โยชิฟ วิซซาร์โยโนวิช สตาลิน เป็นผู้นำ สหภาพโซเวียต ตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1920-1953 เป็นผู้นำของสหภาพโซเวียต และดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งมวลสหภาพซึ่งเป็นตำแหน่างที่เปรียบได้กับหัวหน้าพรรค
สตาลินสืบทอดอำนาจจาก วลาดิมีร์ เลนิน และนำโซเวียตก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก โจเซฟ สตาลิน ไม่ใช่ชื่อจริงของเขา ชื่อจริงคือ “โยเซบ เบซาริโอนิส ดเซ จูกาชวิลลี”
“โซซ่า” คือชื่อเรียกของเขาในวัยเด็ก พ่อของเขาเป็นช่างทำรองเท้าชอบทุบตีคนในครอบครัวยามเมาสุราเสมอ เมื่อพ่อเขาย้ายไปเมืองอื่น เขาต้องอยู่กับมารดาเพียงลำพังในสภาพแวดล้อมของเมืองที่เต็มไปด้วยอาชญากรรม การเอารัดเอาเปรียบ ความรุนแรงตามท้องถนน สภาพแวดล้อมทางสังคมและความรุนแรงในครอบครัวบ่มนิสัยสตาลินให้เป็ฯก้าวร้าว เขาเกลียดชังชาวยิวที่อยู่ในเมืองทั้งๆ ที่เมืองที่เขาอยู่ไม่มีใครต่อต้านชาวยิวเลย ชาวยิวนิยมประกอบอาชีพนายทุนเงินกู้ มารดาของเขาต้องกู้เงินจากนายทุนชาวยิวซึ่งเรียกดอกเบี้ยราคาแพง และยึดสิ่งของในล้านเป็นค่าปรับ ทำให้เขาเกลียดแค้นชาวยิว
มารดาสตาบินเป็นผู้เคร่งในศีลธรรม เธอตัดสินใจให้สตาลินบวชเป็ฯพระและเข้าเรียนในโรงเรียนสามเณรกอรีซึ่งเป็นโรงเรียนสอนศาสนาแห่งหนึ่ง ด้วยความอุปการะจากเศรษฐีชาวจอร์เจียชื่อยาคอฟที่มารดาเขาทำงานเป็นแม่บ้าน ซึ่งสตาลินเป้ฯคนที่สำนึกในบุญคุฯคน เมือเขามีบุตรชายคนแรก เขาได้ตั้งชื่อว่ายาคอฟ ตามชื่อผู้ที่อุปการะเขา
สตาลินเป็นคนขยัน ความจำดีและหัวไว ได้รับทุนการศึกษาของโรงเรียน และได้รับเลือกให้เป็นนักเรียนตัวอย่าง สตาลินสอบได้ลำดับที่ 1 ทุกครั้ง สตาลินมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง เขามักถูกจ้างไปร้องเพลงในงานแต่งงานเสมอ ความชื่นชอบในการละเล่นและกีฬา สตาลินชื่นชอบการตะลุมบอน เป็นการละเล่นและกีฬาพื้นเมือง ที่แบ่งกลุ่มผู้เล่นออกไป 2 ฝั่ง จากนั้นก็จะเขาตะลุมบอนกันแบบไม่มีความปราณี
ด้วยความทะเยอทะยานทำให้สตาลินได้เริ่มมีบทบาทสำคัญในพรรคบอลเชวิค หลังจากที่พรรคบอลเชวิคทำการปฏิวัติโค่นล้มระบอบกษัตริย์ลงแล้ว สตาลินได้รับตำแหน่าง คอมมิสซาร์ประชาชนเพื่อกิจการชนชาติต่าง ๆ เมือเลนินล้มป่วย สตาลินก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้นและเป็นเลขาธิการพรรค
กระทั่งเมื่อเลนินเสียชีวิตในปี 1924 เกิดการแย่งชิงอำนาจระหว่างสตาลินกับ ลีออน ทรอตสกี สุดท้ายสตาลินเป็นฝ่ายชนะ จึงได้เป็นประธานาธิปดีต่อจากเลนิน ทรอตสกีต้องลั้ภัยการเมือไปอยู่เม็กซิโก และถูกลอบสังหารในที่สุด
ระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง ผุ้นำสหภาพโซเวียตเขาถูกเรียกว่า บิดาแห่งชาวสหภาพโซเวียตทั้งปวง เมือศาสนาเป็นสิ่งผิดกฏหมายในรัฐคอมมิวนิสต์ บทบาทของพระเจ้าก็ถูกเล่นโดยสตาลิน..
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1936 มีการจัดตั้งความตกลงร่วมืออักษะโรม-เบอร์ลิน เยอรมนีลงนามในสัญญาเพื่อการต่อต้านโคมินเทอร์นกับญี่ปุ่น และอิตาลีได้เข้าร่วมในปี 1937 สามประเทศตกลงร่วมมือกันต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ทั่วไปโดยเฉพาะรุสเซีย
ขณะที่ฮิตเลอร์เป็นภัยคุกคามต่อสหภาพโซเวียต สตาลินได้พยายามผ่อนคลายความตึงเครียดกับญี่ปุ่นโดยขายหุ้นทางรถไฟสายตะวันออกให้แก่รัฐบาลแมนจูกัวในปี 1935 และฟื้นฟูสัมพันธภาพกับรัฐบาลจีน เจียง ไค เชค เพื่อป้องกันจีนและญี่ปุ่นร่วมมือต่อต้านโซเวียต..
พฤษภาคม 1939 สตาลินกล่าวในที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ โดยกล่าวหาประเทศตะวันตกว่าพยายามยุยงให้เยอรมนีกับโซเวียตต้องขัดแย้งกัน..ประเทศตะวันตกส่งคณะผุ้แทนทหารไปยยังรุสเซีย แต่ฮิตเลอร์มุ่งเข้าตีโปแลนด์และเข้าเจรจากับสหภาพโซเวียตก่อนแล้ว และทั่งโลกก็ต้องตะลึงเมื่อศัตรูทางอุดมการณ์สองฝ่ายลงนามในความตกลงร่วมกันระหว่างริบเบนทรอปและโมโลดอฟ เรียกว่า nazi-soviet pact กติกาสัญญานาซี-โซเวียต ณ มอสโก สัญญานี้เป็นสัญญาพาณิชย์และตกลงไม่รุกรานกันนานสิบปี เยอรมนีให้โซเวียตได้เชื่อสินค้าจักรกลเพื่อแลกกับวัตถุดิบและรับประกันว่าต่างฝ่ายจะเป็นกลางหากอีฝายถูกโจมตีโดยประเทศที่สาม สองประเทศตกลงสัญญาลับแบ่งเขตแดน การแบ่งโปแลนด์ ทั้งสองประเทศเจรจาต่อรองทางการทูตเหมือนสมัยนโปลียนกับซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ในสนธิสัญญาทิลสิต สัญญานี้ทำให้เยอรมันเบาใจว่าจะได้ทำสงครามโดยไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง สตาลินคิดว่าได้ประสบความสำเร็จทางการทูตและป้องกันรุสเซียไม่ให้ถูกโจมตี และใช้แดนกันกระทบกันโลกทุนนิยมให้หันไปสู้กันเอง และรุสเซียจะตัดสินให้ยุโรป..
เยอรมนีใช้ยุทธการสายฟ้าฟาด โจมตีโปแลนด์สตลินเป็นกังวลและเกรงว่าเยอรมนีอจาจัดสินใจบุดโซเวียต ฝรั่งเศสยังนิ่งเฉยและสตาลินเผชิญทางสองแพร่ง คือบุกโปแลนด์และวเสี่ยงให้ประเทศตะวันตกประกาศสงครามหรือยู่เฉยๆ
ในที่สุดจึงตัดสินใจบุกโปแลนด์ โดยทำการต่อรองกับเยอรมนีแลกส่นที่ชาวลิธัวเนียอาศัยกับชาวโปแลนด์อาศัยซึ่งโซเวียตครองอยู่ ฟินแลนด์อยู่ในเขตที่รุสเซียจำเป็นต้องมีอิทธิพลคบลคุมได้เพื่อป้องกันตนเอง สตาลินต้องการให้พรมแดนฟินน์เขยิบออกไปห่างจากเลนินกราดมากขึ้น จึงเสนอของแลกดินแดนฟินน์ที่อยู่ใกล้เลนินกราดกับส่วนหนึ่งของโซเวียตคาเรเลีย ชาวฟินน์ยอมให้บางประการ แต่ปฏิเสธไม่ให้โซเวียตตั้งฐานทัพเรือในดินแดนของตน โซเวียตจึงเพิกถอนกติกสัญญาไม่รุกรานและโจมตีฟินแลนด์ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 1939
ขณะที่ทหารเยอรมันกำลังรุกคืบเข้าในโปแลนด์ ทหารรุสเซียได้บุกเข้าทางตะวันออกของโปแลนด์ โดยอ้างว่าทหารรุสเซียจำเป็นที่จะต้องให้ความคุ้มครองแก่ชาวอูเครนและรุสเซียขาว
ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในโปแลนด์ เมื่อทหารเยอรมันยึดครองกรุงวอร์ซอเมืองหลวงของโปแลนด์ได้แล้ว ในวันต่อมาเยอรมันและรุสเซียก็ตกลงที่จะแบ่งประเทศโปแลนด์เป็นเขตยึดครองของเยอรมันและรุสเซียตามข้อตกลงลับ ฮิตเลอร์ประกาศในรัฐสภาเยอรมันว่า เยอรมันพร้อมที่จะสงบศึกและเป็นมิตรกับมหาอำนาจตะวันตก แชมเบอร์ เลน ประกาศในรัฐสภาอังกฤษปฏิเสธข้อเสนอของฮิตเลอร์ อังกฤษส่งทหารของตนเข้าเสริมแนวรบตามชายแดนของประเทศเนเธอร์แลนด์และเบลเยียมที่ติดกับแนวชายแดนประเทศเยอรมัน วันที่ 30 พฤศจิกายน ปี 1939 ทหารรุสเซียบุกประเทศฟินแลนด์กองทัพฟินน์ต้านทานกำงโซเวียตอย่างเต็มที่ ฝ่ายรุสเซียบาดเจ็บล้มตายเป็ฯอันมาก เนื่องจากทัพรุสเซียอ่อนแดจาการกวาดล้าง แต่สตาลินได้แก้ไขและสามารถทะลายแนวป้องกันของฟินน์ได้ ประเทศตะวันตกตำหนิรุสเซีย และขับออกจากสันนิบาตชาติ รัฐบาลฟินแลนด์เรียกร้องขอความช่วยเหลือจากประเทศต่าง ๆ แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจาประเทศใดๆ จึงต้องยอมเซ็นสัญญาสงลศึกกับรุสเซีย
วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556
วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556
WWII:Second World War(ปะทุ)
การดำเนินนโยบายของประเทศมหาอำนาจประชาธิปไตยซึ่งเป็นผลดีต่อฝ่ายอักษะ และด้วยความไม่พอใจในสนธิสัญญาแวร์ซายส์ และด้วยนโยบายของทางเยอรมันเองที่ไม่ยอมรับสนธิสัญญาแวร์ซายดังกล่าว และเรียกร้องดินแดนที่เคยเป็นของเยอรมันคืน
ฮิตเลอร์ประชุมรัฐมนตรีและนายพลทหารที่สำคัญๆ โดยพูดถึงแผนการณ์ที่จะทำการรวมประเทศออสเตรียกับประเทศเยอรมนี และจะใช้กำลังบุกยึดครองประเทศเชคโกสโลวาเหีย แต่แผนการถูกคัดค้าน ผู้คัดค้านถูกปลดจากตำแหน่ง ฮิตเลอร์จึงดำเนินนโยบายต่อไป
ฮิตเลอร์ยืนคำขาดออสเตรีย ให้มอบตำแนห่งในแก่ เส อินควร์ท ซึ่งเป็นผู้นำชั้นแนวหน้าของพรรคนาซีออสเตรีย กองทัพเยอรมนีเดินทัพเข้าออสเตรียโดยไม่มีการต่อต้านใดๆ ฮิตเลอร์ประกาศว่าออสเตียรวมเข้าเป็ฯมณฑลหนึ่งของเยอรมนีแล้ว
ชาวเยอรมันซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในคแล้วซือเดเทนพรมแดนเชคโกสโลวัคเกียติดกับเยอรมนีเรียกร้องให้รัฐบาลเชคฯเพื่อขอสิทธิในการปกครองตนเอง มหาอำนาจในยุโรปเกรงจะเกิดสงครามจากเหตุนี้จึงประชุมกันและมีมติให้ยกแค้วนนี้ให้กับเยอรมนีโดยทางฝ่ายเชคฯไม่รู้ในการตัดสินใจดังกล่าว แต่แล้วเยรมนีก็ยาตราทัพเข้าสู่เชคฯและยึดครองประเทศเชคโกสโลวาเกียทั้งหมด ฮิตเลอร์ประกาศให้เชคโกสโลวาเกียเป็นมณฑลหนึ่งของเยอรมนี อังกฤษรู้สึกวุ่นวายใจกับการกระทำของเยอรมนีครั้งนี้ และนายก แชมเบอร์ เลน ประกาศในรัฐสภาอังกฤษว่า เขารู้สึกเป็นห่วงและหนักใจต่อสถานการณ์ของโลกในภายหน้าเป็นอย่างมาก เพราะไม่ทราบว่าจะมีเหตุการ์อะไรเกิดขึ้นอีก..
