วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2560

History Economic of Sounth East Asia :Thailand

              ระบบเศรษฐกิจไทยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ปัญหาทั่วไปของประเทศไทยหลัวสงครามโลกครั้งที่สองคือ ความเสียหายของอุกรณ์การผลิตทั้งหลายตลอดจนปผัจจยการผลิตขึ้นพื้นฐานต่างๆ ทั้งการคมนาคมพลังงาน ท่าเรือ ฯ รวมมั้งความเสียหายเนื่อจากการต้าระหว่างประเทศถูกตัดขาดมานาน ส่งผลให้เกิดความขาดแคลนสิค้ารต่างๆ อย่งรุนแรง แต่ประเทศไทยวามารถฟื้นตัวได้รวดเร็วซึงอาจเป็นเพราะสาขาการผลิตที่สำคัญคือ การเหษตร มิได้ถูกทำลายมกนักในระหว่างสงคม โดยเฉพาะอย่างยิงข้าว ดังนันเพียง 6 ปีหลังสงคราม คือ ค.ศ. 1951 ระดับการผลิตข้าวก็สูงเกินกว่าระดับการผลิตเฉลี่ยช่วงก่อนสงครา นอกนั้นในระหว่างสงครามมีการฟื้นฟูอุสตสาหกรรมหลายชนิดขึ้นในประเทศเนื่องจาก สินค้าหลายอย่างไม่อาจนำเข้าจากต่างผระเทศได้ แต่สาขาเศรษฐฏิจที่ทรุดโทรมก็คือสาชขาการต้าระหว่างประเทศ เนื่องจากการคมนาคมระหว่งประเทศขัดของเป้นเหตุให้ไม่มีสินค้าเข้าออกดังภาวะปกติ
             ดังนั้น เมื่อเสร็จสิ้นสงครามจึง้องมีการบูรณะประเทศเป็นการใหญ่ ไทยมีภาวะการขาดแคลนสำรองเงินตราร่างประเทศหลังสงคราม เพราะส่วนหนึ่งของทุนสำรองเงินตราระหว่งประเทศที่ฝากไว้ ณ ประเทศอังกฤษถูกยึดโดยถือเสมอนไทยเป็นฝ่ายแพ้สงคราม อีกส่วนหนึ่งเป้ฯทองคำและเงินเบยนของญี่ปุ่น (ซึ่งไม่มีค่าในช่วงนั้น) ซึ่งมิได้คือใไ้ไทยการขาดแคลนเงินสำรองย่อมทำให้ขดความสามารถซ้อสินค้าเข้าและทำให้ค่าเงินตราสของไทยขาดเสถียรภาพอีกด้วย ดังนั้น สิ่ิงแรกที่ไทยจัดดำเนินการคือการฟื้นฟูการผลิตเพื่อส่งออกและข้าวคือการผลิตเป้าหมาย แต่ไทยประสบปัฐหาเรื่องข้าวมากในระยะนั้น เพราะการบังคับของฝ่ายพันธมิตรให้ไทยส่งข้าวโดยไม่คิดมูลค่าเพื่อแลกกับการไม่ต้องตกเป็นฝ่ายแพ้สงครา แต่เมื่อการบังคับดังกล่าวไม่ประสบผลดีฝ่ายพันธมิตรจึงให้พไทยขายข้าวราคาถูกให้ แต่วิธีการเช่นนี้ยากที่จะประสบผลสำเร็จได้ เนื่องจากราคาข้าวในตลาดโลกขณะนั้นสูงมาก จึงทำให้ผุ้ผลิตไม่ต้องการผลิตมากนัก นอกจากนั้นข้าวเป็นจำนวนมากที่มีการผลิตได้ถูกนำมาขายในตลาดมืดและลักลอบส่งออกต่างประเทศ รัฐบาลไทยจึงไม่อาจส่งข้าวได้ครบตามจำนวนที่สัฐญฐญา อย่างไรก็ดี ข้อบังคับต่างๆ ของฝ่ยพันธมิตรต่อไปทยน้ัน เป้ฯการกีดขวางการส่งออกของข้าวไทยอย่างยิ่ง ไทยมีโอกาสค้าข้าวโดยเสรีใน ค.ศ. 1947 ซึ่งมีผลให้การส่งออกขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ข้าวฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วนั้น สินค้าออกอื่นๆ ฟื้นตัวได้ค่อนข้างข้า เช่น การทำดีบุก ยางพารา และไม้สัก
             ปัญหารเงินสำรองระวห่างประเทศนั้นค่อยๆ ผ่อนคลายลงเมือไทยส่งออกได้เพิ่มขึ้นและอังกฤษได้คือสำรองเงินตราส่วนที่เป้นเงินปอนด์ให้กับรัฐบาลไทย และญี่ปุ่นก้คืนทองคำบางส่วนมาให้ไทยด้วย นอกจากการได้คือสำรองเงินตราบางส่วนมาดังกล่าวแล้ว รัฐบาลไทยได้แก้ไขปัยหาการขาดแคลนสำรองเงินตราต่างประเทศนี้ด้วยการเข้าควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตาโดยทำการควบคุมอย่างเต็มที่ในระยะแรกคือรายรับจาการส่งออกทังหมดต้องนำมาแลกเปลี่ยนที่ธนาคารชาติในอัตราทางการและจะขชายเงินตราแก่ผุ้สั่งเข้าสินต้าที่รัฐบาลพิจารณาว่าจำเป้นเท่านั้น ต่อมาการควบุคุมกาแลกเปล่ยนเงินตราลดความเข้มงวดลง คงควบคุมเฉพาะเงินตราที่ได้จาการส่งออกาซึ่งสิค้าสำคัญ ๆ คือ ข้าว ไม่สัก ยางพารา และดีบุก เท่านั้นการกระทำ ดังกลาวของรัฐบาลไทยอาจพิจารณาได้สองทัศนะคือ การควบคุมเฉพาะรายได้จากสินค้าสำคัญ เพราะรัฐบาลเห็นว่าสินค้าดังกบล่าวมีตลาดที่กว้างมากในระยะหลังสงครามและรายได้จาดสินึ้าเหล่านี้มีจำนวนมหาศาล หากรัฐบาลไม่ควบคุมแลกเปลี่ยนเหล่านี้ อาจทำให้เสถียรภาพทางการเงินของประเทศแปรปรวนได้ ในขณะที่สินค้าออกอื่นๆ ซึ่งไม่ถูกควบคุมนั้นทำรายได้ให้แก่ประเทสน้อยมาก จนไม่จำเป็นที่รัฐบาลจะทการควบคุมอักทัศนะหนึค่งคือรัฐบาลต้องการเปลียนกลยุมธในการพัฒนาประเทศคือ พยายามให้มีการส่งออกสินค้าอื่นๆ มากขึ้น โดยการให้แรงจูงใจแก่ผุ้ส่งออกด้วยการไม่ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงนิตราอย่างเข้มงวด แต่ขณะดี่ยวกับอาจเห็นได้ว่าเป้นการลดแรงจูงใจของผุ้ส่งออกสินค้าสำคัญดั้งเดิม 4 ชนิด
                ในช่วงทศวรรษที่ 1950 นี้ประเทศไทดยเริ่มติดต่อค้าขายำับต่างปะระเทศอย่างจริงจังอีกครังหนึ่งเมื่อมีสนธิสัญญากับตะวันตกในรัฐกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นั้นกล่าวได้ว่าเป้นสาเหตุที่ทำให้ระดับการต้าระหว่างประเทศของไทยพุ่งขึ้นสู่จุดแห่งความรุ่งเรืองอย่างมาก ดุลการต้าเกิดดุลตลดอเวลา อย่างไรก็ตาม ความเจริญเติบโตของการต้าในช่วงหลังๆ เป็นไปในอัตราที่ค่อข้างต่ำ และากรต้าทรุดโทรมลงในช่วงของการเกิดภาวะผดปกติขึ้นในโลก ชเ่น ระยะที่เกิดสงครามดลกทังสองครั้ง หรือช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก เศรษฐกิจสาขาการต้าระหว่างประเทศของไทยพุ่งขึ้นสุจุดยอดแห่งความเจริยีกครั้งในเมือเกิดสงครามเกาหลีและสงครามอินโดจีนตรังแรกในทศวรรษ 1950
            อาจกล่าวได้ว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยมีการต้าขายกับต่างประเทศอย่างจริงจัวในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 มีทั้งปัจจัยภายในประเทศและนอกประเทศ
            ในช่วงก่อนการมีแผนพัมนาเศราฐกินั้น โครงสร้างของการต้าระหย่างประเทศของไทยนั้นคือ สินค้าออกเป็นสินค้าขั้นปฐม แต่สินค้าขาเข้าเป็นสินค้าอุตาสหกรรมบริโภคฟุ่มเฟือยส่วยใหญ่ โดยหลัการแล้วไทยจะมีดุลการต้าเสียเปรียบในระยะยาว เนื่องจากสินค้าออกเกษตรมีความยือหยุนของอุปทานค่อนข้ารงต่ำเมือเทีบกับสินค้าอุตาสหรรม นอกจากนั้นมูลคา เพ่ิมของสินค้าเกษตรกรรมยังต่ำด้วย แต่การที่ไทยไม่ประสบปัญหารขาดดุการต้าในระยะดังกล่าวนั้นเป็นเพราะความต้องการสินค้า เกษตรของไทยโดยเฉพาะอย่างยิงข้าวมีมาก ทั้งทรัพยากรเพื่อการผลิตของไทยยังมีอยุ่เหลือเฟือ
             โครงสร้างการต้าเช่นนี้ดำเนินอยู่เป้นเวลานาน มีการหยุดชะงักบ้างในระยะสงครามดลกหรือเศรษฐกิจตกต่ำ มีผลให้ไทยต้องชลอการสั่งสินค้าจากต่างประเทศ แต่เมื่อภาระความจำเป็นหมดไป ไทยก็กลับซื้อสินค้าอุปโถภคบลริโภคเข้ามาอีก อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังสงครามโลน้นมีสินค้าเข้าประเภททุนเพ่ิมมากขึ้น นเื่องจากการประกอบอุตสาหกรรมและการทำกิจกรรมพ้นฐานของรัฐบาล สินค้าเข้าของไทยยังคงมีลักาณะกระจายคือมีสินค้าเขาหลายชนิด แต่ละชนิดมีผุ้บิรโภคจำนวนน้อย ซึ่งเป็นอุปสรรคใการพัฒนาอุตสาหรรมแบบทดแทนการนำเข้า ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่รัฐใไการสนับสนุนในทศวรรษ 1960
             การผลิต หลังสงครามดลกครั้งมีั่สองนั้น ไทยหันกลับมาชำนาญในการผลิตข้าสอีก แต่รัฐบาลไทยมีบทบามในการลทุนด้านอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น อุตสาหรรมน้ำตาล สิ่งทอ และกระดา แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ทางด้านการเกษตรนั้นแม้ข้าวยังคงเป็นสินค้าออกที่ำสคัญ แต่ความำสำคัญเร่ิมลดลงนับจากปี 1950 เป้นต้นมาพื้ที่การเพาะปลูกเพ่ิมน้อยมา เช่นจากช่วง 1950-52 และ 1965-67 เพื้นที่การเพาะปลูกข้าเพิ่มเพียง 15 % สินค้าทางเกษตรชนิดอื่นๆ มีความสำคัญเพ่มขึ้นมาก ยางพารามีอัตราการผลิตและกาารส่งออกอย่งรวดเร็ต่ากับก่อนสงครามมาก ทั้งยางพารและดีบุกเป็นการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตคลาดโล นอกจากนั้นพชเศรณฐกิจเื่อนๆ มีการผลิตเพ่ิมมากขึ้นทุกที เช่น ข้ารวโพด และมันสำปะหลัง จะเห้นได้ว่าหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้นชนิดของพืชมีลักษณะกระจายมากขึ้น ในขณะเดียวกัน เมือเปรียบเทียบความสำคัญของเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมในระายได้ประชาขชาติแลว ความสำคัญขงอการเกษตรลดลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่งยิ่งในทศวรรษ 1960 จากสัดส่วนขงอภาคเกษตรกรรม 50% ของรายได้ประชาชเมื่อ ค.ศ. 1951 เหลือเพียง 31% ใน ค.ศ. 1969
         
