วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2560

ASEAN Framework Agreement on Services: AFAS (1995)

             ภาคบริการเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่และีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วต่อเศรษบกิจของประเทศสมาชิกอาเซียนโดยมีส่วนแบ่งระหว่างร้อยละ 40 ถึงร้อละ 63 ของผลิตภัฒฑ์มวลรวมภายในประเทศ GDP สมาชิกอาเซียนจึงเห็นพ้องกันว่า ควรมีการขยายความร่วมมือและการเปิดเสรีการต้าบริการภายในอาเซียนด้วยกันเพื่อเป็นการเปิดประตูทางเลือกใหม่ให้แก่ผุ้หใ้บริการในภูมิภาคเดียวกัน
            ตามบทบัญญัติในข้อที่ 5 ของความตกลงทั่วไปว่าด้วยการต้าบริการ ขององค์การการต้าโลกซึ่วว่าด้วยการรวมกลุ่ททางเศราฐกิจอนุญาตให้สมาชิก WTO ตั้งแต่ 2 ประเทศขึ้นไปสามารถจัดทำความตกบงรวมกลุ่มทางเศราฐกิจในการเปิดเสรีการต้าบริการให้แก่กันและกันมากกว่าที่ให้กับสมาชิก WTO อื่นได้ หากความตกลงรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในการเปิดเสรีการต้าบริากรให้แก่กันและกันมากว่าที่ใหกับสมาชิก WTO อื่นได้ หากควาตกลงนั้นไม่มีผลทำให้ผลประโยชน์จากข้อผุ้พันซึ่งสมาชิก WTO ที่อยู่นอกความตกลงพึงด้รับ ต้องลอน้อยลงไป
           ดังนั้นสมาชิกอาเซียน 7 ประเทศจึงได้ร่วมกันจัดทำ กรอบความตกลงว่าด้วยการบริการของอาเซียนขึ้นในปี 2538 ซึ่งต่อมาอาเซียนได้มีสมาชิกใหม่เข้ามาร่วมอีก 3 ประเทศ คือ ลาว ปละพม่า (เป็นสมาชิกอาเซียนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2540) และกัมพูชา (เป็ฯสมาชิกอาเซียนเมื่อวันที่ 30 เมษา 2542 วัตถุประสงค์สำคัญของกรอบความตกลงว่าด้วยการบริากรของอาเซียนได้แก่
           - เพื่อขยายความร่วมมือด้านบริการระหว่างประเทศสมาชิกอาเซีนให้มาขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับประเทศนอกกลุ่ม
            - เพื่อลดอุปสรรคในการค้าบริการระหว่างประเทศสมาชิก
            - เพื่อเปิดเสรีการต้าบริการภายในกลุ่มสมาชิกอาเซียน ให้มากกว่าที่แต่ละประเทศมีพันธกรณี การเปิดเสรีในเวที WTO โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดตั้ง "เขตการต้าเสรีด้านการบริการ"
            โดยประเทศสมาชิกอาเซียนมีพันธกรณีดังนี้
             - การเข้าร่วมในข้อตกลงด้านความร่วมมือภายใต้ AFAS และหากมีจำนวนสมาชิกที่มีความพร้อมในการจัดทำข้อตกบงดังกล่าวตั้งแต่ 2 ประเศขึ้นไปก็สามารถดำเนินการไปก่อนได้
             - การเข้าร่วมเจรจาจัดทำข้อผุกพันเฉพาาะในการเปิดเสรีการต้าบริการให้กับประเทศสมาชิกอาเซียนมากว่าที่เสนอผูกพันไว้ภายใต้ GATS ในเวที่ "การค้าโลก"ซึ่งข้อผูกพันเฉพาะดังกล่าวจะระบุไว้ใน "ตารางข้อผุกพันเฉพาะภายใต้ AEAS"
               การเปิดเสรี กระทำโดย ยกเลิกมาตการเลือกปฏิบัติและข้อจำกดัในการเข้าสู่ตลาด ที่มีอยุ่ และห้ามออกมาตรการใหม่ซึ่งมีลักษณะเลือกปฏิบัติและข้อจำกัดใหม่ในการเข้าสู่ตลาด หรืออกมาตรการ หรือข้อจำกัดที่เข้มงวดมากขึ้น