นับตั้งแต่เยรอมันบุกยิดดินแดนแถบลุ่มน้ำไรน์ รวมประเทศออสเตรียแค้วนซ์อเดเทน โดยเยอมันอ้างว่าเป้ฯการรวมชนชาติเยอรมันในดินแดนต่างให้กลับมาอยู่รวมกัน การกระทำของเยอรมันสร้างสถานการณ์โลกให้ปั่นป่วนและไม่น่าไว้วางใจ แต่การรวมเชคโกฯเป็นดินแดนภายใต้อารักขาของเยอรมัน ทำให้นานาประเทศตั้งคำถามขึ้นมาว่า นี่เป็นการสิ้นสุดการผจญภัยของเยอรมันหรือเป็นเพียงการเริ่มต้นของการผจญภัยของโลกกันแน่
แต่แล้ว 21 มีนา 1939 ฮิตเลอร์ได้เรียกร้องให้โปแลนด์คือฉนวนโปแลนด์ และเมืองดานชิก เพื่อเป็นการแลกกับการประกันความปลอดภัยแห่งเอกราชของโปแลนด์ โปแลนด์ปฏิเสธที่จะคืนเมืองดานซิกและฉนวนโปแลนด์ให้กับเยอรมัน ฮิตเลอร์จึงสังให้หนังสือพิมพ์ในประเทศทำการ
ประโคมข่าวว่าชาวเยอรมันในโปแลนด์ถูกข่มเหงต่าง ๆนาๆ และยั่วยุให้ชาวเยอรมันในโปแลนด์ก่อความไม่สงบขึ้น เพื่อจะได้เข้าแทรกแซงทางการทหาร ..เชมเบอเลน กรงว่าเยอรมันจะทำการรุกแรงต่อโปแลนด์ จงประกาศว่าอังกฤษและฝรั่งเศสพร้อมจะให้ความช่วยเหลือแก่โปแลนด์ ถ้าเอกราช
ของโปแลนด์ถูกคุกคาม ประธานาธิปดี รุสเวลท์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ส่งสาส์นถึงฮิตเลอร์ขอร้องให้ฮิตเลอร์เห็นแก่ความสงบสุขของยุโรปและขอให้ฮิตเลอร์สัญญาว่า เยอรมันจะไม่ทำการคุกคามดินแดนของประเทศต่าง ๆ ในยุโรปอีก
ฮิตเลอร์ประกาศตอบรุสเวลท์ทางวิทยุกระจายเสียงของเยอรมันว่า “เขาทราบซึ้งและตระหนักถึงคำว่าเอกราชของประเทศต่าง ๆ ในยุโรปและความสงบสุขของโลเป็นอย่างดี เขายืนยันว่าเขาไม่เห็นคุนค่าของสงครามและไม่ทราบว่า เยอรมันจะก่อสงครามเพื่อประโยชน์ใด อย่างไรก็ตาม เขาไม่พอใจที่อังกฤษแสดงบทบาทที่ไม่เป็นมิตรต่อประเทศเยอรมนี โดยการทำสัญญามิตรภาพและช่วยเหลือทางทหารกับโปแลนด์ เพื่อเป็นการต่อต้านการกระทำของอังกฤษและโปแลนด์ เขาจึงขอเพิกถอนข้อตกลงทางนาวีที่ทำกับอังฏฤษ และขอเพิกถอนสัญญาไม่รุกรานที่ทำไว้กับโปแลนด์ด้วย”
31 สิงหาคม 1939 รัฐบาลเยอรมันประกาศทางวิทยุเรียกร้องให้รัฐบาลโปแลนด์ส่งผู้แทนที่มีอำนาจเต็ม ไปเจรจากับรัฐบาลเยอรมันภายใน24 ชั่วโมง เพื่อตกลงปัญหาต่าง ๆ แต่ก็ไม่เป็นผลประการใด มีการยิงถล่มด่านตรวจตามชายแดนต่าง ๆ ของเยอรมนี ฮิตเลอรเซ้นคำสั่งให้ทหารเยอมันบุกประเทศโปแลนด์ในวันต่อมา
1 กันยายน 1939 กองทัพเยอมันทุกหน่วยทำการโจมตีโปแลนด์ เรื่อรบของเยอรมันระดมยิงปืนเรือเข้าใส่เมืองต่าง ๆ ของโปแลนด์ที่อยู่ติดกับทะเลบอลติก เครื่องบินเยอรมันเป็นจำนวนมากทิ้ระเบิดตามเมืองต่าง ๆ กองทัพเยอรมันภายใต้การบัญชาการของ นายพล วัลเตอร์ ฟอน เบราชิทช์ บุกทะลวงเข้าไปในประเทศโปแลนด์ อังกฤษและฝรั้งเศสได้ทำการประท้วงและเรียกร้องให้เยอรมันถอนทหารกลับ เมื่อเยอรมันไม่ปฏิบัตตาม วันที่ 3 กัยนายน เวลา 11.00 อังกฤษจึงประกาศสงครามกับเยอรมัน และ เวลา 17.00 ฝรั่งเศสจึงประกาศสงครามกับเยอรมัน
ฮิตเลอร์ประชุมรัฐมนตรีและนายพลทหารที่สำคัญๆ โดยพูดถึงแผนการณ์ที่จะทำการรวมประเทศออสเตรียกับประเทศเยอรมนี และจะใช้กำลังบุกยึดครองประเทศเชคโกสโลวาเหีย แต่แผนการถูกคัดค้าน ผู้คัดค้านถูกปลดจากตำแหน่ง ฮิตเลอร์จึงดำเนินนโยบายต่อไป
ฮิตเลอร์ยืนคำขาดออสเตรีย ให้มอบตำแนห่งในแก่ เส อินควร์ท ซึ่งเป็นผู้นำชั้นแนวหน้าของพรรคนาซีออสเตรีย กองทัพเยอรมนีเดินทัพเข้าออสเตรียโดยไม่มีการต่อต้านใดๆ ฮิตเลอร์ประกาศว่าออสเตียรวมเข้าเป็ฯมณฑลหนึ่งของเยอรมนีแล้ว
ชาวเยอรมันซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในคแล้วซือเดเทนพรมแดนเชคโกสโลวัคเกียติดกับเยอรมนีเรียกร้องให้รัฐบาลเชคฯเพื่อขอสิทธิในการปกครองตนเอง มหาอำนาจในยุโรปเกรงจะเกิดสงครามจากเหตุนี้จึงประชุมกันและมีมติให้ยกแค้วนนี้ให้กับเยอรมนีโดยทางฝ่ายเชคฯไม่รู้ในการตัดสินใจดังกล่าว แต่แล้วเยรมนีก็ยาตราทัพเข้าสู่เชคฯและยึดครองประเทศเชคโกสโลวาเกียทั้งหมด ฮิตเลอร์ประกาศให้เชคโกสโลวาเกียเป็นมณฑลหนึ่งของเยอรมนี อังกฤษรู้สึกวุ่นวายใจกับการกระทำของเยอรมนีครั้งนี้ และนายก แชมเบอร์ เลน ประกาศในรัฐสภาอังกฤษว่า เขารู้สึกเป็นห่วงและหนักใจต่อสถานการณ์ของโลกในภายหน้าเป็นอย่างมาก เพราะไม่ทราบว่าจะมีเหตุการ์อะไรเกิดขึ้นอีก..
แต่แล้ว 21 มีนา 1939 ฮิตเลอร์ได้เรียกร้องให้โปแลนด์คือฉนวนโปแลนด์ และเมืองดานชิก เพื่อเป็นการแลกกับการประกันความปลอดภัยแห่งเอกราชของโปแลนด์ โปแลนด์ปฏิเสธที่จะคืนเมืองดานซิกและฉนวนโปแลนด์ให้กับเยอรมัน ฮิตเลอร์จึงสังให้หนังสือพิมพ์ในประเทศทำการ
ประโคมข่าวว่าชาวเยอรมันในโปแลนด์ถูกข่มเหงต่าง ๆนาๆ และยั่วยุให้ชาวเยอรมันในโปแลนด์ก่อความไม่สงบขึ้น เพื่อจะได้เข้าแทรกแซงทางการทหาร ..เชมเบอเลน กรงว่าเยอรมันจะทำการรุกแรงต่อโปแลนด์ จงประกาศว่าอังกฤษและฝรั่งเศสพร้อมจะให้ความช่วยเหลือแก่โปแลนด์ ถ้าเอกราช
ของโปแลนด์ถูกคุกคาม ประธานาธิปดี รุสเวลท์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ส่งสาส์นถึงฮิตเลอร์ขอร้องให้ฮิตเลอร์เห็นแก่ความสงบสุขของยุโรปและขอให้ฮิตเลอร์สัญญาว่า เยอรมันจะไม่ทำการคุกคามดินแดนของประเทศต่าง ๆ ในยุโรปอีก
ฮิตเลอร์ประกาศตอบรุสเวลท์ทางวิทยุกระจายเสียงของเยอรมันว่า “เขาทราบซึ้งและตระหนักถึงคำว่าเอกราชของประเทศต่าง ๆ ในยุโรปและความสงบสุขของโลเป็นอย่างดี เขายืนยันว่าเขาไม่เห็นคุนค่าของสงครามและไม่ทราบว่า เยอรมันจะก่อสงครามเพื่อประโยชน์ใด อย่างไรก็ตาม เขาไม่พอใจที่อังกฤษแสดงบทบาทที่ไม่เป็นมิตรต่อประเทศเยอรมนี โดยการทำสัญญามิตรภาพและช่วยเหลือทางทหารกับโปแลนด์ เพื่อเป็นการต่อต้านการกระทำของอังกฤษและโปแลนด์ เขาจึงขอเพิกถอนข้อตกลงทางนาวีที่ทำกับอังฏฤษ และขอเพิกถอนสัญญาไม่รุกรานที่ทำไว้กับโปแลนด์ด้วย”
31 สิงหาคม 1939 รัฐบาลเยอรมันประกาศทางวิทยุเรียกร้องให้รัฐบาลโปแลนด์ส่งผู้แทนที่มีอำนาจเต็ม ไปเจรจากับรัฐบาลเยอรมันภายใน24 ชั่วโมง เพื่อตกลงปัญหาต่าง ๆ แต่ก็ไม่เป็นผลประการใด มีการยิงถล่มด่านตรวจตามชายแดนต่าง ๆ ของเยอรมนี ฮิตเลอรเซ้นคำสั่งให้ทหารเยอมันบุกประเทศโปแลนด์ในวันต่อมา
1 กันยายน 1939 กองทัพเยอมันทุกหน่วยทำการโจมตีโปแลนด์ เรื่อรบของเยอรมันระดมยิงปืนเรือเข้าใส่เมืองต่าง ๆ ของโปแลนด์ที่อยู่ติดกับทะเลบอลติก เครื่องบินเยอรมันเป็นจำนวนมากทิ้ระเบิดตามเมืองต่าง ๆ กองทัพเยอรมันภายใต้การบัญชาการของ นายพล วัลเตอร์ ฟอน เบราชิทช์ บุกทะลวงเข้าไปในประเทศโปแลนด์ อังกฤษและฝรั้งเศสได้ทำการประท้วงและเรียกร้องให้เยอรมันถอนทหารกลับ เมื่อเยอรมันไม่ปฏิบัตตาม วันที่ 3 กัยนายน เวลา 11.00 อังกฤษจึงประกาศสงครามกับเยอรมัน และ เวลา 17.00 ฝรั่งเศสจึงประกาศสงครามกับเยอรมัน
วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556
ก้าวเข้าสู่สงคราม
- นโยบายการต่างประเทศและการดำเนินการทางการทูตของมหาอำนาจในยุโรปส่งผลถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเริ่มมาตั้งแต่สนธิสัญญาสันติภาพหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สร้างความไม่พอใจให้ประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ เยอรมนีไม่พอใจปัญหาค่าปฏิกรรมสงครามและการเสียดินแดน..อิตาลีไม่พอใจปัญหาการแบ่งดินแดนภายหลังสงคราม.. สภาคองเกรสของหเมริกาไม่ยอมลงนามรับรองสนธิสัญญาแวร์ซายเพราะมีความรู้สึกว่าสนธิสัญญาแวร์ซายส์เป็นสนธิสัญญาที่ขาดความยุติธรรม เป็นต้น
- ประเทศมหาอำนาจในยุโรปหาทางป้องกันการเกิดสงครามขึ้นอีกในอนาคต มีการจัดตั้งองค์การสันนิบาตชาติในปี 1919 เพื่อสันติภาพของโลก และเพื่อความร่วมมือกันระหว่างประเทศ
- ญี่ปุ่นรุกรานแมนจูเรียของจีน เป็นการเริ่มเปิดฉากและส่งสัญญาณให้รู้ว่าสงครามโลกอาจเกิดขึ้นในไม่ช้า..จีนร้องเรียนสันนิบาตชาติให้ลงโทษ..ญี่ปุ่นลาอกจากสันนิบาตชาติในปี 1933
- ฮิตเลอร์ปกครองเยอรมนีมีนโยบายยกเลิกสนธิสัญญาแวร์ซายส์
- นโยบายประเทศมหาอำนาจประชาธิปไตย ความขัดแย้งของนโยบายกลุ่มประเทศมหาอำนาจประธิปไตยขัดแย้งกัน และนโยบายผ่อนปรนด้วยเกรงจะเกิดสงครามครั้งใหม่ขึ้นอีก ล้วนส่งผลดีต่อกลุ่มประเทศเผด็จการ ประกอบกับความไม่กล้าตัดสินใจหากไม่มีการสนับสนุนจากประเทศประชาธิไตยด้วยกัน และการไม่พร้อมที่จะรบเนื่องจากความบอบช้ำจากสงครามครั้งที่แล้ว
- แกนโรม-เบอร์ลิน การลงโทษขององค์การสันนิบาติชาติไม่เป็นผลต่ออิตาลีในกรณีการรุกรานเอธิโอเปีย
- การวางตัวเป็นกลางของกลุ่มประเทศมหาอำนาจประชาธิปไตยในสงครามกลางเมืองของสเปน.. นาพลฟรังโก เข้วยึดการปกครองจากรัฐบาลฝ่ายซ้ายได้รับการสนับสนุนจากพวกคอมมิวนิสต์ นาซีเยอรมันและฟาสซิสต์อิตาลีส่งกำลังทหารและอาวุธช่วยเหลือนายพลฟรังโกทำการปฏิวัติ รุสเว๊ยเข้าช่วยเหลือฝ่ายรัฐบาล แต่กลุ่มประเทศมหาอำนาจวางตนเป็นกลาง สงครามสิ้นสุดลงเมือกลุ่มชาตินินยมของนายพลฟรังโก เข้ายึดกรุงแมดริคได้
- ข้อตกลง เยอรมนี-ญี่ปุ่น ความคล้ายคลึงกันของทั้งสองประเทศในหลายด้านจึงนำมาซึ่งความเป็นพันธมิตรกันกล่าวคือ การปกครองในระบอบเผด็จการ ต่อต้านคอมมิวนิสต์รุสเซีย มีนโยบายขัดแย้งกับองค์การสันนิบาตชาติ เป็นต้น ทั้ง 2 ประเทศร่วมลงนามต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ ในปีต่อมาอิตาลีเข้าร่วมลงนามด้วย และในปี 1941 มีประเทศอื่นๆ เข้าร่วมอีก 11 ประเทศ
- ความสัมพันธ์ เยอรมนี-รุสเซีย มีนาคม 1939 สตาลินทำข้อตกลงกับฮิตเลอร์ การที่เยอรมนีมี
