วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2567

Economic campain policy (2024)

            หลังจากห่างหายไปเกือบปี จากแพลตฟอร์ม x ในที่สุดทรัมป์ก็กลับมาอีกครัง และถามผุ้ติดตาม 89 ล้านคนของเขาว่า "ตอนนีุ้ณดีขึ้นกว่าตอนที่ผมเป็นประธานาะิบดีหรือไม่" ซึ่งเป็นการล้อคำพุดอันโด่งดังของโรนัลด์ เรแกนในระหว่างแคมเปญหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ได้รับชัยชนะในปี 1980 ซึ่งเรแกนถามว่า "วันนี้คุณดีขึ้นกว่าเมือ 4 ปีที่แล้วหรือไม่" ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ชัดเจนของทรัมป์ในการเน้นที่เศรษฐกิจ

          ผลสำรวจความคิดเห็นส่วนใหญ่ชี้ว่่านี่คือปัญหาที่ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันให้ความสำคัญมากที่สุด โดยระบุว่า "เงินเฟ้อ/ราคา" และ "การจ้างงานและเศรษฐกิจ" เป็นประเด็นที่ผุ้มีสิทธิเลือกต้เ้งให้ความสำคัญสูงสุด ที่สำคัญกว่านั้น การสำรวจยังบ่งชี้ว่าผุ้ลงคะแนนเสียงรู้สึกไม่พอใจอย่างมากกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นสภานะการณ์ที่เป็นใจต่อผุ้ท้าชิง แต่ในการเลือกตั้งที่เปลี่ยนแปลงไปจากการที่ กมลา แฮร์ริสเข้ามารับตำแหน่งผุ้มัครจากพรรคเดโแมครตแทน โจ ไบเดน ดุเมหือนว่าทรัมปืจะดิ้นรนที่จะส่งสารง่ายๆ องเขาเกี่ยวกับเศราฐกิจ 


           เมื่อไม่ถึงเดือนก่อน นับตั้งแต่เขาขึ้นเวทีในงานประชุมแห่งชาติของพรรครีพับลิกันดดยดุไร้เทียมทาน รอดพ้นจากความพยายามลอบสังหาร และมีคะแนนนิยมสูงในผลสำรวจความคิดเห็น ตอนนี้ เขาเสียเปรียบและ หลงทาง ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังโบกมือด้วยความตื่นเต้นและกระตือรือล้น ซึ่งเขาพบว่่ายากที่จะโต้กลับ

         วิธีง่ายที่สุดที่จะทำลบายควาฝันจองเธอคือการเตือให้ผุ้มีสิทะิออกเสียงรู้ว่าพวกเขาไม่พอใจกับราคาสินค้าที่สุงแค่ไหน และตำแหนเธอในเรื่องภาวะเงินเฟ้อที่ทำให้ค่าครองชีพสุงขึ้นในข่วงเวลาที่เธออยุ่เคียงข้างประธานาธิบดี ไบเดน ในทำเนียบขาว

        สาเหตุประการหนึ่งทีทรัมป์ไม่สามารถถ่ายทอดข้อความดังกล่วได้ คือ กลยุทธ์ของแคมเปญหาเสียงของแฮร์ริสในการเสนอข้อสเนอเพื่อพยายามลดค่าครองชีพให้เป็นหัวใจสำคัญ

         ผุ้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีทั้งสองตางกระตือรือร้นที่จะแสดงให้ผุ้มีสิทธิเหลือตั้งเห็ฯว่าพวกเาจะจัดการเศราฐกิจอข่างไรหากได้รับการเลือกตั้ง ซึ่งทั้งสองแคมเปญมีแนวโน้มประชานิยม แต่ผุ้สมัครต่างก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในการช่วยเลหือชาวอมเริกัน ที่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงแม้วาอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสุง จะผ่านพ้นไปแล้วก็ตาม

        แฮร์ริส กล่าวในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา(เมือวาน) เกี่ยวกับข้อเสนอทางเศาฐกิจที่เธอประกาศในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงเครดิตภาษีที่เพ่ิมขึ้นสำหรับเด็ก ความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย และความพยายามที่จะหยุดากรขึ้นราคาสินค้าเธอกล่าวถึงแผนงานเชิงมองไปข้าหน้าของเธอว่าเป็น "เศรษฐกิจแห่งโอกาส" ที่ชาวอเมริกันได้รับโอกาสที่แท้จริงที่จะประสบความสำเร็จ ในขณะที่ทรัมป์กล่าวว่าเขามุ่งเน้นเฉพาะการช่วยเหลือผุ้มั่งคั่งและธุรกิจขนาดใหญ่

       ทรัมปืได้กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับเศราฐกิจและนโยบายต่างๆ ของเขาถึง 2 ครั้งในสัปดาห์นี้ แต่เขายังไม่ได้เปิดเผยแผนเศรษฐกิจโดยละเอียด เขาโจมตีรัฐบาล ไบเดน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าวว่าเงินเฟ้อสุงและให้คำมั่นว่าจะลดราคาสินค้าทันที่ นอกจากนี้ เขายังกล่าวหาแฮร์ริสว่าต้องการใช้ "การควบคุมราคมแบบคอมมิวนิสต์" 

         ในความเป็นจริ ประธานาธิบดีมีเครื่องมือน้อยมากในการแก้ไขปัญหาราคาที่เพ่ิมสูงขึ้นเพียงฝ่ายเดียว หน้าที่ของธานาคารกลางสหรัฐฯ คือการกำหนดอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ข้อเสนอหลักส่วนใหญ่ของพวกเขาจะต้องได้รับกาอนุมัติจากรัฐสภา และผุ้สมัครบังไม่ได้ระบุว่าพวกเขาจะจ่ายเงินสำหรับรายการความต้องการอันแสนแพงของพวกเขาอย่างไร ในช่วงที่หนี้ของรัฐบาลกลางกำลังเพ่ิมขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าแฮร์ริสจะบอกว่าเธอจะขอให้คนอเมริกันและบิรษัทที่มีฐานะดีจ่ายมากขึ้นก็ตามนี้คือสิ่งที่เรารุ้เกี่ยวกับแผนเศราฐกิจของแฮร์ริสและทรัมป์

          ทั้งทรัมป์และแฮร์ริสต่างเรียกร้องให้ยุติการเก็บภาษีเงินทิปของรับบาลกลางแม้ว่าทรัมป์จะเป็นผุ้เปิดเผยแนวคิดดังกล่วก่อนและตำหนิคู่แข่งที่เลี่ยนแบบเขาก็ตาม ข้อเสนอนี้กลายเป็นหนึ่งในคำมั่นสัญญาที่ทรัมป์ชื่อชอบที่สุดในการชุมนุมหาเสียงของเขา

       เขาเสนอแนวคิดนี้ ครั้งแรก ในเืดอนมิถนายนที่ลาสเวกัน รัฐเนวาดา ซึ่งเป็นรัฐสำคัญที่มีพนักงานด้านการบริการและการต้อนรับจำนวนมาก แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เมือต้นสัปดาห์นี้ เขาเสนอแนะว่าเขาสนับสนุนการยกเลิกภาษีรายได้และภาษาีเงินเดือนของรัฐบาลกลางสำหรับเงินทิปซึ่งเป็นข้อ เสนอ ที่มีผลกระทบทางการเงินมากกว่า

       ทรัมป์กล่าวในการให้ัมภาษณ์กับ สเปคตรัม นิว 1 ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา เมือถูกถามว่าเขาสนับสนุนการยกเลิกภาษีรายได้และเงินเดือนของรัฐบลกลางหรือไม่ว่า ไเรากำลังพิจาณาดำเนินการให้เต็มี่" มาตรการดังกล่าวต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา เมื่อถูกถามถึงความชัดเจนในภายหลัง แคโรไลน์ ลีีวิตต์ โฆษกประจำตัวของทรัมป์ กล่าว่าเธอไม่มีอะไรจะพูดเพิ่มเติม

  จากข้อมุลจากศูนย์วิจัย "บัดเจท แลป" ที่มหาวิทยาลัยเยล พบว่ามีคนราว 4 ล้านคนที่ทำงานในอาชีพที่้องทิปในปี 2023 หรือคิดเป็นประมาณ 2.5% ของการจ้างงานทั้งหมด แต่กว่าหนึ่งในสามกลับมีรายได้น้อยเกินกว่ ที่จะต้องจ่ายภาษีเงินได้ของรัฐบาลกลาง

        ภาษีเงินเดือนของรัฐบาลกลางจะนำไปใช้เป็นเงินุนประกันสังคมและประกันสุข-ภาพ และรวมเป็น 15.3% โดยครึงฝหนึ่งจ่ายโดยนายจ้าง เมือสัปดาห์ที่แล้ว แฮร์ริสยังสัญญาว่าจะยุติการเก็บภาษีรายได้ของรัฐบาลกลางจากเงินทิปที่ชุมนุมในลาสเวกัส โดยเงินทิปจะยังคงต้องเสียภาษีเงินเดือนตามแผนของแฮร์ริส

       หากยกเลิกภาษีเงินได้และภาษีเงินเดือนของรัฐบาลกลาง จะทำให้รายได้ลดลง 150,000 ล้านเหรียญสหรัฐถึง 250,000 ล้านเหรียญสหรัญภายใน 10 ปี ตามข้อมูลของคณะกรรมการงบประมาณของรัฐบาลกลางที่มีความรับผิดชอบ การยกเลิกภาษีเงินได้ของรัฐบาลกลางสำหรับเงินทิปเพียงอย่างเดียวจะทำให้สูญเสียรายได้ประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนดังกล่าว

        ยุติการเก็บภาษีจากเงินประกันสังคม 

         ทรัมป์ยังเสนอให้ลดหย่อนภาษีให้กับกลุ่มผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีอิทธิพลอีกกลุ่ม นั้นคือ ผุ้สุงอายุ เขาประกาศเมือปลายเดือนที่แลบ้วว่าเขาต้องการยุติการเก็บภาษีจากสวัสดิการประกันสังึคม "เพื่อช่วยเหลือผุ้สูงอายุที่มีรายได้คงที่ซึ่งกำลังประสบปัญหาจากภาวะเงินเฟ้อ จะไมีมีการเก็บภาษีประกันสังคม เราจะหยุดเรื่องนี้" เขากล่าวใสนการชุมนุมเมือวันพุธ ซึ่งถือเป็นการปราศรัยด้านเศราฐกิจ