 กล่วได้ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยหลังสงครามดลกครั้งสองกอนทศวรรษ 1960 นั้นรูปแบบไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก สินค้าออกของไทยโดยเฉพาะข้าวมีอุปสงค์จากตลดโลกเกือบตลดอเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งขช่วงสงครามเกาหลี มีผลให้ดุชำระเงินของไทยอยุ่ในสภาพเกินดุล และมีสำรองเงินตราเพิ่มจนเป็นอัตราที่น่าพอใจ แต่เมื่อสงครามเกาหลีสิ้นสุดลง ความต้องการสินค้าไทยเริ่มลดลง ระดับราต่ข้าวลดลงด้วย วึ่งเป้นผลมาจากากริส้นสุดของภาวะกสงครามและเป้นช่วงเวลาที่ประทเศผุ้ผลิตพืชอาหาร เช่น พม่า แลเวียดนามต่างปรับตัวได้แล้วอุปทานจึงไม่ขาดแคลนดังก่อน ยังผลให้มูลค่าการส่งข้าวออกของไทยลดลง ซึ่งส่งผลกระทบไปยังดุลการต้าแลดุการชำระเงนของประเทศในขณะนั้นการต้าข้าวถูกควบคุมอย่งเข้มงวดโดยสำรักงานข้าว แลมีการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจากการต้าข้าวอันเป็นอุปสรรคของการต้าขาย ดังนั้น รัฐบาลจึงยกเลิกเอกสิทธิ์ของสำนักงานข้าวเมื่อ ค.ศ.1955 และในปีนั้นก็เลิกบังคับให้ผุ้ส่งข้าวออกต้องนำเงินตราต่างประเทศมาขายให้รัฐบาลด้วยแต่ยังคงให้มีการเก็บค่าฟรีเมี่ยมจากผุ้ส่งออก เพื่อรักษาระดับราต่ข้าวในประเทศไว้ ค่าพรีเมี่ยมนี้คือภาษีชนิดหนึ่งนันเอง
            ระยะหลังสงคราดลครั้งที่สองช่วงที่ดครงสร้างการผลิตที่การเปลี่ยนแปลงไปเห็นได้ค่อนข้างชัดคือ จากทศวรรษ 1960 ซึ่งประเทศไทยมีแผนพัฒนาเศรษบกิจแล้วและรับบาลบสนับสนุนให้เอกชนทำอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยเน้นอุตสาหกรรมทดอกทนการนำเข้า ทั้งนี้เป็นผลมาจาการแนะนำของธนาคารโลกในต้นทศวรรษ 1950 นั่นเอง
            การเปลี่นแปลงโครงสร้างเศรษบกิจในทศวรรา 1960 ปรากฎว่าสาขาอุตสาหกรรมสาขาบริการมีความสำคัญเพ่ิมขึ้นในขณะที่ความสำคัญของเกษตรกรรมลดน้อยถอยลง ในช่วงดังกล่าวนี้รายได้ประชาชาติเพิ่มเฉลี่ยปีละ 8.1% สาขาอุตสหกรรมขยายตัวได้เร้ซถึง 10.9% ต่อปี ส่วนสาขาเกษตรขยายตัวได้เพียง 5.5% เฉลี่ยต่อปี แต่แม้ว่าสาขาเกษตรกรรมจะลอความสำคัญลงก็ตามแต่ยังเป็นสาขเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะข้าวซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของประเทศในทศวรรษที่พชเกษตรใหม่ๆ มีบทบาทมากขึ้น เช่น ข้าวโพด ปอ มันสัมปะหลัง ถั่ว ฯ ในพืชใหม่ๆ นี้จะพบว่ามีลักษณะการผลิตตามความชำนาญเฉพาะอย่างโดยแยกภูมิภาคเช่น ปอ นั้นจะปผลิตในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ข้าวโพดจะผลิตในภาคกลาง เป็นต้น และพืชใหม่เหล่านี้หลายประเภทที่เป็นการผลิตเพื่อการส่งออกโดยเฉพาะ ดังนั้นสภานภาพทางเศรษฐกิจของผุ้ผลิตพืชดังกล่าวย่อมผูกพันกับภาวะตลาดโลกข่างเต็มที่ การเสี่ยงของเกษตรกรรมกลุ่มนี้ย่อมสูงกว่าผุ้ผลิตข้าวซึ่งอาจมีรายได้ตำ่กว่าแต่ความมั่นคงมากกว่า เพราะอย่างน้อยผู้ปลูกข้าวจะมีอาหารรับประทาน ในช่วงศตวรรษท 1960 นี้บทบาทของรัฐบาลในการสนับสนุนเกณาตกรรมมากว่าเดิม เช่น การทำการชนลประทานการสร้างถนน เป้นต้น แต่ดูเหมือว่าการทำงานด้านการแสวงหาตลาดให้แก่สินค้าเกษตรกรรมไทย รัฐบาลยังทำไม่ได้ผลดีนัก
              ระยะแห่งการมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจจาทศวรรษที่ 1960
              - การพัฒนาอุตสาหกรรม เมื่อคณะสำรวจภาวะเศรษบกิจของธนาคราดลกเข้ามายังประเทศไทยเมื่อ ค.ศ. 1957 นั้นได้เสนอแนะให้รัฐบายุติการประกอบกจิการอุตสาหกรรม รัฐบาลควรมีบทบาทเพรียงการให้ความสะดวกแก่ผุ้ผลิตเอกชนรวมทั้งมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนโดยการให้สิทธิพิเศษต่างๆ รวมทืั้งการภาษร เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ขึ้นเป้นนายกได้นำแนวคิดดังกล่าวมาปฏิบัติทันที่ ดดยมีการวางแผนพัฒนาปะรเทศแผนแรกในต้นทศวรรษ 1960 หลังจากมีแผนฯ แล้ว โครงสร้างทางเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงคื อลดความสำคัญของการผลิตทางเษตรล
ให้คามสำคัฐญแก่อุตสากหรรมมาขึ้น ว฿งมีพผลต่อการจ้างงานและอพยพแรงงานระวห่างภาคเศรษบกิจ เป็นต้น อุตสาหกรรมที่รัฐบาลให้การสนับสนุนในระยะแผบยทร่ 1 และ 2 คืออุตสาหกรรมทดอทนแากรนำเข้าซึ่งใช้ทุนเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ และเกือบจะเป้ฯเพรียงการนำชิ้นส่วนมาประกอบกันเข้าในประเทศไทย โดยสิ่งนำเข้าต่างๆ ทีเ่กี่ยพันกับอุตสาหกรรมที่รัฐสนับสนุนจะได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีอย่างมาก ทั้งๆ ที่อุตสาหกรรมหลายประเภทมิได้ผลิตสิ่งจำเป้นปก่การดำรงชีวิต การส่งเสริมการลงทุนในลัษณะดังกล่าวกลับทไใ้มีการขาดดุลการต้าเพ่ิมมา และมิได้มีส่วนช่วยให้มีการจ้างงานมากนัก ดังนั้น ในทศวรรษที่ 1970 จึงมีการเปลี่นนโยบายใหม่ในแผนที่ 3 โดยให้ความสำคัญแก่อุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกมากขึ้น โดยพยายามให้มีการเชื่อมโยงกับการเกษตรกรรมในประเทศเป็นอุตสาหรรมที่ใช้วัตถุดิบในประทศเพื่อลดการขาดดุลการต้า และเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ แต่ปรากฎว่านโยบายดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จเพราะอุตสาหกรรมประเภทนีมิได้จ้างแรงงานมากเท่าที่รัฐบาลหวังไว้และคุณภาพสินค้ายังไม่อาจแข่งขันในตลาดโลกได้ทั้งการใช้วัตถุดิบจำนวนมากจากต่างประเทศในหลายๆ อุตสาหกรรมยังคงมีอยู่
            การที่รัฐบาลไทนวนับสนุนการผลิตอุตาสกหรรทอแทนการนำเข้าในช่วงแรกนั้น มีเหตุผลคือในระยะนั้นมีการขาดดุลการต้าและมีรัฐต้องการสงวนเงินตราของประเทศตลอดจนแรงผลักดันของสหรัฐ และเชื่อว่าอุตสาหกรรมประเภทนี้จะมีลู่ทางแจ่มใสของเพราะมีตลาดในประเทศรองรบ แต่ข้อผิดพลาดคือผุ้สนับสนุนดบบายดังกล่าวมิได้คิดว่าลักษณะสินค้าอุตาสหรรมที่นำเข้าประเทศไทยนตั้นเป้นสินค้าบริโภคฟุ่มเฟือยฟลายชนิดแต่ละชนิดมีลูกค้าไม่มากซึงจะไม่สามรถใช้ประโยชน์จากประหยัดขนาด ได้ อนึ่ง การผลิตนี้มิได้เป็นการประหยัดเงินตราต่างประเทศเพราะมีการนำชช้ินส่วนต่งๆ เข้ามามากเพียงเพื่อประกอบเป็นสินค้รสำเร็จรูปในเมืองไทยต้นทุนการผลิตจึงสุงมาก ซึ่งเป็นผลให้มูลค่าเพิ่มของกิจการประเภทนี้ในประเทศไทยไม่มาเท่ากับที่ทฤษฎีอธิบายไว้ว่า การผลิตทางอุตสาหกรรมมีมุลค่า เพิ่มสูงกว่าทางเกษตรกรรม ดังนั้น สิทธิพิเศษต่างๆ ที่รัฐบาลให้เพือส่งเสริมเกษตรกรรมจึงกลายเป็นการให้สิทธินายทุนต่างชาิตเข้ามาตักตวผลประทโยชน์ออกไป ทั้งอุตาสหกรรมดงลก่าวยังก่อใไ้เกิดความไม่เท่าเทียมในชนบทและเมืองมากขึ้น เพราะส่วนใหญ่อุตสาหกรรมกระจุกตัวอยุ่ในเขตกรุงเทพฯ และบริเวณใกล้เคียง ซึ่งมีความสะดวกขึ้นพ้นฐานมากการอุตาสากรรมในรูปนี้ยังทำให้การจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติเป้นไปโดยไม่มีประสิทธิภาพ และไม่เป็นธรรมแก่ผุ้บริโภค เพราะรฐบาลให้อภิสิทธิ์มากมายรวมทั้งการกดค่าแรงและราคาสินค้าทางเกษตรเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม ตลอดจนการตั้งกำแพงภาษี ซึ่งทำให้อุตสาหกรรมเหล่านี้ายสินค้าราคาแพงได้และไม่พยายามปรับปรุงประสิทะิภาพเพื่อการแข่งขัน นอกจากนี้อุตสาหกรรมทอแทนการนำเข้าที่ไทยทำยังทำให้เศรษฐกิจไทยมีลักาณพึงพิงมากขึ้น เพราะเป็นอุตสาหกรรมยังผลให้มีแรงงานอพยพเข้ามาแออัดกันใเขตเมืองมากมายก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาสลัม อาชญากรรมฯ

          ควาผิดพลาดของนโบบายอุตสาหกรรมไทยในทศวรรษ 1960 คือการมิได้เลือเแพาะสินค้าทอแทนที่มีศักยภาพสูงคือ ควรเป้นการผลิตที่มีวัตถุดิบในประเทศ มีตลาด และมีโอกาสที่จะทำการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต
               หากรฐบาลไทยยังตองการให้สาขาอุตสาหกรรม เป้นสาขานำการพัฒนาแล้วจักต้องพิจารณาให้รอบคอบ ไม่ว่าจะเป้ฯการผลิตเพื่อส่งออกเหรืการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า การพิจารรรศักยภาพด้านต่างๆ เป็นเรื่องสำคัญ หากอุตาสหรรมใดที่ต้องนำวัตถุดิบ เครื่องจักร ผุ้เชียวชาญ ส่วนประกอบการผลิต ฯ มาจากต่างประเทสมากๆ อุตสาหกรรมชนิดนี้จะไม่ช่วยแก้ปัญหาของชาติ ปัญหาดุลการต้าขาดดุลจะเกิดได้ การจ้างงานจะมีน้อย การสะสมทุนในประทเศจะต่ำ และมูลค่าเพ่ิมของการผลิตจะต่ำด้วยซ่งสิ่งเหล่านี้ผู้วางนโยบายจังต้องพิจารณาให้รอบคอบ ก่อนที่จะวางนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมใด
              ากรพัฒนาเศรษกบิจของประเทศไทยนั้นมีอายุยาวนานับเกือบพันปี แต่การพัฒนาในสมัยโบรราณเป็นไปตามแรงผลักดันของธรรมชาติมิได้มีการวางแผนอย่างเป็นระบบดังเช่นปัจจุับ บางครั้งมีปัจจัยจากาภยนอกมากรทบ เช่น สงครามภาวะ เศราบกิจก็อาจทรุดโทรมลงได้ หากบ้านเมืองสงบการผลิตและการค้าขายมักจะทำได้สะดวก มีผลให้ระบบเศรษบกิจของประเทศรุ่งเรืองขึ้น
              ในประวัติศาสตร์ของไทยอาจกล่าวได้ว่าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเศรษบกิจมี 3 ช่วงคือ ใน ค.ศ. 1955 สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล่าฯ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ประเทศอังกฤษเข้ามาทำสัญยาเบาว์ริ่งกับไทยและติดตามมาด้วยประเทศตะวันตกอื่นๆ เข้ามาขอทำสัญญาเอาเปรียบไทยอย่างมาก แต่ส่งผลให้การค้าขยายตัว การผลิตเพ่ิมขึ้นโดยแฑาะอย่างยิ่งข้าว มีผลให้เสณษฐกิจเปลี่ยนจากการผลิตแบบยังชีพกลายเป็นการผลิตเพื่อการต้ามีการใช้เงินตราแพร่หลายขึ้น และทำให้ดรงสร้างเศรษฐกิจเปลี่ยนไปคือ เน้นการผลิตข้าวมาก แต่อุตสาหกรรมพื้นบ้านเสื่อมโทรม เพราะสินค้าเข้ามีราคาถูกกว่า ที่สำคัญคือเป้ฯการเปิดประเทศอย่างเป้นทางการอีกครั้งหลังจากปิดประเทศตั้งแต่ปลายสมัยอรงุศรีอยุธยา
               หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นอีกช่วงที่เศรษฐกิจของไทยมีการเปลี่ยนแม้จะไม่มากนัก นั่นคือ หลัวสงครามโลกนั้นรัฐบาลของ จอมพลแปลก พยายมยึดนโยบายชาตินิยมด้วยการผลิตทุกสิ่งเอง รัฐบาลก้าวเข้ามามีบทบาทในการผลิตสินค้าอุตสหกรรมหลายอย่าง เช่น กระดาษ สิ่งทอ ฯ เป็นยุคที่รัฐวิสาหกิจของไทยเจริญขึ้นมาอย่างมาก ซึ่งเป็ฯที่ราบกันดีว่ารัฐวิสาหกิจของไทยไม่มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานและเป็นปัญหาหนักของประเทศในฐานะผุ้ก่อหนี้ต่งประเทศที่สำคัญของชาติในขณะนี้ นอกจากนี้ ในทศวรรนีเองที่ลัทธินิยมหวนกลับมาอีกครั้งเพื่อจะแผ่ขยายอิทธิพลในแถบประเทศด้วอยพัฒนา โดยอาศัยสภาบันการเงินระหว่างประเทศเป็นสื่อ เช่น คณะสำรวจภาวะเศรษฐกิจของธนาคารโลกเข้ามาแนะนำการปรับปรุงระบบเศรษบกิของแต่ละประเทศ เช่น ในประเทศไทยเขข้ามแนะนำให้รับบาลเลิกดำเนินการอุตสาหกรรมเองแต่ให้ส่งเริมเอกชนแทน ในทศวรรษนี้เงินกู้และช่วยเหลือในรูปต่างๆ หลังไหลเข้ามาในประเทศไทยและเพื่อนบ้านอย่างมากมาย ด้วยเงื่อไขต่างๆ นานา ไทยมีความเห้ฯคล้อยตามธนาคารโลกและในที่สุดเมื่อจอมพลสฤษดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้นัดให้มีการวางแผนขึ้นในต้นทศวรรษ 1980 นั่นเอง
               ช่วงแห่งการมีแผนพัฒนาในทศวรรษท 1960 เมื่อแปผนฉบัยที่ 1,2 สร้างขึ้นในช่วงนี้นั้น รัฐบาลมีบทบาทเพียงผุ้ส่งเสริมการอุตสาหกรรมด้วยมรตการต่างๆ เช่น ภาษีอากร โดยให้เอกชนเข้ามาีบทบาทในการลทุนให้มากที่สุด ภายใต้กาอำนวนคามสะดวกของรัฐบาล โดยหวังว่าอุตสากหรรมทอแทนการนำเข้าที่รัฐบาลส่งเสริมี้จะช่วยลดดุลการต้าที่เสียเแรียบ เป็นแหล่งดูดซับแรงงาน แต่ปรากฎว่าโดยความบกพรองบางอย่างของมาตการที่รัฐบาลใช้ อุตสาหกรรมดังกล่าวไม่ตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ของรัฐบาลและกลับก่อใไ้เกิดปัญหาหนัก ทั้งนี้เพราะอุตาสาหกรรมนี้เป็นเพียงการนำชิ้นสวนมาประกอบกันเข้าในเมืองไทยเทานั้น ดดยที่ช้ินส่วนต่างๆ ต้องนำเข้าจึงเป็นการช่วยคุ้มครงอให้นายทุนต่างชาติมากอบโกยผลประโยชน์จากเมือไทยไปในแผน 3 จึงมีการพยายามแก้ไขด้านอุตสาหกรรม ใระยะแผนฯ 1-3 นั้น รัฐบาลมิได้ให้ความสนใจในการพัฒนาในชนบทเท่าที่ควร....(ประวัติการพัฒนาเศรษฐกิจเอเซียตะวันออกเฉียงใต้, รศ. ญาดา ประภาพันธ์, 2538.)
         
     

วันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2560

History Economic of Sounth East Asia : myanmar

              หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พม่าต้องฟื้นฟูประเทศให้พ้นจากความเสียหายต่างๆ ต้องซ่อมแซมเส้นทางคมนาคม การปรับปรุงอู่ต่อเรือ ฯ ปัญหาทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจรุมล้อมพม่าอยู่ทางด้านเศรษฐกิจนั้น ปรากฎว่าเกษตรกรขาดแคลนเงินทุนอยู่ที่วไป ปัยหาโจรผุ้ร้ายชุกชุม ทางด้านการเมืองนั้นปรากฎว่าแนวความคิดแบบคอมมิวนิสต์เร่ิมจะแผ่ขยายตัว อย่งไรก็ี ในค.ศ.1948 เมื่อพม่าได้เอกราชอย่าแท้จริง รัฐบาบของอูนุพยายามใช้นโยบายเศณาฐกิจและการเมืองแบบผสมระหว่างทุนนิยมและสังคมนิยมมีลักษณะเป็นรัฐสวัสดิการมีการวางแผนจากส่วนกลางบ้าง โยอาศัยความช่วยหลือจาต่างประเทศในด้านผุ้เชี่ยวชาญ พม่ต้องการฟื้นฟูทั้งทางเษตรกรรมและอุตสาหกรรมให้ทัดเทียมกัน โดยรัฐบาจะเข้าช่วยเหลือท้งทางการลงทุนตลอดจนเข้าไปดำเนินการผลิตด้วยตนเอง ในช่วง ค.ศ. 1948-1950 ปรากฎว่าภาวะทั้งเศรษฐกิจและการเมืองของพม่าสับสนปั่นป่วนมีการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองอยุ่เกือบตลอดเวลา แต่ในที่สุดการเา่ิมพัฒนาอยาง ได้เร่ิมขึ้นเมื่อมีโครงกรพัฒนาเกิดขึ้น
             การพัฒนาในระยะเริ่มแรกของพม่านั้น ให้ความสำคัญแก่บทบาทของเอกชนมาก โดยเฉพาะอย่งยิงทางด้านการออมและากรลงุทน ซึง่เชื่อว่าภายใต้แรงจูงใจที่รัฐให้จะทำให้เอกชนมีการใช้จ่ายลงทุนในระดับที่น่าพอใจ นอกจากน้น รัฐบาลยังยอมรับความขวยเหลือจากต่างประเทศเป็นจำนวนมากมาย แม้ว่าความตั้งใจเติมของพม่าืชือการไม่ยอมพึงพาต่างประเทศประมาณว่า 1 ใน 3 ของายจ่ายขงอรัฐในช่วงนี้มาจากต่างประทเส อย่างไรก็ตา เมือถึงระยะ ค.ศ. 1959-60 ปรากฎว่าสภานกาณ์ต่างๆ ไม่เป้นตามที่รัฐบาลหวังไว้ เอกชนยังคงลงทุนต่อำว่าที่รัีฐคาดคะเนเอาไว้มาก
           ในกาพัฒนาของพม่าในระยะเร่ิมแรกของทศวรรษนี้นั้นพยาบยามพัฒนาทั้งสาขาเกษตรและอุตสาหกรรมไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นลักษณะของการพัฒนแบบสมดุล โดยรัฐบาลเข้าควบุคมในการเำเนินงานเศรษฐกิจโดยตรง เช่น การกำหนดราคาสินค้าการเกษตรคงที่ราคาเดียวตลอดปีแก่เกษตรกรเป้นต้น โดยหลักการแล้วการแทรกแซงของรัฐมีผลให้เกิดการจัดทรัพยกรที่ผิดพลาดของสังคม เพาระราคามิได้เป็นกลไกในการตัดสินปันญาของตลาดหรือการแบ่งสรรทรัพยากรอีกต่อไป
         อย่างไรก็ตาม กล่าวดดยสรุปได้ว่าในทศวรรษ 1950 นั้น เศรษบกิจของพม่ามีอัตรการขยายตัวของเศรษฐกิจในระดับที่ดีพอสมควรเมื่อเทียบกับระกับหลังสงครามโลกใหม่ๆ แต่ยังต่ำกว่าระดับก่อนสงคราม คือ  GDP ของพม่าในช่วง คซศ. 1949-1950 เป็นเพียง 70 % ของช่วง ค.ศ. 1938-1939 ในช่วงของการพัฒนาในทศวรรษ 1950 นั้น พม่าขายข้าวได้เป็นจำนนมากประกอบกับราคาข้าวที่สูงเนื่องจากความต้องการมีมาก เพราะในระยะนั้นมีสงครามเกาหลีและสงครามอินโดจีน ทำให้รายได้ของประเทศพม่ามีจำนวนมาก แต่ทว่าต่อมาหลายประเทศได้ฟื้นฟูการผลิตของตนได้ ทำให้พท่าขาดรายได้จากการต้าข้าวมากและเกิดภาวะการต้าขาดดุล จำนวนสำรองเงินตราของพม่าลดลง ซึงมีผลกระทบต่อแผนพัฒนาที่ตั้งไว้ เพราะเมื่อสำรองเงินตราลดลงย่อมเกิดอุปสรรคในการสั่งสินค้าเข้า
       