               บทความนี้จะประกอบด้วย 4 ส่วนที่สำคัญ คือการเจรจาเปิดเสรีภาคบริการของสมาชิกอาเซีย ข้อผูกพันการเปิดเสรีภาคบริการของไทย การประเมินผลการเจรจาว่าบรรลุตามวัตถุประสงค์ของ AFAS มากน้อยเพียงใดและวิเคราะห์ผลประโยชน์ที่ไทยได้รับจากากรเข้าร่วมดำเนินการดังกล่าว
               การเจรจาเปิดเสรีภาคบริการของอาเซียน
               รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ลงนามให้การยอมรับกรอบความตกลงว่าด้วยการบริการของอาเซียนเมื่อ ธันวาคม 2538 เพื่อใช้เป็นกรอบในการเจรจาเปิดเสรีการค้าบริากรในภูมิภาคอาเซียน พร้อมกับรับรองปฏิญญากรุงเทพ ซึ่งเป้นการประกาศเจตนารมณ์ว่า รปะเทศสมาชิกอาเซียนจะร่วมกันเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการสาขาต่างๆ โดยในรอบแรกจะมุ่งเจรจาใน 7 สาขาบริการ ได้แก่ สาขาการเงิน(ประกอบด้วย การธนาคาร การประกันภัย ธุรกิจเงินทุน เครดิฟองซิเอร์ และธุรกิจหลักทรัพย์), สาขาการขนส่งทางทะเล สาขาการขนส่งทางอากาศ สาขาการสือสารโทรคมนาคม สาขาการท่องเที่ยว สาขาการก่อสร้างและสาขาบริากรธุรกิจ ทั้งนี้ ให้เกริ่มดำเนินการเจรจาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2539 และสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2541
                การดำเนินการ การเจรจาจัดทำข้อผุกพันในกาเปิดเสรีการต้าบริการะหว่างสมาชิกอาเซียนตามพันธกรณีของ AFAS สมาชิกจะต้องเสนอข้อผูกพันที่มีระดับการเปิดเสรีมากกว่าที่แต่ละประเทศได้ยื่นผูกพันไว้ภายใต้ GATS และได้แบ่งการเจรจาเป็น 2 ช่วง
               การเจรจาช่วงแรก เป้นการเจรจาเปิดเสรีในสาขาที่แต่ะประเทศสมาชิกมีความพร้อมเพื่อให้เป้นไปตามเจตนารมณ์ของผุ้นำอาเวียนที่ต้องการเร่งรัดการเจรจาเปิดเรรีการต้าบริากรบางสาขาให้เสร็สิ้นภายใน มิถุนายน 2540 อย่างไรก็ตามได้มีการขยายกำหนดเวลาสรุปผลการเจรจาออกไปเป็น ตุลาคม 2540
               ผลการเจรจา ได้จัดทำเป้นตารางข้อผูกพันชุดแรก ซึ่งประกอบด้วยข้อผูกพันเปิดเสรีในบริการ 5 สาขา (การท่องเที่ยว การขนส่งทางอากาศ การขนส่วทางทะเล บริการธุรกิจ และโทรคมนาคม) จากสมาชิกอาเซียน 9 ประเทศสำหรับประเทศไทยได้ยื่นข้อผุกพันเปิดเสีรใน 2 สาขา คือการท่องเที่ยว และากรขนส่งทางทะเล
              การจเรจาช่วงหลัง เป็นการเจรจาเพื่อให้สมาชิกอาเซ๊ยนแต่ละประเทศ เปิดเสรีด้านบริการให้ครบ 7 สาขา
              ผลการเจรจา สามารถสรุปผล "ตารางข้อผูกพันชุดที่สอง" ได้เมือกันยายน 2541 โดยสมาชิกอาเซียนทุกประเทศยื่นข้อผูกพันใน 7 สาขาบริการ รายละเอียดข้อผูกพันการเปิดเสีการต้าบริการของสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศในสาขชาบริการทั้ง 7 สาขาในรอบแรก มีดังนี้
              ข้อผุกพันการเปิเสรีของไทยในอาเซียน
               - การขนส่งทางอากาศ
                  การสำรองบัตรโดยสรผ่านระบบคอมพิวเตอร์ โดยมีเงื่อนไขว่า การใช้บริากรข้ามพรมแดนผุ้ให้บริการต้องใช้เครือข่ายโทรคมนาคมสาธารณะภายใต้หน่วยงานที่มีอำนาจของโทรคมนาคมสาธารณะภายใต้หน่วยงานที่มีอำนาองไทย การให้บริากรวิทธยุขึ้นอยู่กับคลื่นความถคี่ที่ว่าง ส่วนการเข้ามาจัดตั้งธุรกิจนั้น อนุญาตการจัดจำหน่ายผ่านระบบนี้ สำหรับสำนักงานของสายการบินต่าๆ และสำนักงานตัวแทนขายทั่วไปเพียง 1 แห่งโดยผุ้ให้บริการต้องใช้เครือข่ายโทรคมนาคมสาธารณะภายใต้หน่วยงานที่มีอำนาจของไทยและต้องปฏิบัติตามข้อควาและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในตารางข้อผูกพันสาขาการสื่อสารโทรคมนาคมของไทยภายใต้ GATS
               