สัมพันธ์ไม่ตรีกับรุสเซียครั้งนี้ อาจทำให้อังกฤษและฝรั่งเศสไม่กล้าเข้าแทรกแซงโปแลนด์เมือโปแลนด์ถูกรุกราน รุสเซียตกลงกับเยอรมนีอย่างไม่เป็นทางการว่า รุสเซียจะวางตนเป็นกลางในขณะที่เยอรมนีเข้ารุรานโปแลนด์ แลกกับโปแลนด์ตะวัออก ฟินแลนด์ เอสโทเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย และเบราเบีย ทั้ง 2 ประเทศลงนามในสนธิสัญญานาซี-โซเวียต แพค
Second Sino-Japanese War
สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 เกิดขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมากลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สองเรียกว่า “สงครามแปซิฟิก” และดำเนินเรื่อยมากระทั่งยุติลงพร้อมกับสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใทวีปเอเซียในคริสตวรรษที่ 20
สถานการณ์ภายในของจีนเป็ฯปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ญี่ปุ่นสามารดำเนินนโยบายรุก ญี่ปุ่นเล็งเห็นผลประโยชน์ในดินแดนแมนจูเรียหลายประการ อาทิทรัพยากรทางธรรมชาและวัตถุดิบอุตสาหกรรม เป็นแหล่งกระจายสินค้าจากญี่ปุ่น และยังเป็นรัฐกันชนระหว่างญี่ปุ่นกับดินแดนไซบีเรียของโซเวียต
ญี่ปุ่นเริ่มรุกรานดินแดนแมนจูอยางเปิดเผยภายหลังกรณีมุกเดน( มุกเดนหรือ เสิ่นหยางในปัจจุบัน อยู่ทางแมนจูเรียตอนใต้ ซึ่งส่วนหนึ่งของทางรถไฟที่ญี่ปุ่นยึดครองในขณะนั้นเกิดระเบิดขึ้น กองทัพญี่ปุ่นจึงใช้เป้ฯข้ออ้างในการรุกรานแมนจูเรีย และนำมาสู่การก่อตั้ง แมนจูกัว)หลังจากปะทะกันนาน 5 เดือน ญี่ปุ่นได้จัดตั้งรัฐหุ่นเชิดแมนจูกัวขึ้นอดีตจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ชิง เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและจักรพรรดิแต่เพียงในนาม รัฐบาลจีนไม่สามารถตอบโต้ทางทหารได้จึงร้องเรียนของความช่วยเหลือไปยังสันนิบาตชาติ เพื่อให้ทำการสอบสวนและประณามการกระทำของญี่เป่นในการรุกรานแมนจูเรีย ญี่ปุ่นจึงต้องถอนตัวออกจากสันนิบาตชาติโดยสิ้นเชิง แต่ยังไม่มีชาติใดดำเนินนโยบายตอบโต้ทางการทหารอย่างชัดเจนแก่ญี่ปุ่น การปะทะกันในเหตุการณ์ 28 มกราคม ได้เกิดการจัดตั้งเขตปลอดทหารเซี่ยงไฮ้ขึ้นกองทัพจีนไม่สามารรถคงกำลังทหารไว้ในเมืองเซี่ยงไฮ้ของตนเองได้ทางด้านแมนจูกัวญี่ปุ่นพยายามดำเนินตามนโยบายของตนในการทำลายกองกำลังอาสาสมัคราต่อต้านญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นและกระจายเป็นวงกว้าง ต่อมาญี่ปุ่นเข้าโจมตีบริเวฯกำแพงเมืองจีน หลังจากนั้นได้มีการเจรจาพักรบตางกู ญี่ปุ่นมีอำนาจเหนือดินแดนเร่อเหอทั้งยังจัดตั้งเขตปลอดทหารบริเวณกำแพงเมืองจีนและเมืองปักกิ่ง ในจุดนี้ญี่ปุ่นพยายามจะจัดตั้งรัฐหุ่นเชิดขึ้นอีกหนึ่งแห่งระหว่างดินแดนแมนจูกัวกับดินแดนแมนจูกัวกับดินแดนของคณะรัฐบลแห่งชาติจีนที่มีฐานบัญชาการอยู่ที่นานกิง ซึ่งญี่ปุ่นทราบจุดอ่นของรัฐบาลแห่งชาติดีว่า ภายหลังการเดินทางขึ้นเหนือของคณะรัฐบาลแห่งชาติจีนอำนาจการปกครองประเทศของรัฐบาลแห่งชาตินั้นจำกัดอยู่ภายใต้อิทธิพลของเหล่าขุนศึกท้องถิ่น ญี่ปุ่นจึงพยายามผูกไม่ตรีและให้ความช่วยเหลือแก่เหล่าขุนศึกท้องถ่นในการจัดตั้งรัฐอิสระขึ้นโดยให้เป็นไมตรีกับญี่ปุ่น
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ส่วนมากระบุจุดเริ่มต้นของสงครามจีนกับญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ไว้เมื่อวันที่ 7 กรกฏาคม 1937 การปะทะเริ่มด้วยเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล ใกล้ปักกิ่งในคืนวัน ที่ 7 เกิดเหตุการณ์การยิงกันระหว่างทหารจีนกับทหารญี่ปุ่น ในขณะที่ทหารญี่ปุ่นกำลังคิดฉ้อฉล การต่อสู้ได้แพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วและกลายเป้นสงครามในไม่กี่สัปดาห์ ทางฝ่ายจีนมีการต่อต้านอย่างดื้อดึง และฝ่ายญี่ปุ่นเองขาดสิทธิขาดจนดูเหมือนว่าเต็มใจจะให้เกิดข้อตกลงระดับท้องถิ่น ทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายกองบัญชาการทหารระดับสูง นายทหารหลายคนไม่เต็ใจที่จะให้กองทัพผู้มัดตัวเองในประเทศจีนและละทิ้งแมนจูเรียและมองโกเลีย ซึ่งจะเปิดโอกาศในถูกจู่โจมจากรุสเซีย
ทันที่ที่มีการปฏิบัติการแล้ว โตเกียวทำการเสริมกำลังรบ ในต้นเดือนสิ่งหาคม เทียนสินและปักกิ่งถูกยึดครอง เดือนกันยายนทหารกวา 150,000นายเคลื่อนพลเข้าจีน สงครามขยายสู่ทางใต้ ซึ่งเริ่มต้นที่เซียงไฮ้ มีการรบกันอย่างหนัก และบุกทลวงขึ้นไปตามแม่น้ำแยงซีสู่กรุงนานกิง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ เจียง ไค เชค ญี่ปุ่นยึดนานกิงได้ในเดือนธันวาคม และกลายเป็นฉากแห่งการทำลายล้างผลาญชีวิตผู้คนด้วยนำมือผู้คนด้วยกันครั้งเลวร้ายที่สุดของสงคราม กองทหารญีปุ่นหย่อนระเบียบวินัย การฆาตกรรม ปล้นสะดม เผลาผลาญ ขมขื่น เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการกล่าวขานในเวลาต่อมาว่า “การข่มขืนที่นานกิง”
ข้อเรียกร้องของจีนถูกเพิกเฉยจากองค์กรสันนิบาตแห่งชาติ ทั้งประเทศเตรียมพร้อมที่จะทำสงครามเต็มขนาด การปิดลิ้มทางทะเลได้ขยายไปทั่วชายฝั่งจีน รวมทั้งเมืองต่าง ๆ ของจีนก็ถูกโจมตีอย่างหนัก กำลังทหารในจีนภาคเหนือและลุ่มน้ำแยงซีเชื่อถึงกันโดยการทางบก เดือนตุลาคมปีเดียวกัน ทหารเคลื่อนพลไปตามลำน้ำแยงซีจนถึงเมืองฮันเค้า กำลังอีกส่วนในภาคใต้ไปถึงเมือกวางตุ้ง เดือนพฤศจิกายน รัฐบาลโคโนประกาศแผนการเพื่อ “ระเบียบแบบแผนใหม่” อันที่จริงแล้วญี่ปุ่นได้ควบคุมพื้นที่ที่มั่งคั้งที่สุดส่วนใหญ่ของจีนไว้ได้หมดแล้วยกเว้นมณฑลเสฉวน
ชัยชนะของญี่ปุ่นไม่สามารถทำให้รัฐบาลพรรคชาตินิยม(The Nationlist Party ของ เจียง..)ยอมแพ้ ลัทธิชาตินิยมขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ
การที่จะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับรุสเซียในไม่กี่ปีข้างหน้า ผุ้นำทางการทหารญี่ปุ่นจึงเปลียนยุทธศาสตร์ แสวงหาความได้เปรียบทางการเมืองมากกว่าทางการทหาร โดยพยายามตัดจีนจากโลกภายนอก ซึ่งนำไปสู่การยึดครองไหนาน ซึ่งเป็นเขตผลประโยชน์ฝรั่งเศส และปิดล้อมเชตสัมปทานอังกฤษและฝรั่งเศสในเทียนสิน ในเวลาต่อมา แผนการดังกล่าวสำเร็จลุล่วงเมือเกิดสงครามขึ้นในยุโรป
เหตุการณ์ในประเทศจีนมีผลกระทบสำคัญมากต่อสัมพันธภาพระหว่างญี่ปุ่นกับบรรดามหาอำนาจเมืออำนาจของญี่ปุ่นขยายออกไปจึงเป็ฯการเอื้อประโยชน์ต่อการค้าของญี่ปุ่น เป็ฯการโจมตีผลประโยชน์อังกฤษและอเมริกในบางระดับ การกระทำบางประการของญี่ปุ่นชักนำเรืออังกฤษและอเมริกาเข้ามาพัวพันในกลุ่มแม่นำแยงซี สิ่งเหล่านี้ช่วยส่งเสริมให้สองประเทศแสดงความเห็นอกเห็ใจจีน
ญี่ปุ่นมีโอกาศที่จะถูกรุสเซียโจมตี การบีบบังคับรุสเซียให้ขายกิจการบริษัทเดินรถไฟสายแมนจูเรียใต้ ทำให้มีพรมแดนร่วมกัน การปะทะกันจึงเกิดมีเป็นระยะๆ ซึ่งญี่ปุ่นต้องคอยระวังพละกำลังของรุสเซีย
การถูกโดดเดียวทางการทูตจากการถอนตัวออกจากองค์การสันนิบาติแห่งชาติ ญี่ปุ่นเริ่มมองหาเพื่อน จึงนำไปสูเยอรมนี…
เมื่อศัตรูของเยอรมนีคือความเชื่อมั่นในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์และต้องการมิตรเช่นเดียวกับญี่ปุ่น ผลคือการลงนามในสัญญาต่อต้านองค์การคอมมิวนิสต์สากล เป็ฯองค์การส่งเสริมการปฏิวัติโลกให้เป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีรุสเซียอยู่เบื้องหลัง
กลุ่มอิทธิพลฝ่ายทหาราเร่งเร้า ให้ทำข้อตกลงกับเยอรมนีและจบลงด้วยการเมื่อมีการประกาศสนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมนี-รุสเซียในขั้นแรกและรัฐบาลโคโนชุดที่สอง รัฐมนตรีต่างประเทศมีความมั่นใจว่าจะได้เปรียบเยอรมนีจากข้อตกลงร่วมกันและยังเชื่อมั่นว่าเยอรมนีจะเป็นฝ่ายชนะในยุโรป สนธิสัญญาไตรภาคี ญี่ปุ่น เยอรมนีและอิตาลถูกลงนามในเดือน กันยายน 1939 สนธิสัญญาว่าด้วยความเป็นกลาง มีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ญี่ปุ่นมีความแน่นอนใจในพรมแดนของภาคเหนือของตนมากยิ่งขึ้น
แผนการขยายอำนาจในเอซียอาคเนย์ ตั้งแต่ปี 1936 ได้มีการลงมติตัดสินใจที่ได้รับการยืนยันอีกครั้งในวงในของคณะรัฐบาลในเดือนกันยายน ว่าญี่ปุ่นควรฉวยโอกาสที่สงครามในยุโปเอื้อต่อการตั้งมั่นในอินโดจีน สยาม(ไทย)พม่า มลายูและกมู่เกาะอินเดียในขึ้นต้น ใช้วิธีทางการทูต โดยจะต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้งกับอเมริกาแต่ในท้ายที่สุดจะใช้กำลังและยอมรับการเสี่ยงทำสงคราม
นายพลโตโจ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีโดยมาจากกระทรวงการสงคราม เขาเป็นคนนิยมใช้อำนาจตามทรรศนะของทหารที่เคร่งครัดเป็นตัวอย่างตัวแทนของกองบัญชาการทหารระดับสูง เขามีแนวทางอันไม่ประณีประนอมซึ่งเหมาะสมกับผู้นำในยามรบ การแต่งตั้งเขาเป้นนายกรัฐมนตรีจึงเป็นการนำไปสู่เผด็จการโดยทหาร เผด็จการโดยคณะเสนธิการทหารและนำไปสู่สงครามในที่สุด
ความพยายามทางการทูตที่จะให้อเมริกาละทิ้งจีนและขยายข้อผ่อนปรนทางเศรษฐกิจเป็นการตอบแทนในการที่ญี่ปุ่นยับยั้งการรุกคือบหน้า การเจรจาล้มเหลว วอชิงตันปฏิเสธข้อเสนอและ 5 วันต่อมาที่ประชุมหน้าพระที่นั่งในโตเกียวมีมติให้โจมตี นักยุทธศาสตร์ญี่ปุ่นเชื่อว่า สหรัฐต้องตะลึงกับบรรดาประเทศในเอเชียที่ถูกรุกราน กองทัพเรืออเมริกาในแปซิฟิคที่สามารถจะคุกคามขอบข่ายการคมนาคมสื่อสารของญี่ปุ่นกับทางใต้นั้นย่อมจะต้องเป็นเป้าแรกของการโจมตี ดังนั้น การโจมตีทางอากาศครั้งสำคัญจึงมุ่งที่ฐานทัพในหมูเกาะฮาไวอิ (Hawaii)คือ เพิลล์ ฮาร์เบอร์