 ในปลาทศวรรษ 1950 ปรากฎว่าการเมืองในพม่าถึงจุดวิกฤต ความล้มเหลวของเศรษบกิจในตอนปลายทศวรรษนี้ยังผลให้เกิดความไม่พอใจทั่วไป ทหารเริ่มเข้ามามีบทบาทในการแทรกแซงทางการเมือง และในที่สุดรัฐบาลพลเรือนของอูนุก็ต้องพ้นอำนาจ นายพลเนวินซึ่งทำการปฏิวัติรัฐบาลเดิมได้ตั้งรัฐบาบโดยมีสภาปฏิวัติแทนรัฐสภา และในยุคนี้ระบบเศรษบกิจถูกชี้นำโดยรัฐโดยตรง รัฐบาลควบคุมกิจการต่างๆ ทางเศรษบกิจ มีการวางแผนส่วนกลางเต็มที่มีการโอนกิจการต่างๆ ทั้งการต้า การธนาคาร ทั้งของชาวต่างประเทศและชาวพื้นเมืองมาเป็นของรัฐ และลแ้วพม่าก็ก้าวไปสู่การพัฒนาประเทศภายใต้ระบอบ "สังคมนิยแบบพม่"จะเห้นได้ว่าบทบาทของเอกชนจะต้องถูกจำกัดภายใต้ระบบเศราฐฏิจดังกล่าวนี้ ความเสรีในการตัดสินใจดำเนินะูรกรรมต่างๆของฝ่ายเอกชนไม่อาจเกิดได้แน่นอ และแรงจูงใจต่างๆ ทางเศษบกิจย่อมสูญสิ้นไป
          พม่าในทศวรรษ 1960 ในทศวรรษนี้ ภายใต้การนไของเนวินนั้น ไม่อสจช่วยให้ระบบเศรษบกิจฟื้นตัว สถานการณ์กลับเสือมโทรมลงไปอี สถานการณืการขาดแคลนข้าวเกิดขึ้นในพม่าทั้งๆ ที่เคยเป็นประเทศผุ้ผลิตที่สำคัญของโลก ตลาดมีดของสินค้าตลอดจนการลักลอบนำสินค้าออกต่างประเทศเกิดโดยทั่วไป เศรษฐกิจทรุดโทรมลงทั้งทางด้าน เกษตรกรรมและอุตาสหกรรม ในขณะที่มีการเพิ่มของประชกร ซึ่งย่อมทำให้รายได้ต่อหัวของประชากรต่ำลบ การส่งสินค้าออกต่างประเทศลดลงตลอดเวลา และภายใต้สภาพเช่นนี้ภาวะดุลการต้และการชำระเงินย่อเลวลงดุลการต้าของพ่าขาดดุลติดต่อกันเกือบตลอดทศวรรษ 1960 ยกเว้นปีแรกๆ เท่านั้น
          นายพลเนวินมได้นำประเทศไปสู่การพัฒนาแตกลับิ่งทำให้ประเทศทรุดโทรมลงอบางมาก ทำให้ปรเทศพม่าซึ่งเคยอุดมสมบูรร์ในอดีตถึงกับต่องมีกาปันสวนสิค้าแผนเศรษบกิจตลอดจนหลัการที่สวยงามของเนวินที่จะทำให้เศรษฐกิจมีการพัฒนาอย่างได้สัดส่วนตามที่วางแผยไว้หาได้เกิดขึ้นไม่ ความเท่าเทียมโดยความยากจนยิงกว่าเดิมของชาวพม่าเช่นนี้อาจจะเลยร้ายย่ิงกว่าควาไม่เท่าเที่ยมที่เป้นอยู่ตั้งเดิมเสียอี การมุ่งแก้ไขความไม่เท่าเทียมของพลเมืองโดยการยึดโอนกิจการต่างๆ มาเป็นของรัฐ โดยละเลยกลไกระคาเสียและใช้การวางแผนส่วนกลางตามแบสังคมิยมนั้นมิได้ช่วยให้พม่ามีสภาพกีขึ้นตรงข้ามกับเกิดภาวะชะงักงันของเศรษบกิจ การไม่ต้องการพึ่งพิงทุนนิยมจากาภยนอก็เป็นส่ิงที่เป็นไปไม่ได้สำหรับกรณีพม่า เพราะเมือพม่าไม่ต้องกาพึงพาฝ่ายทุนนิยม ในที่สุดพม่าก็หันไปอิงกับฝ่ายสังคมนิยม
         กล่าวได้ว่าทั้งรัฐบาบสวัสดิการเสรีของอูนุ และรัฐบาสังคมนิยมของเนวิน นั้นมิได้มีการวางแผนเศรษฐกิจอย่างจริงจัง แผนส่วนใหญ่เป็นแผนระยะสั้น กรรมการวางแผนหรือกรรมการปฏิบัติงานเป็น
กรรมการเฉพาะ เมื่อหมดงานก็ยุบเลิกไปจึงไม่มีกาตติดตามผลงานที่วางแผนไว้ การวบอำนาจเกินไปนั้นมีผลให้การควบคุมงานทำได้ไม่ทั่วถึง และไม่มีประสิทธิภาพ การวางแปนจากส่วนกลางของนายพลเนวินก็เป็นแต่เพียงการโอนงานให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทำแทนเอกชนให้ภาคเศรษกบิกจเท่านั้น มีการตงหน่วยงานของรับอย่างมากมายแต่การดำเนินงานไม่มีการประสานงานที่ดี รัฐพยายามโอนกิจการธนาคาร การต้าและอุตสาหกรรมมาเป้นของรัฐ รวมท้งการโอนที่ดินด้วย รัฐจึงกลายเป็นนายทุนใหญ่รายเดี่ยวของประทเศ และเป้ฯนายทุนที่มีอำนาจเปด็จการแต่ไร้ประสิทธิภาพ จเกิ็นได้จาการโอนกิจการธนาครานั้น ความขาดประสิทธิภาพของรัฐบาลทำให้ประชาชนภอนเงินออกไปได้อ่กนเป็นเจำนวนมาก ส่วนการโอนการต้าแลอุตาสหกรรมล้วนล้มเหลว เกิดตลาดมืด และเกิดเงินเฟ้อตลอดเวลา การกระทำของรัฐไม่ช่วยให้ฐานะทางความเป็นอยุ่ของประชาชนดีขึ้นเลย ผุ้ผบิตาภยใต้กาบังคัขาดแรงจุงใจในการผลิต ย่อมลดการผลิตลง ระบบปันส่วนสินค้าดดยรัฐไม่ได้ผลเพราะราคาในตลาดมืดสุงมาก ผุ้ได้รับโควต้าสินค้าทั้งเจ้าของร้านและลูกค้าต่างแอบเอาสินค้าไปขายต่อในตลาดมือเพราะได้กำไร แสดงให้เห็นว่าจุดมุ่งหมายของรัฐบาลที่จะขจัด "กำไร" ซึ่งถือว่าเป็นตัวการท่ีทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในระบบสังคมนิยมนั้น ไ่ประสบผลสำเร็จและแสดงถึงการควบุคมที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐ ดังนั้น ปัญหาความขาดแคลนสินค้าย่อมแก้ไขมิได้ชี้ไใ้เห็นว่ากลไกของรัฐไม่อาจทำงานได้ก็เท่ากบกลไกตลาด เมื่อเปรียบเทียบสภานการณ์ใช่วงก่อนการเปลี่ยนระบบกรปกครองกับช่วงหลังของการปกครองใระระบบเผด็จการ หรือเปรียบเทียบช่วงก่อนการได้รับอิสรภาพกับช่วงลหังการได้อิสรภาพ
            อย่างไรก็ดี ในช่วงทศวรรษ 1960 นี้กล่าวได้ว่าพม่ายายามให้ความสนใจชนบทมากขึ้นมีการให้แรงจูงใจเกษตรกรด้านสินเชื่อด้วยการตั้งสหกรณ์การเกษตรเอนกประสค์กสิกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์จะกู้เงินได้โดยง่ายและดอกเบี้ยเงินกู้ก็ต่ำนอกจากนั้นรัฐบาลพยายามเพ่ิมราคาขึ้นต่ำ ของขาวเปลือกแต่ยังต่ำกว่าราคาตลาดมือปรากฎว่าชาวนามีการขอกุ้เงินขากสหรกณ์เพ่ิมมาก แต่การขอกุ้เงินเพิ่มจำนวนมากขึ้นในกลางทศวรรษ 1960 นั้น มิได้หมายความว่าผลิตผลจะเพิ่มขึ้น ดังนั้น เมื่อจำนวนเงินเพิ่มโดยผิตผลไม่เพิ่มภาวะเงินเฟ้อจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ การที่ผลิตผลมไม่เพิ่มมองได้สองนัยคือ ชาวนานำเงินกู้ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ หรือผลิตผลส่วนที่เพิ่มนั้นถูกลักลอบนำไปขายในตลาดมือ เรพาะระบบการควบุคมของรัฐไม่รัดกุม
             หากพิจารณาให้ถ่องแท้แล้วการที่พม่าพยายามปิดประเทศ ไม่ยอมรับความช่ววเบลหือจากตะวันตก แต่กลับนำเอาวิุีทางแบบสังคมนิยมบัคับมาใช้นั้น อาจมิใช่ทางเลือกที่ถูกต้งนัก เพราะพม่าขาดแคลนปัจจัยการผลิตทั้งทางด้านทรัพยากรมนุษย์ วัตถุดับที่สำคัญในการอุตสาหกรร เทคดนโลยี ตลอดจนเงินทุนเพื่อพัฒนา การพึงพาต่างประเทศในระดับที่เมหาสมอาจมีประโยชน์แก่พม่ามากว่าการโดเดี่ยวตนเองจากโลกภายนอก อนึง ประเทศพม่าเคยเป้นปะเทศที่อุดมสมบูรณ์อาจเท่ากับหรือมากว่าประเทศไทย ประชาชที่อดอยากยากจนที่สุดก็ไม่น่าจะมีสภาพเลวร้ายไปหว่าไทย การมีชนกลุ่มน้อยชราวต่างชาติเข้ามากอบโดยผลประดยชน์ไปจากพม่านั้น ไทยก็ประสบปัญหาเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไทยมีทางเลือกที่แตกต่างออกไป การเอาระบบสังคมนิยมมาใช้ในพม่าอาจเป็นข้อผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ทไใ้เกิดผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ เมื่อการลงทุนของนายทุนเอกขนทั้งขชาวต่างชาติและขาวพื้นเมืองยุติล
 และโดยการจัการที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐประกอบกับการขาดแคลน เทคโนโลยีและทุน ย่อมทำหใ้การผลิตตกต่ำลง การจ้างงานย่อมน้อยลง รายได้ทั้งของประเทศและประชาชนลดลง และระบบความเสมอภาพเช่นที่พม่าต้องการกลับเป็นการทำร้ายประชาชนของตนเอง ทั้งยังปรากฎว่าในที่สุดแล้วพม่าต้องพึ่งพาประเทศอื่น แม้จะมิใช่ฝ่ายโลกเสรีก็ตาม
                ในปัจจุบันนี้พม่ายังคงประสบภาวะยุ่งยากซึ่งเป้นปัญหาเรื้อรังคือ ปัญหาของชนกลุ่มน้อย ซึ่งยังต้องการชิงอำนาจจากรัฐบาลอยุ่อันมีผลให้ความสงบภายในของพม่ามีน้ยอเมื่อความสงบภายในไม่ม่ี การพัฒนาประเทศทั้งทางเศรษบกิจการเมืองและสังคมยากที่จะสำเร็จ ในขณะที่ประเทศไทยไม่มีปัญหาคนกลุ่มน้อยมาเท่าพม่า แต่ก็มีปัญหารหลายๆ อย่างที่เป็นอุสรรคการพัฒนประเทศเช่นกัน เช่นการตกเป็นหนี้สินต่างประเทศอย่างมาก เป็นต้น....( ประวัติการพัฒนาเศรษฐกิจเอเซียตะวันออกเฉียงใต้, รศ. ญาดา ประภาพันธ์. 2538.)