         ในปัจจุบัน ผุ้สุงอายุไม่ต้องเสียภาษีจากสวัสดิการของตนหากมีรายได้น้อยกว่า 25,000 เหรียญสหรัีฐฯ ต่อบุคคล หรือ 32,000 เหรียญสหรัฐฯ สำหรังคู่สมรส ซึ่งเรียกว่ารายได้รวม ดดยคำนึงถึงรายได้รวมที่ปรับแล้ว ครึ่งหนึ่งของสวัสดิการประกันสังคม และดอกเบี้ยที่ไม่ต้องเสียภาษี หากมีรายได้เกิดนกว่าเกณฑ์ดังกล่าว พวกเขาอาจต้องเสียภาษีเงินได้จากเงินช่วยเหลือสูงถึง 50% โดยรายได้จะนำไปเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญของสำนักงานประกันสังคม ผุ้ที่มีรายได้รวมกันอย่างน้อย 34,000 ดอลลาร์ต่อคน หรือ 44,000 ดอลลาร์ต่อคุ่สมีภรรยา อาจต้องเสียภาษีเงินได้จากเงนิช่วยเหลือเพ่ิมเติมสูงสุด 35% โดยเงินจะนำไปเข้ากองทุนประกันโรงพยาบาลของ "เมดิแคร์" การยกเกลิการเก็บภาษีจากเงินประกันสังคมจะช่วยลดาษีได้เฉลี่ย 550 ดอลลลาร์สหรัฐฯ แม้ว่าครัวเรือนที่มีรายได้น้อยจะแทบไมได้รับประโยชน์ใดๆ ในปีหน้าทก็าม ตามข้อมูลของ ศูนย์ นโยบายภาษี อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อดีครงการสิทธิประดยชน์ ของประชาชน รวมถึง เมดิแคร์ และงบประมาณของรัฐบาลกลางที่มีความรับผิดชอบ คาดว่าภาษีดังกล่าวจะสร้างรายได้ประมาณ 94,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้

        การวิเคราะหฺ์ของคณะกรรมการพบว่การยกเลิกภาษีดังกล่าววจะทำให้ชขาดุลของรับบาลกลางเพ่ิมขึ้นระหว่าง 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ถึง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์จนถึงปี 2035 กองทุนบำเหน็จบำนายประกันสังคจะหมดลงเร็วกว่าเต็มหนึ่งปี และกองทุนประกันดรงพยาบาลของ เมดิแคร์ จะหมดลงเร็วกว่าเดิมหกปี ผุ้สูงอายุจำนวนมากอาจได้รับผลกรทะบในทีสุกหาก กองทุนประกัน สังคม และเมดิแคร์ หมดลงเร็วขึ้น และต้องตัดสวัสดิการ

       https://edition.cnn.com/2024/08/15/politics/harris-trump-economy-policies-inflation/index.html

        https://edition.cnn.com/2024/08/15/politics/harris-trump-economy-policies-inflation/index.html

          

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2567

Debate

         ดีเบต หรือการอภิปราย เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวสุนทรพจน์อย่างเป็นทางการ การอภิปราย และการกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อเฉพาะหรือกลุ่มหัวข้อ โดยมักจะมีผุ้ดำเนินรายการและผุ้ฟัง ในการดีเบต ข้อโต้แย้งจะถุกนำเสนอเพื่อให้มีมุมมองที่ขัดแย้งกันโดยทั่วไป  การดีเบตมัจัดกันในที่ประชุมสาธารณะ สถาบันการศึกษา ห้องดีเบตร้านกาแฟ สนามการแข่งขันกีฬา และสภานิติบัญญัติ การดีเบตนังจัดขึ้นเพื่อการศึกษาและเพื่อการพักผ่อน มัเกี่ยวข้องกับสถาบันการศึกษาและสมาคมดีเบต ดีเบตเหล่านี้เน้นที่ความสอดคล้องตามตรรกะ ความถูกต้องตามข้อเท็จจริง และการดึงดูดอารมณืต่อผู้ฟัง รุปแบบการดีเบตแบบแข่งขันสมัยใหม่ยังรวมถึงกฎสำหรับผุ้เข้าร่วในการอภิปรายและตัดสินใจเกี่ยวกับรอบการดีเบต(วิธีการตัดสินการดีเบต) 



        การอภิปราย อาจใช้กับกระบวนาการที่ต่อเนื่อง ครอบคลุมและเป็นทางการน้อยกว่า ซึ่งประเด็นต่างๆ จะได้รับการสำรวจและแก้ไขผ่านหน่วยงานต่างๆ และในหมู่ประชาชนทั่วไปตัวอย่างเช่นในปี 2021 คณะกรรมาธิการยุโรป ได้เผยแพร่เอกสารกรีนเปเปอร์เกี่ยวกับผุ้สูงอายุซึ่งมีวัตถุประสงค์ฺเพื่อสร้างการอภิปรายเกี่ยวกับ "นโยบายเพื่อรับมือกับความท้าทายและโอากสนของผู้สุงอายุ" ในปีต่อๆไป และสมเด็จพระสันตปาปาปรานซิสทรางกล่าวถึง "ความจำเป็นในการอภิปรายอย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตรย์" เกี่ยวกับสังคมและสิ่งแวดล้อมในจดหมายถึงผุ้ว่าการ เลาดาโร ซิ ของพระองค์ในปี 2015 

        การโต้วาทีในรูปแบบต่างๆ มีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่สามารถสืบย้อนไปถึงการดต้วาทีทางปรัชญาและการเมืองในกรีกโบราณเช่น ประชาธิปไตยของเอเธนส์ หรือศัสตราะาในอินเดียโบาณรุปแบบการโต้วาทีสมัยใหม๋และการก่อตั้งสมาคมโต้วาทในดลกตะวันตกเกิดขึ้นในยุคแห่งการตรัสรู้ในศตวรรษที่ 18 

       วิทยาลัยทรินิตี้ดัลเลินมีสมาคมโต้วาทที่เก่าแก่ทีสุดในยุโรปสองแห่ง ก่อนตั้งเมือปี 1770และ 1786 เป็การเกิดขึ้นในลอนดอนในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 และในไม่ช้าก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่โดดเด่นในลอนดอน สังคมการดต้วาทีเป้นปรากฎการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นพร้อมกัของพื้นที่สาธารณะ ขอบเขตของการอภิปรายซึ่งแยกจาอำนาจตามธรรมเนียมและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ทำหน้าที่เป็นเวทีสำหรับการวิพากษ์วิจารณืและการพัฒนาแนวคิดและปรัชญาใหม่ๆ

        ในรัฐสภาและสภานิติบัญญัติ อื่นๆ สมาชิกจะอภิปรายข้อเสนอเกี่ยวกับกฎหมายก่อนลงคะแนนเสียงในมติซึ่งจะกลายเป็นกฎหมายการอภิปรายมักดำเนินการโดยเสนอกำหมายหรือแก้ไขกฎหมาย การอภิปรายแบบรัฐสภจะมีโครงสร้างโดย่ายค้านสองฝ่ายคือ ผุ้นำฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล หลังจากที่แต่ละฝ่ายได้รับอนุญาตให้พูดหนึ่งครั้ง สมาชิกจะได้รับอนุญารให้กล่าวสุนทรพนจ์ตอบโต้ประเด็นของฝ่ายค้าน หลังจากนั้น สมาชิกรัฐสภาจะอภิปรายข้อเสนอก่อนที่จะลงคะแนนเสียงสนับสนุนหรือคัดค้านกฎหมายดังกล่าว 

        แม้อังกฤษจะเป็นผุ้คิดค้นระบบการอภิปรายในรัฐสภา แต่ก็ไม่ใช่ประเทศสมัยใหม่เพียประเทศเดียวที่ใชข้ระบบรัฐสภา ปัจจุบันประเทศทีใช้ระบบรัฐสภาและการอภิปรายในรัฐสภได้แก่แคนาดา อิตาลีญี่ปุ่นลัตเวยเนเธอร์แลนด์และนิวซีแลนด์


          ประชาธิปไตยแบบมีสน่วนร่วมเป็นรูปแบบหนึ่งของรัฐบาลซึ่งประชาชนมีส่วนร่วมโดยตรงในการตัดสินใจทางการเมือง ซึ่งอาจทำได้โดยผ่านการอภิปรายสาธารณะ ในบางประเทศ สมาชิกรัฐสภอาจร้องขอให้มีการอ-ภิปรายเรื่องเร่งด้วนที่มีความสำคัญระดับชาติ ตามกฎข้อบังคับ ของระเบียบการประชุมภาวร การอภิปรายในกรณีฉุกเฉินอาจมีความสำคัญเหนือกว่าหากประธานสภาตัดสินใจ ในการประชุมครังถัดไปภายในเวลปกติ ประะานสภาบังกำหนด้วยว่าเมือใดระเบียบวาระขั้นตอนตามปกติอื่ๆ ที่ถุกแทนที่ดดยการอภิปรายในกรณีฉุกเฉินจะได้รับการพิจารณาหรือยกเลิก

        ในเขตอำนาจศาลที่เลือกผุ้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสุง เช่น ประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีผุ้สมัครบางครั้งจะโต้วาทีกันในที่สาธารณะ โดยปกติแล้วจะเป็นในช่งงการรณรงหาเสียงทั่วไป

        การดัเบตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปในปี 1976 การดีเบต ระหว่างผุ้สมัตรชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ซึ่งแตกต่างจากการดีเบตที่จัดขึ้นในระดับมัธยมศึกษาหรือระดับวิทยาลัย ผุ้เขาร้วมและรูปแบบไม่ได้ถูกกำหนดอย่างเป็นอิสระ อย่างไรก็ตาม ในช่วงหาเสียงซึ่งเต็มไปด้วยโฆษณทางโทรทัศน์ การสนทนา ทางวิทยุเสียงพุด และากรหหมุนวนการดีเบตเหล่านี้ยังคงเป็นโอากสอันหายากสำหรับประชาชนที่จะได้เห็นและได้ยินผุ้สมัครหลักเคียงข้างกัน รุปแบบของการดีเบตประธานาธิบลดี แม้ว่า จะมีากรกำหนดไว้แตกต่างกันในการเลือกตั้งงแต่ละครั้ง แต่ดดยทั่วไปแล้วจะเข้มวงดกว่ารูปแบบดั้งเดิมหลายๆ รูปแบบโดยห้ามผุ้เข้าร่วมถามคำถามซึ่งกันและกันและจำกัดการสนทนาในหัวข้อเฉพาะให้อยุ่ในกรอบเวลาสั้นๆ 

         การดีเบตประะานาะิบดีได้รับการปรับรุปแบบครั้งแรกในปี 1976,1980โดย "ลีค ออฟ วูแมน โวทเตอร์" และ "คอมมิสชั่น อน เพรสซิเดนอทียล ดีเบต" ก่อตั้งขึ้นในปี 1987 โดย พรรค รีพับลิกันและ พรรค เดโมแครต วัตถุประสงค์หลักของการดีเบตประธานาะิบดีคือการสนัยบสนุนและจัดทำการดีเบตสำหรับผุ้สมัครชิงตำแหน่งประธานาะิบดีและรองประธานาธิบดีของสหรัฐฯในสภาพแวดล้อมที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด องค์กรซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรและไม่ฝักฝ่ายใด เป็นผุ้สนัยสนุนการดีเบตประธานาธิบดีหลายครั้งที่ผ่านมา

        อย่างไรก็ตาม ในการประกาศถอนตัวจาการสนับสนุนการอภิปรายสมาคมสตรีผุ้มีสิทธิเลือกตั้งได้ระบุว่าถอนตัว "เพราะข้อเรียกร้องขององค์กรณรงค์ทั้งสองจะทำให้เกิดกาฉ้อโกงผ้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันไ คณะกรรมการดีเบตของพลเมืองก่อตั้งขึ้นด้วยความหวังที่จะจัดตั้งผุ้สนับสนุนอิสราะสำหรับการดีเบตประธานาธิบดี โดยมีบทบาทที่เน้นผุ้มีสิทธเลืกตั้งมากขึ้นในการกำหนดผุ้เขาร่วม รูปแบบ และกฎเกณฑ์

           https://en.wikipedia.org/wiki/Debate

        




วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2567

Age, generational,Race...,

          ปัจจุบัน อายุมีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับการแบ่งพรรคแบ่งพวก และรูปแบบนี้ดำเนินมานานกว่าทศวรรษแล้ว พรรคเดโมแครตมีข้อได้เปรียบอย่างมากในกลุ่มมผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่อายุน้อย แขณะที่พรรครีพับลิกันมีข้อได้เปรียบในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีอายุมากที่สุด

          ผูมีสิทธิเลือกตั้งที่มีอายุระหว่าง 18-24 ปีประมาณสองในสาม(ร้อยละ) 66 สังกัดพรรคเดโมแครต เมือเทียบกับร้อยละ 34 ที่สังกัดพรรครีพับลิกัน

          มีช่องว่างที่ใหญ่พอๆ กันในสังกัดพรรคการเมืองของผุ้ีสิทธิเลือกต้งที่มีอายุระหว่าง 25-29 ปี( 64% เป็นเดโมแครตหรือมีแนวโน้มไปทางนั้น เที่ยบกับ 32% สำหรับรีพับลิกัน) ผู้มีสิทธิลงคะนนเสียงในช่วงวัย 30 ปี ยังเอียงไปทางพรรคเดโมคแครต แม้ว่าจะมีน้อยกว่าก็ตาม ดดย 55% เป็นพรรคเโมแครตหรือมีแนวโน้มไปทางพรรคเดโมแครต สวน 42% เป็นพรรครีพับลิกันหรือมีแนวโน้มไปทางพรรครีพับลิกัน ไม่มีฝ่ายใดมีข้อได้เปรียบเหนือกว่าาอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ขัดในกลุ่มผุ้มีสิทธิเลือกตั้งในช่วงวัย 40 และ 50


          ผู้มีสิทธิเลือกตจั้ง ครึ้งหนึ่งในช่วง 40 ปี สังกัดพรรเดโมแครตและ 47 % สังกัดรีพับลิกัน ดัชนีจะพลักกลับในกบุ่มผุ้มีสิทะิเลือกตั้งในข่วงวัย 50 ปี โดย 50% เห็นด้วยกับพรรครีพัลลิกัน และ 47% เห็นด้วยกับพรรคเดโแมครต ในกลุ่มผุ้มีสิทะิเลือกตั้งที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป พรรครัีพัลลิกันมีข้อได้เปรียบที่ชัดเจน

          การจัดแนวของพรรครีพับลิกันสุงกว่าการจัดแนวของพรรคเดโมแครต 10% (53% เทียบกับ 43% )ในกบุ่มผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีอายุ 60 ปี 

         ผุ้มีสิทธิลงคะแนนที่มีอายุระหวาง 70-79 ปี มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนพรรค GOD (51%)มากว่าพรรคเดโมแครต (46%)เล็กน้อย ผุ้มีสิทธิเลือกต้ง ประมาณหกในสิบคนที่อายุ 80 ปีขึ้นไป 58% ระบุหรือเอนเอียงไปทางพรรค GOP ในขณะที่ 39% เชื่อมโยงกับพรรคเดโมแครต

         ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีอายุมากว่าส่วนใหญ่จะระบุถึงพรรคการเมืองหนึ่งๆ ในขณะที่ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีอายุน้อยกว่านั้น มีจำนวนค่อนข้างมากนอกเนือจากความแตกต่างในความโน้มเอียงในการเลือกพรรคการเมืองโดยรวมของผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่อายุน้อยและอายุมากแล้วผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่อายุน้อยยังมีแนวโน้มมากกว่าผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่อายุมากอย่างมากในการเลือกที่จะไม่ระบุตัวตนโดยตรงกับพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง

          เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีอสยุต่ำกว่า 25 ปีเพียงประมาณครึ่งหนึ่ง 52% เท่านั้นที่ระบุตัวตนโดยตรงกับพรรคการเมือง 38% เป็นพรรคเดโมแครตที่ระบุตัวตนโดยตครงกับพรรคการเมือง (38% เป็นพรรคเดโแมครต 14% เป็นพรรครีพัลลิกัน) ในทางกลับกันประมารณครึ่งหนึ่งระบุว่าตนเองเป็นพรรคอื่นหรือเป็นอิสระ ดดย 28% เอนเอียงไปทางพรรคเดโมแครต และ 20% ไปทางพรรครีพับลิกัน

การแบ่งฝ่ายระหวางชายและหญิงภายในกลุ่มอายุ 

         ความแตกต่างของอายุในการแบ่งที่เห้ฯในประชาชนโดยรวมนั้นเห็นได้ชัดเจนทั้งในผุ้ชายและผุ็หญิง ตัวอย่างเช่น ทั้งผุ้ชายและผู้หญิงที่อายุต่ำกว่า 30 ปี มีคะแนนสอดคล้องกับพรรคเดโแมครตประมาณ 2ต่อ 1 

          ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งชายและหญิงในช่วงอายุ 30-49 ปี แบ่งออกค่อนข้างมากในความภักดีต่อพรรคกรเมือง แม้ว่าพรรคเดโแมครตจะมีคะแนนนำเล็กน้อยในกลุ่มผุ้หญิงในช่วงอายุนี้

          พรรครัพัลลิกันมีข้อได้เรียบอย่างมากในกลุ่มผุ้ชายที่อายุ 50 ปีขึ้นไปขะที่ผุ้หญิงในวัยนี้มีแนวโน้มที่จะสังกัดพรรคท้งสองเท่าๆกัน

          เชื้อชาติ อายุ และการแบ่งแยก

          ในกลุ่มผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนผิวขาว ฮิสแปนิก และเอเชีย ผุ้สูงอายุในปัจุบันสวนใหญ่มักจะเป็นฝ่ายนีพัลลิกันมากกว่า(และเป็นเดโมแครตน้อยกว่า) มากกว่าผู้ใหญ่ที่อายุน้อยกว่าแต่ไม่ใช่เช่นนั้นสำหรับผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนผิวดำ ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนผิวตำและอายุน้อยกวย่าง50 ปี ถึง 17% ระบุว่าตนเองเป็นหรือมีแนวโน้มเป็นพรรครัพัลลิกัน เมือเทียงกับผุ้มีสิทธเิลืกตั้งที่เป็นคนผิวดำและอายุ 50 ปี ขึ้นไปเพียง 7% เท่านั้น

          จากการสำรวจที่ย้อนกลับไปถึงช่วงทศวรรษท 1990 ผุ้ม่สิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนผิวดำที่อายุน้อยกวา่มักจะเป็นฝ่ายรีพัลลิกันมากกว่าผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนผิว่ำที่อายุมากว่าเล็กน้อย หรือไม่ก็มีความคิดเห็นว่าไม่มีความแตกต่างกันในการแบ่งฝ่ายของคนผิวดำตามช่วงอายุ

         การแบ่งแยกระหว่างรุ่น

         กาาพิจารณาความลำเีอยงของบุคคลที่เกิดในช่วงเวลาใกล้เคียงกันผกลุ่มอายุ) ช่วยให้เราสามารถเปรียบเทียบระหว่างรุ่นต่างๆ ในช่วงเวลาต่างๆ ได้ (สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับกลุ่มอายุ ปัจจุบัน กลุ่มคนอายุน้อยแต่ละกลุ่มมีแนวโน้มจะสนับสนุนพรรคเดโแมครตมากขึ้นกว่ากลุ่มก่อนหน้าแต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไปตัวอย่างเช่น ในข่วงปลายทศวรรษ 1990 ความสมดุลของการแบ่งพรรคแบ่งพยกของผุ้มีสิทธิเลือกตั้งในแต่ละกลุ่มอายุ(กลุ่ม) แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านนั้น

     ..ในปัจจุบันและช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรุปแบบอายุที่ชัเจนและเป็นเส้นตรงมากขึ้น ผุ้ที่เกิดในช่วงทศวรรษ 1990 (ปัจจุบันอยุ่ในช่วงกลาง 20 ถึงต้น 30 )เป็นพรรคเดโมแครตมากกว่าผุ้ที่เกิดในช่วงทศวรรษ 1980 ซึ่งในทางกลับกันก็เป็นพรรคเดโมแครตมากกว่าผุ้ที่เกิดในช่วงทศวรรษ 1970 และกลุ่มอายุที่มากที่สุดเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มสนับนุนพรรครีพับลิกันมากที่สุด...

            https://www.pewresearch.org/politics/2024/04/09/age-generational-cohorts-and-party-identification/

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2567

'Kamala is brat'- MAGA

         กมลาเทวี แฮร์ริส เกิด 20 ตุลาคม 1964 เป็นนักการเมืองและทหนายความชาวอเมริกันที่ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2021 ภายใต้ประธานาะิบดี โจ ไบเดนเะอเป็นรองประธานาะิบดีหญิงคนแรก ทำให้เธอเป็นเจ้าหน้าที่หญิงที่มีตำแหน่งสุงสุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ เช่นเดียวกับรองประธานาะิบดีชาวแอฟริกันอเมริกันและชาวเอเชียอเมริกัน สมาชิกของพรรคเดโแมครตเธอทำหน้าที่เป็นวุฒิสมาชิกสหรัฐจากแคลิฟรอ์เนียตั้งแต่ปี 2017-2021 และก่อนหน้านั้นในตำแหน่งอัยการสุงวสุดของแคลิฟอร์เนียแฮร์ริสเป็นผุ้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาะิบดีสหรัฐปี 2024  

          โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ เกิดเมือวันที่ 14 มิถุนายน 1946 เป็นนัการเมือง บุคคลที่มีชื่อเสียงด้านสื่อ และนักธุรกิจชาวอเมริกัน ซึ่งดำรงตำแหน่งประะานาะิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2016-2000 ทรัมป์ได้รับปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในปี 1968 พ่อของเขาแต่งตั้งให้เขาเป็นประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในปี 1971 ทรัมป์เปลี่ยนชื่อเป็น "ทรัมป์ ออแกนนิเซชั่น" และปรับทิศทางบริษัทใหม่ไปที่การก่อสร้างและการปรับปรุงตึกระฟ้า โรงแรม คาสิโน และสนามกอล์ฟ ฟลังจากที่ะุรกิจล้มเหลวหลายครั้งในช่วงปลายทศวรรษท 1990 เขาก็ได้เปิดตัวกิจการเสริมที่ประสบความสำเร็จ ดดยส่วนใหญ่คือการอนุญาตให้ใช้ชื่อทรัมป์ตั้งแต่ปี 2004-2015 เขาเป็นผุ้ร่วมผลิตและเป็นพิธีกรรายการเรียลลิตี้ทีวีเรื่อง "เดอะ แอปเพรนชั้น" เขาและธุรกิจของเขาเป็นโจทก์หรือจำเลยในคดีความมากกว่า 4,000 คดี รวมถึงการล้มละลายของะุรกิจ 6 คดี

            การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะจัดขึ้นในวนที่ 5 พฤจิกายน จากการสำรวจความคิดเห็นทั่วประเทศ แฮร์ริสและพรรคเดโมแครตมีคะแนนนำ 46.8-43.7 คะแนน 

          ตำแหน่งสุดท้ายของ โจ ไบเดน ก่อนที่เขาจถอนตัวจาตำแหน่งผุ้สมีัตพรรคเดโมแครต คือ คะแนนตามหลังทรัมป์ 45.2-41.2 เมื่อถึงการเลือกตั้ง ไบเดนจะมีอายเกือบ 82 ปี ทรัมป์จะมีอายุ 78 ปี และแฮร์ริสจะมีอายุ 60 ปี

       สัปดาห์ที่แล้วมีการเคลื่อนไหวไปที่แฮร์ริสในทุกรัฐที่เป็นสมรภูมิการเลือกตั้ง หากแฮร์ริสชนะทุกรัฐที่เธอเป็นผุ้นำอยุ่้ในปัจจุบัน เธอจะชนะการเลือกตั้งคณะผุ้เลือกตั้งด้วยคะแนน 287-251 

         แบบจำลองของซิลเวอร์ระบุว่าแฮร์ริสมีโอกาส 56%ที่จะชนะการเลือกตั้งคณะผุ้เลือกตั้ง และมีโอกาส 68.5% ที่จะชนะคะแนนนิยมระดับประเทศโอกาสที่แฮร์ริสจะชนะการเลือกตั้งคณะผุ้เลือกตังเพ่ิมขึ้นจาะ 50.5% เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม และ 37% เมื่อแบบจำลองแฮร์ริสเทียบกับทรัมป์เปิดตัวเมือวันที่ 29 กรกฎคน ทรัมป์มีโอกาส 73% ที่จะชนะเมือคู่แข่งของเขาคือ ไบเดน

        แฮร์ริสจำต้องชนะอย่างน้อย 2 คะแนนในการลงคะแนนเสียงระดับประเทศเพื่อเป็นตัวเต็งของคณะผุ้เลือกต้ง ดังนั้นคณะผู้เลือกตั้งจึงยังคงสุสีอยุ่มาก นอกจากนี้ยังมีเวลาอีกมาที่แอร์ริสอาจพลาดพลั้งหรือผลสำรวจอาจบิดเบือน เมือนอย่างที่เกิดขึ้นในปี 2020 แต่ปัจจุบันแฮร์ริสมีคะแนนนำในการสำรวจอยุ่เล็กน้อย

         ในการหาเสียง ตัวผุ้สมัคร การเคลื่อนไหว และการชุมนุมของพวกเขล้วนมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งสร้างควมแตกต่างอย่างชัดเจนสำหรับผุ้มีสิทธิลงคะแนนเสียง

       


 โดนัลด์ ทรัมป์ เดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับเพลง "ก็อด บลีซ เดอะ ยูเอศเอ" ของ ลี กรีนวุด ซึ่งออกจำหน่่ายในปี 1984 โดยมีเสียงเชียร์ดังสนั่นจากผูงชนจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่เป็นผุ้สุงอายุและคนผิวขาว

        "เราจะทำให้ประเทศอเมริกายิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้งไ เขาสัญญา

        กมลา แฮร์ริส เดินออกไปพร้อมกับเพลงฮิตปี 2016 ของ บียองเซ่ ชื่อว่า "ฟรีดอมไ และเอนตัวเขาหามีมทางอินเทอร์เน็ต ดดยพุดคุยกับผุ้ฟังที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติมากขึ้น โดยมีเสื้อเชิ้ตและเข็มกลัดสีเขียวอมเหลืองประดับอยุ่ ซึงเป็นการยกย่องอัลบับเพลงปํอปปี 2024 ที่ชื่อว่า "แบรท" "เราจะไม่กลับไปอีก" เธอกล่าว

          หน้าจอแยกนี้สะท้อนแคมเปญหาเสียงของประานาะิบดี 2 แคนเปญที่รวบรวมอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม วัย และสังคมที่แตกต่างกันอย่างมาก ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างชัดเจนสำหรับผุ้มีสิทธิเลือกตั้ง ความแตกต่างนี้ชัดเจนยิ่งขึ้นตั้งแต่ที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ออกจาการแข่งขัน โดยพลิกโฉมแคมเปญหาเสียงที่เคยมีชายผิวขาว 2 คน ที่เกิดในช่วงทศวรรษ 1940 และเปิดโอกาสให้ผุ้หญิงหลายเชื่อชาตที่อายุน้อยกว่าเขามาแทนที่

        ขณะที่ ผุ้สมัคร การชุมนุม และการเคลื่อนไหวของพวกเขากำลังแสดงให้เห็นถึงสองด้านของอเมริกาที่แตกแยกกันทั้งในด้านประชากรและวัฒนะรรม ไม่ใช่แคเพียงพรรคการเมืองและนโยบายเท่าน้้น

        การเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยความคับ้องใจของทรัมป์เต้มไปด้ยความคิดถึงคนรุ่นก่อนๆ และวาระการดำรงตำแหน่งของเขาเอง รวมถึงความกลัวและกความโกรธแค้นเกี่ยวกับการอพยพเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาตและการทำให้เป็นฆราวาสเปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งการสัมภาษณ์ผุ้สนับสนุนจำนวนมากแสดงให้เห็น ในการชุมนุม ทรัมป์ไ้ให้คำเตือนที่ร้ายแรงเกี่ยวกับชายแดนทางใต้ สัญญาว่าจะปราบปราม "ความบ้าคลั่งของคนข้ามเพศ" กลับมาฟ้องร้องเกี่ยวกับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งในปี 2020 ดุถูกนักวิจารณืแ ะลสาบานว่าจะแก้แค้นศัตรุที่เขามองว่าเป็นศัตรุของเขา โดยกล่าวอ้างเท็จและไร้เหตุผลมากมายในสุทรพจฯือันยานานของเขา

         ในขณะเดียวกัน แฮร์ริสได้รับพลังใหม่จากผุ้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นเยาว์และคนผิวสีที่บอกว่าพวกเขา กังวลว่าทรัมป์จะพาอเมริกาถอยหลังไปสุู่จุดที่ผุ้หยิง คนผิวสี ชาวอเมริกัน รักร่วมเพศ และคนอื่นๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายมากขึ้น เธอพุดสุนทรพจน์ที่เขียนขึ้นอย่างรุดกุมซึ่งกระตุ้นให้ฝูงชนโห้ไล่ทรัมป์ แต่ก็ใช้โทนเสียงที่สดใส เช่น ชี้ไปที่อนาคต


        ก่อนหน้านี้ในช่วงหาเสียง ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งพยายามหาทางเชื่อโยง ไบเดนกับอนาคต โดยอ้างอิงจากการสำรวจความคิดห็นของ "ซิลินด้า เลค" นักสำรวจความคิดเห็นของพรรคเดโมแครต ซึ่งทำงานในแคมเปญหาเสียงของไบเดน และสนับสนุน แฮร์ริส ผุ้มีสิทะิเลือกตั้งรุนเยาว์จะบอกว่าทั้งทรัมป์และไบเดนเป็นตัวแทนของอดีต

       "ตอนผุ้คนมองแฮร์ริสว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ทั้งในด้านประชากรศาสตร์ สไตล์ วัฒนธรรม อายุ เพศ ในทุกแง่มุม" เลคกล่าว

        ขณะเดียวกัน ทรัมป์กำลังพยายามประณามแฮร์ริสว่าเป็นแบบเดียวกับ ไบเดน และพยายามโน้มน้าวผุ้มีสิทะิเลือกตั้งว่าพวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นในช่วงเวลาที่เขาอยุ่ในทำเนียบขาว

      "แคโรไลน์ ลิวิตต์" โฆษกแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ ยังแนนำว่า แอร์ริสเป็นตัวแทนของอดีต ดดยวิพากษ์วิจารณ์ภาวะเงินเฟ้อและ "ความวุ่นวายทั่วโลก" ในช่วงเวลาของเธอและไบเดนในทำเนียบขาว แผนการเชิงรุกของประะานาะิบดีทรัมป์จะช่วยรักาาเศราฐกิจหยุดวิกฤตที่ชายแดนภาคใต้ และฟื้นฟุูสันติภาพผ่านความแข็งแกร่ง" เธอกล่าวในแถลงการณ์

        การแบ่งแยกระหว่างผุ้สนับสนุผุ้สมัครทั้งสองคนสะท้อนให้เห็นถงความแตกต่างทร่ยาวนานในด้านเชื้อชาติ ภุมิศาสตร์ ศาสนา การศึกษ และอื่นๆ ฐานเสีงของพรรครีพัลลิกันในยุคทรัมป์นั้เอียงไปทางคนผิวขา ชนชั้นแรงงาน ผุ้ชาย ชนบทและคริสเตียน นิกายอีแวนเจลิคัล ส่วนฐานเสียงของพรรคเดโมแครตเอียงไปทางคนมีการศักษาระดับอุดมศึกษาและคนเมืองและดึงดุดผู้หญิง คนหนุ่มสาว และผุ้มีสิทธิเลือกตั้งทีมีสีผวิ ดดยเแพาะชาวอเมริกันผิวดำ นักวิเคราะห์การเมืองพูดคุยกันมาหลายปีเกี่ยวกับผุ้สิทธิเลือกตั้งที่สนับสนุนพรรค "แคร็กเกอร์ บาร์รีล" เมือเทียบกับ ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่สนับสนุนพรรค "วูลซ์ ฟูดส์ไ 

         แฮร์ริสเกิดในช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งเป็นช่วงเร่ิมต้นของเจอนเรชั่น X และแคมเปญของเธอเน้นไปที่มุกตลกและการอ้างอิงถึงเจเนอเรชั่น Z เมื่อ ชาร์ลี เอ็กซ์ซีเอ็กซ์สักร้องสาวประกาศในวันที่ ไบเดนเลิกใช้คำว่า "กมลาเป็นเด็กเปรต" ซึ่งทำให้ผุ้ใช้ ติก ตอก พอใจและทำให้คนรุ่นเก่าและคนที่ไม่ค่อยออนไลน์รุ้สึกงุนงง ทีมงานของแฮร์ริสก็ยอมรับคำๆ นี้ทันที ซึ่งต่อมามีความหายว่า ยุ่งเหยิงแต่ชัดเจน แคมเปญดังกล่าวเร่ิมใช้แบบอักษรและสีเขียวเชร็คของขาร์ลี เอ็กซ์ซีเอ็กซ์ ซึ่งเป็นปกอัลบั้ม "เธอเปรียบเทียบตัวเองกับทั้งไบเดนและทรัมป์ไ แซลลี ฟรีดแมน ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออลบานี ผุ้เียนบทความเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างรุ่นในหมุ่นักาการเมือง กล่าว