การขายและการตลาดสำหรับบริการขนส่งทางอากาศ  โดยมีการปรับปรุงข้อผุกพันในรุ)แบบการให้บริการข้ามพรมแดนและการบริโภคในต่างประเทศจากเดิมไม่ผูกพันเปลี่ยนเป็นผูกพันเต็มที่โดยไม่มีเงื่อนไขการเข้าสู่ตลาด
                 - บริการธุรกิจ
                   การวิจัยและพัฒนาในด้านวิทยาศาสตร์, บริการวิจัยและบุกเบิกการทดลองในด้านฟิสิกส์, บริการวิจัยและบุกเบิกการทำลองในด้ารเคมีและชีววิทยา, บริการวิจัยและบุกเบิกการทดลองในด้านิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี, บริากรวิจัยและบุกเลิกการทดลองในด้านเกษตรกรรม, บริการวิจัยและบุกเลิกการทอดลองในด้านวิทยาศาสตร์อื่นๆ โดยมีเงื่อนไขว่าต่างชาติต้องเข้ามาในลักาณะบริษัทจำกัดถือหุ้ร่วมกับคนไทยในสัดส่วน มไ่เกินร้อยละ 49
                    การวิจัยและพัฒนาในด้านสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์, การวิจัยและบุกเบิกการทดลองในด้านเศรษฐศาสตร์, การวิจัยและบุกเบิกการทดลองในด้านกฎหมาย, การวิจัยและบุกเบิกการทดลองในด้านภาษีศาสตร์ โดยมีเงื่อนไขว่า ต่างชาติต้องเข้ามาในลักาณธบริษัทจำกัดถือหุ้นร่วมกันบคนไทยในสัดส่วน ไม่เกินร้อยละ 49
                    บริการที่ปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการ บริการที่ปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงนิยกเว้นภาษีธุรกิจ, บริการที่ปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการด้านทรัพยากรบุคคล โดยมีเงื่อนไขว่า ต่างชาติต้องเข้าในลักษณะบริษัทจำกัด ถือหุ้นร่วมกับคนไทยในสัดส่วน ไม่เกินร้อยละ 49
                  - การก่อสร้าง
                     การเตรียมการติดตั้งในงานก่อสร้าง, การประกอบและติดตั้งงานก่อสร้างชนิดสำเร็จรูป, การกร่อสร้างด้านการค้า, งานขั้นสุดท้ายเพื่อความสมบูรณ์ของอาคาร โดยมีเงื่อนไขว่า ต่างชาติต้องเข้ามาในลักาณธบริษัทจำกัด ถือหุ้นร่วมกับคนไทยในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 49 และไม่ผูกพันการเข้ามาประกอบวิชาชีพของวิศวกรโยธา
                 - การเงิน
                     บริษัทหลักทรัพย์ โดยอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาถือหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ได้เกินกว่ากึ่งหนึ่ง(เดิมผูกพันร้อยละ 49 เพิ่มเป็นร้อยละ 100 ) และอนุญาติให้บริษัทหลักทรัพย์ที่มีต่างชาติถือหุ้นเกินร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว สามารถประกอบธุรกิจนายหน้าได้ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาอนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบะุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ พ.ศ. 2541 และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