History Economic of Sounth East Asia : Indo-China

                เศรษฐกิจหลักของประเทศอินโดจีนคือ การเกษตรกรรม ในประเทศลาวนั้นประชาชนทำนาเป็นอาชพหลัก ในราวทศวรรษ 1960 นั้นปรากฎว่ามีพืชอ่นๆ ด้วย คือ ข้าวโพด น้ำตาลมะพร้าวอ้อย ส่วนในกัมพูชา มีการผลิต ยาสูบ น้ำมันปาล์ม ยางพารา ฝ้าย และพริไทย แต่ทว่าพื้นที่ทำการเพาปลุกของประเทศเหล่านี้น้อยมาก สวนใหยถูกปล่อยให้เป็นป่า ทางด้านอุตสาหกรรมมีอยุ่บ้าง เช่น การทำโรงสีข้าว ทอผ้าไหม การปั้นถ้วชาม ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมขั้นต้น ส่วนอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่มีอยุ่ในช่วงทศวรรษ 1960 คือ การกลั่นน้ำมัน ดรงงานทำแก้ว ฯ แต่อุตสาหกรรมสมัยใหม่นี้ไม่ช่วยการจ้างงานเท่าที่ควร มีแรงงานชาวพื้นเมืองเพียงประมาณ 2% ที่เข้าไปทำงานในภาคอุตสาหกรรม ส่วนกาต้าตกอยุ่ในมือชาวต่างชาติ ในกัมพูชานั้นการต้าตกแยุ่ในมือของชาวจีนและชาวเวยดนาม ปลายทศวรรษ 1960 เศรษบกิจของลวและกัมพุชายังอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม ต้องแสวงหาความช่วงเหลือจากสถาันระหว่างประเทศอยางมาก ส่วนประเทศเวียดนามนั้นในช่วงทศวรรษ 1960 มีข้อมูลค่อนข้างจำกัแต่ก็เช่นเดี่ยวกับประเทศลาวและเขมตือ การปลูกข้าวเป้ฯการผลิตที่สำคัญ สถิติของทศวรรษ 1960 พบว่าการผลิตข้าวได้รับความกระทบกระเทือจากภาวะธรรมชาติและสาเหตุจากสงคราม เพราะแรงงานไม่มีโอกาสทำการผลิต เนื่องจากถูกเกณฑ์ไปทำสงครามบ้างหรือหลบภัยจากงครามบ้าง ในเวียดนามเหนือจอกจาการผลิตข้าแล้ว มีการเลั้ยงสุกร ผลิตน้ำตาล กาแฟ ชา เป็นต้น สินค้าเหล่านี้มีการส่งออกต่างประเทศด้วย การต้าของเวยดนามเหนือในทศวรรษท 1960 นั้น ส่วนใหญ่เป้ฯการต้ากับจีนแแผ่นดินใหญ่ และรัสเซีย ในเวียดนามได้นั้น มีการปลูกถั่ว อ้อย และยาวพารานอกจาการปลูกข้าวเป้ฯพืชหลัก
             กล่าวได้ว่ ฝรั่งเศสมิได้ดำเนินการใดๆ ที่แสดงให้เห็น่าต้องการพัฒนาอินโดจีน ประกอบกับการมีสงครามภายในอินโดจีนเองตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อประทเศเหล่านี้ได้ปกครองตนเอง จึงปากฎว่าสภาพ เศรษฐกิจอยู่ในภาวะที่ทรุดโทรมภายหลังสงครามอินโดจีน ครั้งที่สองเสร็จสิ้นลงในต้นทศวรรษ 1970 ในประเทศเวียดนามนันประชาชนอดอยาก ไร้ที่อยุ่อาศัย เกิดสภาพตลาดมือ ตลอดจนปัญหาหาชญากรรมการดำเนินงานของรับบาลเวยดนามในขณะนันคือ มีการโอนกิจการชาดใหญ่มาเป็นของรัฐเข้าควบคุมกรธนาคารและการต้าระหว่างประเทศระบบทุนนิยมยังมิได้เลิกล้มโดยเด็ดขาด เอกชนยังสามารถประกอบกิจการย่อยๆ ต่อไปได้ การถือครองที่ดินโดยเอกชนยังควมีอยุ่ ในขณะเดียวกันมีการเพิ่มสวัสดิการให้แก่กรรมการในโรงงานด้วย อย่างไรก็ดี ทรัพยากรของเวียดนามถูกทำลายลงอย่างมากมาย เช่นป่าไม้ถูกทำลายถึง 5 ล้านเอเคอร์ เวียดนามได้พยายามแสงหาควาช่วยเหลือจาากต่างประเทศทั้งฝ่ายโลกคอมมิวนิสตืและโลกเสรี นอกจากนั้นองค์การเงินทุนระหว่างประเทศต่างให้ความช่วยเหลือเวียดนาม
          ส่วนเศรษฐกิจในประเทศลาวหลังจากได้รับเอกราชแล้วต้องพึ่งพาสหรัฐอย่างมาก แต่กระนั้นการพัฒนาในลาวยังอยุ่ระดับต่ำมากขาดการสาธารณูปโภคต่างๆ มาตรฐานชีวิตของประชาชนเสื่อโทรมมีการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงรัฐบาลต้องเกณฑ์ประชาชนทำการผลิตอาหาร ปลูกพืชผัก รัฐบาลกำหนดให้ข้าราชการทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน ถ้าว่างให้ทำสวนครัว รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาราคาเงินเฟ้อด้วยวิธีการหลายอย่างรวมทั้งการเปลี่ยนแมาตรเงิน มีการเข้ายึดกิจการขนาดใหญ่เป็นของรัฐ ส่วนกิจการขนาดย่อมนั้นให้เอกชนดำเนินงานต่อไปได้ ลาวก็เช่นเดียวกัน เวียนดนามที่ต้องอาศัยความทช่วยเหลือจากต่างประเทศ
            ในักัมพูชานั้นหลังจากได้รับเอกราชแล้วเจ้าสีหนุพยายามใช้นโยบายความเป้นกลาง โดยอิงทั้งฝ่ายดลกเสรีและโลกคอมมิวนิสต์ แต่ก้ไมด่เป้นผลดีแก่ประเทศกัมพูชา เพราะกลับหลายเป็นการชักศึกเข้าบ้านและทำลายตนเองในที่สุด ความจริงเศรษบกิจกัมพูชาแม้ช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 นั้นกล่าวได้ว่า ทางด้านเกษตณกรรมยังเป็นการผลิตเพื่อเลี้ยงตนเอง คือผลผลิตเกือบทั้งหมดจะใช้นกาบริโภคมากกว่าการนำปชายหรือแลกเปลียนแกับสินค้าอื่นใช้เงินลทุนในการผลิตน้อย ระดับเทคโนโลยียังต่ำมาก  ใข้แรงงานของสัตว์และคนในการผลิต แต่อย่างไรก็ตาม มีกิจการที่เป็นการลงทุนแบบทันสมัยในด้านเกษตรกรรมอยุ่บ้าง คือการปลูกยางพาราแต่เจ้าของสวนยางเป็นชาวต่างประเทศทั้งหมดและผลผลิตของยางนั้นเพื่อการส่งออก ซึ่งคล้ายกับกรณีของไทยคือ การผลิตยางพารานั้นมิได้บริโภคในประเทศ
           ส่วนอุตาหกรรมของกัมพูชานั้นอยู่ในสภาพเสื่อโทรมย่ิงกว่าการเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรมมีขนาดเล็ก และในภาคอุตสาหกรรมนี้กิจการสำคัญๆ ตกอยู่ในมือของชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ เช่น โรงสีข้าว ซึ่งเป็นลักษณะเดี่ยวกับสภาพของประเทศในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้โดยทั่วไป
            การที่เศรษฐฏิจของกัมพูชาไม่พัฒนานั้น อาจเป็นเพราะสาเหตุของการถูกครอบงำโดยฝรั่งเศส เขียว สัมพันธ์ อ้างว่าก่อนที่ฝรั่งเศสจะเข้ามาครอบงำน้น เศรษฐกิจของกัมพูชาก้าวหน้ากว่าระบบศักดินาในยุโรป ระบบการต้าขายแลกเปลี่ยนในตลาดเกิดขึ้นแล้ว และอุตสหรรมหัตถกรรมกำลังเจริย แต่หลังจากที่ฝรั่่งเศสเข้ามาปกครองได้ทำลายความเตริญดังกล่ว การที่สินค้าจากต่างประเทศข้ามาแข่งขันได้เสรีมีผลให้สินค้าอุตาสหกรรมพ้ินเมืองต้องหยุดชะวัก ดังนั้น ผุ้ผลิตชาวพื้นเมืองจึงต้องถอยกลับไปทำงาน้ดานกสิกรรม หรือยังคงผลิตอุตสาหกรรมขนาดเล็กต่อไปพร้อมกับเพาะปลูกเลี้ยงตัว หรือทำการต้าสินค้ายุโรปแทน ในที่สุดกัมพูชากลายเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาสินค้าทุนแลสินค้าบริโภคจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันปัญหาเกี่ยวกับที่ดินมีมากขึน นายทุนที่ดินและข้าราชการใช้วิธีการต่างอๆ ทำใ้ชาวนาสูญเสียที่ดินมากขึ้นทุกทีโดยที่รัฐบาลมิได้ช่วยเหลือในการปรับปรุงวิธีการผลิตให้แก่เกษตรกรมากนัก ปรากฎว่าชาวนาตกเป็นผุ้กู้ยืมมากขึ้นทุกที และรายได้ที่บรรดานายทุนที่ดินได้ก็นำไปซื้อสินค้านำเข้าฟุ่มเฟือย สรุปสภาพของชาวนาได้ว่าชาวนายังมีชีวิตดที่ต้องพึงพาเจ้าที่ดิน นายทุนเงินกู้แลสภาพอากาศแบบมรสุมที่เปบี่นแปลงอยู่ตลอดเวลา
           การพัฒนาด้านอุตสาหกรรมของเขมรในช่วงที่ทุนนิยมต่างประเทศมีอิทธิพลนั้นก็าิได้มีส่วนช่วยจ้างแรงงานพื้นเมืองเท่ารที่ควร เพราะในการผลิตอาศีัยทุน เครื่องมือ แรงงานฝีมือ ตลอจนวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็๋นส่วนใหย การผลิตสินค้าส่วนใหย่เป้ฯไปเพื่อสนองตลาดในเมืองและตลาดต่างประเทศ เขียนว สัมพันธ์เห็นว่าการที่ระบบเศรษฐกิจของเขมรต้องพึงพิงอยู่กับระบบเศรบกิจต่างประเทศมิใช่ทางแก้ปัญหาการอ้ยพัฒนาของชาติ เรพาะกลับจาะทำให้เกิผลร้ายแก่เศรษกบิจของเขมรเองอาทิ เช่น การเติบโตของอุตสาหรรมชาติอาจถูกจำกัดโยอิทะิพลของบริษัทต่างชาติซึ่งจะมีผลเสียต่อการจ้างงานแลมารตรฐานการครองชีพของประชากร อาจจะก่อให้เกิดการชะงักของการต้า การผลิตทางเกษตณ ภายในประเทศ และยิ่งไปกว่านั้นโดยลหัการแล้วผลของการพึ่งพิงอาจน้ำไปสู่ปัญหาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศก็ได้ เช่น การยอมรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศมักจะเป้ฯไปโดยมีเงื่อนไขที่จะให้ประโยชน์แก่ผุ้เป็นเจ้าของเงินทุนอย่งมาก เพราะไม่มีผุ้ใดหว่าพืชโดยไม่หวังผลการพึงพาต่างชาติอาจนำไปสู่การตกเป็นหนี้ต่างประเทศอยางหนกจนในที่สุดบรรดาผุ้ให้ความช่วยเลหืออาจเข้ามาีอิทธพลในประเทศทางการะมเืงและเศรษฐกิจได้
          อย่งไรก็ตามเป้ฯสิงที่ต้องยอมรับว่าในบรรดาปรเทศอินโดจีนนั้นมีเพียงเวียดนามเท่านั้น มีทรัยพกรค่อนข้างสมบุรณื ในขณะที่เขมรและลาวมีทรัพากรธรรมชาติจำกัด ประชกรน้อย ว฿่งเป้นอุปสรรคอย่างหนึ่งของการพัฒนา ส่วนอุสรรคอีกประการหนึ่งก็คือ ความสงลสุขในดินแดนนี้ยังหาได้บังเกิดไม่ ตราบใดที่ภาวะสงครามยังไม่หนมสิ้น การพัฒนาจะเกิดขึ้นไดอย่างไร การสงครามรังแต่จะนำมาซึ่งควมพิสาศย่อยยับของชีวิตผุ้คน ทรัพย์สิน และในที่สุก็คือ การทำลายประเทศของตนเอง ดังที่ได้เห็นจากเหตุการณืทุกวันนี้ก็คือ การอพยพหลบหนีของพลเมืองออกจากประเทศทั้งสาม มาพำนักในประเทศต่างๆ ในลักษณะของผุ้อาศัยเป็ฯที่น่าสมเพช หากยอมรับว่าแรงงานคืปัจจัยการผลิตที่สำคัญที่สุ โดยเฉพาะอย่างยิงแรงงานฝีมือแล้ว การอพยพของประชรออกจากประเทศอินดจีนก็คือความสูญเสียปัจจัยการผลิตที่สำคัญไปนั่นเอง เพราะผุ้ลี้ภยที่จะได้รับเลือกข้าไปยู่อาศัยในประเทศต่างๆ มักจะเป้นแรงงานที่มีความรู้แลมีฝีมือ นอกนั้นก็ถูกผลักดันให้กลับไปอยู่ในประเทศดั้งเดิมในที่สุ และการพัฒนาประเทศย่อมเป็นไปไม่ได้ถ้าาดแคลนแรงงาน ความไม่สงบและความสูญเสียที่เกิดขึ้นแก่ประเทศอินโดจีนน่าจะเป้ฯเตื่องเตือนสติให้กับประเทศอื่นๆ ในก๓ุมทิภาคเอเชียตะวนออกเแียงใต้ได้ว่าคราบใดที่ยังมีความแตกแยกภายในประทเศ การบริหารงานไร้ประสทิะิภาพมความทุจริในการหน่ยงาน ตลอดจนมีความมุ่งร้ายประเทศเพื่อบ้านปล้ว วาระสุดท้ายของประเทศก็จะมาถึงในเวลาอันไม่ช้า....(ประวัติการพัฒนาเศรษฐกิจของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้, รศ.ญาดา ประภาพันธ์, 2538.)
         

วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560

History Economic of Sounth East Asia :Singapore

               เศรษฐกิจของสิงคโปร์สามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้นเรื่อยๆ หลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้นน่าจะเป็นด้วยสาเหตะที่สำคัญประกอบดันอยุ่สองสามประการคือ สิงคโปร์เป้ฯประเทศที่มีขนาดเล็กมา ซึ่งจะทำใ้หารบริหารงานทำได้ทั่วถึงและมีประสทิะิภาพสุงกว่าการบริหารในประเทศใหญ่ ทั้งยังอยุ่ในทำเลที่เหมาสมแก่การต้าระหว่างประเทศสิงคโปร์ซึ่งส่วนใหญคือคนจีนนั้นมีความขยันขันแข็งในกิจการงาน จึงกล่าวได้ว่าขนาดและที่ตั้งของประเทศและคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนา จากนี้นจะพิจารรเศรษบกิจของสิงคโปร์ในช่วงหลังสงครามโลก
             เศรษฐกิจแบบศูนย์กลางการต้าหลังสงครามโลกครั้งที่สองจนถึงค.ศ. 1959 แท้จริงิงคโปร์มีัลักาณะเศราฏิจแบบศูนย์กลางการต้ามาดั้งเดิมแล้วเนื่องจากเป็นทำเลที่เหมาสมมากในค่บสมุทรมบายูเป้นจุดผ่านสำคัญของเรือสินค้าจากประเทศต่างๆ และรายล้อมใไปด้วยประเทศเกษตณกรรม สิงคโปร์จึงได้ทำหน้าที่เป็นเสมือนศูนย์บริการทางการต้าให้แก่เรือสินค้าของประเทศต่างๆ ที่ผ่านแหลมมลายู สินค้าจากที่ต่างๆ จะถูกนำมาเก็บรักษาไว้ที่สิคโรป์เพื่อส่งไปจหน่ายยังประเทศื่อนต่อไป และจากการเป็นศุนย์กลางการต้าระหวางประเทศที่สำคัญก็ได้กลายเป้นศูนย์การเงินที่สำคัญในย่านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ไปด้วย
            ในขณะที่สิงคโปร์เป็ฯประเทศที่เศราฐกิจพึงพิงกับการให้บริการนั้น สาขาการผลิตอื่นๆ ทั้งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมจึงมีความสำคัญน้อย สิงคโปร์มีการผลิตขั้นแปรรูปเบ้องต้นเช่น การแปรรูปยางพารา ผลิตภัฒฑ์จากไม่ อาหารกระป๋อง แรงงานกว่า 50 % จะอยู่ในภาคการต้าและการให้บริากรอื่นๆ ในขณะเดียวกันแรงงานทางด้านเกษตรกรรมมีขนาดเล็กและลดลงเรื่อยๆ
            ลักษณะของเศรษฐกิจช่วงนี้มีได้เปลี่ยนแลงไปจาก่อนสงคราดลครั้งที่สองนัก และมีแนวโน้มว่ากิจกรรมสาขาบริากรอื่นๆ มีากรขยายตัวสอดคล้องไปกับการค้าระหว่างประเทศในช่วงดังกล่าว อย่างไรก็ดี เมื่อสิ้นสุดระยะการปกครองและการควบคุมทางเศรษฐฏิจของอังกฤษลงแล้ว ความรุ่งเรืองของสิงคโปร์ในฐานะการเป็นเมืองท่าศูนย์กลางของภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แม้จะยังคงเจริญอยู่แต่อาจไม่เป็นการเพียงพอ เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ได้พยายามพัฒนาตั้งขึ้นมาเป้ฯเมืองศูนย์กลางค้าบ้าง สิงคโปร์จึงมีคู่แข่งขัน ดังนั้น ผลประโยชน์หรือรายได้ของประเทศจากการให้บริการต่างๆ ทางการต้าจึงย่อมลดลงบ้างประกอบกับการมีประชากรเพิ่มสูงด้วยในช่วงหลังสงครามโลก ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์มิได้นิ่งนอนใจ ปรากฎว่ามีการใช้มาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขและพัฒนาเศรษกิจในช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี
            - การพัฒนาในทศวรรษ 1960 ปรากฎว่าเศรษฐกิจแบบเมืองท่าไม่อาจเป้ฯสาขาเดียวี่จะเลี้ยงประเทศได้อีกต่อไป เนื่องจากมีคู่แข่งขันเพ่ิมขึ้น ตลอดจนผุ้บริโภคในประเทศก็เพ่ิมขึ้น และการมีสาขาเศรษฐกิจบริการเป้นสาขานำเท่านั้นมิได้เพียงพอที่จะรองรับการเพ่ิมของแรงงานได้อีกต่อไป การว่างงานเพ่ิมขึ้นตลอดเวลา จากค.ศ. 1957 ปัญหาการว่างงานเป็นปัญหาที่้ร้ายแรงทางเศรษกิจ ซึ้งอาจบันทอนการพัฒนาลงได้มาก สิงคโปร์ตระหนักปัญหานี้เป็นอย่างดี จะเห็นได้จากที่มีการวางแผนครอบครัวและการพยายามหันมาเน้นการอุตสาหกรรมมากขึ้น รวมทั้งการพยายามแสวงหาแหล่งเงินตราต่างประเทศจากแหล่งต่างๆ มาชดเชยรายได้ที่เคยได้รับจากการตั้งฐานทัพของอังกฤษด้วย
                1)  บทบาทของรัฐบาลต่อความเจริญทางเศรษฐกิจ ในทศวรรษที่ 1960 อัตราความเจริญทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์อยุ่ในระดับที่สูงมาก เมื่อเทียงกับประเทศเพื่อนบ้าน GDP เพิ่มจาก 2,050ล้านดอลล่าร์เป็น 5,190 ล้านดอลล่าร์ใน 1970 และอัตราการเพ่ิมของประชากรก็ลดลงได้จาประมาณ 4% หลังสงครามเหลือเพียง 1.3%ในค.ศ. 1970 ดังนั้นรายได้ต่อหัวของประชากรโดยเฉลี่ยจะสูงขึ้นอย่างไรก็ดี อัตราความเจริญในทศวรรษนี้มีความแปรปรวนอยู่มากโดยเฉพาะครึ่งแรกของทศวรรษ ซึ่งการเมืองเป็นสาเหตุด้วยประการหนึ่ง คือใน ค.ศ. 1963 สิงคโปร์ได้เข้าร่วมเป้ฯสหพันธ์มลายาปรากฎว่าสหพันธ์ดังกล่าวถูกต่อต้านจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย อย่างมากอันมีผลกระทบทางเศราฐกิจของประเทศที่เข้าร่วมในสหพันะ์ซึงรวมถึงเศรษฐกิจแบบเมืองท่าของสิงคโปร์ด้วย
                 หลังจาก คซ. 1968 เป็นต้นมาการเจริญเติบโตทางเศราฐกิจเป็นไปอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ ทั้งการว่างงานก็ลดลงจนไม่ถือว่าเป็นปัญหาร้ายแรงอีกต่อไป โดยแท้จริงกลับเห็นไดว่าระยะยต่อมา สิงคโปร์กลับต้องจ้างแรงงานจากต่างประเทศเข้าไปอีกด้ยเช่นแรงงานจากประเทศไทย ในขณะที่อัตราความเจริญเป็นไปอย่างมากนั้น เศรษฐกิจของสิงคโปร์ก็มีเสถียรภาพอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะรัฐบาลสิงคโปร์มีการควบคุมที่ดีในการเรียกร้องขึ้นค่าจ้างแรงงานการนัดหยุดงาน มีการควบคุมมิให้พ่อค้ารวมหัวกันเอาเปรียบผุ้บริโภค ตลอดจนการควบคุมปริมาณเงินตราของประเทศมิให้มากจนเกินควร นอกจากนั้นสิงคโปร์ยังได้มีโครงการสวัสดิการพื้นฐานอลายอยาง อาทิจัดสร้างที่อยุ่อาศัยในราคาถูกให้ก่พลเมืองตามระดับรายได้ ดังนั้น ปัญหาค่าครองชีพด้านที่อยุ่อาศัยจึงไม่มีทั้งๆ ที่เป้นประเทศขนาดเล็ก (ซึ่งการลงทุนด้านนี้ของรัฐบาลอาจมีผู้เห็นว่าไม่ก่อให้เกิผลผลิต แต่ไม่ควรลืมว่าทรัพยากรมนุษย์คือ สิ่งล้ำค่าในการพัฒนาชาติ การมีคุณภาพชีวิตที่ดีจึงเป็นสิ่งจำเป็น และทีอยุ่อาศัยนั้นเป็นปัจจัยประกอบของคุณภาพชีวิตอย่างหนึ่ง ทางฝ่ายรัฐบาลของสิงคโปร์นั้นพยายามควบคุมรายจ่ายให้เหมาะสม จึงปรากฎว่างลประมาณมีลักาณะสมดุลเสมอ แต่รัฐบาลยินดีกู้เงินหากจะเป้นไปเพื่อการพัฒนาเศรษกบิจ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป้ฯการกู้ภายในประเทศ
           ในขณะที่รายได้ประชาชาติเพ่ิมอย่งมากนั้น การสะสมทุนรวมของประเทศก็เพ่ิมขึ้นโดยรวดเร็ว ซึ่งเป็นลักษระต่างไปจากประเทศกำลังพัฒนาซึ่งขาดแคลนการสะสมทุนภายในประเทศ การสะสมทุนถาวรของสิงคโปร์เพ่ิมจาก 6% ของ GDP ใน ค.ศ. 1960 เป็น 24% ของGDP ใน ปี 1970 ในการสะสมทุนภาวรนั้นรัฐบาลสิคโปร์มีบทบาทสำคัญ รัฐบาลมีการลงทุนเพิ่มในกิจการต่างๆ อย่างมากมาย ทั้งยังพยายามหามาตการจุงใจให้มีการลงทุนโดยเอกชนทั้งจากภายในประเทศอง และจากต่างประเทศปรากฎว่าหลังจาก ค.ศ. 1968 เป็นต้นมาเงินลงทุนจากต่างประเทศได้หลั่งไหลเข้ามาในสิงคโปร์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิงในสาขชาอุตสาหกรรมหัตถกรรม ที่มาของทุนจากต่างประเทศส่วนใหญ่คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น และเนเธอร์แลนด์
           จากการเข้ามาลงทุนด้านอุตาสหกรรมของต่างประเทศวคึ่งตงกับความต้องการของรัฐบาลสิงคโปร์ ในอนที่จะขยายสาขาเศรษฐกิจให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ดังนั้น รัฐบาลสิงคโปร์จึงพยายามดึงดูดใจนักลงทุนเอกชน ด้วยการสร้างกิจกรรมพ้นฐานให้มากขึ้น เช่น การขยายเมืองการสร้างนิคมอุตสหกรรม กาพลังงาน การคมนาคมขนส่งฯ นอกจาการพยายามส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตแล้วยังมีความพยายามส่งสเริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอีกด้วย โดยการจัดสร้างสถานที่พัก การปรัปปรุงระบบธนาคาร เป็นต้น
            2) กลยุทธในการพัฒนาแลการเปลี่ยนโครงร้างทางเศษฐกิจ รัฐบาลสิงคโปร์พยายามสร้างภาวะความเท่าเทียมและความอยุ่ดีกินดี ให้กับประชาชนด้วยมาตรการต่างๆ ดังกล่วมาแล้ว ซึ่งเป็นผลดีแก่การพัฒนาเศรษบกิจของประเทศ เพราะหลักความจริงที่ว่าตราบใดที่ความเหลือมล้ำทางเศรษบกิจของประชาชนในสังคมมีมาก เสถียรภาพของประเทศก็ยากที่จะดำรงอยู่ได้
            ในทศวรรษที่ 1950 สิงคโปร์ประบปัญหานานประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพึ่งเศรษฐกิจการค้าแต่อย่างเดี่ยวไม่เป็นการเพียงพอ รัฐบาลจึงหันมาใช้กลยุทธ์เพื่อแก้ปัญหาการจ้างงาน ดดยการขยายสาขาเศรษกิจออกไปหลายๆ สาขานอกจากการต้า นั่นคือ กันมาเหน้นหนักการอุตสาหกรรมอย่างเต็มที่ แต่อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมในระยะทศวรรษ 1960 นั้นเป็นลักษระการประกอบโดยอาศัยชิ้นสวนนำเข้าจากต่างประเทศและผลิตเพื่อขายตลาดในประเทศเป้นสวนใหญ่ ที่เหลือจึงเป็นการส่งออกโดยรัฐให้คึวามคุ้มตรองอุตสาหกรรมถายในโดยใช้ระบบโควต้าและกำแพงภาษี ซึ่งลักษระการผลิตดังกล่าวจะเกิดผลเสียแก่ดุลชำระเงินของประเทศ และยังปรากฎว่าตลาดภายในมีขนาดจำกัดอีกด้วย ดังนั้น ในปลายทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 รัฐบาลจึงเปลี่ยนนโยบายอุตสาหกรรมหันมาสนับสนุอุตสากรรมเพื่อส่งออกเท่านั้น ซึ่งถือเป้นการส่งเสริมการขยายตัวของการต้าต่างประเทศด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลจะเลิกการใช้กำแพงภาษีคุ้มครองสิค้าเข้า แต่จะให้คามช่วยเลือการผลิตเพื่อส่งออก โดยพยายามดึงดูดการลทุนจากต่างประเทศและภายในเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมให้ความสะดวกในการตั้งโรงาน การขนส่ง การนำเข้าและการส่งออก ตลอดจนมีการออกกฎหมายควบุคมอัตราค่าจ้างให้เหมาะสม รวมทั้งวันหยุดและช่วดมงการทำงานของแรงงาน มีการฝึกฝนแรงงาน ตลอดจนการพัฒนาวิทยาการจัดการ นอกจากนั้นอนุญาตให้ผุ้ผลิตส่งเงินกำไรออกจากประเทศได้เสรด้วยมาตรการต่างๆ เล่านี้มีผลให้สิงคโปร์กลายเป้นประเทศอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกภายในระยะไม่นานนัก การให้ความช่วยเหลือในลักษณะดังกลาวนั้นเป็นการเน้นการแข่งขัน ภายใต้ความเสมอภาค ดังนั้น การที่อุตสาหกรรมใดจะดำรงอยู่ได้หรือสลายไปจึงขั้นกับประสิทธิภาพของตนเป็นสำคัญ
              จากเศรษบกิจแบบศุนย์กลางการต้าในสมัยเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษจนกระทั่งการตกอยุ่ใต้อิทธิพลของญี่ปุ่น การร่วมในสหพันธ์มาเลย์เซีย ตลอดจนถึงสมัยที่เป็นเอกราชนั้น สิงคโปร์ได้ผ่านปัญหาหลายอย่างทั้งการเมืองและเศรษฐกิจมากพอสมควร แม้จะไม่รุนแรงเท่ากับประเทศเพื่อบ้านบางประเทศ สิงคโปร์ประสบทั้งปัญหาการกีดกันของมลายู ตลอดจนปัญหาต่างๆ ภายในประเทศ แต่สิงคโปร์สามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ จนขึ้นมาเป็นประเทศพัฒนาที่ประชาชนมีรายได้สุงมีความกินดีอยุ่ดี และมีความเสมอภาคท่ามกลางเพื่อนบ้านที่ยังด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนาไดอ้ย่างน่าภาคภูมิ เป็นปัญหาที่น่าขบคิดอย่างยิ่งว่าเหจุมดประเทศซึค่งไร้ความสมบูรณืทั้งทรัพยากรแร่ธาตุ ตลอดจนผืนดินน้น จึงได้รับผลสำเร็จปานนั้น ถ้าจะคอยแต่เพียงว่าเพราะขนาดของประเทศเล็กการบริหารย่อมทำได้ง่าย ทำให้พัฒนาได้เร็วเห็นจะเป็นเหตุผลที่ไม่เพียงพอ หากมองให้ลึกลงไปจะเห้นได้ว่าคุณภาพของมนุษย์ในประเทศนี้ต่างหากที่สำคัญ ความตั้งใจของผุ้นำ ตลอดจนความขยันขันแข็งและเคารพกฎระเบียบของพลเมืองต่างหากที่ทำให้นโยบายต่างๆ ของรัฐบาลทำงายอย่างได้ผลรัฐบาบของสิงคโปร์ทำงานจริงจังเพื่อผลประโยชน์อของประเทศแม้ว่าในสายตาของผุ้อื่นอาจเห็นว่ามีการพยายามเอาเปรียบเพื่อนบ้านก็เป็นปกติวิสัยของพ่อค้า ซึ่งผู้ทีติดต่อด้วยต้องฉลาดทีน นอกจากนั้นนโยบายตลอดจนบทบาทบางอย่างของรัฐบาลสิงคโปร์ถูกเพ่งเล็งว่าเป้นการก้าวเข้าไปยุ่งกับชีวิตส่วนตัวของประชาชนมากไป เข่น การวางแผนครอบครัวการลงโทษผผุ้มีบุตรมากกว่าที่กำหน หรือในปัจจุบันรัฐบาลกำลังวิตกกับการที่ผุ้มีการศึกษาสูงๆ ไม่ยอมสมรสเหล่านี้ ถ้ายายามมองในด้านดีก็จะเห็นได้ว่ารัฐบาบลสิงคโปร์ต้องการให้ประชกรทีเกิดมามีคุณภาพชีวิตที่ดีนั่นเอง
                 ทางด้านเสณาฐกิจน้้นในชวงของทศวรรษ 1960 นั้นมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง จากากรที่สาขาการค้ามีความสำคัญเพียงอย่างเดียวมาเป็นการเพ่ิมความสำคัญของอุตสาหกรรม และโครงสร้างดังกล่าวยังได้เปลี่ยนแปลงไปอีกข้างในปลายทศวรรษ 1980 นั้นคือ การเน้นหนึกในอุตสาหกรรมเพื่อทดแทนการสั่งสินค้าเข้านั้นได้เปลี่ยนเป็นการให้การสนับสนุนการผลิตอุตสาหกรรมเพื่อส่งออก ในการส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษกบิจนั้น รัฐบาลได้พยายามดึงดูดใจให้เอกชนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศมีบทบาทมากขึ้นๆ โดยรัฐบาลเป็นเพียงผุ้สนับสนุนด้านต่างๆ เช่น ความสะดวกด้านการขนส่ว การพลังงาน สถาบันการเงิน ฯ สิงคดปร์ประสบความสำเร็จมากในการดึงดูดทุนจากต่างประเทศ ทั้งนี้ก็โดยมีนักลงทุนเหล่านั้นมีความเชื่อมั่นในกเสถียรภาพของรัฐบาลสิงคโปร์ ตลอดจรความมีประสิทธิภาพในหน่วงานต่างๆ ของสิงคโปร์ว่าจะทำให้การดำเนินงานของเขาเป้นไปโดยสะดวก และการลงทุนจะไม่สูญเปล่า...(ประวัติการพัฒนาเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, รศ. ญาดา ประภาพันธ์, 2538.)
             
         