สถานการณ์ภายในของจีนเป็ฯปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ญี่ปุ่นสามารดำเนินนโยบายรุก ญี่ปุ่นเล็งเห็นผลประโยชน์ในดินแดนแมนจูเรียหลายประการ อาทิทรัพยากรทางธรรมชาและวัตถุดิบอุตสาหกรรม เป็นแหล่งกระจายสินค้าจากญี่ปุ่น และยังเป็นรัฐกันชนระหว่างญี่ปุ่นกับดินแดนไซบีเรียของโซเวียต
ญี่ปุ่นเริ่มรุกรานดินแดนแมนจูอยางเปิดเผยภายหลังกรณีมุกเดน( มุกเดนหรือ เสิ่นหยางในปัจจุบัน อยู่ทางแมนจูเรียตอนใต้ ซึ่งส่วนหนึ่งของทางรถไฟที่ญี่ปุ่นยึดครองในขณะนั้นเกิดระเบิดขึ้น กองทัพญี่ปุ่นจึงใช้เป้ฯข้ออ้างในการรุกรานแมนจูเรีย และนำมาสู่การก่อตั้ง แมนจูกัว)หลังจากปะทะกันนาน 5 เดือน ญี่ปุ่นได้จัดตั้งรัฐหุ่นเชิดแมนจูกัวขึ้นอดีตจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ชิง เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและจักรพรรดิแต่เพียงในนาม รัฐบาลจีนไม่สามารถตอบโต้ทางทหารได้จึงร้องเรียนของความช่วยเหลือไปยังสันนิบาตชาติ เพื่อให้ทำการสอบสวนและประณามการกระทำของญี่เป่นในการรุกรานแมนจูเรีย ญี่ปุ่นจึงต้องถอนตัวออกจากสันนิบาตชาติโดยสิ้นเชิง แต่ยังไม่มีชาติใดดำเนินนโยบายตอบโต้ทางการทหารอย่างชัดเจนแก่ญี่ปุ่น การปะทะกันในเหตุการณ์ 28 มกราคม ได้เกิดการจัดตั้งเขตปลอดทหารเซี่ยงไฮ้ขึ้นกองทัพจีนไม่สามารรถคงกำลังทหารไว้ในเมืองเซี่ยงไฮ้ของตนเองได้ทางด้านแมนจูกัวญี่ปุ่นพยายามดำเนินตามนโยบายของตนในการทำลายกองกำลังอาสาสมัคราต่อต้านญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นและกระจายเป็นวงกว้าง ต่อมาญี่ปุ่นเข้าโจมตีบริเวฯกำแพงเมืองจีน หลังจากนั้นได้มีการเจรจาพักรบตางกู ญี่ปุ่นมีอำนาจเหนือดินแดนเร่อเหอทั้งยังจัดตั้งเขตปลอดทหารบริเวณกำแพงเมืองจีนและเมืองปักกิ่ง ในจุดนี้ญี่ปุ่นพยายามจะจัดตั้งรัฐหุ่นเชิดขึ้นอีกหนึ่งแห่งระหว่างดินแดนแมนจูกัวกับดินแดนแมนจูกัวกับดินแดนของคณะรัฐบลแห่งชาติจีนที่มีฐานบัญชาการอยู่ที่นานกิง ซึ่งญี่ปุ่นทราบจุดอ่นของรัฐบาลแห่งชาติดีว่า ภายหลังการเดินทางขึ้นเหนือของคณะรัฐบาลแห่งชาติจีนอำนาจการปกครองประเทศของรัฐบาลแห่งชาตินั้นจำกัดอยู่ภายใต้อิทธิพลของเหล่าขุนศึกท้องถิ่น ญี่ปุ่นจึงพยายามผูกไม่ตรีและให้ความช่วยเหลือแก่เหล่าขุนศึกท้องถ่นในการจัดตั้งรัฐอิสระขึ้นโดยให้เป็นไมตรีกับญี่ปุ่น
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ส่วนมากระบุจุดเริ่มต้นของสงครามจีนกับญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ไว้เมื่อวันที่ 7 กรกฏาคม 1937 การปะทะเริ่มด้วยเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล ใกล้ปักกิ่งในคืนวัน ที่ 7 เกิดเหตุการณ์การยิงกันระหว่างทหารจีนกับทหารญี่ปุ่น ในขณะที่ทหารญี่ปุ่นกำลังคิดฉ้อฉล การต่อสู้ได้แพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วและกลายเป้นสงครามในไม่กี่สัปดาห์ ทางฝ่ายจีนมีการต่อต้านอย่างดื้อดึง และฝ่ายญี่ปุ่นเองขาดสิทธิขาดจนดูเหมือนว่าเต็มใจจะให้เกิดข้อตกลงระดับท้องถิ่น ทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายกองบัญชาการทหารระดับสูง นายทหารหลายคนไม่เต็ใจที่จะให้กองทัพผู้มัดตัวเองในประเทศจีนและละทิ้งแมนจูเรียและมองโกเลีย ซึ่งจะเปิดโอกาศในถูกจู่โจมจากรุสเซีย
ทันที่ที่มีการปฏิบัติการแล้ว โตเกียวทำการเสริมกำลังรบ ในต้นเดือนสิ่งหาคม เทียนสินและปักกิ่งถูกยึดครอง เดือนกันยายนทหารกวา 150,000นายเคลื่อนพลเข้าจีน สงครามขยายสู่ทางใต้ ซึ่งเริ่มต้นที่เซียงไฮ้ มีการรบกันอย่างหนัก และบุกทลวงขึ้นไปตามแม่น้ำแยงซีสู่กรุงนานกิง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ เจียง ไค เชค ญี่ปุ่นยึดนานกิงได้ในเดือนธันวาคม และกลายเป็นฉากแห่งการทำลายล้างผลาญชีวิตผู้คนด้วยนำมือผู้คนด้วยกันครั้งเลวร้ายที่สุดของสงคราม กองทหารญีปุ่นหย่อนระเบียบวินัย การฆาตกรรม ปล้นสะดม เผลาผลาญ ขมขื่น เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการกล่าวขานในเวลาต่อมาว่า “การข่มขืนที่นานกิง”
ข้อเรียกร้องของจีนถูกเพิกเฉยจากองค์กรสันนิบาตแห่งชาติ ทั้งประเทศเตรียมพร้อมที่จะทำสงครามเต็มขนาด การปิดลิ้มทางทะเลได้ขยายไปทั่วชายฝั่งจีน รวมทั้งเมืองต่าง ๆ ของจีนก็ถูกโจมตีอย่างหนัก กำลังทหารในจีนภาคเหนือและลุ่มน้ำแยงซีเชื่อถึงกันโดยการทางบก เดือนตุลาคมปีเดียวกัน ทหารเคลื่อนพลไปตามลำน้ำแยงซีจนถึงเมืองฮันเค้า กำลังอีกส่วนในภาคใต้ไปถึงเมือกวางตุ้ง เดือนพฤศจิกายน รัฐบาลโคโนประกาศแผนการเพื่อ “ระเบียบแบบแผนใหม่” อันที่จริงแล้วญี่ปุ่นได้ควบคุมพื้นที่ที่มั่งคั้งที่สุดส่วนใหญ่ของจีนไว้ได้หมดแล้วยกเว้นมณฑลเสฉวน
ชัยชนะของญี่ปุ่นไม่สามารถทำให้รัฐบาลพรรคชาตินิยม(The Nationlist Party ของ เจียง..)ยอมแพ้ ลัทธิชาตินิยมขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ
การที่จะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับรุสเซียในไม่กี่ปีข้างหน้า ผุ้นำทางการทหารญี่ปุ่นจึงเปลียนยุทธศาสตร์ แสวงหาความได้เปรียบทางการเมืองมากกว่าทางการทหาร โดยพยายามตัดจีนจากโลกภายนอก ซึ่งนำไปสู่การยึดครองไหนาน ซึ่งเป็นเขตผลประโยชน์ฝรั่งเศส และปิดล้อมเชตสัมปทานอังกฤษและฝรั่งเศสในเทียนสิน ในเวลาต่อมา แผนการดังกล่าวสำเร็จลุล่วงเมือเกิดสงครามขึ้นในยุโรป
เหตุการณ์ในประเทศจีนมีผลกระทบสำคัญมากต่อสัมพันธภาพระหว่างญี่ปุ่นกับบรรดามหาอำนาจเมืออำนาจของญี่ปุ่นขยายออกไปจึงเป็ฯการเอื้อประโยชน์ต่อการค้าของญี่ปุ่น เป็ฯการโจมตีผลประโยชน์อังกฤษและอเมริกในบางระดับ การกระทำบางประการของญี่ปุ่นชักนำเรืออังกฤษและอเมริกาเข้ามาพัวพันในกลุ่มแม่นำแยงซี สิ่งเหล่านี้ช่วยส่งเสริมให้สองประเทศแสดงความเห็นอกเห็ใจจีน
ญี่ปุ่นมีโอกาศที่จะถูกรุสเซียโจมตี การบีบบังคับรุสเซียให้ขายกิจการบริษัทเดินรถไฟสายแมนจูเรียใต้ ทำให้มีพรมแดนร่วมกัน การปะทะกันจึงเกิดมีเป็นระยะๆ ซึ่งญี่ปุ่นต้องคอยระวังพละกำลังของรุสเซีย
การถูกโดดเดียวทางการทูตจากการถอนตัวออกจากองค์การสันนิบาติแห่งชาติ ญี่ปุ่นเริ่มมองหาเพื่อน จึงนำไปสูเยอรมนี…
เมื่อศัตรูของเยอรมนีคือความเชื่อมั่นในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์และต้องการมิตรเช่นเดียวกับญี่ปุ่น ผลคือการลงนามในสัญญาต่อต้านองค์การคอมมิวนิสต์สากล เป็ฯองค์การส่งเสริมการปฏิวัติโลกให้เป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีรุสเซียอยู่เบื้องหลัง
กลุ่มอิทธิพลฝ่ายทหาราเร่งเร้า ให้ทำข้อตกลงกับเยอรมนีและจบลงด้วยการเมื่อมีการประกาศสนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมนี-รุสเซียในขั้นแรกและรัฐบาลโคโนชุดที่สอง รัฐมนตรีต่างประเทศมีความมั่นใจว่าจะได้เปรียบเยอรมนีจากข้อตกลงร่วมกันและยังเชื่อมั่นว่าเยอรมนีจะเป็นฝ่ายชนะในยุโรป สนธิสัญญาไตรภาคี ญี่ปุ่น เยอรมนีและอิตาลถูกลงนามในเดือน กันยายน 1939 สนธิสัญญาว่าด้วยความเป็นกลาง มีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ญี่ปุ่นมีความแน่นอนใจในพรมแดนของภาคเหนือของตนมากยิ่งขึ้น
แผนการขยายอำนาจในเอซียอาคเนย์ ตั้งแต่ปี 1936 ได้มีการลงมติตัดสินใจที่ได้รับการยืนยันอีกครั้งในวงในของคณะรัฐบาลในเดือนกันยายน ว่าญี่ปุ่นควรฉวยโอกาสที่สงครามในยุโปเอื้อต่อการตั้งมั่นในอินโดจีน สยาม(ไทย)พม่า มลายูและกมู่เกาะอินเดียในขึ้นต้น ใช้วิธีทางการทูต โดยจะต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้งกับอเมริกาแต่ในท้ายที่สุดจะใช้กำลังและยอมรับการเสี่ยงทำสงคราม
นายพลโตโจ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีโดยมาจากกระทรวงการสงคราม เขาเป็นคนนิยมใช้อำนาจตามทรรศนะของทหารที่เคร่งครัดเป็นตัวอย่างตัวแทนของกองบัญชาการทหารระดับสูง เขามีแนวทางอันไม่ประณีประนอมซึ่งเหมาะสมกับผู้นำในยามรบ การแต่งตั้งเขาเป้นนายกรัฐมนตรีจึงเป็นการนำไปสู่เผด็จการโดยทหาร เผด็จการโดยคณะเสนธิการทหารและนำไปสู่สงครามในที่สุด
ความพยายามทางการทูตที่จะให้อเมริกาละทิ้งจีนและขยายข้อผ่อนปรนทางเศรษฐกิจเป็นการตอบแทนในการที่ญี่ปุ่นยับยั้งการรุกคือบหน้า การเจรจาล้มเหลว วอชิงตันปฏิเสธข้อเสนอและ 5 วันต่อมาที่ประชุมหน้าพระที่นั่งในโตเกียวมีมติให้โจมตี นักยุทธศาสตร์ญี่ปุ่นเชื่อว่า สหรัฐต้องตะลึงกับบรรดาประเทศในเอเชียที่ถูกรุกราน กองทัพเรืออเมริกาในแปซิฟิคที่สามารถจะคุกคามขอบข่ายการคมนาคมสื่อสารของญี่ปุ่นกับทางใต้นั้นย่อมจะต้องเป็นเป้าแรกของการโจมตี ดังนั้น การโจมตีทางอากาศครั้งสำคัญจึงมุ่งที่ฐานทัพในหมูเกาะฮาไวอิ (Hawaii)คือ เพิลล์ ฮาร์เบอร์
วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556
Nanking:National state
ด้วยความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียต พรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือ ccp ก็สามารถจัดตั้งขึ้นเป็นทางการได้สำเร็จในปี 1921 ความร่วมมือ จากรัศเซีย(โคมินเทอร์น) ccp และ พรรคก๊กมินตั๋ง ของซุน ยัด-เซ็น ทำให้พรรคเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็สามารถเข้าควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไว้ได้ แต่ก๊กมินตั๋งเปลี่ยนท่าทีเป็นต่อต้านกระทั่งพรรคccp เกือบหมดอำนาจในที่สุด