                     บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม โดยอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาถือหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุรรวมได้เกินกว่ากึ่งหนึ่งแต่ไม่ผูกพันสำหรับใบอนุญาตที่ออกใหม่
                  - การขนส่งทางทะเล
                     บริการเกี่ยวกับพิธีการทางศุลกากร โดยมีเงื่อนไยว่าต้องเข้ามาในลักาณะบริษัทจำกัดถือหุ้นร่วมกับคนไทยในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 49 โดย คาสตอม โบ๊กเกอร์ ต้องมีสัญชาติไทยและได้รับใบอนุญาตจากกรมศุลกากร
                      บริการส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยการยกเลิกข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาด ซึ่งเดิมระบุข้อจำกัดการขนส่งสินค้าทางทะเลในเส้นทางไทย-เวียดนามและไทย-จีน ว่า ต้องให้สิทธิการขนส่งแก่ประเทศทั้งสองมากกว่าประเทศอื่นๆ ตามความตกลงร่วมกันว่าด้วย คาร์โก้ แชรริ่ง ระหว่งไทย-เวียดนาม และ ไทย-จีน แต่เนื่องจากข้อตกลงดังกล่าวได้มีการยกเลิกแล้ว ทดยจคึงสมารถปรบปรุงข้อเสนอดังกล่าวให้มีระดับการเปิดเสรีมากขึ้นได้
             
- การสื่อสารโทรคมนาคม
                   บริการให้เช่าอุปกรณ์ปลายทาง โดยมีเงื่อนไขว่าต่างชาติต้งอเข้ามาในลักษณะบริษัทจำกัดถือหุ้นร่วมกับคนไทยในสัดส่วน ไม่เกินร้อยละ 49 และไม่ผูกพันการเข้ามาประกอบวิชาชีพของวิศวกรโยธา
                   Domestic VSAT โดยมีเงือนไขว่าในการให้บริการข้ามพรมแดนผู้ให้บริการต้องใช้เครือข่ายโทรคมนาคมของรัฐ การให้บริากรวิทยุขึ้นอยุ่กับคล่ความถี่ที่ว่าง ส่วนการเข้ามาจัดตั้งทางพาณิชน์นั้น ต้องจัดตั้งเป้นบริษัทจดทะเบียนของไทยโยมีต่างชาติถือหุ้นไม่เกินร้อยลุ 40 ของจำนวนผุ้ถือหุ้นทั้งหมดของบริษัทโดยเป็นการประกอบการ บิวท์-ทรานเฟอร์เรท-โอเปอร์เรท และต้องใช้เครือข่ายโรคมนาคมของรัฐ
                 - การท่องเที่ยว
                    บริการที่พักแบบ โมเตล, บริากร้านที่พักอื่นๆ (บริการศูนย์กลางและบ้านพักตากอากาศ, บริการที่ตั้งแคมป์และขบวนคาราวาน), สวนสนุก, การอำนวยความสะดวกด้านที่จอดเรือ โดยมีเงื่อนไขว่า ต่างชาติที่จะเข้ามาประกอบธุรกิจเป็นผุ้ให้บริากรในกิจกรรมเหล่านี้ ต้องเข้ามาในลักษณะบริษัทจำกัด ถือหุ้นร่วมกับคนไทยในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 49 ของทุนจดทะเบียน และจำนวนผุ้ถือหุ้นเป็นคนต่างชาติต้องน้อยกว่างครึ่งหนึ่งของจำนวนผุ้ถอหุ้นทั้งหมด ส่วนการเข้ามาให้บริากรของคนต่างชาติในลักษณะบุคคลธรรมดานั้นไทยยินยิมเฉพาะบุคลากรระดับผู้จัดการ ผุ้บริหารและผุ้เชี่ยวชาญพิเศษ ซึ่งเป้นการโอนย้ายภายในองค์กรและบริษัทที่ว่าจ้างบุคคลดังกล่าว โดยต้องตั้งอยู่ในต่างประเทศ
                   ศูนย์การประชุม(จุผุ้เข้าร่วมประชุมได้มากกว่า 2,000 คน) โดยมีเงื่อนไขว่าต่างชาติต้องเข้ามาในลักาณะบริษัทจำกัด ถือหุ้นร่วมกับคนไทยในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 49 ของทุนจดทะเบียน