History Economic of Sounth East Asia : Malaysai

            ในช่วงญี่ปุ่นเขาครองครองมาเลเซียนั้นได้ปลูกฝังความเกลี่ยดชังชาวจีนให้กับชาวมลายูอย่างมาก จนเมื่อหลงสงครามนั้นชาวมลายธพยายามฆ่าชาวจีนเท่าที่จะทำได้ มีผลให้อังกฤษซึ่งกลับเข้ามาปกครองมลายูอีกต้องทำการปราบปรามอย่างเข้มงวด สภาพของมลายูหลังสงครามโลกนั้น ปรากฎว่ามีการขาดแคลนอาหารอย่า่งมาก ต้องมีการสั่งซื้อข้าวจากาภยนอกประเทศ เช่น จากไทยและพม่า ซึ่งในระยะแรกเป้นไปด้วยความลำบาก เพนื่องจากการผลิตดข้าวของประเทศผุ้สงออกตกต่ำลงระหว่างงครา รัฐบาลมลายูเองพยายามใช้มาตรการต่างๆ กระตุ้นให้มีการเพาะปลูกภายในประเทศเพิ่มขึ้น
            นอกจากการปรับปรุงด้านการเพาะปลูกพืชอาหารแล้ว รัฐบาลได้พยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ซึ่งรวมถึงการบูรณะทางรถไฟ ท่าเรือ ตลอดจนพยายามพัฒนอุตสาหกรรมเหนืองแร่และยางพาราขึ้นมาอีก ในช่วงนี้ปรากฎหว่าเหมืองแร่แบบโบราณของนายทุนชาวจีน ซึ่งใช้แรงงานเป็นปัจจัยสำคัญกลับฟื้นตัวได้เร็วกว่าเหมืองแร่แบบทันสมัยของชาวยุโรป เนื่องจากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ถูกทำลายไปในระหว่างสงครามเป้ฯจำนวนมาก การซื้อหาเครื่องจักรต่าง ๆ มาทดแทนทำได้ยากและมีราคาแพงมาก เนื่องจาก สภาพเงินเฟ้อหลังสงคราม..
            - เศรษฐกิจของมลายามาฝื้นตัวอย่างรวดเร็วประมาณ ค.ศ. 1950 เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานต่างๆ เช่น การคมนาคม พลังงาน ฯลฯ ได้รับการฟื้นฟูบูรณธจากความเสียหายระหว่างสงครามโลก ประกอบกับการเกิดสงครามเกาหลีในปีนั้นได้ส่งผลให้ราคายางและดีบุกสูงขึ้นมาก ทั้งนี้ดดยสหรัฐอเมริกาเป็นผุ้ซื้อสินค้าของมลายูเพื่อสะสมเป็นยุทธปัจจัย สงครมจึงเป้นสาเหตุที่ทำให้การผลิตสินค้าของมาเลิซียนเจริญในขณะนั้น แต่หลังจากนั้นมาระดับความเจริญทางเศรษบกิจของประเทศมีความผันแปร เนื่องจาก เศรษฐกิจของประเทศอิงกับการส่งออกซึ่งสินค้าสำคัญเพียงสองชนิดดังกล่าว มลายาได้ทำการปรับโครงสร้างการผลิตให้มีการผลิตสินค้ามากชนิดขึ้น เพื่อลอความเสี่ยงจากการพึ่งรายได้จากยางและดีบุกลง
            ในสาขาเศราฐกิจอุตสาหกรรมนั้นมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปในช่วงเลาดังกล่าวนี้ คืออุตาสาหกรรมเพื่อทดแทนการนำเข้าได้รับการส่งเสริม ดังนั้นผลที่ปรากฎจึงคล้ายคลึงกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ที่มีการลดลงของการนำสิน้าเข้าที่เป้นวัตถุสำเร็จรูป แต่กลับมีการนำเข้าซึ่งส่วนประกอบการผลิต วัตถุดิบ ฯ อย่างมากในช่วงดังกล่าวน้และอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะเป้นการประกอบชิ้นส่วนเข้าด้วยกัน ดังนั้น มูลค่าเพิ่ม จึงไม่มาก และไม่เป็นการช่วสร้างงานมากนัก
            - การวางแผนเศรษบกิจของมลายา ได้เริ่มวางแผนระยะ 5 ปี ขึ้นใน ค.ศ. 1957 ซึ่งเป็นแนวความคิดต่อเนื่องมาจากพระราชบัญญัติสวัสดิการและการพัฒนาอาณานิคม ของอังกฤษต่อมลายาในปี 1946 นั่นเอง พระราชบัญญัติดังกล่าวนี้เป้นความประสงค์ของอังกฤษที่จะให้รัฐบาลพื้นเมืองมประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการพัฒนาเศราฐกิจและสังคม
            ก่อน ค.ศ. 1950 นั้นรัฐบาลอาณานิคมได้มีความพยายามเพ่ิมผลผลิตในมลายาอยุ่แล้ว ดังที่จะเห้ฯได้จากการส่งเสริมการขยายการผลิยางพาราและดีบุกโดยพัฒนาปัจจัยขึ้นพันฐานต่างๆ ให้แก่มลายา แม้ว่าผลดีจะตกกับอังกฤษด้วย แต่มลายาก็ได้รับผลดี เช่น กัน ปรากฎว่ารายได้จากภาษีสินค้าออกได้เพิ่มอย่างมากรัฐบาลมีเงินสะสมมาก ซึ่งสมารถนำมาใช้จายเมื่อพัฒนาได้มาก มีการขยายกิจกรรมขั้นพื้นฐาาน อาทิ ถนนหนทาง การไปรษณีย์ การรถไฟ ฯ อย่งไรก็ตาม ปรากฎว่า แต่เดิมนั้นรัฐบาลอาณานิคมในมลายาได้มีการพัฒนาในลักาณะที่ไม่สมดุลในประเทศ เพราะรายจ่ายของรัฐบาลสวนมากจะใช้จ่ายไปในกิจกรรมที่สนับสนุนการผลิตเพื่อการส่งออกเท่านั้น โดยถือว่าเป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดผลผลิต ดังนั้น การผลิตอื่นๆ ที่เป้ฯการผลิตขนาดเล็กและเป็นของชาวพื้นเมืองและมิได้ทำการผลิตเพื่อการส่งออกจึงเกือบไม่ได้รับผลประโยชน์จากรับาล เช่ การผลิตข้าว รัฐบาลให้ความสนใจน้อยมาก ไม่มีการสนับสนุนหรือกระตุ้นการผชิตเหล่านี้แต่อย่างใด การที่รัฐบาลไม่สนับสนุนการผลิตข้าวอาจเป้นเพราะผลตอบแทนจากการผชิตยางสูงกว่าการผลิตข้าว รัฐบาลสามารถสั่งชข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาได้ง่าย ดังนั้น เกษตรกรพื้นเมืองจึงมีระดับการผลิตเพียงยังชีพเท่านันอย่างไรก็ดี นโยบายปล่อยให้สาขาการผลิตเพื่อบริโภคล้าหลังเช่นนี้ได้แสดงให้เห็นผลเสียในยามที่เกิดภาวะเศรษบกิจตกต่ำ เช่น ช่วงปลายทศวรรษ 1820 ปรากฎว่ามีความขาดแคลนสินค้าบริโภคในมลายู เพราะผลิตเองไม่พอทั้งสินค้าออกขายได้น้อยในช่วงดังกล่ว รายได้เพื่อซื้อสินค้าเข้าจึงน้อยลง
               ความผิดพลาดในการใช้นโยบาย ดังกล่าได้มีการแก้ไขจาอังกฤษโดยผ่านพระราชบัญญัติสวัสดิการและการพัฒนา อาณานิคมออกมาหลังสงครามดลกครั้งที่ 2 และให้เงินทุนมาใช้ในโครงการพัฒนานี้ด้วย ทั้งนี้ดดยมุ่งให้อาณานิคมมีการกระจายการผลิตออกไปหลายๆ สาขาและให้การสนับสนุนการผลิตพืชอาหารด้วย รวมทั้งการให้สวัสดิการด้านอื่นๆ แก่พลเมืองในอาณานิคมโดยทั่วถึงกัน มิใช้สนับสนุนเฉพาะสาขาการผลิตเพื่อส่งออกอย่างเดี่ยว
             แต่ปรากฎว่าความตั้งใจของอังกฤษไม่ประสบผลดีนัก เพราะเงินทุนที่ให้มานั้น้อยมาก ทั้งมีเงื่อนไขการดำเนินการที่ยุ่งยากจนผุ้บริหารในอาณานิคมไม่สนใจจะเสนอแผนไปยังเมืองแม่ อย่างไรก็ตาม ในกรณีของมาเลเซียนั้น เมื่อสำนักงานอาณานิคมในลอนดอนต้องการให้เสนอแผนก็ได้มีการทำร่างแผนพัฒนาที่เรียกว่า "Yellow Book"ขึ้นในปลายปี 1949-1950เพื่อำหนดเป้าหมายของนโยบายเศรษฐกิจและสังคมสำหรับช่วง 5 ปี คือ ระหว่าง ค.ศ. 1950-55 แต่แท้จริงร่างดังกล่าวเป็นเพียงการเอารายงานของแต่ละหน่วยงานมารวมกันเข้า และพยายามปรับปรุงตัวเลชทางการเงินให้พอดีกับจำนวนเงินที่จะได้จากอังกฤา และเนื่องจากแผนการพัฒนาดังกล่าวนี้มิได้มีการศึษกาสภาพเศรษบกิจอย่างจริงจัง จึงมีข้อบกพร่องมากมาย อาทิ เช่น การวางแผนยังอิงกับหลักการเดิมคือ กิจกรรมใดที่จะก่อให้เกิดรายได้นั้นให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ได้ ส่วนกิจการที่เห้นว่าไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้ใช้จากเงินที่สำนักงานอาณานิคมจัดเป็นกองทุนให้เท่านั้น ดังนั้น การพัฒนาจึงออกมาในรูปแบบเดิมคือ เน้นการสร้างกิจกรรมพื้นฐานเพื่อการผลิตส่งออก แต่ละเลยการให้สวัสดิการแก่สัีงคมและการพัฒนทรัพยากรมนุษย์ ในขณะเดียวกันในแผยนี้การพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมได้ถูกละเลยไป  แต่ภายหลังรัฐบาลมลายาได้พยายามพัฒนการผลิตทั้งการเกษตรและการอุตสาหกรรมคู่กันไป จะเห็นได้ดังต่อไปนี้
             - บทบาทของรัฐบาลด้านการเหาตรกรรม หลังจากที่การผลิตยางชะงักไปช่วงเกิดเศรษบกิจตกต่ำทั่วโลก และในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว ปัญหาต่างเกี่ยวกับการปลูกยางยังมิได้หมดไป เช่น ผู้ปลูกยางขาดเงินทุนในการปลูกยางใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผุ้ปลูกยางรายย่อย ในค.ศ. 1952 รัฐบาลได้ใช้นโยบายโครงการปลูกยางทดแทนโดยการเก็บภาษีจากผุส่งยางออก เพื่อมาใช้สนับสนุนผุ้ปลูกยางทดแทน ปรากฎว่ามาตรการดังกล่าวนี้มิได้มีส่วนช่วยผุ้ผลิตยางรายเล็กๆ อย่างไรก็ตาม ในค.ศ. 1956 นั้นมีนโยบายช่วยเหลือกิจการขนาดเล็ก้ดยการให้เงินอุดหนุนในพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดแต่ไม่เกิน 1060 เอเคอร์ ดังนั้น ชาวสวนยางขนาดใหญ่และขนาดกลางจึงมีการซอยที่อกนออกเแ็นขนาดเล็กเพื่อจะได้รับเงินอุดหนุนเต็มี่ และก่อให้เกิดการกว้านซื้อที่ดินมาแบ่งขายเป็นแลงเล็กๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้เโดยหลักการแล้วก่อให้เกิดผลเสียแก่การพัฒนาอย่างยิ่ง ผลประการหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผุ้ที่เป็นเจ้าของที่ดินส่วนมากผลติขนาดใหญ่ที่จะตัดที่ดินบางส่วนขายได้ ดังนั้น เกษรตกร รายย่อยจริงๆ จึงมิได้รับลผลดีจากโครงการนี้นัก สภาพการขาดแคลนเงินทุนและที่ดินสำหรับเกษตรกรราย่อยๆ ยังคงดำเนินต่อไปการดำเนินการต่างๆ ของรัฐทำโดยไม่รอบคอบนักและล่าช้า ในราวต้นทศวรรษที่ 1960 นั้นรัฐบาลได้เร่งรีบแก้ปัญหาเรื่องที่ดินทำกินในชนบท การบริหารงานในช่วงนี้ซึ่งทำโดยคณะกรรมการพัฒนาที่ดินเป้นไปโดยมีประสิทธิภาพมากขึ้น เกษตรกรไ้ได้ที่ดินเพ่ิมขึ้นและมีบริการอำนวนคามสะดวกตลอดจนสวัสดิการต่างๆ ที่ชนบทดีข้น
          อย่างไรก็ดี การทุมเทรายจ่ายของรัฐเพื่อสนับสนุนการผชิตยางโดยโครงการต่าๆ นั้ ทำให้รัฐบาลต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก อนึ่งการหวังพึงยางพาราให้เป็นสินค้าหลักที่จะพยุงเศาฐกิจของประเทศอย่งเดี่ยน่าจะไม่พอเพียง เนื่องจากมีการผลิตยางสังเคราะห์มากขึ้นทุกที ทั้งนี้เพราะความก้าวหน้าของเทคโดลยีต่างๆ ทำให้ยางสังคเราห์มีคุณภาพใกล้เคียงยางพาราและมีราคาต่ำกว่าด้วย นอกจานั้น ยางสังเคราะห์ยังมีข้อได้เปรียบยางธรรมชาติในประเด็นของการปรับตัวของอุปทานต่ออุปสงค์ในตลาดโลกได้รวดเร็ว
       
อย่างไรก็ดี แม้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจจะเน้นการส่งเสริมการผลิตยางพาราเป้ฯอย่างมาก แต่ในระยะต่อมาคือช่วง ค.ศ. 1966-1970 ได้ลดความสำคัญของยางพาราลง และหันไปเน้นการลงทุนอย่งอื่นเพิ่มขึ้น เช่น สนับสนนุการปลูกข้า การประมง นอกจากนั้น ได้มีการพิจารณาส่งเสริมการปลูกปาล์มน้อำมนแทนยางพารา เนื่องจากราคาของปาล์มน้ำมันมีแนวโน้มว่าจะดีกว่าราคายาง
           - บทบาทของรัฐบาลด้านการอุตสาหกรรม ในช่วงแรกของแผนพัฒนา เศรษฐกิจนั้นไม่ปรากฎว่ารัฐบาลสนใจการดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมนัก นอกจากนั้น โดยรายงานของคณะสำรวจภาวะเศรษกิจจากธนาคารโลกในช่วงแรกของทศวรรษ 1950 นั้น ปรากฎว่าไม่สนับสนุนให้รัฐเข้าดำเนินงานอุตสาหกรรมเอง นอกจากการอำนวนความสะดวกต่างๆ และส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนเท่านั้น ซึ่งความเห็นเช่นว่านี้ของคณะสำรวจดังกล่าวที่ไใ้แก่บรรดาประเทศเอเซียตะวนออกเฉยงใต้จะเป้ฯในลักษณะเดี่ยวกันแทบทั้งสิ้นรวมทังประเทศไทยด้วยและนั้นเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้เอกชนลงทุน แต่มักจะแรากฎว่านายทุนพื้นเมืองมีโอกาสน้ยเนื่องจากขาดแคลนเงินทุนและเทคโนโลยีทันสมั้ย จงเป้ฯอีก้าหน่งของนายทุนตะวันตกที่จะกลับมาครอบงำเศรษบกิจของเอเซียตะวันอกเแียงใต้ได้อีกวาระหนึ่ง นอกจากการจำกัดบทบาทของรัฐบาลมลายาแล้วว คณะสำรวจดังกล่าวยังได้เสนอให้การนำเข้าเป้ฯไปอย่างเสรี..อย่างไรก็ตาม ปรากฎว่าได้มีการอุตสาหกรรมทุติยภูมิขนาดย่อมเพ่ิมขึ้นอย่างมาก เช่นการทำอิฐสัปะรดกระป๋อง สบู่ ผลิตภัฒฑ์จากยาง ฯลฯ และในภายหลังมีอุตสาหกรรมหนักเพิ่มขึ้น เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก การกลั่นน้ำมัน การทำซีเมนต์ ฯ
             - ทางด้านการต้าระหว่างประเทศ อาจกล่าวได้ว่าแม้มาเลเซียจะมีการดำเนินนโยบายเพื่อสนับสนุสินค้าเพียงองประเภทเพื่อการส่งออก แต่อย่างไรก็ตาม ในภายหลังโดยเแฑาะในครึ่งหลังทศวรรษ 1960 ได้แก้ไขนโยบายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า มาเลเซียสามารถดำเนินการทางด้านการต้าระหว่างประเทศได้ผลดีมากในช่วงทศวรรษ 1960 โดยมีดุลการต้าเกินดุลตลอดเวลา
               อาจกล่าวได้ว่า มาเลิซียได้ผ่านจากสภาพการเป็ฯอาณานิคมมาจนถึงปัจจุบันนี้ด้วยการเผชิญปัญหาต่างๆ ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งเป้ฯปัญหาที่เกิดจาภายนอกประเทศและปัญหาภายในปประเทศเอง หากพิจารณาดูช่วงของการเป้นอาณานิคมของอังกฤษนั้น ความทารุณโหดร้ายของผุ้ปกครองอาจจะค่อนข้างน้อย หากเปรียบเที่ยบกับประเทศที่ตกเป็นอาณานิคมของดัชท์ หรือของฝรั่งเส แม้อังกฤษจะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ไปไม่น้อย แต่ความปรารถนาดีต่อมาลยูก็พอควร เห้นได้จาการที่ระบบการศึกษา ความสะดวกขึ้นพื้นฐาน ตลอดจนความมีระเบียบวินัยของคนในประทเศล้วนเป้นส่วนหนึ่งของการปลูฝังของชาวอังกฤษ ปัญหาที่แท้จริงของมาเลเซียน้นกลับเป้นปัฐหารที่เกิดในประเทศ เช่น ความแตกแยกกันเองของคนในชาติ เช่น ชาวจีนกับชาวพื้นเมืองดั้งเดิม และชาวอินเดีย วึ่งต่างแก่งแย่งชิงอำนาจทางการเมืองและผลประดยชน์จะเห้นได้จาการกีดกันของชาวมลายูต่อชาวจีนเป็นไปอย่างรุนแรง แม้ในสมัยของการตั้งเป้นสหพันธ์มลายูนั้นได้พยายามออกกฎต่างๆ ที่จะไม่ให้ชาวจีนไ้เป็นพลเมืองของสหพัฯธ์ สิงคโปร์ซึ่งได้พยายามเข้ามารวมตัวด้วยโดยหวังว่าจะได้ประโยชน์ก้กลับถูกกีดกันต่างๆ นานา แม้จนกระทั่งระแวงว่าพรรคการเมืองของสิงคโปร์จะเข้ามามีอิทธิพลทางการเมืองจนอกาจกลายเป็นรัฐบาลของประเทศ ซึ่งในที่สุดสิงคโปร์ก็จำต้องลาออกจากการเป็นสมาชิกของสหพันธ์
             ในทางเศราฐกิจนั้นรัฐลาบมีนโยบายที่ผิพลาดบางประการในระยะแรกๆ นั้นคื อากรสนับสนุการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกเพียง 2 ประเถท คือยางพาราและดีบุก ซึ่งแม้ว่ารายได้จาสินค้าออกทั้งสองนี้จะสูงมกในบางระยะแต่ถือได้ว่ามีความเสี่ยงสูง เรพาะสินค้าทั้งสอชนิดนั้นขึ้กับความต้องการของตลาดโลก เมื่อดดที่ตลาดโลกมีความแรปรวน เศรษบกิจของมาเลเซียก็มปรแปรวนด้วยเป้นการนำเอาเศรษบกิจของตนไปผูกับตลาดโลกมากเกินไป ซึ่ระยะหลังๆ รับบาลตระหนังถึงผลเสียของนโยายเช่นนี้ จึงมีการแก้ไข โดยการพยายามกระจายประเภทผลผลิตให้มากขึ้น ความพยายามดังกล่าวจะเห้ฯได้จากการขยายการผลิตปาล์มน้ำมันซึ่ง ใน ค.ศ. 1966 มาเลเซียกฃลายเป็นผุ้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลก และมีแนวโน้มการผลิตเพ่ิมขึ้นเรื่อยๆ นอกจานั้นผลิตภัณฑ์จากไม้ น้ำมันดิบ รวมทั้งการผลิตข้าวก็มีการเพิ่มผลผลิตตลอดเวลา สำหรับข้าวนั้นจากการผลิตเพียง 910 พันตันใน ค.ศ. 1964 กลายเป็นจำนวนถึง 1,789 ล้านตัน ในค.ศ. 1974 ทั้งนี้โดยการขยายพื้นที่เพาะปลูกและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตด้วย
            ่เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มดังกล่าวจึงเห็นได้ว่ามาเลเซียจะเป้นประเทศหนึ่งในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอนาคตทางเศรษบกิจ หากสามารถปรับความสัมพันะ์ของคนในชาติให้ร่วมมือกันมากยิ่งขึ้น ขณะเดี่ยวกันก็ควรจะร่วมมอกับประเทศเพื่อนบ้าน..(ประวัติการพัฒนาเศรษฐกิจของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้, รศ. ญาดา ประภาพันธ์)
       