ด้วยการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากรัสเซียทำให้ ccp เป็นองค์กรที่เป็ฯที่รู้จักมากขึ้น สามารถรวมพลังนักชาตินิยมต่อสู้กับจักรวรรดินิยมตะวันตก และยังได้รับการสนับสนุนทางด้านอาวุธเงินทะน และคำปรึกษาที่มีคุณค่าจากรัสเซีย อันทำให้พรรคเข้าใจอย่างถ่องแท้ในการเมืองระบบพรรค และวิธีการทางทหารมากว่าที่จะเป็นแค่เพียงสมาคมลับอย่างอดีต ผลของการร่วมมือคือการจัดตั้งสถาบันทหารวันเปาขึ้น อันเป็นสถบันทางการทหารที่ประกอบด้วยที่ปรึกษาทางทหารจากองค์การโคมินเทอร์น สมาชิกพรรค ccp และพรรคก๊กมินตั๋ง ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่เหนือกวากองกำลังขุนศึกทางภาคเหนือ
การร่วมมือระหว่างที่ปรึกษาจากองค์การโคมินเทอร์นกับสมรชิกพรรคก็กมินตั๋งดำเนินไปด้วยดี การได้รับการปฏิบัติจากรัสเซียสมือนเป็นพันธมิตร โดยไม่แสดงทีท่าว่าจะเข้ายึดครองจีนเหมือมหาอำนาจตะวันตกอื่นๆ ทำให้พรรค ccp แสดงออกอย่างชัดเจนและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองไปเป็นคอมมิวนิสต์ตามอยางรัสเซียได้ทุกเมื่อ ซึ่งขัดแย้งกับสามชิกฝ่ายขวาในพรรคก๊กมินตั๋ง แม้กระนั้น ซุน ยัด-เซ็นก็ได้กล่าวว่า “การปฏิวัติจะไม่มีทางสำเร็จถ้าขาดที่ปรึกษาชาวรัสเซียเหล่านนั้น”
หลังอสัญกรรมของ ซุน ยัด-เซ็น การแก่งแย่งอำนาจรุนแรงและมากขึ้นผู้นำฝ่ายซ้ายหัวรุนแรงคนหนึ่งของพรรคก็กมินตั๋งถูกลอบสังหาร ในที่สุด หวัง ชิง-ไหว ก็ขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ของพรรค แต่ที่สำคัญ หวังมีความคิดโน้มเอียงมาทาง ccp การขึ้นสู่ตำแน่งผู้นำของ หวัง ชิง-ไหวและการเติบโตของพรรค ccp กลายเป็ฯปัญหาข้อขัดแย้งทางการเมืองของพรรค เมื่อ เชียง ไค เชค ผู้บัญชาการกองทัพก๊กมินตั๋งและผู้บัญชาการสถาบันทหารวันเปากลายเป็นผู้มีอิทธิพอย่างสูงโดยเฉพาะต่อบรรดานายทหารหนุ่มรุ่นใหม่ของกองทัพ
เชียงไม่พอใจกับการเติบโตของคอมมิวนิสต์ ได้สังการให้จับกุมที่ปรึกษาชาวรัสเซียและนายทหารระดับผู้นำสังกัดพรรค คอมมิวนิสต์จีน ccp ด้วยข้อหาว่ายุยงให้มีการก่อรัฐประหาร แต่ต่อมาได้รับการปลดปล่อยและมีการส่งสาร์นแสดงความเสียใจ..จากนั้นเชียง ไค เชค ก็ก้าวขึ้นสู้ตำแน่งผุ้นำทางการเมือง มีอำนาจเหนือกองทัพ พรรค และรัฐบาล หวัง ชิง ไหว เลื่อกที่จะเดินทางออำนอกประเทศ ดังนั้น เชียง ไค เชค จึงกลายเป้นผุ้มีอำนาจที่แท้จริงแต่เพียงผู้เดียว
กองทัพก๊กมินตั๋งบุกขึ้นทางเหนือแม้ขุนศึกทางเหนือจะมีกำลังพลทีมากกว่าแต่ความเด็ดเดี่ยวของเจียง ไค เชค และการให้มากกว่าการแย่งชิง ชาวไรชาวนาจึงให้การสนับสนุนกองทัพก๊กมินตั๋ง
พรรคคอมมิวนิสต์ไม่ได้เข้าร่วมทำสงครามกับก๊กมินตั๋ง ได้แต่ดำนินการโฆษนาทางการเมือง ทั้งในพื้อนที่ที่ปลดปล่อยแล้ว และพื้นที่ที่กองทัพ เพิ่งจะปลดปลอย่ คือ เชียง ไค เชค ก้าวไปข้างหน้ามากเท่าไร อิทธิพลของคอมมิวนิสตก็ขยายตัวออกไปไกลเท่านั้น
การรวมตัวกันของพรรค ccp และ ก๊กมินตั๋งเพื่อการรวมประเทศ ดูเหมือนจะไม่มีทางสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งนี้เพราะความแตกต่างกันในเรื่องอุดมการณ์ของทั้ง 2 ฝ่าย ก๊กมินตั้งไม่มีความเชื่อว่าการต่อสู้ทางชนชั้นจะนำมาใช้เป็นพลังในการปฏิวัติ ได้ และไม่เชื่อว่าคนจนนะสามารถสู้กับคนรวย และยิ่งเป็นคนในครอบครัวเดียวกันด้วยแล้ว เมื่อทางฝ่ายccp สามารถชิงมวลชนและจัดตั้งสหพันธ์ชาวไร่ชาวนและสหภาพแรงงาน ซึ่งตกอยู่ในการชี่นำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ส่วนใหญ่เริ่มเติบโตเข้ามแข้.ขึ้นทันที่ที่กองทัพจากไป การขัดแย่งอย่างเปิดเผยเมืองกงทัพก๊กมินตั๋ง เคลื่อนเข้าใกล้เมืองเซียงไฮ้ ก่อนที่เชียง ไค เชค จะเข้าเมือง สหภาพแรงงานภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนรวมตัวกันจากภายในเข้ายึดอำนาจรัฐ เชียงมองว่าเป็นแผนการการหาเสียของฝ่ายซีซีพี ด้วยเหตุนี้ เมือเชียง..เข้าเมืองได้จงสั่งการประหารสมาชิกสหภาพแรงงานเป็นจำนวนพัน ๆ คน
เมษายน ปี 1927 สมาชิกผู้นำก๊กมินตั๋ง และเชียง ไค เชค มาพบกันที่เมืองนานกิง ประกาศจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติโดยไม่มีพรรคซีซีพีเข้าร่วม การต่อสู้แบบสามเส้รจึเกิดขึ้น ฝ่ายหนึ่งคือคอมมิวนิสต์ อีกกลุ่มได้แก่สมาชิกก๊กมินตั้งที่ค่อนข้างมีความคิดขวาและขวาจัดโดยการนำของเชียง ไค เชค และกงุ่มสุดท้ายคือก๊กมินตั๋งที่มความคิดซ้ายและซ้ายจัด หรือกลุ่มของ หวัง ชิง ไหว ซึ่งมีความคิดไปทาง ccp และที่สำคัญต่อต้าน เชียง ไค เชค เนื่องจากการเมืองภายในรุสเซียจึงไม่ให้ความช่วยเหลือพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ในที่สุดพรรคซีซ๊พีตัดสินใจจับอาวูขึ้นต่อสู้ ถึงแม้จะพ่ายแพ้ต่อมาในเวลาไม่ถึงสัปดาห์เพาะขาดกำลัง แต่ผู้ร่วมก่อการหลายคนได้กลายเป็นผู้นำสำคัญของกองทัพแดงในเวลาต่อมา
รัฐบาลก๊กมินตั๋งที่นานกิง หลังจากแยกตัวกับพรรคคอมมิวนิสต์ เชียง ไค เชค หันมารื้อฟื้นนโยบายการรวามประเทศ เมื่องนานกิง ดันอุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งบนลุ่มน้ำแยงซี เขายกฐานะเป็นเมืองหลวงของรัฐบาลก๊กมินตั๋ง อิทธิพลของเชียง ไคยเชค ก็ขยายตัวอย่างรวดเร็วสู่ดินแดนทางภาคเหนือและในที่สุดปักกิ่งก็ตกเป็นของเขา และรุกเรื่อไปถึงแมนจูเรีย เอนเป็นดินแดรภายใต้การปกครองของขุนศึกจา ซือ เหลียง ผุ้มีความหวาดกลัวญี่ปุ่น จึงเปลี่ยนท่าทีมาให้ความร่วมมือ
นานกิงเป็นจุดศุนย์รวมทางการเมืองและจากจุดนี้จึงความเป็นรัฐประชาชาติเริ่มก่อกำเนิดขึ้น ก๊กมินตั๋งในคำมั่นกับประชาชนว่าในอนาคตพรรคจะสามารถสถาปนาระบอบประชาธิปไตยได้สำเร็จ แตะประชาชนชาวจีนโดยทั่งไปแล้วน้อยคนจะเข้าใจความหมายประชาธิปไตยอย่างแท้จริง รวมทั้งไม่สนใจในตัวผุ้ปกครองว่าเจะเป็นเผด็จการหรือไม่ เชียง เอง ก็รมีความเป็นเผด็จการฟาสซิสต์ และนิยมในปรัชญาของขงจื้อ มีเพียงสมาชิกชนชั้นสุงรุ่นใหม่บางคนที่เข้าใจและให้ความสำคัญของการเป็นรัฐประชาชาติซึ่งมีจำนวนเพียงเล็กน้อยไม่มากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติที่ประสิทธิภาพได้
หลังการพ่ายแพ้ของพรรคคอมมิวนิสต์ส่งผลให้สมาชิกระดับผุ้นำหลายคน พร้อมที่ปรึกษาชาวรัสเซียจำนวนหนึ่งหลบหนีเข้าป่า บางกลุ่มก็หลบซ่อนการจับกุมของฝ่ายลบ้านเมืองอยู่ตามเมืองใหญ่
ในข้อเขียนของเมา เชตุง หลังจากการพ่ายแพ้ของพรรคคอมมิวนิสต์อันเป็นเหตุให้ต้องหลบหนีขึ้นภูเขาไปดำเนินการต่อสู้ทางชนชั้นอย่างโดดเดี่ยว ขาดฐานสนับสนุนทางการเมืองจากคนในพื้นที่ ประกอบกับการถูกตามล่าจาพรรคก๊กมินตั๋ง เมาจึงต้องจัดกาองทหารป่า ด้วยการรวบรวมภาคใต้ของมณฑลเกียงสีเกือบทั้งหมด อาณาบริเวณนี้ต่อมาในปี 1931 ได้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า “สาธารณรับโซเวียดของชาวจีน”…
การขยายอิทธพลทางการทหารของญี๋ปุ่น
ญี่ปุ่นขยายตัวทางการทหารอย่างจริงจังและเข้ายึดดินแดนทางภาคตะวัออกเฉียงเหนือ อันได้แก่ส่วนหนึ่งของแมนจูเรีย คาบสมุทรเหลียวตุงและเมืองท่าที่สำคัญอีก 2 แห่งและรวมทั้งเส้นทางรถไฟสายแมนจูเรียตอนใต้ และสิทธิในการลงทุนร่วมในกิจการสำคัญอีกหลายแห่ง โดยมีทหารญี่ปุ่นเป็นผุ้ให้ความคุ้มครองการคุกคามอำนาจอธิปไตย ซึ่งได้สร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวจี ซึ่งแสดงให้เห็นตั้งแต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
ในแมนจุเรีย ปุ่นมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับขุนศึกจีนคนหนึ่ง และด้วยความสัมพันธ์ดังกล่าวทำให้ญี่ปุ่นรอดพ้นจากการต่อต้านจากทหารฝ่ายรัฐบาลแต่เมื่อ ก๊กมินตั๋งขยายตัวสู่ภาคเหนือความสัมพันธ์จึงสะบั้นลง
ต้นทศวรรษที่ 1930 รัฐบาลญี่ปุ่นอยู่ภายใต้อำนาจกลุ่มนายทหารหัวรุนแรง ผู้ได้รับอิทธิพลจากความสำเร็จทางการทหารของชาติ ทั้งผลกระทบจากเศรษฐกิจตกต่ำ และเพื่อปกป้องผลประโยชน์จากตะวันตก ความคิดที่จะรุกรานจคนอย่างจริงจังจึงเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น
ด้วยการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากรัสเซียทำให้ ccp เป็นองค์กรที่เป็ฯที่รู้จักมากขึ้น สามารถรวมพลังนักชาตินิยมต่อสู้กับจักรวรรดินิยมตะวันตก และยังได้รับการสนับสนุนทางด้านอาวุธเงินทะน และคำปรึกษาที่มีคุณค่าจากรัสเซีย อันทำให้พรรคเข้าใจอย่างถ่องแท้ในการเมืองระบบพรรค และวิธีการทางทหารมากว่าที่จะเป็นแค่เพียงสมาคมลับอย่างอดีต ผลของการร่วมมือคือการจัดตั้งสถาบันทหารวันเปาขึ้น อันเป็นสถบันทางการทหารที่ประกอบด้วยที่ปรึกษาทางทหารจากองค์การโคมินเทอร์น สมาชิกพรรค ccp และพรรคก๊กมินตั๋ง ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่เหนือกวากองกำลังขุนศึกทางภาคเหนือ
การร่วมมือระหว่างที่ปรึกษาจากองค์การโคมินเทอร์นกับสมรชิกพรรคก็กมินตั๋งดำเนินไปด้วยดี การได้รับการปฏิบัติจากรัสเซียสมือนเป็นพันธมิตร โดยไม่แสดงทีท่าว่าจะเข้ายึดครองจีนเหมือมหาอำนาจตะวันตกอื่นๆ ทำให้พรรค ccp แสดงออกอย่างชัดเจนและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองไปเป็นคอมมิวนิสต์ตามอยางรัสเซียได้ทุกเมื่อ ซึ่งขัดแย้งกับสามชิกฝ่ายขวาในพรรคก๊กมินตั๋ง แม้กระนั้น ซุน ยัด-เซ็นก็ได้กล่าวว่า “การปฏิวัติจะไม่มีทางสำเร็จถ้าขาดที่ปรึกษาชาวรัสเซียเหล่านนั้น”
หลังอสัญกรรมของ ซุน ยัด-เซ็น การแก่งแย่งอำนาจรุนแรงและมากขึ้นผู้นำฝ่ายซ้ายหัวรุนแรงคนหนึ่งของพรรคก็กมินตั๋งถูกลอบสังหาร ในที่สุด หวัง ชิง-ไหว ก็ขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ของพรรค แต่ที่สำคัญ หวังมีความคิดโน้มเอียงมาทาง ccp การขึ้นสู่ตำแน่งผู้นำของ หวัง ชิง-ไหวและการเติบโตของพรรค ccp กลายเป็ฯปัญหาข้อขัดแย้งทางการเมืองของพรรค เมื่อ เชียง ไค เชค ผู้บัญชาการกองทัพก๊กมินตั๋งและผู้บัญชาการสถาบันทหารวันเปากลายเป็นผู้มีอิทธิพอย่างสูงโดยเฉพาะต่อบรรดานายทหารหนุ่มรุ่นใหม่ของกองทัพ