                การเจรจารอบต่อไป อาเซียนได้ประกาศวิสัยทัศน์อาเซียน ค.ศ. 2020 เมื่อธันวาคม 2540 เพื่อใช้เป้นแนวทางใหม่ที่อาเซียนจะดำเนินการในทศวรรษต่อไปจนถึง ค.ศ. 2020 โดยในส่วนขงอการต้าบริากรได้เร่งรัดการเปิดเสรีการต้าบริการมากขึ้น และเพื่อให้การดำเนินการตามวิสัยัศน์อาเซียนปี 2020 บรรลุผลเป็นรูปธรรม จึงได้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการฮานอย ซึ่งประกอบด้วยแผนดำเนินการในการเปิดเสรี การอำนวยความสะดวก และการส่งเสริมความร่วมมือดานการต้าบริากร ในส่วนที่เกี่ยวกับการเปิดเสรีการต้าบริการ ในส่วนทีเกี่ยวกับการเปิดเสรีการต้าบริการนั้น ได้กำหนดให้มีการเจรจาเปิดเสรีการต้าบริการในอาเซียนรอบต่อไปให้ครอบคลุมการเจรจาทุกสาขาบริการ โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2542 และสิ้นสุดในปี 2544
               ประโยชน์ที่ไทยได้รับ
                ด้านความร่วมมือ ในช่วงเวลา 3 ปีครั้งที่สมาชิกอาเวียนใช้ในการดำเนินการเพื่อให้เป็นไตาม AFAS โดยผ่านคณะกรรมการประสานงานด้านบริากรในอาเซียน นั้น ไม่มีการนำประเด็นเกี่ยวกับความร่วมมือใน AFAS มาพิจารณอย่างจริงจัง ดังนั้น กิจกรรมดังกบาวภายใต้ AFAS จึงยังไม่มีรความคืบหน้าใดๆ อย่งไรก็ตาม ปัจจุบันสมาชิกอาเซียนกำลังพิจารณาหาแนวทางส่งสเริมความ่วมมือในการริการสาขาการท่องเที่ยวและการขนส่ง อาทิ ลดข้อจำกัดทางการลงทุภายในกลุ่มสมาชิกอาเวียนด้วยกันในด้านที่พักนักท่องเที่วและสิ่งอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอื่นๆ ให้มีการเคลื่อยย้ายบุคลากรระดับสำคัญๆ ด้านการโรงแรม และบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างสมาชิกอาเซียน ให้สิทธิในการเจรจาสำหรับการขนส่งทางอากาศและทางทะเลระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการเคลื่อนย้ายทั้งสินค้าและผู้โดยสารเป็นไปอย่างรอบรื่น หากบรรลุข้อตกลงร่วมกัน ไทยก็จะได้รับประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาการท่องเที่ยว ซึ่งไทยมีศักยภาพในการแข่งขันเพียงพอ
                 ด้านการเปิดเสรี ผลจากการเปิดเสรี ดังที่ผ่านมาจะเป้ฯประดยชน์อย่างแท้จริง ถ้าภาคเอกชนจะเป็นผู้ผลักดันให้เปิดตลาด โดยแจ้งปัญหาปละอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดและการดำเนินธุรกิจในประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อจัดทำข้อเรียกร้องต่อสมาชิกอาเซียนในกาเปิดตลาดสาขาบริการที่ภาคเอกชนมีความร้พมอและความต้องการจะออกไปลงทุนยังต่างประเทศอย่างแท้จริง แต่ในทางปฏิบัติลแ้ว การเสนอข้อเรียกร้องต่อประเทศคู่เจรจาส่วนใหย่มาจากาภรัฐบาลโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นผลการเจรจาจึงเป็นเพียงโอกาสให้กับผู้ประกอบการในประเทศที่สนใจ และเป้ฯทางเลือกที่เพิ่มขึ้นของตลาดบริากร เท่านั้น