        ผุ้สนัยสนุนทรัมป์เข้าแถวรอเข้าร่วมงานของเขาตั้งแต่เช้าตรู่โดยสวมเสื้อเชิ้ตทีมีข้อความว่า "พระเจ้า, ปืน และ ทรัมป์" และ "พระเยซูคือผุ้ช่วยให้รอดของฉัน ทรัมป์คือประธานาธิบดีของฉันไ บางคนกางเต็นท์ทั้งวันพร้อมเกาอี้พับ เมือเข้าไปด้านใน ลำโพลจะเล่นเพลงคลาสสิก เช่น "ร็อคเก็ท แมน" "ไอ วิล เซอไวว์" "แดนซิง ควีนส์" และ "เมมโมรี่" จากละครเพลงเรื่อง "แคท"ขณะที่พวกเขากำลังรอ ก็มีวิดีโอทีเซอร์ของทรัมป์("เราจะขับไล่พวกชอบสงคราม") พิธีกรรมรักชาติ และคำเตือนที่น่ากลัวเกี่ยวกับทิศทางของประเทศหาทรัมป์ไม่ได้รับการเลือกตั้ง มีากรสวดภาวนาแบบคริสเตียนอยุ่เสมอ

 สี่วันหลังจากงานของแฮร์ริสที่แอตแลนต้า ทรัมป์ได้รวมตัวกันที่สถานที่เดียวกัน ศิษยาภิบาลเจนเทเซน แฟรงคลิน ซึ่งเป็นพันธมิตรของทรัมป์ในศาสนาคริสต์นิกายอีแวนเจลิคัล เป็นผู้นำการสวดมนต์ ฝุงชนลุกขึ้นยืน และหลายคนถอดหมวกออก

        "มีคนถามว่าคุณคิดว่าเขาเป็นอธิษฐานบ่อยไหม" แฟรงค์ ลิน ตอบ "ผมไม่รู้ แต่ผมรุ้ว่าเขามีนมากมายอยู่รอบตัวเขาในทุกตำแหน่งที่เขาทำ และนั่นก็สำคัญ" 

        "บ่ายนี้ พวกคุณเื่อในพลังของกาสวดมนต์กันกี่คนไ เขาถาม มือทั้งสองยกขึ้น  เขาเร่ิมว่า "พระบิดา วันนี้พวกเรามาหาพระองค์ในพระนามอันย่ิงใหญ่ของพระเยซู เราขอขอบคุณประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์" 

         ไทเลอร์ อาร์เปอร์ กรรมาะิการเกษตรแห่งรัฐจอร์เจีย ขึ้นเวทีนำฝูงชนกล่าวคำปกิญาณตนต่อธงชาติ แต่ก่อนอื่น เขาปลุกเร้าฝูงชนก่อน "รถไฟกำลังวิ่งไปผิดทางนะทุกคน" เขากล่าว

        หากทรัมป์ได้รับชัยชนะในเดือนพฤศจิกาย เขาสัญญาว่า "เราจะไม่ให้มีผุ้ที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายข้ามพรมแดน เราจะทำให้แน่ใจว่าชาวอเมริกามาก่อนจะมีอำนาจเสมอ และเราจะทำให้แน่ใจตว่าประเทศของเราจะเดนไปบนเส้นทางที่ถุกต้อง เส้นทางที่ยำเกรงพระเจ้า" 

       คำคืนนั้นจบลงด้วยคำพูดซ้ำซากจำเจของทรัมป์ที่กล่าวถึงคำขวัญ MAGA ของเขา "พวกเราคือขบวนการเดียว ประชาชนเดีย ครอบครัวเดียว และชาติอันรุ่งโรจน์เดียวภายใต้พรเจ้าและเมือร่วมมือกันแล้ว เราจะทำให้ประเทศอเมริกากลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง เราจะทำให้ประเทศอเมริกากลับมามังคั่งอีกครั้ง เราจะทำให้ประเทศอเมริกากลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง เราจะทำให้ประเทศกลับมาสู่ความภูมิใจอีกครั้ง.."

       เขาเหยียดแขนออกเพือรอฟังคำพูดสุดท้าย "และเราจะทไให้ประเทศอเมริกา " "- เยียมอีกแล้ว" ฝูงชนตะโกนพร้อมกับเขา ผู้ร่วมชุมนุมเป็นเป็นคนผิวขาวมากกว่า แฮร์ริสปราศรัย เมือต้นสัปดาห์ แต่ทรัมป์พยายามเน้นย้ำถึงการสนับสนุนคนผิวดำของเขา

       MAGA Black MAGA Black ฉันรักพวกเขา" เขากล่าวหลังชี้ไปที่คนในฝูงชน...

         https://en.wikipedia.org/wiki/Donald_Trump

         https://en.wikipedia.org/wiki/Kamala_Harris

        https://theconversation.com/harris-lead-over-trump-continues-to-increase-in-us-national-and-swing-state-polls-236576

         https://www.washingtonpost.com/elections/2024/08/14/trump-harris-voters-generation-culture-election-2024/   

วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2567

Statistics with Election

          โจ ไบเดน ก้าวขึ้นสุ่ตำแหน่งประธานาธิบดี คนที่ 46 ของประเทศท่ามกลาวสภาพแวดล้ามทางการเมืองที่ขัดแย้งและประชาชนที่แตกแยกกันอย่างรุนแรง ผุ้คัดค้านไบเดนบางคนชี้ให้เห็นถึงชัยชนะเหนือโดนัลด์ ทรัมป์ที่เฉียดฉิวในรัฐสมรภูมิหลายรัฐว่าเป็นหลักฐานว่าชัยชนะในเดื่อนพฤศจิกายนของเขาไม่ได้โดดเด่นแต่อย่างใด แม้ว่าไบเดนจะชนะคะแนนนิยมด้วยคะแนนที่ห่างกันกว่า 7 ล้านคน จากผุ้ลงคะแนนทั้งหมด 159 ล้านคนก็ตาม
          ทั้งหมดที่อาศัยอยุ่ในเขตที่ไบเดนและทรัมป์ชนะ จากมุมมองดังกลา่วประชากร 67 ล้านคนอาศัยอยู่ในเขตที่ไบเดนชนะ 197.9 ล้านคน มากกว่าเขตที่ทรัมป์ชนะ 130.3 ล้านคน นี่คือความแกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างประชากรในขเตที่ผุ้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสองคนสำคัญชนะมาตั้งแต่ปี 1996 เมือ บิน คลินตันเอาชนะ บ็อบ โดล ได้

           มีการกล่าวถึงการแบ่งแยกระหว่างเมืองและชนบทในวงการการเมืองอเมริกันมากมาย อย่างไรก็ตาม มีการแสดงใสห้เห็นว่าแท้จริงแบ้วการลงคะแนนเสียงของคนในเขตชานเมือง ต่างหากที่ทำให้คะแนนเสียงเปลี่ยนไปในทางที่สนับสนุนไบเดน นอกจานี้ ขนาดประชากรของเขตที่ไบเดนและทรัมป์ชนะยังได้รับการจัดประเภทตามหมวยดหมุ่สภานะของเมืองที่พัฒนาโดยสถาบัน "บรูคกิ้ง" อีกด้วย เขตศุนย์กลางเมืองขนาดใหญ่ (เขตที่มีความหนาแน่นของประชากรสูง) คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของประชารกรทั้งหมด 97 ล้านคน จากเขตทั้งหมดที่ลงคะแนนเสียงให้กับไบเดน เขตชานเมืองในเขตมหานครขนาดใหญ่มีประชากรเพ่ิมขึ้นอีก 72 ล้านคนในเขตที่ไบเดนชนะ
          ในทางกลับกัน ประชกรในเขตที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งมีเพียงไม่กี่คนในเขตเมืองใหญ่ ซึ่งคิดเป็น 4.7 ล้านคน ประชทกในเขตทรัมป์ส่วนใหญ่กระจายตัวอยุ่ในเขตชานเมืองขนาดใหญ่ เขตมหานครขนาดเล็ก และื้นที่นอกเขตมหานคร
           เนื่องจากเขตเมืองขนาดเล็กและขตนอกเขตเมืองมีประชากรน้อยกว่าเขตเมืองขนาดใหญ่มาก จึงมีเขตที่ทรัมป์ชนะมากกว่าเขตที่ ไบเดนชนะ  ดังนั้นเมือดุจากแผนที่ผลการเลือกตั้งประจำปี 2020 ของทุกรัฐ จะเห็นว่ามีหลายเขตทีสนับสนุนการเลือกตั้งดดยทรัมป์ล้อมรอบกลุ่มเขตที่สนับสนุนการเลือกรตั้งโดยทรัมป์ แต่เหตุผลที่เขตที่สนับสนุนการเลือกตั้งโดยทรัมป์มีประชากรมากว่าเขตที่สนับสนุนการเลือกตั้งโดยทรัมป์ถึง 67 ล้านคนนั้นเป็นเพราะเขตที่สนับสนุนการเลือกตัึ้งโดยทรัมป์คตรองพื้นที่เขตเมืองหลักและเขตชานเมืองในเชตเมืองใหญ่
         หากคำนวฯเป็นสัดส่วนของประชากรทั้งประเทศแล้ว ประชากร 60% ของสหรัฐฯ อาศัยอยุ่ในเขต ไบเดน อย่างไรก็ตาม สัดส่วนนี้แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละกลุ่มหประชากร โดยเชตไบเดนมีแนวโน้มที่จะเป้นที่ตั้งของกลุ่มประชกรที่เติบโต และเขตที่มีลักษณะ "เป็นเมือง" ในแง่ของเชื้อชาติ การศึกษา สถานะที่เกิดในต่างประเทศ และแม้แต่สถานะสมรสในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ประชกากรผิวสี จำนวนมากของประเทศอาศัยอยุ่ในเขตไบเดน ประมาณสามในาี่อาศัยอยุ่ที่นั่น เช่นเดียวกับชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย 86% และเกือบสองในสามของผุ้ที่ระบุว่าตนเป็นคนสองเชื้อชาติหรือมากกว่า ในทางตรงกันข้าม ประชากรผิวขาวเพียงครึ่งเดียวของประเทสอาศัยอยู่ในเขตไบเดน
         