เชียงไม่พอใจกับการเติบโตของคอมมิวนิสต์ ได้สังการให้จับกุมที่ปรึกษาชาวรัสเซียและนายทหารระดับผู้นำสังกัดพรรค คอมมิวนิสต์จีน ccp ด้วยข้อหาว่ายุยงให้มีการก่อรัฐประหาร แต่ต่อมาได้รับการปลดปล่อยและมีการส่งสาร์นแสดงความเสียใจ..จากนั้นเชียง ไค เชค ก็ก้าวขึ้นสู้ตำแน่งผุ้นำทางการเมือง มีอำนาจเหนือกองทัพ พรรค และรัฐบาล หวัง ชิง ไหว เลื่อกที่จะเดินทางออำนอกประเทศ ดังนั้น เชียง ไค เชค จึงกลายเป้นผุ้มีอำนาจที่แท้จริงแต่เพียงผู้เดียว
กองทัพก๊กมินตั๋งบุกขึ้นทางเหนือแม้ขุนศึกทางเหนือจะมีกำลังพลทีมากกว่าแต่ความเด็ดเดี่ยวของเจียง ไค เชค และการให้มากกว่าการแย่งชิง ชาวไรชาวนาจึงให้การสนับสนุนกองทัพก๊กมินตั๋ง
พรรคคอมมิวนิสต์ไม่ได้เข้าร่วมทำสงครามกับก๊กมินตั๋ง ได้แต่ดำนินการโฆษนาทางการเมือง ทั้งในพื้อนที่ที่ปลดปล่อยแล้ว และพื้นที่ที่กองทัพ เพิ่งจะปลดปลอย่ คือ เชียง ไค เชค ก้าวไปข้างหน้ามากเท่าไร อิทธิพลของคอมมิวนิสตก็ขยายตัวออกไปไกลเท่านั้น
การรวมตัวกันของพรรค ccp และ ก๊กมินตั๋งเพื่อการรวมประเทศ ดูเหมือนจะไม่มีทางสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งนี้เพราะความแตกต่างกันในเรื่องอุดมการณ์ของทั้ง 2 ฝ่าย ก๊กมินตั้งไม่มีความเชื่อว่าการต่อสู้ทางชนชั้นจะนำมาใช้เป็นพลังในการปฏิวัติ ได้ และไม่เชื่อว่าคนจนนะสามารถสู้กับคนรวย และยิ่งเป็นคนในครอบครัวเดียวกันด้วยแล้ว เมื่อทางฝ่ายccp สามารถชิงมวลชนและจัดตั้งสหพันธ์ชาวไร่ชาวนและสหภาพแรงงาน ซึ่งตกอยู่ในการชี่นำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ส่วนใหญ่เริ่มเติบโตเข้ามแข้.ขึ้นทันที่ที่กองทัพจากไป การขัดแย่งอย่างเปิดเผยเมืองกงทัพก๊กมินตั๋ง เคลื่อนเข้าใกล้เมืองเซียงไฮ้ ก่อนที่เชียง ไค เชค จะเข้าเมือง สหภาพแรงงานภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนรวมตัวกันจากภายในเข้ายึดอำนาจรัฐ เชียงมองว่าเป็นแผนการการหาเสียของฝ่ายซีซีพี ด้วยเหตุนี้ เมือเชียง..เข้าเมืองได้จงสั่งการประหารสมาชิกสหภาพแรงงานเป็นจำนวนพัน ๆ คน
เมษายน ปี 1927 สมาชิกผู้นำก๊กมินตั๋ง และเชียง ไค เชค มาพบกันที่เมืองนานกิง ประกาศจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติโดยไม่มีพรรคซีซีพีเข้าร่วม การต่อสู้แบบสามเส้รจึเกิดขึ้น ฝ่ายหนึ่งคือคอมมิวนิสต์ อีกกลุ่มได้แก่สมาชิกก๊กมินตั้งที่ค่อนข้างมีความคิดขวาและขวาจัดโดยการนำของเชียง ไค เชค และกงุ่มสุดท้ายคือก๊กมินตั๋งที่มความคิดซ้ายและซ้ายจัด หรือกลุ่มของ หวัง ชิง ไหว ซึ่งมีความคิดไปทาง ccp และที่สำคัญต่อต้าน เชียง ไค เชค เนื่องจากการเมืองภายในรุสเซียจึงไม่ให้ความช่วยเหลือพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ในที่สุดพรรคซีซ๊พีตัดสินใจจับอาวูขึ้นต่อสู้ ถึงแม้จะพ่ายแพ้ต่อมาในเวลาไม่ถึงสัปดาห์เพาะขาดกำลัง แต่ผู้ร่วมก่อการหลายคนได้กลายเป็นผู้นำสำคัญของกองทัพแดงในเวลาต่อมา
รัฐบาลก๊กมินตั๋งที่นานกิง หลังจากแยกตัวกับพรรคคอมมิวนิสต์ เชียง ไค เชค หันมารื้อฟื้นนโยบายการรวามประเทศ เมื่องนานกิง ดันอุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งบนลุ่มน้ำแยงซี เขายกฐานะเป็นเมืองหลวงของรัฐบาลก๊กมินตั๋ง อิทธิพลของเชียง ไคยเชค ก็ขยายตัวอย่างรวดเร็วสู่ดินแดนทางภาคเหนือและในที่สุดปักกิ่งก็ตกเป็นของเขา และรุกเรื่อไปถึงแมนจูเรีย เอนเป็นดินแดรภายใต้การปกครองของขุนศึกจา ซือ เหลียง ผุ้มีความหวาดกลัวญี่ปุ่น จึงเปลี่ยนท่าทีมาให้ความร่วมมือ
นานกิงเป็นจุดศุนย์รวมทางการเมืองและจากจุดนี้จึงความเป็นรัฐประชาชาติเริ่มก่อกำเนิดขึ้น ก๊กมินตั๋งในคำมั่นกับประชาชนว่าในอนาคตพรรคจะสามารถสถาปนาระบอบประชาธิปไตยได้สำเร็จ แตะประชาชนชาวจีนโดยทั่งไปแล้วน้อยคนจะเข้าใจความหมายประชาธิปไตยอย่างแท้จริง รวมทั้งไม่สนใจในตัวผุ้ปกครองว่าเจะเป็นเผด็จการหรือไม่ เชียง เอง ก็รมีความเป็นเผด็จการฟาสซิสต์ และนิยมในปรัชญาของขงจื้อ มีเพียงสมาชิกชนชั้นสุงรุ่นใหม่บางคนที่เข้าใจและให้ความสำคัญของการเป็นรัฐประชาชาติซึ่งมีจำนวนเพียงเล็กน้อยไม่มากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติที่ประสิทธิภาพได้
หลังการพ่ายแพ้ของพรรคคอมมิวนิสต์ส่งผลให้สมาชิกระดับผุ้นำหลายคน พร้อมที่ปรึกษาชาวรัสเซียจำนวนหนึ่งหลบหนีเข้าป่า บางกลุ่มก็หลบซ่อนการจับกุมของฝ่ายลบ้านเมืองอยู่ตามเมืองใหญ่
ในข้อเขียนของเมา เชตุง หลังจากการพ่ายแพ้ของพรรคคอมมิวนิสต์อันเป็นเหตุให้ต้องหลบหนีขึ้นภูเขาไปดำเนินการต่อสู้ทางชนชั้นอย่างโดดเดี่ยว ขาดฐานสนับสนุนทางการเมืองจากคนในพื้นที่ ประกอบกับการถูกตามล่าจาพรรคก๊กมินตั๋ง เมาจึงต้องจัดกาองทหารป่า ด้วยการรวบรวมภาคใต้ของมณฑลเกียงสีเกือบทั้งหมด อาณาบริเวณนี้ต่อมาในปี 1931 ได้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า “สาธารณรับโซเวียดของชาวจีน”…
การขยายอิทธพลทางการทหารของญี๋ปุ่น
ญี่ปุ่นขยายตัวทางการทหารอย่างจริงจังและเข้ายึดดินแดนทางภาคตะวัออกเฉียงเหนือ อันได้แก่ส่วนหนึ่งของแมนจูเรีย คาบสมุทรเหลียวตุงและเมืองท่าที่สำคัญอีก 2 แห่งและรวมทั้งเส้นทางรถไฟสายแมนจูเรียตอนใต้ และสิทธิในการลงทุนร่วมในกิจการสำคัญอีกหลายแห่ง โดยมีทหารญี่ปุ่นเป็นผุ้ให้ความคุ้มครองการคุกคามอำนาจอธิปไตย ซึ่งได้สร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวจี ซึ่งแสดงให้เห็นตั้งแต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
ในแมนจุเรีย ปุ่นมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับขุนศึกจีนคนหนึ่ง และด้วยความสัมพันธ์ดังกล่าวทำให้ญี่ปุ่นรอดพ้นจากการต่อต้านจากทหารฝ่ายรัฐบาลแต่เมื่อ ก๊กมินตั๋งขยายตัวสู่ภาคเหนือความสัมพันธ์จึงสะบั้นลง
ต้นทศวรรษที่ 1930 รัฐบาลญี่ปุ่นอยู่ภายใต้อำนาจกลุ่มนายทหารหัวรุนแรง ผู้ได้รับอิทธิพลจากความสำเร็จทางการทหารของชาติ ทั้งผลกระทบจากเศรษฐกิจตกต่ำ และเพื่อปกป้องผลประโยชน์จากตะวันตก ความคิดที่จะรุกรานจคนอย่างจริงจังจึงเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น
วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556
สัมพันธมิตรดั้งเดิม(มหาอำนาจประชาธิปไตย)
ฝ่ายสัมพันธมิตรดั้งเดิมในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นกลุ่มประเทศที่เข้ามาพัวพันในสงครามโลกครั้งสองเพราะประเทศเหล่านี้ถูกรุกรานก่อน อันประกอบด้วย ผรังเศส โปแลนด์ สหราชอาณาจักร ชาติ
เครือจักรภพอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และสหภาพแอฟริกาใต้ สัมพันธมิตรดั้งเดิม คือกลุ่มประเทศที่ประกาศสงครามต่อนาซีเยอรมนีในช่วงการบุกครองในปี 1939 ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีความสัมพันธ์กันจากเครื่อข่ายสนธิสัญญาป้องกันร่วมกัน และสนธิสัญญาในความร่วมมือพันธมิตรทางการทหารก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนความร่วมมือกันระหว่างสหราชอาณาจักและฝรั่งเศสสามารถย้อนไปได้ถึงความเข้าใจระหว่างอังกฤษ-ฝรั่งเศษในปี 1904 และฝ่ายไตรภาคี ในปี 1907 และดำเนินการร่วมกันในปีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ส่วน
พันธมิตรทางการทหารฝรั่งเศส-โปแลนด์ ได้ลงนามในปี 1921 ซึ่งได้รับการแก้ไขในปี 1927 และ1939 ส่วนบัญญัติป้องกันร่วมกันอังกฤษ-โปแลนด์ ลงนามในเดือนสิงหาคม ปี 1939 ประกอบด้วยสัญญาในการให้ความร่วมมือทางการทหารร่วมกันระหว่างชาติในกรณีถูกรุกรานโดยนาซีเยอรมนี
ประเทศมหาอำนาจประชาธิปไตย มีนโยบายการต่างประเทศที่ขัดแย้งกัน โดยไม่ได้ทำความตกลงกันก่อน การที่ฝรั่งเศสยกกองทัพเข้ายึดแคว้นรูห์ อังกฤษไม่เห็นด้วย เพราะผลที่ตารมมาทำให้เยอรมนีอ้างการที่ถูกยึดแค้วนรูห์นี้ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ พวกกรรมกรในโรงงานอุตสาหรรมนัดหยุดงาน เยอรมนีไม่มีเงินจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม
ในกรณีที่สันนิบาตชาติจักการประชุมให้มีการลดอาวูทางบกและทางเรือนั้น อังกฤษยอมให้เยอรมนีมีกำลังอาวุธทางเรือ 35 เปอร์เซ็นต์ ของกองทัพเรืออังกฤษ สร้างความไม่พอใจให้ฝรั่งเศสเป็นอย่างมากฝรั้งเศสไม่ต้องการให้เยอมนีสะสมกำลังอาวุธเพื่มขึ้น และไม่เป็นไปตามข้อตกลงขององค์การสันนิบาตชาติ
มาตรการผ่อนปรน ต่อประเทศมหาอำนาจอักษะ คือการยอมทำตามข้อเรียกร้องของกลุ่มประเทศเผด็จการโดยหวังว่าเมือยอมฝ่านปรนเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว ประเทศนั้นคงไม่ละเมิดสัญญาเรียกร้องสิ่งอื่นๆ เพิ่มขึ้น แต่ความเป็นจริงแล้วประเทศเหล่านี้ก็ยังคงเรียกร้องในสิ่งที่ตนต้องการ และเนื่องจากผลเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งคาดว่าหากเกิดสงครามขึ้นอีกครั้งผลเสียหายจะมีมากกว่าจึ้งพยายามไกล่เกลี่ยให้เกิดสันติภาพเป็นเป็นการส่งผลดีให้ทางฝ่ายเยอรมนี ฮิตเลอร์ฉวยโอกาสเข้ารุกรานดินแดนอื่นๆ
นโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ของฮิตเลอร์มีผลต่อประเทศมหาอำนาจพันธมิตร อังกฤษพอใจที่เยอรมนีต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ และจะมีนโยบายเป็นกลางไม่ขัดขวางการรุกรานของเยอรมนีแต่อย่างใด