วันพุธที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2560

History Economic of Sounth East Asia : Indonesia

            ปัญหาที่อินโดนีเซียประสบตลอดเวลานับแต่การตกเป็นอาณานิคมของยุโรปจนกระทั่งตกอยุ่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่นคือ ภาวะเงินเฟ้อ และหลังจากที่ญี่ปุ่นออกไปจากประเทศแล้ว ปัญหาดังกล่วนี้ก็มิได้เบาบางลง เนื่องจากการต้องฟื้นฟูบูรณะประเทศมีผลให้รัฐบาลต้องใช้จ่ายเงินทาองอย่างมหาศาล ดังนั้นกาขาดดุลงบประมาณจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงตอนปลายของทศวรรษที่ 1960 ในสมัยของปรธานาธิบดีซูฮาร์โต ปัญหาเงินเฟ้อนี้ได้กลายเป้นชยสนวที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย
           เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกใหม่ๆ นั้น อินโดนีเซียไม่อาจจะเริ่มพัฒนาเศรษฐกิจได้ทันที เนื่องจาก ยยังมีปัญหาการสู้รบกับดัชท์ ซึ่งพยายามจะเข้ามาครอบครองอินโดนีเซียนอีกวาระ ตลอดจนการสู้รบระหว่างคนในชาติเดียวกัน ขณะเดียวกันภาวะเงินเฟ้อซึงเกิดขึ้นในระหว่างสงครามยังคงต่อเนื่องมาจน ค.ศ.1949 ซึ่งเป็นปีที่อินโดนีเซียได้อิสระภาพอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ในระยะที่สิ้นสุดสงครามนั้นอนิโดนีเซียได้รับเงินช่วยเหลือจากสหรัฐโดยผ่านฮอลันดาเพื่อฟื้นฟูบูรณะประเทศ เงินช่วยเหลือเป็นมูลค่ารวมจนถึง ค.ศ. 1950 เป็นจำนวน 113.5 ลานเหรียญสหรัฐ เงินจำนวนนี้มีส่วนช่วยบูรณะซ่อมแซมสิ่งจำเป็นพื้นฐานของอินโดนีเซียขึ้นมาได้พอสมควร อันเป็นผลให้ภาวะเงินเฟ้อบรรเทาลงบ้าง ปัญหาที่เกิดจากฝ่ายนรัฐบาลอินโดนีเซียนนั้นคือ รัฐบาลมีปัญหาขาดดุลย์วบประมาณมาโดยตลอดระยะหลังสงครามยกว้น คซศ. 1951 ซึ่งเศรษฐกิจเจริญขึ้น เนื่องจากเกิดงครามเกาหลี การแก้ปัญหาขาดดุลงลประมาณนั้นปกติรัฐบาลอินโดนีเซียใช้วิธีกู้ยืมจาธนาคารกลาง อันมีผลให้ปริมาณเงินตราของประเทศเพิ่มอย่างมากแลระาคาสินค้าสูงขึ้นตามไปด้วย จากสภาวะการขาดเสถียรภาพของราคานี้เอง มีผลให้รัฐบาลต้องหามาตรการแก้ไข วิธีการหนึ่งที่รัฐบาลอินโดนีเซียนนำมาใช้ก็คือ การควบคุมการแลกเปลี่ยนแงินตราระหว่างประเทศ เพื่อยับยั้งการลดค่าของเงินสกุลพื้นเมือง และเพื่อรักษาสำรองเงินตราต่างประเทศ มาตรการดังกล่าวนี้ยังช่วยควบคุมการสั่งสินคาเข้าและออกด้วย แม้ว่ามาตรการดังกล่าวดุเสือนว่าจะมีผลดีในการแก้ไขภาวะเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย แต่ในทางปฏิบัติยอมเกิดการแลกเปลี่ยนเงินตราในตลาดมือ เนื่องจากขณะที่ค่าเงินรูเปียสถูกกำหนดให้คงที่ในอัตราทางการนั้น ค่าแท้จริงของเงินลดลงอยุ่ตลอดเวลาในตลาดเสรี ดังนั้น ยิ่งค่าแท้จริงของเงินกับค่าที่ทางการกำหนดแตกต่างมากขึ้นย่อมมีผลให้เกิดคลาดมือมากขึ้น ในที่สุดรัฐบาลอินโดนีเซียต้องใช้มาตรการต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมในการลดค่าเงินของตน เช่น ระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราพิเศษ ซึ่งเป็นระบบที่ให้ผุ้ส่งสินค้าออกได้สิทธิพิเศษในการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และลงโทษผุ้สั่งสินค้าเข้า
            นโยบายอีกประการที่รัฐบาลนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษบกิจของประเทศคือการเร่งรัดพัฒนาอุตสาหกรรม โดยใช้มาตรการให้สิทธิพิเศษในการสั่งซื้อวัตถุดิบจากต่งประเทศ โดยกำหนดว่าวัตถุดิบที่สั่งเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมที่รัฐบาลสนับสนนุเป็นสินค้าจำเป็นซึ่งผุ้สั่งเข้าจะได้สิทธิพิเศษในการแลกเปี่ยนเงินตรา ทั้งยังได้สิทธิพิเศษยกเว้นหรือลดอย่อนอารขาเข้าด้วย ซึ่งน่าจะเป็นสินค้าจำเป็น ซึ่งผุ้สั่งเข้าจะได้สทิะิพิเศษในกากรแลกเปลี่ยนเงินตรา ทั้งยังได้สิทธิพิเศษยกเว้นหรือลดหย่อนอารขาเข้าดว ซึ่งน่าจะเป้นผลดีแก่อุสาหกรรมในประเทศหากผู้สั่งเข้านั้นเป็นผุ้ประกอบอุตสาหกรรมเสียเอง หรือผุ้สั่งเข้านำมาขายให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมในระคายุติธรรม แต่สภาพที่แท้จริงคือ ผุ้สั่งเข้านำมาขายในราคาที่สุง ดังนั้น ในที่สุดรัฐบาลก็ต้องเข้าควบคุมขั้นตอนการขายวัตถุดิบในประเทศอีกอย่างหนึ่ง การเข้าควบคุมหลายขึ้นตอนนี้ ในทางปฏิบัติย่อมเป้นิงที่ยุงยก เพราะพ่อค้าผุ้สั่งสินค้าเข้าบย่อมพยายามหาทางหลีกเลียง ขณะเดียวกันหากการควบคุมราคาวัตถุดิบเป็นผลสำเร็จยอ่มแสดงว่าผุ้สั่งเข้าจะมีกำไรน้อย ผุ้สั่งเขาย่อมไม่ประสงค์จะนำเข้า ซึ่งวัตถุดิบในการประกอบอุตสาหกรรมหรือมีการกัดตุนวัตถุดิบเอเไว้จะเป็นเหตุให้วัตถุดิบไม่เพียงพอ อันก่อให้เกิดปัญหาแก่ฝ่ายผุ้ผลิตและเป็นอุปสรรคของการพัฒนาอุตสาหกรรมด้วย ผู้ประกอบการอุตสาหรรมจึงเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินมารตรการอีกปลกายประการ ในที่สุดรัฐบาลถึงกับจัดตั้งองค์การขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่สั่งเข้าและจัดจำหน่ายวัตถุดิบให้แก่อุตสาหกรรมในประเทศ โดยหลัการแล้วการที่รัฐบาลเข้าแทรกแซงทางธุรกิจมากเกินไปมิใช่สิ่งที่ดีเพราะเท่ากับเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด มีผลให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรอย่างไร้ประสิทธิภาพ เนื่องจาก อุตสาหกรรมที่รัฐให้การสนับสนุนอาจมิใช่กิจการที่มีประสิทธิภาพนัก แต่อาจมีข้อโต้แย้งได้ว่าอุตสาหกรรมที่รัีฐช่วยเลหือเป็นอุตสาหกรรมแรกตั้ง
              อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลให้การช่วยเลหือฝ่ายผุ้ผลิตไปแล้ว ในไม่ช้าฝ่ายผุ้บิโภคก็เรียกร้องให้รัฐช่วยคุ้มครงอด้วยเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องควบคุมราคาจำหน่ายสินค้าบริโภคด้วย ความจริงรัฐบาลได้ปกปองผุ้บริโภคอยู่แล้วสำหรับสินค้าจำเป็นแก่การตีองชีพด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การปันสวนสินค้สการควบคุมราคาข้าว
            การแทรกแซงในภาคเศรษบกิจของรัฐบาลอินโดนีเซียมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้เพราะสภาพอันเลวร้ายของเศรษฐกิจ ซึ่งนอกจากภาวะเงินเฟ้อและการสูญเสียเงินคราแล้ว การผลิตก็มิได้ประสบผลดีนักทังทางเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม
          เมื่อพิจารณาให้รอบคอบอาจพบว่าหากรัฐบาลอินโดนีเวียมีความประสงค์จะแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจจริงแล้ว รัฐบาลอินโดนีเซียจะสามารถทได้ในบางส่วน โยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวบประมาณการใช้จ่าย รัฐบาลสามารถตัดทอนการใช้จ่ายลงได้แต่รัฐบาลกลับยิ่งทวีการใช้จ่ายมากขึ้นทั้งนี้เพราะควมทะเยอทะเยานทางการเมืองของผุ้นำ การใช้จ่ายทงทหารของซูการ์โนเป็นจำนวนมหาศาล ทังภาคการผลิตบางสาขาก็ถูกละเลย รัฐบาลให้ความสนใจเฉพาะกิจการบางอย่างเท่านั้น ทำให้การผลิตไม่ขยายตัวอย่างพอเพียง ภาวะเงินเฟ้อทวีความรุนแรงมาก ซึ่งในปลายปี ค.ศ. 1965 เศรษฐกิจอยู่ในสภาที่ใหล้ล้มละลาย
           อาจแยกสภาพเศรษบกิจทั้งด้านการผลิต การใช้จ่ายของรัฐบาลตลอดจนปัญหาต่างๆ ทีเ่กิดขึ้นในอินโดนีเซีย ตั้งแต่ระยะหลังสงครามดลกครั้งที่สอง ระยะเศรษบกิจแบบชี้นำ และเศรษบกิจในทศวรรษที่ 1970 ได้ ดังนั้น
           - ภาวะการผลิตทางด้านการเกษตร ปรากฎว่าการผลิตข้าวเปลื่อก ซึ่งเป็นการผลิตที่สำคัญในชวาลดลงอย่างมากในช่วงหลังกของทศวรรษ 1940 จนถึงต้นทศวรรษ 1950 เมื่อเที่ยบกับก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่หลังจาก ค.ศ. 1950 เป็นต้นมาการผลิตข้าวเร่ิมมีการฟื้นตัว และเจริญเต็มที่ใน ค.ศ. 1956 แต่พืชอาหารชนิดอื่น เชนพวกถัวงายังไม่สามารถฟื้นตัวได้นัก อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงดังกล่าวก็คือประชากรมีอัตราการเพิ่มอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ผลผลิตเฉลี่ยต่อประชกรจึงลดลงมากเมื่อเที่ยบกับระยะก่อนสงครามโลก
            ปัญหาที่แท้จริงของการผลิตพืชอาหารของอินโดนีเซียโดยเฉพาะในเขตที่ประชกรหาแน่น เช่น ชวานั้น เป้ฯเพราะความขาดแคลนที่ดินในการเพาะปลูก เมื่อเพทียบกับจำนวนประชากร นั่นคือ มีที่ดินขนาดใหญ่ซึ่งมิได้ใช้เพาะปลูกอยู่มาก ขณะเดียวกันปัฐญหาการเพิ่มของประชกรส่งผลให้ขนาดที่ดินต่อประชกรยิ่งลดลงไปอี แม้ว่ารัฐบาลจะได้มีความพยายามปรับปรุงทางด้านเทคนิคต่างๆ เช่น การใช้ปุ๋ย การชบประทาน การใช้เมล็ดพันธ์ุที่ดี แต่ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ประสิทธิภาของการปลิตสูงได้ ดังนั้น การผลิตสินค้าอาหารของอินโดนีเซียโดยเฉพาะข้าวจึงไม่พอเลี่้ยงประชากรของตนเอง ต้องนำเข้าจากภายนอก
   - การผลิตทางด้านอุตสาหกรรม ภายหลังสงครามดลครั้งที่ 2 นั้นการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมของอินโดนีเซียสรุปได้ว่ามูลค่าเพิ่มต่อจำนวนประชากรยังต่ำหว่าก่อนสงคราม และปรากฎว่าใชบ่วงทศวรรษ 1950 นั้น อุตสาหกรรมขนาดเล็กมีอัตราความเจริญเร็วกว่าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จะเห็นได้จากอัตรการเพิ่มของโรงานขนาดเล็กที่มีคนงานไม่เกิน 10 คน  เพ่ิมจาก 15.2% ของจำนวนโรงงานทังหมดในค.ศ. 1960 ในขณะที่โรงงานขยาดใหญ่ที่มีคนงานหว่า 50 คนขึ้นไปนั้นกลับหดตัวลง อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาโดยจำนวนแล้วปรากฎว่าจำนวนโรงงานขนาดกลางจะมีมากที่สุด ส่วนทางด้านการจ้างงานนั้นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีการจ้างงานมากที่สุด แต่เปอร์เซนรจ์การจ้างงานของโรงานขนาดเล็กก็เพ่ิมขึ้นเรื่อยๆ
           - การค้าระหว่งประเทศและดุลย์การชำระเงิน ในทศวรรษที 1920 นั้นเศรษฐกิจของอินโดนีเซียองคกับการส่งออก เช่น ประมาณ 35% ของรายได้ประชาชาติมาจาการส่งสินค้าออก แต่ต่อมาแนวโน้มดังกล่าวลดลง ซึงน่าจะมีลให้ปริมาณส่งเข้าหดตัวลง อย่งไรก็ตาม ปรากฎว่าหลังสงคราม การสั่งสินค้าเข้าเพิ่มเพราะแรงอั้นของอุปสงค์ระหว่างสงครามรัฐบาลจึงต้องเข้ามาดำเนินการควบคุมการต้าระหว่างประเทศมาก เพื่อการแก้ไขการไหลออกของทุนสำรองเงินตรา และขณะเดียวกันก็เพื่อคุ้มตรองอุตสาหกรรมในประเทศด้วยมีการให้สิทะิพิเศษในการแลกเปลี่ยนเงินตราเฉพาะสินค้าที่อยุ่ในข่ายการส่งเสริม เช่น วัตถุดิบนำเข้าเพื่อผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่จำเป็นจะแลกเงินตราต่างผระเทศได้ในระคาถูก หรือได้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีอากรด้วย..
            เมื่อสถานะการณ์ของประเทศเลวร้ายขนาดไม่อาจชำระหนร้ต่างผระเทศได้ใน ค.ศ. 1965 นั้น ประขวบกับมีัฐประหารขึ้นและมีการเปลี่ยนแรัฐบาลใหม่ สถานการณ์การผลิตดีขึ้นเนื่องจากการพยายามฟื้นฟูเสถียรภาพของราคา ทำให้ผู้ลงทุนมีความมันใจขมากขึ้น การส่งออกฟื้นตัวโดยเฉาพอย่างยิ่งหลัง ค.ศ. 1968 อย่างไรก็ตาม ดุลย์การชำระเงินอยุ่ในสภาพขาดดุลย์เนื่องจาก การเพิ่มของสินค้าเข้ามามากว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งินค้าเข้าประเภททุนและวัตถุดิบที่อินโดนีเซียผลิตไม่ได้เอง ผลของสภาพการต้าระหว่างประเทศเช่นนี้มีผลให้เกิดปัญหาดุลย์ชำระเงินขาดดุลย์รุนแรงขึ้น
            - การใช้จ่ายของรัฐบาลแบะภาวะเงินเฟ้อ การใช้จ่ายของรัฐบาลหลังสงคราดลครัี้งที่สองแนวโน้มเพ่ิมขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่การผลิตและการ่งออกยังไม่อาจปรับตัวได้ทันกับการเพ่ิมของประชกร ยังผลให้งบประมาณของรัฐบาลมีสภาพขาดดุล ความไม่สามารถชะลอตัวในการใช้จ่ายของรัฐบาลนั้นเป้นสาเหตุหนึ่งของภาวะเงินเฟ้อหลังสงคราม ซึ่งภาวะเงินเฟ้อเป้นไปอย่างรุนแรงในช่วงเศรษฐกิจแบบชี้นำระหว่างปี ค.ศ.1960-1965
               อินโดนีเซียได้ผ่านระยะของการตกเป็นอาณานิคมจนมาถึงปัจจุบันด้วยสภาพเศรษบกิจต่างๆ การถูกเอารัดเอาเปรียบจากเมืองปม่ในระยะตกเป็นอาณานิคมของดัชท์และญี่ปุ่น ทั้งได้ผ่านระยะของความเป็นเอกราชโดยรัฐบาลที่มุ่งมั่นทางการเมืองและการทหารมากว่าเศรษกฐกิจจนถึงระยะที่สภาพเศรษฐฏิจเกือบจะล้มละลายใน ค.ศ.1965 และในที่สุดเกิดรัฐประหารขึ้มา ซึ่งนโยบายช่วงหลังนี้เป็นการพยายามฟื้นฟูทางเศรษฐกิจอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ปัฐญหาอีกมากมายยังรอคอยการแก้ไขของชาวอินโดนีเซียอยุ่สภาพการขาดดุลย์การชุระเงินอนเนื่องมาจากการสั่งสินค้าเพื่อการพัฒนานั้น เป้ฯสิ่งที่ต้องหาทางออกให้ได้จะด้วยการผลิตทดแทนการนำเข้าหากปัจจัยในประเทศมีความพร้อมหรือาจต้องเปลี่ยนแผลงการใช้เทคนิคในดาผลิตให้เหมาะสมกับทรัพยากรทีรมี หรือแม้กระทั่งการพยายามขยายปริมาณและมูลค่าสินค้าออกด้วยการหาตลาดใหม่ๆ หรือ เพิ่มประเภทการผลิตเพื่อส่งออก อันเป็นบทบาทที่ต้องการความร่วมมือของเอกขนแลรัฐบาลทุกขึ้นตอนรัีฐบาลควรให้แรงจูงใจแก่เอกชนในการออมและการลงทุน ควรมีการปรับปรุงสถาบันการเงินเพื่อการระดมเงินทุนและการให้สินเชื่อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันการผลิตสาขชาเกาษตรกรรมและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตพืชอาหารนั้นไม่ควรละเลย เพราะประวัติศาสตร์ของอินโดนีเซียได้แสดงให้เห็นแล้วว่า หากมีการขาดแคบนส่ิงจำเป้นแก่การดำรงชีพแล้ว ภาวะเงินเฟ้อผ่อมเกิด และผุ้ประกอบการจะไม่แน่ใจในการลงทุนประชาชนโดยทั่ยไปเกิดความอดอยาก และเมื่อใดที่ระบบเศรษบกิจขาดเสถียรภาพระบบการเมืองก็จะขาดความั่นคงไปด้วย นอกจากนั้นทางฝ่ายรัฐบาลเองจะต้องมีการปรับปรุงประสทิะภาพของการบริหารงาน ซึ่งรวมถึงความสุจริตของข้ราชการด้วยเพื่อมิให้ระบบราชการกลายเป้นจุดถ่วงที่สำคีัญของการพัฒนาประเทศ..(ประวัติการพัฒนาเศรษฐกิจของเอเซียนตะวันออกเฉียงใต้,รศ. ญาดา ประภาพันธ์,2538.)