ประชากรผิวขากลุ่มนี้มีควาแตกต่างกันมาก ดดยผุ้สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาผิวขาวมีเกือบสองในสามที่อาศัยอยู่ในเขตไบเดนส่วนประชกรผิวขาวกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่มัีการศึกษาระดับอุดมศึกษาจะมีแนวโน้มที่จะอาศัยอยุ่ในเชตทรัมป์มากกว่า ดดยเฉพาะคนผิวขาวที่มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาหรือต่ำกว่า
          คุณบักษณะทางประชากรอีกสองประการที่แตกต่างกันอย่างลชัดเจนระหว่างเคาน์ตี้ไบเดน และ ทรัมป์คือการเกิดและสภานะการสมาร ชาวอเมริกันที่เกิดในต่างประเทศมากว่าสี่ในห้าคนอาศัยอยุ่ในเคาน์ตี้ไบเดน เมือเที่ยวกับชาาวอเมริกันที่เกิดในประเทศน้อยกว่าสามในห้าคนที่อาศัยอยู่ในเคาน์ตี้ ไบเดน ในทำนองเดียวกัน คนดสดมีแนวโน้มที่จะอาศัยอยุ่ในเคาน์ตีไบเดนมากกว่าที่แต่างงานแล้ว
          เมือพิจารณาครัวเรือนที่จำแนกตามรายได้ ครัวเรือนส่วนใหญ่ในทุกหมวดหมู่รายได้อาศัยอยู่ในเขบตไบเดน แต่ความแตกต่างจะกว้างที่สุดสำหรับครัวเรือนที่มีรายได้สูงที่สุด ดดยครัวเรือนมากกว่าสองในสามที่มีรายได้อย่างน้อย 150,000 ดอลลาร์ต่อี อาศัยในเขตไบเดนเมือเทียบกับครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกว่า 50,000 ดอลลาร์เพียงครึ่งเดียว
         โปรไฟล์ที่แตกต่างกันของอเมิรกาของ ไบเดนและทรัมป์นั้นสามารถเปรียบเทียบได้ดีที่สุดเมือพิจารณาจกอายุและองคืประกอบทางเชื้อชาติของเขตที่ผุ้สมัครแตละคนสังกัดอยุ่ เพื่อให้สอดคล้องกับความแตกต่างระหว่างเมืองและชนลบทที่กล่าวข้างต้นอเริกาของทรัมป์นั้นชัดเจนว่าเป็นคนผิวขาวและอายุมากกว่า แม้แต่คนหนุ่มสาวที่อาศัยอยู่ในเขตของทรัมป์ก็ยังเป็นคนผิวขาวเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าประชากรที่มีอายุตำ่กว่า 16 ปี ในระดับประเทศจะเป็นชนกลุ่มน้อยผิวขาวก็ตาม 
          ประชากรในเขตที่ไบเดนชนะการเลือกตึ้งนั้นมีอายุน้อยกว่าและมีความหลากหลายมากกว่าอย่างเห็นไดชัด โดยกลุ่มชนกลุ่มน้อยมีจำนวนมากกว่าคนผิวขาวที่มีอายุต่ำกว่า 45 ปี และตามหลังคนผิวขาวที่มีอายุระหว่าง 45-54 ปีไม่มากนัก
          สถิติเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ มีการแบ่งแยกอย่างลึกซึ้งในด้านประชากรศาสตร์และการเมือง แต่การที่ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งในเขตที่มีประชการส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ถือเป็นลางดีสำหรับพรรคเดโมแครตในปีการเลือกตั้งประธานาะิบดีในอนาคต โดยเแพาะอย่างยิ่งเนืองจากกลุ่มประชกรที่อาศัยอยู่ในเขตเหล่านี้อย่างไม่สมส่วน ได้แก่ คนผิวสี บัณฑิตจบใหม่ คนที่เกิดในต่างปะเทศ และบุคคลที่ไม่ได้แต่งงาน เป็นกลุ่มประชากรที่เพ่ิมมากขึ้นเรื่อยๆ 

          เป็นไปได้ที่ประชกรส่วนใหญ่ยังควมีจำนวนมากในเขตที่มีทรัมป์อาศัยอยุ่ ได้แก่ ชาวชนบทและเมองเล็ก ชาวอเมริกันสุงอายุ และคนผิวขาวที่ไม่มีการศึกษรระดับอุดมศึกษา อาจทำให้พรรครีพับรีกันยังคงแข่งขันได้ หากพรรคหลังทรัมป์สามารถรักษาฐานเสียงนี้ัไว้ได้ แต่หากการคาดการณ์ล่าสุดเป็นเจริง พรรครีพับลิกันอาจไม่ใช่กลยุทธ์ระยะยาวที่ใช้ได้ผล 
       
            https://www.brookings.edu/articles/a-demographic-contrast-biden-won-551-counties-home-to-67-million-more-americans-than-trumps-2588-counties/

วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2567

Israel-Hamas,Ukrian-Russia...Damrocrac-Replubligan

           17/62024

           ความสำคัญของนโยบายตางประเทศก่อนการเลือกตั้งยังคงไม่ชัดเจน ในอดีต การหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมักเน้นที่ประเด็นภายในประเทศ เศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อ การย้ายถ่ิอนฐานและอาชญากรรม การทำแท้งและการดูแลสุขภาพ อย่างไรก็ตาม นโยบายต่างประเทศในการเลือกตั้งปธน.ครั้งนี้ดุเหมือนจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นกว่าปกติ ความโดดเด่นบางประการอาจสะท้อนถึงแนวทางที่แตกต่างกันอย่างมากที่ผุ้สมัครแตละคนมีต่อนโยบายต่างปรเทศ ไบเดนเป็นนักสากลนิยมเสรีนิยมแบบดั้งเดิมที่สนับสนุนการมีส่วนร่วมในระดับโลก เขาเน้นย้ำถึงความสอดคล้องกับประเพณีสากลนิยมขงอสหรัฐฯ ที่มีมาต้้งแต่สงครามโลกคารั้งที่สองในสุนทรพจน์  ของเขา ที่อนุสรณืสภานครบรอบ 80 ปี วันดีเดย์ในนอร์มังดี และการสัมภาษณ์กับนิตยสารไทม์ ในทางตรงกันข้ามทรัมป์ใช้แนวทางผลรวมเป็นศูนย์ในการเจรจาระหว่างประเทศและแสดงความดูถูกเหยียดหยามองค์กรพหุภาคีเช่น NATO และเช่นเคย ทรัมป์ยังคงเป็นบุคคลที่ค่าดเดาไม่ได้และขัดแย้งในตัวเองเมือถูดถึงนโยบายต่างประเทศ

        ประเด็นเฉพาะสองประเด็น ได้แก่ สงครามรัสเซีย-ยูเครน และ สงครามอิสราเอล-ฮามาส ได้ผลักดันนโยบายตางประเทศให้กลายมาเป้นประเด็นสำคัญในการเล่อตั้งครั้งนี้ รัสเซียรุกรานยูเครนเมือวันที่ 22/2/2022 และฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7/10/2023 ความขัดแย้งทั้งองยังคงดำเนินอยุ่และทดสอบไบเดนและทีมนดยบายต่างประเทศของเขาอย่างหนัก



       ในช่วงแรก ไบเดน ได้รับการสนับสนุนจกท้งสองพรรคอย่างแข็.แกร่งในการสนับสนุนยูเครนในการต่อต้านการรุกรานของรัสเซีย อย่างไรก็ตามสงครามได้ดำเนินไปสู่ภาวะชะงักงันโดยไม่มีทีที่าว่าจะยุติลง การตอบโต้ของยูเครนที่รอคอยกันมานานในปี 2023 ล้มเหลว และการโจมตีของรัสเซียได้ผลักดันกองกำลังยุเครนให้ถอยกลับไโดยทั้งสองฝ่ายต้องสุญเสียอย่างหนัก ในขณะเดียวกัน การสนับสนุนยุเครนของประชาชนของสนหรัฐฯ ก็ลดลง ดดยเฉพาะในหมุ่พรรครัพัลลิกัน แท้จริงแล้วสภาผุ้แทนราษฎรซึ่งควบคุมโดยพรรครีพัลลิกัน ได้ชะลอการช่วยเหลือใหม่สำหรับเคียฟเป็นเวลาหลายเดือนและผ่อนปรนลงเมืองทรัมป์ให้การรับรองแพ็คเกจดังกล่าวโดยปริยาย

         ทรัมป์ซึี่งไม่เป็นที่รุ้จักในเรืองความสุภาพในการใช้คำพูดได้ประกาศว่า เขาจะยุติสงครามในยุเครนภายใน 24 ชั่วโมง รายงานบางฉบับ ระบุว่าในฐานะประธานาธิบดี เขาอาจเรียกร้องให้ยูเครนยอมประนีประนอมดินแดนกับรัสเซียเพื่อให้เกิดสันติภาพ อย่างน้อยที่สุด คาดว่าเขาจะใช้จุดยืนที่สนับสนุนรัสเวียมากขึ้นในความขัดแย้งครั้งนี้

        ความชื่นชมที่ทรัมป์มต่อประธานาธิบดีรัสเซีย วลาติมีร์ ปูติน มีมาตั้งแต่ช่วงเร่ิมต้นดำรงตำแหน่งปธน. เมือรัสเซียบุกยูเครนในปี 2022 ทรัมป์ยังกล่าวถึงปูตินว่าเป็น "อัจฉริยะ" ด้วย ดังนั้น เคียฟจึงวิตกกังวลกับการที่ทรัมป์จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่หากสงครามยังคงดำเนินต่อไป ไบเดนอาจต้องทนทุกข์ทรมานจากการถุกโยงใยกับความขัดแย้งที่ดุเหมือจะมไ่มีวันจบสิ้น

       11/8/2024

        ประธานาธิบดีดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ออกมายอมรับเป็นครั้งแรเมือวันที่ 10 สิงหาคม ว่่ากองกำลังยุเครนกำลังสุ้รบในปฎิบัติการบุกโจมตีกะทันหันในเมืองเคิร์สก์ของรัสเซียขณะที่ทางการในพื้นที่ชายแดนกำลังเร่งอพยพพลเรือนั้บหมื่นออกจาพื้นที่เสียงภัย

       การออกมายอรับของเซเลนสกีมีขึ้หลังจากที่มอสโกสุ้รบกับกองกำลังของยุเครนเป็นวันที่ 6 ที่ถือเป็นการรุกรานดินแดนรัสเซียครั้งใหญ่ที่สุดของยุเครนนับตั้งแต่สงครามระหว่างกันเร่ิมต้นขึ้น ทำให้พื้นที่ตะวันตกเแียงเหนือของรัสเซียตกอยุ่ในอันตรยก่อนที่กำลังเสริมจะมาถึง เห็นได้จากที่รัสเซียได้กำหนดมาตาการรักาาความปลอดภัยที่เข้มงวดตามพื้้นที่ชายแดน 3 แห่ง เมือวันเสาร์ที่ผ่านมา 

       ปุติน กล่าวว่า การดจมตีของยุเครนเป็นการยั่วยุดอย่างมีนัยสำคัญ ที่นักวิเคราะห์ทางทหารชี้ว่า ทำให้รัสเซียตั้งตัวไม่ทัน ขณะที่นายพลวาเลรี เกราซิมอฟ ผุ้บัญชาการทหารสุงสุดของรัสเซีย กล่าวตังแต่กลางสัปดาห์ก่อนว่า การดจมตีดังกล่าวถุกระงับไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่จนถึงปัจจุบัน รัสเซียก็ยังไม่สามารถผลักดันกองกำลังงยุเครนให้ข้ามกลับไปยังพรมแดนของตนเองได้

          อเล็กเซย์ สมีร์นอฟ รักษาการผุ้ว่าการเคิร์สก์ ได้สั่งให้หน่วงานท้องถ่ินเร่งอพยพพลเรือนในพื้นที่เสี่ยงภัย ดดยสำนักข่าวทาสส์ของรัสเซียรายงานเมือวันเสาร์ว่่า มีการอพยพประชาชนมากกว่า 76,000 คนแล้ว

         บล็อกเกอร์ด้านทหารของรัสเซียเผยว่า การสุ้รบเกิดขึ้นในพื้นทีทีลึกเข้ามาในภุมิภาเคิร์สก์ถึง 20 กิโลเมตร ทำให้มีคนตั้้งคำถามว่า เหตุใดยุเครนจึงสามารถเจาะเข้ามาในพื้นที่ได้อย่างง่ายดาย....