              อย่างไรก็ตาม เมื่อการเคลื่อนย้ายของธุรกิจบริากรในประเทศสมาชิกอาเซียนเข้ามาในไทยมากขึ้นก็จะเป้ฯการกระตุ้นให้ภาคเอกชนกต้องปรับตัวเพื่อรองรับการแข่งขันที่มากขึ้นและไปสู่การปรับปรุงประสิทธิภาพในการให้บริากรเพื่อรักษาสวนแบงลาด ซึ่งผุ้ได้รับประโยชน์คือ ผุ้บริโภคในประเทศ ถ้าคำนึงถึงในแง่โอกาสที่ผุ้ประกอบการทไยได้รับจากการเจรจา ในการเข้าไปประกอบะุรกิจบริการในประเทศสมชิกอาเซียน โดยได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าประเทศนอกกลุ่มแล้ว ผุ้ประกอบการไทยจะได้รับประธยชน์จากการเปิดตลาดธุรกิจบริการจำนวนมากกว่า 70 กิจกรรม ซึ่่งเป็นการเปิดประตูทางเลือกใหม่ให้แก่ผุ้ประกอบการของไทยในการเข้าสู่ตลาดที่มีระดับการพัฒนาที่ใกล้เคียงกัน และเป้ฯการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันเพื่อการเข้าไปมีส่วนร่วมในตลาดบริากรเหล่านี้ในอนาคต( การเจรจาเปิดเสรีภาคบริการของอาเซียน" ประนอมศรี โสมขันเงิน.บทความ)

ASEAN Free Trade Area (1992)

             ASEAN Preferential Trading Arrangment(1977)
             Preferential Trade Agreement : PTA  หมายถึง ความร่วมมือในเฉพาะประเด็นที่มีความสนใจร่วมกันเป็นบางส่วนเท่านั้น อาทิ โครงการความร่วมมือเฉพาะทางด้านอุตสาหกรรมอาเซียน ที่เปิให้บริษัทเอกชน 2 ฝ่าย ที่เป็นสมาชิกอาเซียนด้วยกันและต้องการทำหารต้าสินค้าที่อยุ่ในโครงสร้างการผลิตเดียวกัน  ดังนั้น ประเทศทั้ง 2 ฝ่ายหรือแต่ละฝ่ายจะเลือกเก็บอากรในอัตราต่ำหรือร้อยละ 0 เมื่อมีการค้าสินค้าระหว่งกันตามขั้นตอนโครงสร้างการผลิตสินค้านั้น หรือเป็นการให้สทิะิประดยชน์ในบางสินค้าด้วยอากรขาเข้าที่ต่ำเป็นพิเศษของประเทศที่พัฒนาแล้ว แก่ประเทศกำลังพัฒนา และประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด

           ASEAN Preferential Trading Arrangment เป็นข้อตกลงทางการค้าฉบับแรกที่ปูทางสู่การเป็นตลาดเดียวอาเซียน ความตกลงการค้าสิค้าของอาเซียน ASAEN Trade in Good Agreement หรือ ATIGA เป็นความตกลงที่เกิดขึ้นภายในแผนประชาคมเศราฐกิจอาเซียน AEC Blueprint ที่ต้องการให้อาเซียนเป็นตลาดเดียวและเป็นฐานการผลิตร่วมกัน โดยมีการเคลื่อนย้ายอย่างเสรีของสินค้า บริการการลงทุน แรงงานที่มีทักษะ และการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรีมากขึ้น ความตกลง ATIGA เป็นความตกลงที่มีเกี่ยวข้องกับความตกลง สินค้าหลายฉบับที่อาเซียนเคยให้สัตยาบัน อาทิ
              - การตกลงว่าด้วยสิทธิพิเศษทางการค้าอาเซียน
              - การใช้ความตกลงว่าด้วยการใช้อัตราภาษีพิเศษที่เท่ากันสำหรับเขตการต้าเสรีอาเซียน ปี 1992
             - ความตกลงด้านศุลกากรอาเซียน ปี 1997 
             - กรอบความตกลงในข้อตกลงยอมรับร่วมกันของอาเซียน ปี 1998
             - กรอบความตกลงด้านอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน ปี 2000
             - กรอบความตกลงว่าด้วยการรวมกลุ่มสาขาสำคัญของอาเซียน 2004
             - ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกด้านศุลกากรด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน ปี 2005 