             

History Economic of Sounth East Asia : Filipine

              -ฟิลิปปินส์ สภาพของฟิลิปปินส์เมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ความยับเยินของบ้านเมือง ิส่งก่อสร้าง การคมนาคมเสียหายมาก ความอดอย่างรวมทั้งโรคระบาดต่างๆ แพร่ไปทั่ว เมืองสำคัญๆ ถูกทำลาย เศรษฐกิจทรุดโทรม ขาดแคลนสำรองเงินตรต่างประเทศเพื่อซื้อสินค้าเข้า ภาวะเงินเฟ้อสูงมาก ค่าครองชีพสูงถึง 800% เมื่อเทียบกับก่อนสงคราม อเมริกายื่นมือเข้าช่วยเหลือ โดยจ่ายเงินถึง 72 ล้านดอลลาร์ ซึ่งก็มาจากเงนิ ที่ยกจากภาษีสินค้าเข้าอเมริกันบลางอย่างของฟิลิปปินส์นั่นเอง จากนั้นฟิลิปปินส์ก็รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศมาตลอด การยอมรับความช่วยเหลือโดยไม่หยุดยั้งของฟิลิปปินส์นับแต่หลังสงครามดลกคร้งที่สองนี้เอง ได้ส่งผลต่อประเทศมาจนถึงปัจจุบันด้วยภาระหนี้สินที่ท่วมท้นจนอาจล้มละลายได้ การตกเแ็นหนี้สินต่างประเทศนั้นย่อมมีผลให้ประเทศเจ้าหนี้มีอำนาจในการกำหนดเงื่อนไขบางอยางที่สำคัญแก่ประเทศผุ้กู้ได้ ดังนั้นประเทศผุ้กู้จึงเสมอนตกอยู่ในลักษณะอาณานิคมนั้นเอง เป้ฯอาณานิคมซึ่งมิได้ถูกบังคับโดยกำลังอาวุธ แต่ถูกบังคับโดยอำนาจแห่งเศรษฐกิจที่เหนือกว่าถือเป็นอาณานิคมแผนใหม่ การตกเป้นอาณานิคมไม่ว่าจะลักษณะใดย่อมไม่เป็นผลดีแก่ประเทศทั้งนั้น
             เมื่อสิ้นสงครามโลก นายมานูเอล โรซัล ได้รับตำแหนงประธานาธิบดีโดยการสนับสนนุของอเมริกัน เขาพยายามปรับปรุงสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ โดยนำมารตรการทุกอย่างมังการเงิน การคลัง การต้า และนธยบายการแลกเปลี่ยนเงินตรามาใช้ มีการทำข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา ใน ค.ศ. 1946 ซึ่งปรากฎใน "รับบัญญัติเบลล์"และข้อตกลงว่าด้วยการบูรณะประเทศฟิลิปปินส์ใน "รัฐบัญญัติไทดิงส์"ในรัฐบัญญัติเบลล์มีการตกลงทางการต้ากับสหรัฐ เช่น ในระยะ 8 ปี จากค.ศ. 1946-1954 ฟิลิปปินส์จะส่งสินค้าเข้าอเมิรกาได้โดยไม่เสียภาษี แต่ต้องเป้นจำนวนที่สหรัฐกำหนด จากนั้นสินคึ้าเข้าของฟิลิปปินส์จะถูกเก็บภาษีขาเข้าเพิ่มเรื่อยๆ จนถึงจุดสูงสุดในปี ค.ศ. 1974 สินค้าทีอยุ่ในข่ายข้อตกลงดังกล่าว คือ น้ำตาลดิบ น้ำตาลขาว ข้าว ยาสูบ น้ำมันมะพร้าว กระดุมหอยมุก สินค้าเหล่านี้จะต้องลดจำนวนร้อยละ 5 ทุกๆ ปี แต่ขณะเดี่ยวกันสินค้าอเมริกันจะไม่ถูกจำกัดสิทะิ์ใดๆ ทั้งสิ้นและคนอเมริกันจะมีัสิทธิ์ทุกอย่างในประเทศฟิลิปปินส์เท่าคนฟิลิปปินส์ เช่น สิทธิการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ จะเห้ฯได้ว่าเป้นสัญญาที่ฟิลิปปินส์ถูกเอาเปรียบอย่างเด่นชัน เช่น จะถูกกบโดยทรัยากรธรรมชาติ กีดขวางการตั้งอุตสาหกรรมในประเทศ ฯลฯ แต่ฟิลิปปินส์ต้องยอมรับเพื่อให้ได้รับความช่วยเลหือตามรัฐบัญญัติไทดิ้งส์ของอเมริกัน ซึ่งมีข้อกำหนดว่าจะจ่ายค่าเสียหายให้ฟิลิปปินส์เกิน 500 เหรียญได้ต่อเมื่อฟิลิปปินส์ยอมรับรัฐบัญญัติเบลล์แล้ว รัฐบัญญัติเบลล์นี้ได้ถูกขนานนามว่า ไรัฐบัญญัติปีศาสจ" นอกจากนั้นการยอมรับข้อตกลงดังกล่าวอาจเป็นเพราะเห็นว่ามีประโยชน์แก่การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมบางประเภท คือ น้ำตาล ซึ่งอย่างน้อยจะมีตลาดอเมริกันเป็นแหล่งรองรับก็ได้ การแก้ปัญหารเศรษกฐกิจนี้ไม่ได้ผลนัก จนเป้ฯที่สงสัยกันว่า เมื่ออเมริกันยุติการช่วยเหลือ ฟิลิปปินส์จะเลี้ยงตนเองได้หรือไม่...ในรัฐบาลต่อมาผุ้นำฟิลิปปินส์ ก็พยายามแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่สภานการเลวร้ายลง มีผุ้กล่าวว่าเหตุเพราะรับบาลไม่มีความรับผิดชอบอย่างแท้จริง ทั้งๆ ที่การผลิตในค.ศ. 1949 ได้ผลดีมาก เมื่อเทียบกย คศ. 1946 รายได้ของประเทศก็สูง โดยให้เหตุผลว่า การบริหารภาษีขาดประสิทธิภาพ, ความล้มเหลวในระบบการเช่าที่ดินทำกสิกรรม,ความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมจรรยาของประชาชน รวมทั้งการฉ้อราษฎร์บังหลวงของข้าราชการ,การขาดความศรัทธาในรัฐบาลและประการสุดท้ายซึ่งเป็นข้ออ้างจากคณะสำรวจภาวะเศราฐกิจจากอเมริกา คือ ประชากรเพิ่มเร็วมาก ฟิลิปปินส์พยายามแก้ไปัญหาต่างๆ แต่ไม่แก้ที่รากฐาน กลุ่มอิทธิิพลและข้าราชการทุจริตคือปัญหาพื้นฐานของฟิลิปปินส์ (เช่นเดี่ยวกับประเทศด้อยพัฒนาอีกหลาบประเทศ) ซึ่งทำให้มาตรการเื่อแก้ปขปัญหาเศรษบกิจไม่ประสบผลสำเร็จ
                  ในสมัยของ รามอน แมกไซไซ มีจุดหมายทางเศราฐกิจที่สำคัีญ คือ การปฏิรูปการเกษตรกรรม ตั้งองค์การฝึกฝนอาชีพ ตั้งศษลเกี่ยวกับที่ดิน ฯ แต่อิทธิพลของบรรดาเจ้าทของที่ดินซึ่งเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็ทำให้ความพยายามของเขาไร้ผล เขาพยายามแก้ไขปัญหาด้วยการใช้นโยบายวบประมาณแบบไม่สมดุลในการกระตุ้นการขยายตัวทางเกษตรกรรมซึ่งแนวคิดนี้เป้นแนวคิดแบบเคนส์ แมกไซไซ พยายามใช้ขบวนการสหกร์เกษตร สภาบันการเงินเพือสินเชื่อเกษตร อย่างไรก็ตามนโยบายของเขามีผลให้การผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่ทว่ามีผลทำให้กิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นด้วย เนื่องจากธนาคารกลางขยายตัวเพ่ิมขึ้น แต่ทว่ามีผลทำให้เกิกถาวะเิงนเฟ้อขึ้นด้วย เนื่องจากธนาคารกลางขยายวงเงินกู้ให้แก่รัฐบาลอย่างรวดเร็ซจนเกินไป กล่าวได้ว่าในช่วง ค.ศ. 195431957 ผลผลิตเพิ่มอย่างรวดเร็วถึงประมาณร้อยละ25 ในสมัยของแมกไซไซ มีการกีดกันชาวต่างชาติยกเว้นอเมริกัน ในการต้าปลีกมีการควบคุมทั้งสินค้าเข้าและออกเพื่อช่ววยอุตสาหกรรมในประเทศ
               ฟิลิปปินส์ไม่อาจหลีกเลี่ยงอเมริกันได้พ้น เมื่อแมกไซไซถึงแก่กรรม รัฐบาลชุต่อมาต้องใช้นโยบายรัดเขช็มขัด รวมทั้งการควบคุมการแลกเปลียนเงินตราด้วย ทั้งนี้เนื่องมาจากการใช้จ่ายอย่างมากมายของรัฐบาล ฟิลิปปินส์เริ่มแสงวงหาเงินกู้จากแหล่งต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น แต่เป็นการให้กู้ที่มีเงื่อนไขมากมายหนี้สินต่างประเทศของฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นทุกที่ ยังผลให้การเงินขาดเสถียรภาพและต้องลดค่าเงินพื้นบ้านเสมอ
           ฟิลิปปินส์ยังเต็มไปด้วยปัญหาทั้งเศรษฐกิจและการเมืองซึ่งสะสมมาแต่อดีต ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งเกิดจากการตกเป็นทั้งในรูแปบบเก่าและรูปแบบใหม่ ดดยเฉพาะหลังสงครามดลกครั้งที่สองนั้นอิทะิพลทางเศรษบกิจของชาวต่างชาติที่มีต่อฟิลิปปินส์ยิ่งเด่นชัด การตกเป็นอาณานิคมครั้งแล้วครั้งเล่าของฟิลิปปินส์ ช่วยให้ชนชั้นนายทุนพื้นเมืองดำรงอยู่ได้อย่างผาสุกโดยความร่วมมือกบประเทศแม่ คนกลุ่มนี้น่าจะเป็นผุ้ที่ทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ได้เป็ฯอย่างดี แต่เป็นที่นน่าสงสัยว่านายทุนพื้นเมืองเหล่านี้มีบทบาทต่ดการพัฒนาประเทศเพียงไร ชนชั้นนายทุนชาวพื้นเมืองนี้ได้รับการปกปักษ์รักษามาตั้งแต่สมัยการตกเป็นอาณานิคมของสเปน ขณะที่เศรษฐกิจเพื่อการส่งออกชขยายตัวนับแต่อดีตจนกระทั่งเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 ในช่วก่อนสงครามโลกครั้งที่สองนั้น จำนวนนายทุนชาวพื้นเมืองก็ขยายตัวออกไปเรื่อยๆ เช่น กัน ในขณะเดี่ยวกันการเกษตรกรรมตลดอจนการส่งออกก็ขยายตัวไปด้วย แต่ทว่ากิจกรรมการเกษตณและการส่งออกของฟิลิปปินส์ต่างไปจากประเทศอาณานิคมโดยทั่วไป คือ การเกษตรเพื่อการส่งออกนั้นจัดำเนินการโดยชวฟิลิปปินส์เองเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่อาณานิคมอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นการเกษตรขนาดใหญ่ตลอดจนการส่งออกมักจะดำเนินงานโดยคนต่างชาติ โดยลักษณะเช่นนี้น่าจะเป็นบทบาทของนายทุนชาวพื้นเมืองด้วย แต่สินค้าเกษตรของฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่เป็นการผลิตตามความต้องการของสหรัฐอเมริกานั่นเอง อุตสาหกรรมของฟิลิปปินส์ยังผุกพันกับเศรษบกิจของสหรัฐอย่างเหนียวแน่น บรรษัทอเมริกันยังคงควบคุมกิจการประเภทโรงสีและการตลาดของสินค้าส่งออกทั้งยังมีการลงทุนขนาดมหาศาลในกิจการประเภทเหมืองแร่และสาธารณูปโภค
          การค้าเสรีระหว่างอเมริกาและฟิลิปปินส์เริ่มจากปี ค.ศ. 1909 นั้นังผลให้สไรัฐกลายเป็นตลาดที่สำคัยของสินค้าขึ้นปฐมของฟฺิลิปปินส์ และสินค้าอุตาสหกรรมจากอเมริกาก็ถูกส่งมาขายที่ฟิลิปปินส์ด้วยราคาที่สุงลิบลิ่ว จะเห็นได้ว่าแม้ข้อตกลงจะส่งผลดีให้กับสินค้าออกเกษตรของฟิลิปปินส์ก็ตาม แต่ทว่าสินค้าอุตสาหกรรมจากสหรัฐอเมริกานั้นเป็นฝ่ายได้เปรียบมากกว่า
         หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ฟิลิปปินส์ก็เหมือนกับประเทศนแถบอเชียตะวันออกเแียงใต้โดยทั่วไป กล่าวคือขากแคลนเงนิตราต่างประเทศแต่ที่ค่อนข้างจะพิเศษคือ ฟิลิปปินส์เป็นหนี้ต่างประเทศอย่างมหาศาล ซึงชี้ให้เห็นว่าชาวต่างชาติจะเข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์อย่างแน่นอน
         การที่ชาวต่างชาติจะผลิตสินค้าส่งมาขายฟิลิปปินส์หรือเข้าดำเนินกิจกรรมทางเศราฐกิจ่างๆ ในประเทศนี้ อาจมิใช่สิ่งที่เสียหายมากนัก ถ้าเงินกำไรจะถูกสะสมในประเทศ หรือก่อใหเกิดการว่าจ้างทำงานเพิ่มขึ้นฯ แต่ที่เป็นผลเสียหายเนื่องจากเงินกำไรจากการลงทุนของบรรษัทต่างชาติถูกส่งกลับไปสู่ประเทศแม่ และที่เลวร้ายไปหว่านั้นคือ นักลงทุนข้ามชาติเข้ามาในประเทศฟิลิปปินส์ในลักษณะมือปล่าแต่เข้ามากู้เงินจากธนาคารท้องถ่ินในการลงทุนเพื่อกอบโดยผลกำไรกลับสู่ประเทศตน ในขณะที่นักลงทุนชาวฟิลิปปินส์เองเป็นจำนวนไม่น้อยต้งอไปแสวงหาเงินทุนจากแหล่งอื่นซึ่งอาจเสียดอกเบี้ยในอัตราสูง และส่งผลให้เกิดปัญหาด้านดุลขำระเงินติดตามมาในอนาคต สภาพดังกล่าวนั้นดูเหมือนจะเกิดขึ้นกับประเทศด้อยพัฒนาหลงสงครามดลกครังที่ 2 เป็นส่วนใหญ่ ภายใต้การบงการของประเทศมหาอำนาจฝ่ายพันธมิตรนั้น การสำรวจภาวะเศรษบกิจของประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายตลอดจนคำแนะนำต่างๆ ถูกเสนอขึ้นมาพร้อมกับข้อเสนอให้ความช่วยเหลือ ทั้งทางด้านการเงินและวิทยาการต่างๆ ตลอดจนผุ้เชี่ยวชาญ โดยมีหน้าฉากอยุ่ที่สถาบนระหว่างประเทศ เช่น ธนาคราโลก, กองทุนการเงินระหว่างประเทศ IMF ปรากฎว่าฟิลิปปินส์ต้องตกอยู่ภายใต้ข้อเรียกร้องต่างๆ ของนักลงทุนต่างชาติ มีการให้สิทธิพิเศษมากมายตามกฎมหายต่างๆ ที่สร้างขั้นมาในช่วงนั้น
          ฟิลิปปินสก้าวเข้าสู่ทศวรรษ 1970 ด้วยอาการที่ซวนเซ ในค.ศ. 1972 ตกเป็นหนี้ต่างประเทศเป้นจำนวถึง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐและเพ่ิมเป็นกว่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ใน ค.ศ. 1979 การกู้ยืมเงินจากต่างประเทศน้นมิใช่แต่จะทำให้มีภาระหนี้สินเท่านั้น แต่มักปรากฎว่าสถาบันการเงินผุ้ให้กู้เหล่านี้มีบทบาทเข้าแทรกแซงกิจการทางเศรษบกิจภายในประเทศผุ้กู้ด้วย นโยบายต่างๆ ทางเศรษฐกิจจึงมักถูกกำหนดโดยเงื่อนไขของสถาบันการเงินเลห่นั้น และโดยที่สถาบันการเงินเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากประทเศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยทั้งหลาย จึงเท่ากับว่าบรรดานายทุนเหล่านี้มีอำนาจในการสร้างเงื่อนไขต่างๆ แก่ประเทศผุ้ขอกู้ยืมด้วย... (ประวัติการพัฒนาเศรษฐกิจของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้,รศ. ญาดา ประภาพันธ์)

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...