      31/7/2024 

       กลุ่มอามาสออกแถลงการณืว่า นายอสิมาอิล อานิเยห์ หัวหน้าฝ่ายการเมืองของขบวนการอามาส ถุกสังหารในกรุลเตหะรานของอิหร่าน จากการบุกสังหารของอิสราเอล 

        ฮิวดก บาเชกา ผุ้สือข่าวบีบีซีประจำภูมิภาคตะวันออกกลาง ชี้ว่าการสังหารนายอานิเยห์ ในหรุงเตหะราน ซึ่งเขากำลังไปเข้าร่วมพิะีสาบานตนประธานาธิบดีคนใหม่ของอิหร่านเป็นพัฒนากรที่ ไสำคัญและอันตรายไ ที่จะรื้อฟื้นความหวาดวิตกว่าความรุนแรงจะยกระดับขึ้นไปทั่วทั้งภูมิภาค

       เหตุการณืที่ผุ้นำอามารายนี้ถุกสังหารเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วดมงหลังจากอสราเอล เปิดปฎิบัติการโจมตีในกรุงเบรุตของเลยานอน ดดยพุ่งเป้าโจมตีฐานทางการทหารสำคัญที่อิหร่านหนุนหลังและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ 



     11/8/2024

      ขณะที่การเลือกตั้งในเดือนพฤศจิการยนของหสรัฐใกล้เข้ามา พลวัตทาการเมืองที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอล-ปาเลสไตน์ยังคงมีอิทะิพลต่อการพัฒนาที่สำคัญในเวทีการเมืองของสหรัฐฯ ความคิดเห็นของประชาชนไม่สนับสนุนอสิราเอลเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป ซึ่งทำให้รัฐบาลอิสราเอลและผุ้สนับสนุนชาวอเมริกันเป็นกังวล

       ความคิดเห็นของประชาชนเปลี่ยนไปในทิศทางที่สมดุลมากขึ้น ดดยขาวอเมริกันจำนวนมาขึ้นเห็นใจปาเลสไตน์ จากการสำรวจของ แกลลับ ในดือนมีนาคม พบว่าตัวเลขดังกล่าวทั่วประเทศอยุ่ที่ 27% ในกกลุ่มเดโมแครตอยุ่ที่ 43 % และในกลุ่มคนหนุ่มสาวอยุ่ที่ 45% ความคิดเหน็เกี่ยวกับสงครามยังวิพากษ์วิจารอิสราเอลมากขึ้นไปอีก ผลสำรวจของ ดาต้า ฟอร์ โปรเกรส ที่เผยแพร่ในเดือนพฤษภาครเผยให้เห็นว่าชาวเดโมแครร้อยละ 56 เชื่อว่าอิสราเอลกำลังก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ผลสำรวจ อีกครั้งที่เผยแพร่เมืองเดือนมิถุนายนแสดงให้เห็นว่าผุ้มีสิทธิเลือกตั้งร้อยละ 64 สนับสนุนการหยุดยิงและการถอนทหารอิสราเอลออกจาฉนวนกาซา ในขณะที่ชาวเดโมแครตมีจำนวนร้อยล 86 และผลสำรวจยังบ่งว่าชาวอเมริกันร้อยละ 55 ปฏิเสธที่จะสงทหารอเมริกันไปปกป้องอิสราเอลหากถูกเพื่อนบ้านดจมตี 

      นัการเมืองสหรัฐฯ ไม่สามารถเพิกเฉพยต่อทัศนคติของประชาชนที่เปลี่ยนแปลไปอย่างต่อเนืองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมุ่เดโมแครต และดูเหมือนว่พวกเขากำลังพิจารณาเรืองนี้อยุ่ เมือเดือนที่แล้ว เมือนายนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล กล่าวปราศรัยต่อรัฐสภาสหรัฐฯ เป็นครั้งที่สี่สมาชิกพรรคเดโมแครตเกือบครึ่งหนึ่งไม่ได้เข้าร่วมประชุม

       นอกจากความคิดเห็นของสาะารณชนที่เปลี่ยนไปแล้ว ยัวมีปจจัยอื่นที่สร้างรอยร้ายในความเห็นพ้องต้องกันของฝ่ายสนับสนุนอิสราเอลในแวดวงการเมืองของสหรัฐฯอย่างต่อเนือง ปัจจัยหนึ่งก็คือชวยากรไม่ยึดมั่นในอุดมกาณ์แห่งชาติ ซึ่งในการเลือกตั้งขึ้นต้นของพรรคเดโมแครตได้ขอให้ผุ้ลงทะเบียนในพรรคเดโมแครตลงคะแนนเสียงว่า ไไม่ยึดมั่นในอุดมการณ์"เพื่อแสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมรับนโยบายของรัฐบาลไบเดนเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุอสิราเอลในฉนวนกาซา

       แคมเปญนี้ได้รับคะแนนเสียงมากกว่า 700,000 คะแนนซึ่งส่วนใหญ่มาจากรัฐที่เป็นสมรภุมิสำคัญอย่าง มิชิแกน และวิสคอนซิน หากการเคลื่อนไหวนี้ดำเนินต่อไปได้จนถึงเดือนพฤศจิกายนและการเลือกตั้งใกล้เข้ามาคะแนนเสียงของพวกเขาอาจเพียงพอที่จะทำให้ กมลา แฮร์ริส ผุ้สืบทอดตำแหนงของ โจ ไบเดน ในนามพรรค เดโมแครต ซึ่งสนับสนุนนโยบายสนับสนุนอิสราเอลในฉนวนกาซา พ่ายแพ้

           https://www.matichon.co.th/foreign/news_4730431

            https://www.bbc.com/thai/articles/c51yn578ln3o

           https://www.aljazeera.com/opinions/2024/8/11/aipac-is-growing-desperate

           https://www.bakerinstitute.org/research/how-will-gaza-and-ukraine-shape-2024-us-presidential-election

       

วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2567

History with Election

           ชุมชนที่เป็นคนผิวขาวและมีฐานะยากจนในเขตอุตสาหกรรมของอเมริกา ซึ่งผุ้อยุ่อาศัยมักไม่ค่อยมีวุฒิการศึกษาระดับวิทยาลัย ยังคงจงรักภักดีต่อโดนัลด์ ทรัมป์ แม้จะผ่านมาเจ็ดปีแล้วก็ตาม ชุมชนเหล่านี้หลายแห่งตั้งอยู่ในรัฐสำคัญไม่กี่รัฐ ที่จะกำหนดผลการเลือกตั้งในปี 2024 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มิชิแกน เพนซิลเวเนีย และวิสคอนซิน การทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ของชุมชนเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะอธิบายได้ว่า


พวกเขาได้กลายเป็นเมืองของทรัปม์ได้อย่างไร แต่ยังอธิบายได้ด้วยว่าการเมืองของพยวกเขราอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

          ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าความแข้.แกร่งของการเคลื่อนไหวด้านแรงงานในชุมชนมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการสนับสนุนพรรคเดโมแครตในช่วงเวลาหนึ่ง การจัดระเบียบแรงงานทำให้สารของพรรคเดโมแครตไปถึงคนงนในเมืองต่างๆ ใจกลางประเทศในช่วงทศวรรษปี 1930-1940 และการเสื่อมถอยอของแรงงานเป็นเหตุผลว่าทำไมเมืองต่างๆ จำนวนมากจึงหันเข้าหาลัทธิทรัมป์ แม้บางเมืองจะต้านสารก็ตาม

        ปธน. แฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ พยายามโน้มน้าวคนงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ด้วยคามสำเร็จอย่างล้นหลาม แขาสนับสนุนให้คนงานเหล่านี้มองว่าพรรคเดโมแครตเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการแก้ปัญหาและผลการสำรวจคือได้รับการตอบรับที่ดีจากเมืองอุตสาหกรรม

       พรบ.วากเนอร์ซึ่งผ่านเมือ ปี 1935 เป็นหัวใจสำคัญของแนวคิดของ รูสเวลต์ พรบ.ดังกล่าวให้สิทธิแก่คนงานในภาคอุตสหกรรมในการรวมตัว กำหนดให้นายจ้างไม่สามารถปกิเสธการต่อรองร่วมกันได้ และจัดตั้งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์แห่งชาติ ขึ้นเพื่อตัดสินข้อพิพาทระหว่างคนงานและฝ่ายบริหาร พรบ.วากเนอร์ ช่วยฟื้นฟูขบวนการแรงงานที่ซบเซาในข่วงทศวรรษ 1920 เพื่อเป็นการตอบสนอง สหภาพแรงงาน ดดยเฉพาะสหภาพที่สังกัดกับรัฐสภาขององค์กรอุตสาหกรรม ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้น ได้สนับสนุนรูสเวลต์ และช่วยเผยแพร่ข้อความว่าพรรคเดโมแครตเป็นเพื่อนของคนงานความสัมพันธ์แบบพึงพาอาศัยกันระหว่างแรงงานที่จัดตั้งและการบริหารภายใต้นดยายนิวดีล ที่เบ่งบานขึ้นนั้นเห้ฯได้ชัดจากประวัติศาสตร์ของเมืองทางตะวันตกกลาง 3 แห่ง เมืองหนึ่งในวิสคอนซิน เมืองหนึ่งในมินนิโซตา และอีกเมืองในอินเดียนา 

         เมืองในวิสคอนซิน ประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายทศวรรษของการจัดตั้งแรงงานและสังคมนิยมได้จาหายไปในช่วงทศวรรษที 1920 แต่คนงานสามารถฟื้นคือนองค์กรเหล่านี้ขึ้นมารได้ในช่วงนโยบายนิวดีล และในเมืองอื่นๆ ขบวนการแรงงานที่กระตือรือร้นได้เกิดขึ้นและรวมตัวกันเป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1930 โดยได้รับความชข่วยเหลือบางส่นโดยตรงจากรพะราชบัญญัติวากเนอร์ 

 อิทธิพลของสหรภาพแรงงานและการสนับสนุนพรรคเดโมแครตเป็นคำอะิบาย่าเหตุใดเมืองทั้งสามแห่งนี้ และเมืองอื่นๆ ที่คล้ายกันในพื้นที่อุตสาหกรรมมิดเวสต์ ยังคงเป็นส่วนสำคัญของแนวร่วมนิวดีลจนถึงช่วงทศวรรษ 1950

          แต่สิ่งนั้นเร่ิมเปลี่ยนแปลงไปในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 เมื่อเชื้อชาติและศาสนากลายเป็นศูนย์กลางทางการเมืองอเมริกันในรุปแบบใหม่