             จากลำดับขั้นการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่า ความร่วมือเฉพาะประเด็น เป็นสิ่งแรกในการร่วมมือทางเศรษฐกิจ และในขั้นต่อมา คือ เขตการค้าเสรี  และสหภาพศุลการกร เพื่อจะดำเนินการไปสู่การเป็นตลาดเดียว และ ในขั้นต่อไปคือการร่วมกลุ่มเศรษฐกิจในขั้น สหภาพเศรษฐกิจ และการรวมกลุ่มในลำดับที่สุงสุดคือ สหภาพทางการเมือง หรือการรวมกลุ่มเหนือรัฐซึ่งเป็นลำดับสูงสุดของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ซึ่งในลำดับต่อไปจะกล่าวถึงเขตการค้าเสรี ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มที่สำคัญอีกขั้นหนึง
              Free Trade Area เขตการค้าเสรี เป็นกลุ่มประเทศที่ได้ทำข้อตกลงที่จะทำการต้าแบบเสรี โดยกำจัด การเก็บภาษีศุลกากร การจำกัดส่วนแบ่ง (โควต้า) และการให้สิทธิพิเศษ กับสินค้าส่วนใหญ่ (ถ้าไม่หมด) ที่ทำการต้าขายระหว่างกัน
             นโยบายการต้าเสรี มีรากฐานมาจากทฤษฎีการได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ ที่เสนอว่า "แต่ละประเทศควรจะเลอกผลิตแต่เฉพาะสินค้าที่ตนมีต้นทุนการผลิตได้เปรียบโดยเปรียบเทียบมากที่สุด แล้วนำสินึ้าที่ผลิตได้นั้นไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าที่ประเทศอืนมีต้นทุนการผลิตได้เปรียบ ถึงแม้ว่าประเทศหนึ่งจะอยุ่ในฐานะเสียเปรียบอีกประเทสหนึ่งในการผลิตสินค้าทุกชนิดก็ตามประเทศทั้งสองก็ย่อมจะทำการต้าต่อกันได้ โดยแต่ละประเทศจะเลือกผลิตเฉพาะสินค้าที่เมื่อเปรียบเกับสินค้าอื่นแล้ว ประเทศตนสามารถผลิตได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด แล้วนำมาแลกเปลี่ยนสินค้าที่ผลิตขึ้นกับอีประเทศหนึ่ง" 
            นโยบายการต้าเสรีไม่สนับสนุนการเก็บภาษีศุลการกรในอัตราที่สูบงและขจัดข้อบังคับต่างๆ ทีกีดกันการต้าระหว่างประเทศ ดังนั้นประเทศที่ใจช้นโยบายการต้าเสรีจะมีลักษณะโดยทั่วไป ดังนี้
             - ดำเนินการผลิตตามหลัการแบ่งงานกันทำ กล่าวคือ เลือกผลิตแต่สินค้าที่ประเทศนั้นมีประสทิธิภาพในการผลิตสุงและมีต้นทุนการผลิตต่ำ

             - ไม่มีการเก็บภาษีคุ้มกัน เพื่อคุ้มครองช่วยเหลืออุตสาหกรรมในประเทศแต่อย่างใด คงเก็บแต่ภาษีศุลการกรเพื่อเป็นรายได้ของรัฐ
              - ไม่ให้สิธิพิเศษหรือกีดกันสินค้าของประเทศใดประเทศหนึ่ง มีกาเก็บภาษีอัตราเดียวและให้ความเป้ฯธรรมแก่สินค้าของทุกประเทศเท่านๆ กัน
              - ไม่มีข้อจำกัดทางการต้า ที่เป็นอุปสรรคต่อการต้าระหว่างประเทศ ไม่มีการควบคุมการนำเข้าหรือการส่งออกเที่เป้นอุสรรคต่การต้าระหว่างปรเทศ ยกเว้นการควบคุมสินค้าบางอย่างที่จะเป็ฯอันตรายต่อสุขภาพอนามัย ศํ๊ลธรรมจรรยาหรือความมัี่นคงของรัฐเท่านั้น
              เขตการต้าเสรี หมายถึง การวมกลุ่มเศราฐกิจโดยมีเป้าหมายเพื่อลดภาษีศุลกากรระหว่างกันภายในกลุ่ม ที่ทำข้อตกลงลงให้เหลือน้อยที่สุดหรือเป็ฯ 0 และใช้อัตราภาษีปกติที่สูงกว่ากับประเทศนอกกลุ่ม การทำเขตการต้าเรีในอดีตมุ่งในด้านการเปิดเสรีด้านสินค้า ดดยการลดภาษีและอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีเป็นหลัก แต่เขตการต้าเสรีในระยะหลังๆ นั้น รวไไปถึงการเปิดเสรีด้านบริการ และการลงทุนด้วย