ฝรั้งเศสไม่พอใจนโยบายของพรรคนาซี แต่ผรังเศสไม่กล้าตัดสินใจทำอำไรถ้าอังกฤษไม่ให้ความสนับสนุน ฮิตเลอร์ตระหนักดีว่าฝรั่งเศส ไม่พร้อมที่จะทำสงครามและยอมรับสัมพันธภาพระหว่งฝรั่งเศสกับโปแลนก์และการเพ่มกำลังทหารรักษาเขรไรน์แลนด็ให้เข้มแข็งขึ้น นโยบายภายในประเทศ มีการแข่งขันทางการเมืองกันบ่อยครั้ง มีพวกหัวปานกลาง ซ้ายจัด และขวาจัด พวกซ้ายจัดได้แก่พรรคอมมิวนิสต์ และพวกขวาจัดคือพรรคฟาสซิสม์ ฐานะการเมืองฝรั่งเศสไม่มั่นคง เมื่อฮิตเลอร์ยกกองทัพเข้ายึดเขตไรน์แลนด์ ฝรั่งเศสไม่มีทางต่อต้านกองทัพเยอรมนี รัฐบาลฝรั่งเศสเป็นรัฐบาลผสมประกอบด้วยพรรคโซเซียลิสต์และคอมมิวนิสต์ นโยบายในการฏิรูปสังคมสร้างความตกใจแก่พรรคอนุรักษ์นิยม ซึ่งเป็นเหตุให้ฝ่ายขวาให้การสนับสนุนพรรคนาซีเยอรมนีอย่างเปิดเผย
นโยบายการต่างประเทศของกลุ่มประเทศมหาอำนาจประชาธิไตยเป็นนโยบายผ่อนปรนต่อมหาอำนาจอักษะ ด้วยต้องการสันติภาพ ไม่มีการเตีรยมพร้อมที่จะทำสงครามและคาดว่าสงครามคงจะไม่เกิดขึ้นอีก ฐานะทางการเมือง
ภายในประเทศไม่มั่นคง พรรคการเมืองต่าง ๆ แย่งชิงกันเป็นรัฐบาล ไม่มีโอกาสที่จะเตรียมกำลังทหารในการทำสงคราม นโยบายการต่างประเทศของฝ่ายอักษะมั่งคงและเข้มแข็งกว่า ฮิตเลอร์และมุสโสลินีเรียกร้องในส่งที่จรต้องการตลอดเวลา และเมือใช้กำลังทหารเข้ายึดครองอินแดนต่าง ๆ กลุ่มมหาอำนาจประชาธิปไตยก็ไม่กล้าตัดสินใจทกำการต่อต้านแต่อย่างไร
เครือจักรภพอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และสหภาพแอฟริกาใต้ สัมพันธมิตรดั้งเดิม คือกลุ่มประเทศที่ประกาศสงครามต่อนาซีเยอรมนีในช่วงการบุกครองในปี 1939 ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีความสัมพันธ์กันจากเครื่อข่ายสนธิสัญญาป้องกันร่วมกัน และสนธิสัญญาในความร่วมมือพันธมิตรทางการทหารก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนความร่วมมือกันระหว่างสหราชอาณาจักและฝรั่งเศสสามารถย้อนไปได้ถึงความเข้าใจระหว่างอังกฤษ-ฝรั่งเศษในปี 1904 และฝ่ายไตรภาคี ในปี 1907 และดำเนินการร่วมกันในปีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ส่วน
พันธมิตรทางการทหารฝรั่งเศส-โปแลนด์ ได้ลงนามในปี 1921 ซึ่งได้รับการแก้ไขในปี 1927 และ1939 ส่วนบัญญัติป้องกันร่วมกันอังกฤษ-โปแลนด์ ลงนามในเดือนสิงหาคม ปี 1939 ประกอบด้วยสัญญาในการให้ความร่วมมือทางการทหารร่วมกันระหว่างชาติในกรณีถูกรุกรานโดยนาซีเยอรมนี
ประเทศมหาอำนาจประชาธิปไตย มีนโยบายการต่างประเทศที่ขัดแย้งกัน โดยไม่ได้ทำความตกลงกันก่อน การที่ฝรั่งเศสยกกองทัพเข้ายึดแคว้นรูห์ อังกฤษไม่เห็นด้วย เพราะผลที่ตารมมาทำให้เยอรมนีอ้างการที่ถูกยึดแค้วนรูห์นี้ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ พวกกรรมกรในโรงงานอุตสาหรรมนัดหยุดงาน เยอรมนีไม่มีเงินจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม
ในกรณีที่สันนิบาตชาติจักการประชุมให้มีการลดอาวูทางบกและทางเรือนั้น อังกฤษยอมให้เยอรมนีมีกำลังอาวุธทางเรือ 35 เปอร์เซ็นต์ ของกองทัพเรืออังกฤษ สร้างความไม่พอใจให้ฝรั่งเศสเป็นอย่างมากฝรั้งเศสไม่ต้องการให้เยอมนีสะสมกำลังอาวุธเพื่มขึ้น และไม่เป็นไปตามข้อตกลงขององค์การสันนิบาตชาติ
มาตรการผ่อนปรน ต่อประเทศมหาอำนาจอักษะ คือการยอมทำตามข้อเรียกร้องของกลุ่มประเทศเผด็จการโดยหวังว่าเมือยอมฝ่านปรนเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว ประเทศนั้นคงไม่ละเมิดสัญญาเรียกร้องสิ่งอื่นๆ เพิ่มขึ้น แต่ความเป็นจริงแล้วประเทศเหล่านี้ก็ยังคงเรียกร้องในสิ่งที่ตนต้องการ และเนื่องจากผลเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งคาดว่าหากเกิดสงครามขึ้นอีกครั้งผลเสียหายจะมีมากกว่าจึ้งพยายามไกล่เกลี่ยให้เกิดสันติภาพเป็นเป็นการส่งผลดีให้ทางฝ่ายเยอรมนี ฮิตเลอร์ฉวยโอกาสเข้ารุกรานดินแดนอื่นๆ
นโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ของฮิตเลอร์มีผลต่อประเทศมหาอำนาจพันธมิตร อังกฤษพอใจที่เยอรมนีต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ และจะมีนโยบายเป็นกลางไม่ขัดขวางการรุกรานของเยอรมนีแต่อย่างใด
ฝรั้งเศสไม่พอใจนโยบายของพรรคนาซี แต่ผรังเศสไม่กล้าตัดสินใจทำอำไรถ้าอังกฤษไม่ให้ความสนับสนุน ฮิตเลอร์ตระหนักดีว่าฝรั่งเศส ไม่พร้อมที่จะทำสงครามและยอมรับสัมพันธภาพระหว่งฝรั่งเศสกับโปแลนก์และการเพ่มกำลังทหารรักษาเขรไรน์แลนด็ให้เข้มแข็งขึ้น นโยบายภายในประเทศ มีการแข่งขันทางการเมืองกันบ่อยครั้ง มีพวกหัวปานกลาง ซ้ายจัด และขวาจัด พวกซ้ายจัดได้แก่พรรคอมมิวนิสต์ และพวกขวาจัดคือพรรคฟาสซิสม์ ฐานะการเมืองฝรั่งเศสไม่มั่นคง เมื่อฮิตเลอร์ยกกองทัพเข้ายึดเขตไรน์แลนด์ ฝรั่งเศสไม่มีทางต่อต้านกองทัพเยอรมนี รัฐบาลฝรั่งเศสเป็นรัฐบาลผสมประกอบด้วยพรรคโซเซียลิสต์และคอมมิวนิสต์ นโยบายในการฏิรูปสังคมสร้างความตกใจแก่พรรคอนุรักษ์นิยม ซึ่งเป็นเหตุให้ฝ่ายขวาให้การสนับสนุนพรรคนาซีเยอรมนีอย่างเปิดเผย
นโยบายการต่างประเทศของกลุ่มประเทศมหาอำนาจประชาธิไตยเป็นนโยบายผ่อนปรนต่อมหาอำนาจอักษะ ด้วยต้องการสันติภาพ ไม่มีการเตีรยมพร้อมที่จะทำสงครามและคาดว่าสงครามคงจะไม่เกิดขึ้นอีก ฐานะทางการเมือง
ภายในประเทศไม่มั่นคง พรรคการเมืองต่าง ๆ แย่งชิงกันเป็นรัฐบาล ไม่มีโอกาสที่จะเตรียมกำลังทหารในการทำสงคราม นโยบายการต่างประเทศของฝ่ายอักษะมั่งคงและเข้มแข็งกว่า ฮิตเลอร์และมุสโสลินีเรียกร้องในส่งที่จรต้องการตลอดเวลา และเมือใช้กำลังทหารเข้ายึดครองอินแดนต่าง ๆ กลุ่มมหาอำนาจประชาธิปไตยก็ไม่กล้าตัดสินใจทกำการต่อต้านแต่อย่างไร
วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556
Benito Amilcare Andrea Mussolini
เบนิโต มุสโสลินี เกิดที่เมืองฟอร์ลิ ในแคว้นดรมันญ่า บิดามีอาชีพเป็นช่างตีเหล็กที่ยากจนมารดา เป็นครูในชนบท มุสโสลินีเคยเป็นครูสอนหนังสือก่อนจะหนีการเกณฑ์ทหารไปอยู่สวิตเซอรืแลนด์ ในช่วงนี้เองเขาเลี้ยงชีพโดยการเป็นกรรมกรรับจ้าง ซึ่งทำให้เขาเริ่มหันมาสนใจในลัทธิสังคมนิยมแนวซินดิคาลิสม์ ซึ่งต้องการให้สหภาพกรรมกรเป็นกลุ่มควบคุมอุตสาหกรรมของประเทศ ต่อมาเขาเข้าร่วมกับกลุ่มปฏิวัติจึงถูกขับออาจากสวิสเซอร์แลนด์และกลับมาอยุ่ที่อิตาลีในปี 1904
เมื่อกลับมาอยู่อิตาลีเขาเข้าเป็นสมาชิกพรรคสงคมนิยมโดยทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการณ์หนังสือพิมพ์พรรค ปี 1908-1909 เขาเดินทางไปอาศัยอยู่ที่ออสเตรีย-ฮังการีซึ่งเป็นดินแดนที่อิตาลีหวังจะได้เข้าครอบครอง ซึ่งทำให้มุสโสลินีเกิดความรู้สึกชาตินิยม เขาได้มีดอกาสอ่านงานของนิชเช่ และดซเรลซึ่งเป็นกลุ่มนักปรัชญาที่สนับสนุนการใช้กำลังอำนาจ
เมื่อสงครามโลกครั้งท่ 1 มุสโสลินีเขียนบทความสนับสนุนการกระทำของฝ่ายพันธมิตรและสนับสนุนการกระทำของฝ่ายสัมพันธมิตรและสนับสนุนอิตาลีให้ประกาศสงครามกับออสเตรีย-ฮังการี เขาถูกกล่าวหาว่ารับสินบนในการเขียนบทความดังกล่าวจากฝรั่งเศส การกระทำของมุสโสลินีขัดกับนโยบายของพรรคสังคมนิยมซึ่งต่อต้านสงคราม มุสโสลินีจึงถูกบังคับให้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค หลังจากนั้นมุสโสลินีได้ก่อต้งหนังสือพิมพ์ขึ้นที่มิลานโดยมีนดยบายสนับสนุนให้อิตาลีเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 มุสโสลินีได้รับบาดเจ็บจากการเข้าร่วมรบในสงคราโลกครั้งที่ 1 และกลับมาอาศัยอยู่ที่มิลาเพื่อทำหนังสือพิมพ์ และในช่วงนี้เองที่มุสโสลินีตัดขาดจากความคิดด้านสังคมนิยม
มุสโสลินีแต่งงานกับ ราเชล กูดิ มีลูกด้วยกัน 5 คนเขาเป้นนักเขียนบทวิจารณ์ทางการเมืองและนักพูดฝีปากเอ และมีผลงานในการต่างหนังสือหลายเล่ม
ฟาสซิสต์ เป็นกลุ่มการเมืองที่มีนโยบายผสมระหว่างแนวความคิดทางการเมืองของกลุ่มซินดิคาลิสม์กับแนวความคิดชาตินิยมเข้าด้วยกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต่อตานคอมมูนิสต์ ต่อต้านรัฐบาลที่ไร้สมรรถภาพและเรียร้องสิ่งที่อิตาลีความได้รบจากการทำสนธิสัญญาสงบศึกทีกรุงปารีส ฟาสซิสต์ เป็นภาษาละตินและเป็นคำพนูพจน์ซึ่งหมายถึง กลุมแขนงไม้ ซึ่งถูกมัดรวมเข้ากับด้ามขวานเป็นเครื่องหมายแห่งอำนาจในสมัยดรมันโบราณ ลัทธิฟาสซิสต์ มีความเป็นชาตินยม ไม่ยอมรับอำนาจอธิปไตยของประชาชน แต่จะให้ประชาชนยกย่องและเชื่อฟังผู้นำโดยผุ้นำสัญญาที่จะมอบความก้าวหน้าให้แก่ผุ้ที่จงรักภักดีต่อผู้นำ ถือว่ารัฐเป็นสิ่งสูงสุด ไม่เชื่อในกรปกครองระบอบประชาธิปไตยเพราะคิดวาเป็นการปกครองที่ขาดประสิทธิภาพ เพราะต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์และต้องยอมรับมติของเสียงส่วนใหญ่ จึงล่าข้า การปกครองอย่างเข้มงวดจึงปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ถูกปลูกฝั่งให้เกิดความหลงชาติดดยการดูถูกเชื้อชาติอื่นว่ามีระดับความเจริญต่ำกว่า มีนดยบายทำลายชนเชื้อชาติอื่นๆ ที่ด้อยกว่า
สมาชิกฟาสซิสต์เป็นกลุ่มที่ยกย่องความรุ่งเรืองในอดีตของจักรวรรดิดรมันภายในพรรคมีกองกำลังติดอาวธซึ่งเป็นที่เกรงขามและมีชื่อเสียงในหมุ่ประชาชน
ฟาสซิสต์โจมตีพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งได้รับความนิยมในขณะนั้น การก่อกวนศัตรูทางกาเมืองของกองกำลังฟาสซิสต์ทำให้อิตาลีเสมือนตกอยู่ในสถานการณ์ของสงครามกลางเมือง การแสดงความเป็นชาตินิยมของมุสโสลินีจึงทำให้ประชาชนและกลุ่มผุ้นำทางการเมืองรุ่นเก่าเริ่มให้ความเชื่อถือต่อมุสดสลินี และคิดว่าฟาสซิสต์จะสามารถยุติความวุ่นวายที่เกิดขึ้นได้ มุสโสลินีเห็นว่าพรรคฟาสซิสต์มีอำนาจสูงสุดในบรรดากลุ่มการเมืองจึงทดสอบการใช้อำนาจโดยสั่งกองกำลังพรรคฟาสซิสต์เดินทัพสู่กรุงโรม เมื่อเป็นดังนั้น พระเจ้าวิคเตอร์ เอมมานูเอลที่ 3 จึงมอบหน้าที่ให้มุสโสลินีเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลผสม ดดยมีจุดมุ่งหมายให้รฐบาลผสมทำหน้าทีป้องกันการปฏิวติของพวกคอมมูนิสต์ในอิตาล