         ประการแรก สิทะิพลเมือง ดดยเฉพาะ พรบ. สิทธิพลเมือง และพระราชบัญญัติสิทธิในการลงคะแนนเสียง ได้เร่งให้เกิดการปรับแวทางพรรคการเมืองตามแนวทางเชื้่อชาติ ซึ่งย้อนไปถึงช่วงทศวรรษ 1940 เมื่อผุ้มีสิทธิเลือกตั้งผิวดำในภาคเหนือเร่ิมเปลี่ยนไปเลือกพรรคเดโมแครต ในช่วงทศวรรษ 1960 แม้ว่าผุ้มีสิทธิเลือกตั้งผิวดำจะยังคงย้ายฐานไปอยุ่พรรคเดโมแครต แต่ผุ้มีสิทิเลือกตัึ้งผิวขาวโดยเฉพาะในภาคใต้ กลับหันไปเลือกพรรครัพับลิกัน ซึ่งเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะหลังจากการเลือกตั้งในปี 1964 ซึ่งประธานาธิบดี ลินดอน บี. จอห์สัน จากเดโมแครต ผุ้ลงนาม ในพรบ.สิทธิพลเมือง ต้องแข่งขันกับ วุฒิสมาชิกแบร์รี โกลต์วอเตอร์ จากพรรครัพัลลิกัน ซึ่งลงคะแนนเสียงคัดค้าน

         จากนั้นในช่วงทศวรรษ 1970 ชาวคริสเตรียนผิวขาวเร่ิมเคลื่นไหวเพื่อรณรงค์เรื่องการศึกษาเรื่องเพศ การสวดมนต์ในโรงเรียน การต่อต้านการแก้ไขรัฐะรรมนูญว่าด้วยความเท่าเทียมกัน การทำแท้ง และการยกเว้นภาษีสำหรับโรงเรียน คริสเตียน ในที่สุด พรรครัพัลิกันก็เห็นชอบการแก้ไขรัฐะรรมนูญเพื่อห้ามการทำแท้งในปี 1976 ระหว่างนั้น ตั้งแต่ปี 1972 เป็นต้นมา พรรคเดโมแครตก็เร่ิมสนับสนุนเป้าหมายของสตรีนิยมอย่างช้าๆ รวมถึงการสนับนุการทำแท้งอย่างถูกกฎหมายในปี 1976 การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้ชาวคริสเตียนนิกาย โรมันคาทอลิก และอีแวนเจลิคัลจำนวนมากไม่พอใจ และก่อตั้งพรรครัพัยลิกันให้เป็นบ้านทางการเมืองของคริสเตียนผิวขาวที่เป็นอนุรักษ์นิยม

        ภายในปี 1980 พรรครีพับลิกัน ได้เคลื่นไหวเพื่อยอมรับอนุรักษนิยมทางสังคมอย่างเต็มที่ เพื่อพยายามดึงดูดผุ้มีสิทธิเลือกตั้งผิวขาวทีเคร่งศาสนาจากทุกนิกาย โรนัลด์ เรแกน ผุ้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในขณะนั้นกล่าวในงานที่มไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอย่างเป็นทางการซึ่งเต็มไปด้วยผุ้เคร่งศาสนาหัวอนุรักษ์นิยมในปี 1980 ว่า "คุณไม่สามารถสนับสนุนฉันได้(ตามกฎหมาย) แต่ฉันอยากให้คุณรุ้ว่าฉันสนับสนุนคุณ"

       ในขณะเดียวกัน เศรษฐกิจอเมริกาก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เร่ิมตั้แต่ช่วงทศวรรษ่ 1970 บริษัทต่างๆ เร่ิมจ้างงานห่วงโซ่อุปทานภายนอก เนือ่งจากการเติบโตทางเศราฐกิจของสหรัฐฯ หยุดชะงักและอัตราเงินเฟ้อสุงขึ้น ส่งผลให้จำนวนงานด้านการผลิตลดลง พนักงานในภาคการผลติตลดลงจาก 26% ของพนักงานนอกภาคเกษตรในช่วงหลังสงครามโลกครั้งท่ 2 ในปี 1970 เป็น 13% ในปี 2000 

        โรงงานปิดตัวลงประกอบกับการโจมตีสหภาพแรงงานของกลุ่มอนุรักษืนิยมอย่างไม่ลดละมหาหลายทศวรรษ ทำให้จำนวนสมาชิกสหภาพลดลงอย่างรวดเร็ว จำนวนสมาชิก สหภาพสูงสุดที่ 25% ในปี 1954 และลดลงเหนือ 20.9% ในปี 1980

       บทบาทที่เพ่ิมมากขึ้นของศาสนาและเชื้อชาติในทางการเมือง ประกอบกับการเสือมถอยของสหภาพแรงงาน ก่อนให้เกิดแรงกดดันใหม่ๆ ต่อผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนผิวขาวและชนชั้นแรงงาน โดยเฉพาะคริสเตียนการลงคะแนนให้พรรคเดโมแครตเป็นทางเลือกที่ง่ายในสมัยที่การเมืองเป็นเรื่องของอัตลักษณ์ของชนชั้น แต่ในตอนนี้ พรรคการเมืองต่างๆ กำลังแข่งขันกั้นใประเด็เรื่องเชื้อชาติ ศาสนา เพศ และรศนิยมทางเพศเช่นกัน ซึ่งในชณะเดียวกัน ความผูกพันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างพรรคเดโมแครตและชนชั้นแรงงานผิวขาว หรือที่เรียกว่า สหภาพแรงงานก็เร่ิมลดน้อยลง

       ผลที่ตามมาในช่วงต้นทศวรรษที่ 2000 คือ 79% ของเขต นิวดีล ดั้งเดิมที่มีคนผิวขาวเป็นชนชั้นแรงงานได้แยกตัวออกจากกลุ่มพันะมิตรเมื่อถึงปี 2016 มีเพียง 4% เท่านั้นที่ดหวตให้พรรคเดโมแครต

        เมืองวิสคอนซินเป็นหนึ่งใน 4% นั้น เมืองใอินเดียนาและมินนิโซตาเป็นส่วนหนึ่งของ 96% เมืองในอินเดียนาเร่ิมลงคะแนนให้กับผุ้สมัครจากพรรครัพับลีกัน ในปี 1968 และเมือเวลาผ่านไป พรรครัพัลลิกันก็เขาครอบงำทุกระดับตำแหน่ง ขาวเมืองในมินนิโซดาแตกแยกกันระหว่างเดโมแครตและรีพับลิกันเป็นเวลาหลายทศวรรษ แต่เปลี่ยนมาสนับสนุนฝ่ายขวาในปี 2016

          ลักษณะเฉพาะของท้องถ่ินอธิบายเส้นทางที่แตกต่างกันของพวกเขาเมืองอินเดียนานั้นอ่อนไหวต่อแรงดึงดูดการปรับโครงสร้างเชือชาติและการเมืองของคริสต์สาสนาอย่างชัดเจน เมืองที่มีประวัติของการปฏิบัติที่แบ่งแยกเชื้อชาติที่คงอยุ่จนถึงช่วงทศวรรษ 1960  และเมือถึงช่วงทศวรรษ 1980 ขบวนการแรงงานของเมืองก็แทบจะหายไปทั้งหมด ในขณะเดียวกัน โบสถ์ใน้องถ่ิน ซึ่งเดิมที่เป็นนิกายโรมันคาธอลิกและต่อมาเป็นนิกายอีแวนเจลิคัล ได้เริ่มประสานงานกับขบวนการต่อต้านการทำแท้ง ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1900 เมืองอินเดียนามีโบสถ์อีแวนเจลิคัลมากว่าเมืองต่างๆ ในมินนิโซตาหรือวิสคอนซิน แต่เมืองนี้เร่ิมีความสำคัญหลังจากศาสนาอนุรักษ์นิยมเข้ามามีบทบาทางการเมืองในข่วงทศวรรษ 1870 ประสบการณ์นี้เป็นตัวอย่างที่ดีของเรื่องรวของเขตนิวดีลที่ย้ายเ้าไปอยู่ในรัฐบาลผสมของพรรครีพับลิกันในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ทั้งเมือในวิสคอนซินและมินนิโซตาต่างต่อต้านจนถึงช่วงปี 2000 ต่างจากเมืองในอินเดียนา ทั้งสองเมืองไ่มีคริสตจักรนิกายอีแวนเจลิดัลและยังคงมีขบวนการแรงงานที่จัดต้งขึ้นอย่างเป็ระบบตลอดช่วงปี 1990 หนังสือพิมพ์ท้องถ่ินบันทึกการหยุดงาน 56 ครั้งในเมืองวิสคอนซินระหว่างปี 1940-1990 และ 11 ครั้ง ในเมืองมินนิโซตา รวมทั้ง 2 ครั้งที่ทำให้ทั้งเมืองหยุดชะงัก

          อย่างไรก็ตาม ในปี 2016 การเมืองของมินนิโซตาก็เปลียนไป เนืองจากเป็นเมืองของบริษัท การล้มละลายของนายจ้างรายใหญ่สุดของเมืองในช่วงทศวรรษ 1970 ตามมาด้วยการล่มสลายในที่สุดจาเหตุเพลิงไหม้ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ส่งผลให้ขบวนการแรงงานของเมพืงอพังทลาบลง การตำต่ำของอุตสาหกรรมในื้องถ่ินควบคุู่ไปกับการขาดแคลนแรงงนเป็นปราการ ทำให้ผุ้มีสิทธิเลือกตึ้งมีแนวโน้มที่จะรับคำเตือนของทรัมปืเกี่ยวกับลัทะิสังคมนิยมและการอพยพระหว่างประเทศซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยุ่ของเมืองประเภทนี้

          เส้นทางของเมืองในรัฐอินเดียนาและมินนโซตาช่วยอธิบายว่าทำไมการสนับสนุนพรรคเดโมแครตของเมืองวิสคอนซินจึงเกิดขึ้นน้อยมากในหมู่คนผิวชาวชนชั้นแรงงานในเขตนิวดีล แม้ว่าการจัดต้ั้งแรงงานจะเร่ิมลดลงในเขตอุตสาหกรรมอาร์ตแลนด์ แต่สหภาพแรงงานของเมืองก็ยังคงวมีส่วนร่วมในกิจกรรมั้งในที่ทำงานและทางการเมือง ไมเ่พียงแต่ประท้วงเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนผุ้สมัตรรับตำแหน่งในทื้องถ่ินที่ลงสมัครโดยใช้นโยบายแรงงานอีกด้วย ต่างจากมเืองในรัฐมินนิโซตา มเืองนี้ไม่เคยพึงพาผุ้จ้างรายเดียวมากนัก และร้านค้าสหภาพแรงงานหลายแห่งจากช่วงทศวรรษ 1950 ยังคงดำเนินกิจการอยุ่จนถึงปัจจุบันสหภาพแรงงานภาคเอกชนหลักซึ่งต่อมามีการเคลื่ีอนไหวที่เพ่ิมขึ้นในสสหภาพสาธารณะในท้องถ่ิน ได้ช่วยรักษาขบวนการแรงงานของเมืองไว้ได้ ซึ่งการรวมตัวนี้ได้สร้างชุมชน "ฮาร์ตแลนด์" ที่หายากซึ่งต่อต้านการโน้มน้าวไปทางฝ่ายขวาที่ล่อลวงผุ้อยู่อาศัยในเมืองชนชั้นแรงงานผิวขาวซึ่งเคยป็นรากฐานของกลุ่มพันธมิต นิวดีล

         https://time.com/6958635/trump-biden-midwest-history/

“rural resentment.”

         บางส่วนจากบทสัมภาษณ์  Jon K. Lauck  ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งมหา วิทยาลัยเซาท์ดาโกตา ซึ่งได้คิดค้นสาขาการศึกษาเก...