายคนและพรรรครีพับลิกันบางคนเชื่อว่า "ผุ้เลือกตังที่ไร้ศรัทธา" เป็นปัญหาใหญ่หลวงนั้นคืเมืองผุ้เลือกตั้งละท้ิงการตัดสินใจลงคะแนนเสียงของประชาชนและเลือกคนที่พวเกขาต้องการ ในการเลือตั้งปี 2016 ผุ้เลือกตั้ง 7 คน "ไร้ศรัทะา" พวกเขาลงคะแนนเสียวไม่เห็นด้วยกับมุมมองของผุ้เลือกพวกเขา ซึ่งหมายความว่า ฮิลลารี คลินตันเสียคะแนนเสียงไป 5 คะแนน และโดนัลด์ ทรัมป์เสียไป 2 คะแนน ในการเลือกต้งครั้งหน้าผุ้เลือกตั้งที่ไร้ศรัทะพาสามารถทำให้คะแนนนิยมเป็นโมฆะได้ตามกฎหมาย โดยทั่วไปแล้วพรรคเดโมแครรตมีมุมมองที่ก้าวหน้ามากว่าดดยเชื่อว่าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรัฐะรรมนูญบางประการให้เหมาะกับยุคสมัย
https://crossing-the-divide.org/materials/electoral-college?gad_source=1&gclid=CjwKCAjwnqK1BhBvEiwAi7o0X4lZkDvU-j0TbdKNRNdi6W6r1LH2MxoOveRgck2DuDdbJd89OAlKwhoCBQQQAvD_BwE
https://www.economist.com/the-economist-explains/2016/11/07/how-does-americas-electoral-college-work
https://www.matichon.co.th/politics/news_2393135
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น