กฏหมายอเซอร์โบ มุสโสลินีปกครองในระบบรัฐบาลผสมด้วยความยุงยากแต่กองกำลังของพรรคฟาสซิสต์ที่ใช้วิธีการรุนแรงยังคงเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ทำให้สามารถควบคุมสถานะการให้อยู่ในภาวะปกคติ และเพื่อเป็นการคงไว้ซึ่งอำนาจทางการปกครอง เขาจึงบังคับให้รัฐสภายอมรับกฎหมายอเซอร์โบ ซึ่งเป็นกฎหมายที่เปิดโอกาสให้มุสสลินีสามารถเปลี่ยนการปกรองอิตาลีสู่ระบอบเผด็จการ
มุสโสลินีใช้วิธีรุนแรงต่อศัตรุทางการเมือง กรณีนักการเมืองฝ่ายค้านคนหนึ่งถูกทำร้ายกระทั่งไม่สามารถเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ นักการเมืองสังกัดพรรคดังกล่าวจึงโจมตีและเขียนบทความประนามการกระทำอันเหี้ยมโหดของพรรคฟาสซิสต์ รวมทั้งเปิดโปงการทุจริตในรัฐบาล ซึ่งต่อมาก็ถูกฆ่าตาย และสร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชนชาวอิตาลี พระเจ้าวิคเตอร์ ไม่ทรงตัดสินพระทัยอย่างใดอย่างหนึ่ง มุสโสลินีจึงลดความกดดันทางการเมืองโดยการขับไล่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่อการตายดังกล่าวเป็นการชั่วคราวเมื่อสถานะการณ์สงบลงจึงต่างตั้งกลัเข้ารับราชการดังเดิม
พรรคฟาสวิสต์กลายเป็นพรรคการเมืองที่มีอำนาจเด็ดขาดเพียงพรรคเดียว อิตาลีตกอยู่ภายใต้การปกครองในระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ เสรีภาพนักหนังสือพิมพ์หมดไปเพราะถูกควบคุมโดยรัฐบาล สหภาพกรรมกรสูญเสียอำนาจ การนัดหยุดพงายเป็นสิ่งผิดกฏหมาย อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ควบคุมโดยรัฐ ระบบทุนเสรีนิยมหมดไปจากอิตาลี
มุสดสลินีเป้นนักพูดที่มีความสามารถ และมักจะใช้วะธีการกล่าวปราศัยปลุกเร้าความรู้สกของประชาชนให้หันมานิยมในตัวเขา เขาใช้วิธีการจัดสวนสนามเพื่อแสดงออกถึงความรุ่งเรืองของอิตาลีภายใตการนำของของฟาสซิสต์
มุสโสลินีแก้ปัญหาการว่างงานโดยการเร่งสร้างระบบสาธารณูปโภค และปรัปรุงเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถเลี้ยงตนเองได้ การทำอุตสาหกรรมภายในประเทศได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลโดยตรง มีการตั้งกำแพงภาษีศุลกากร เพื่อป้องกันการแข่งขันจากสินค้าภายนอกประเทศ และสงเสริมเกษตรกรรมโดยนำเอาวิธีการเกษตรสมยใหม่มาใช้
มุสโสลินียุติความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลอิตาลีกับสันตปาปาซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ทหารอิตาเลียนยึดกรุงโรมในปี 1870 มีการตกลงทำสัญญาระหว่างรัฐบาลอิตาลีกับองค์สันตปาปา ในการนี้มุสโสลินีได้รับการยกย่องจากชาวอิตาเลียน และองค์สันตปาปาก็ทรงพอพระทัย
มุสโสลินีมนโยบายขยายอำนาจอิตาลีออกไปภายนอกเพื่อทe ให้อิตาลีกลายเป็นประเทสมหาอำนาจ
เมื่อกลับมาอยู่อิตาลีเขาเข้าเป็นสมาชิกพรรคสงคมนิยมโดยทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการณ์หนังสือพิมพ์พรรค ปี 1908-1909 เขาเดินทางไปอาศัยอยู่ที่ออสเตรีย-ฮังการีซึ่งเป็นดินแดนที่อิตาลีหวังจะได้เข้าครอบครอง ซึ่งทำให้มุสโสลินีเกิดความรู้สึกชาตินิยม เขาได้มีดอกาสอ่านงานของนิชเช่ และดซเรลซึ่งเป็นกลุ่มนักปรัชญาที่สนับสนุนการใช้กำลังอำนาจ
เมื่อสงครามโลกครั้งท่ 1 มุสโสลินีเขียนบทความสนับสนุนการกระทำของฝ่ายพันธมิตรและสนับสนุนการกระทำของฝ่ายสัมพันธมิตรและสนับสนุนอิตาลีให้ประกาศสงครามกับออสเตรีย-ฮังการี เขาถูกกล่าวหาว่ารับสินบนในการเขียนบทความดังกล่าวจากฝรั่งเศส การกระทำของมุสโสลินีขัดกับนโยบายของพรรคสังคมนิยมซึ่งต่อต้านสงคราม มุสโสลินีจึงถูกบังคับให้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค หลังจากนั้นมุสโสลินีได้ก่อต้งหนังสือพิมพ์ขึ้นที่มิลานโดยมีนดยบายสนับสนุนให้อิตาลีเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 มุสโสลินีได้รับบาดเจ็บจากการเข้าร่วมรบในสงคราโลกครั้งที่ 1 และกลับมาอาศัยอยู่ที่มิลาเพื่อทำหนังสือพิมพ์ และในช่วงนี้เองที่มุสโสลินีตัดขาดจากความคิดด้านสังคมนิยม
มุสโสลินีแต่งงานกับ ราเชล กูดิ มีลูกด้วยกัน 5 คนเขาเป้นนักเขียนบทวิจารณ์ทางการเมืองและนักพูดฝีปากเอ และมีผลงานในการต่างหนังสือหลายเล่ม
ฟาสซิสต์ เป็นกลุ่มการเมืองที่มีนโยบายผสมระหว่างแนวความคิดทางการเมืองของกลุ่มซินดิคาลิสม์กับแนวความคิดชาตินิยมเข้าด้วยกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต่อตานคอมมูนิสต์ ต่อต้านรัฐบาลที่ไร้สมรรถภาพและเรียร้องสิ่งที่อิตาลีความได้รบจากการทำสนธิสัญญาสงบศึกทีกรุงปารีส ฟาสซิสต์ เป็นภาษาละตินและเป็นคำพนูพจน์ซึ่งหมายถึง กลุมแขนงไม้ ซึ่งถูกมัดรวมเข้ากับด้ามขวานเป็นเครื่องหมายแห่งอำนาจในสมัยดรมันโบราณ ลัทธิฟาสซิสต์ มีความเป็นชาตินยม ไม่ยอมรับอำนาจอธิปไตยของประชาชน แต่จะให้ประชาชนยกย่องและเชื่อฟังผู้นำโดยผุ้นำสัญญาที่จะมอบความก้าวหน้าให้แก่ผุ้ที่จงรักภักดีต่อผู้นำ ถือว่ารัฐเป็นสิ่งสูงสุด ไม่เชื่อในกรปกครองระบอบประชาธิปไตยเพราะคิดวาเป็นการปกครองที่ขาดประสิทธิภาพ เพราะต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์และต้องยอมรับมติของเสียงส่วนใหญ่ จึงล่าข้า การปกครองอย่างเข้มงวดจึงปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ถูกปลูกฝั่งให้เกิดความหลงชาติดดยการดูถูกเชื้อชาติอื่นว่ามีระดับความเจริญต่ำกว่า มีนดยบายทำลายชนเชื้อชาติอื่นๆ ที่ด้อยกว่า
สมาชิกฟาสซิสต์เป็นกลุ่มที่ยกย่องความรุ่งเรืองในอดีตของจักรวรรดิดรมันภายในพรรคมีกองกำลังติดอาวธซึ่งเป็นที่เกรงขามและมีชื่อเสียงในหมุ่ประชาชน
ฟาสซิสต์โจมตีพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งได้รับความนิยมในขณะนั้น การก่อกวนศัตรูทางกาเมืองของกองกำลังฟาสซิสต์ทำให้อิตาลีเสมือนตกอยู่ในสถานการณ์ของสงครามกลางเมือง การแสดงความเป็นชาตินิยมของมุสโสลินีจึงทำให้ประชาชนและกลุ่มผุ้นำทางการเมืองรุ่นเก่าเริ่มให้ความเชื่อถือต่อมุสดสลินี และคิดว่าฟาสซิสต์จะสามารถยุติความวุ่นวายที่เกิดขึ้นได้ มุสโสลินีเห็นว่าพรรคฟาสซิสต์มีอำนาจสูงสุดในบรรดากลุ่มการเมืองจึงทดสอบการใช้อำนาจโดยสั่งกองกำลังพรรคฟาสซิสต์เดินทัพสู่กรุงโรม เมื่อเป็นดังนั้น พระเจ้าวิคเตอร์ เอมมานูเอลที่ 3 จึงมอบหน้าที่ให้มุสโสลินีเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลผสม ดดยมีจุดมุ่งหมายให้รฐบาลผสมทำหน้าทีป้องกันการปฏิวติของพวกคอมมูนิสต์ในอิตาล
กฏหมายอเซอร์โบ มุสโสลินีปกครองในระบบรัฐบาลผสมด้วยความยุงยากแต่กองกำลังของพรรคฟาสซิสต์ที่ใช้วิธีการรุนแรงยังคงเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ทำให้สามารถควบคุมสถานะการให้อยู่ในภาวะปกคติ และเพื่อเป็นการคงไว้ซึ่งอำนาจทางการปกครอง เขาจึงบังคับให้รัฐสภายอมรับกฎหมายอเซอร์โบ ซึ่งเป็นกฎหมายที่เปิดโอกาสให้มุสสลินีสามารถเปลี่ยนการปกรองอิตาลีสู่ระบอบเผด็จการ
มุสโสลินีใช้วิธีรุนแรงต่อศัตรุทางการเมือง กรณีนักการเมืองฝ่ายค้านคนหนึ่งถูกทำร้ายกระทั่งไม่สามารถเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ นักการเมืองสังกัดพรรคดังกล่าวจึงโจมตีและเขียนบทความประนามการกระทำอันเหี้ยมโหดของพรรคฟาสซิสต์ รวมทั้งเปิดโปงการทุจริตในรัฐบาล ซึ่งต่อมาก็ถูกฆ่าตาย และสร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชนชาวอิตาลี พระเจ้าวิคเตอร์ ไม่ทรงตัดสินพระทัยอย่างใดอย่างหนึ่ง มุสโสลินีจึงลดความกดดันทางการเมืองโดยการขับไล่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่อการตายดังกล่าวเป็นการชั่วคราวเมื่อสถานะการณ์สงบลงจึงต่างตั้งกลัเข้ารับราชการดังเดิม
พรรคฟาสวิสต์กลายเป็นพรรคการเมืองที่มีอำนาจเด็ดขาดเพียงพรรคเดียว อิตาลีตกอยู่ภายใต้การปกครองในระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ เสรีภาพนักหนังสือพิมพ์หมดไปเพราะถูกควบคุมโดยรัฐบาล สหภาพกรรมกรสูญเสียอำนาจ การนัดหยุดพงายเป็นสิ่งผิดกฏหมาย อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ควบคุมโดยรัฐ ระบบทุนเสรีนิยมหมดไปจากอิตาลี
มุสดสลินีเป้นนักพูดที่มีความสามารถ และมักจะใช้วะธีการกล่าวปราศัยปลุกเร้าความรู้สกของประชาชนให้หันมานิยมในตัวเขา เขาใช้วิธีการจัดสวนสนามเพื่อแสดงออกถึงความรุ่งเรืองของอิตาลีภายใตการนำของของฟาสซิสต์
มุสโสลินีแก้ปัญหาการว่างงานโดยการเร่งสร้างระบบสาธารณูปโภค และปรัปรุงเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถเลี้ยงตนเองได้ การทำอุตสาหกรรมภายในประเทศได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลโดยตรง มีการตั้งกำแพงภาษีศุลกากร เพื่อป้องกันการแข่งขันจากสินค้าภายนอกประเทศ และสงเสริมเกษตรกรรมโดยนำเอาวิธีการเกษตรสมยใหม่มาใช้
มุสโสลินียุติความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลอิตาลีกับสันตปาปาซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ทหารอิตาเลียนยึดกรุงโรมในปี 1870 มีการตกลงทำสัญญาระหว่างรัฐบาลอิตาลีกับองค์สันตปาปา ในการนี้มุสโสลินีได้รับการยกย่องจากชาวอิตาเลียน และองค์สันตปาปาก็ทรงพอพระทัย
มุสโสลินีมนโยบายขยายอำนาจอิตาลีออกไปภายนอกเพื่อทe ให้อิตาลีกลายเป็นประเทสมหาอำนาจ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...