             เขตการต้าเสรีที่สำคัญในปัจจุบันได้แกี NAFTA และ AFTA และ๗ระนี้ ประเทศสหรับอเมริกา อยุ่ในระหว่างการเจรจาทำเขตการต้าเสรีในภูมิภาคอเมริกา โดยตั้งเป้าหมายที่จะให้การเจรจาเสร็จสิ้นก่อนปี พ.ศ. 2548 รูปแบบเขตการต้าเสรีแบ่งได้ 2 ชนิดคือ
            1) สหภาพศุลกากร หมายถึง การรวมตัวกันทางเศณาฐฏิจในระดับที่ลึกและหว้างกว่าเขตการค้าเสรี เพราะมีลักษณะที่เป้นตลาดร่วม ซ่งไม่มีกำแพงภาษีระหว่างประเทศสมาชิกในสหภาพศุลกากรเก็บภาษีศุลกากรอัตราเดียวกัน กับทุกประเทศนอกกลุ่ม สหภาพศุลกากรจึงทำให้ประเทศในกลุ่มมีสภาพเป็นเสมือนประเทศเดียวกันหรือตลาดเดียวกัน สหภพศุลกากรที่สำคัญ คือ สหภาพยุโปร และ MERCOSUR
          2) พันธมิตรทางเศณาฐฏิจ หมายถึง ความร่วมือทางเศรษฐกิจที่มีการพัฒนารูแบบไปจากที่เคยมีมา โดยมีกรอบความร่วมมือทีกว้างขวางเขตการค้าเสรี อยางไรก็ดี ความเข้าใจเกี่ยกับ CEP หรือ ขอบเขตอาจจะแตกต่างไป โดยทั่วไป ครอบคลุมความร่วมมือทางเศราฐกิจทังในด้านการต้า สินค้า บริการและการลงทุน และแบ่งอย่างหว้างๆ ได้ 2 ประเภท คือ ที่มีเขตการต้าเสรี เป้นหัวใจสำคัญ และรวมไปถึงความ่วมมือทางเศราฐกิจด้านอื่นๆ ด้วยและ ที่ไม่มีการทำเขตการต้าเสรี แต่อาจมีการลดภาษ๊ศุลกากรที่เป้นอุปสรรคต่อการต้าด้วย รวมทั้งมีการร่วมมือกันในด้านอื่นๆ อย่างกว้างขวาง 
          อย่างไรก็ตาม เขตการค้าเสรีและ สหภาพศุลกากร ต่างก็เป้ฯกระบวนการในการผนึกความร่วมมือ และหรือการรวมตัวทางเศรษฐกิจ และเป็นปัจจัยเร่งการเปิดเสรีที่ก้าวไปเร้วกว่าการเปิดเสรตามข้อผูกพันของ WTO รวมทั้งเป้ฯการเตรียมการเปิดเสรีตามเป้าหมายภายใต้ปฏิญญาโบกอร์ของ เอเปค ซึ่งกำหนดให้ประเทศสมาชิกที่พัฒนาแล้วเปิดเสรีอย่างเต็มที่ภายใรปี ค.ศ. 2010  และประเทศสมาชิกที่กำลังพัฒนาเปิดเสรีภายในปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ.2563)

         ในที่นี้การใช้คำว่าเขตการค้าเสรีนั้น หมายถึง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ไกล้ชิดกันเป็นพิเศษในลักษณะที่เป็นการกล่าวอย่างกว้างๆ คลุมไปทั้ง เขตการค้าเสรี, สหภาพศุลการกร และพันธมิตรทางเศรษฐกิจ ส่วนในความหมายที่ต่างกันคือ ความร่วมมือในรูปแบบนั้นๆ เป็นกรณีๆ ไป
          อย่างไรก็ดี เขตการต้าเสรีนั้น ในทางปฏิบัตเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากในระดับหนึ่งและหากต้องการให้ได้ผลจริงจัง ก็จะต้องพัฒนาไปสู่การเป็นสหภาพศุลกากรโดยเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงการหลบหนีภาษีในรูปแบบต่างๆ เนื่องจากประเทศนอกกลุ่มจะพยายามส่งสินต้าเข้าทางประเทที่ทำข้อตกลงเขตการต้าเสรี ที่มีภาษีต่ำไปสู่ประเทศมาเลเซีย แต่ประเทศไทยเก็บภาษีศุลการกรการนไข้าสิ่งทอเพียง 10 % แล้วนำปแปรรูปเล็กน้อย เช่น บรรจุห่อใหม่เพื่อแลปงสภาภให้เป็นสินค้ประเทศไทยแล้ว นำไปขายในประเทศมาเลเซียอันจะทำให้เขาเลี่ยงภาษีได้ 20% กล่าวคือ เขตการต้าเสรีจะต้องใช้ทรัพยารกรของภาครัฐเป้ฯจำนวนมาก เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับแหล่งงกำเนินสินค้าที่รัดกุม ซึ่งทางออกที่ดีที่สุด คือ กาแแลงภาษีศุลการกรของประเทศในเขตการค้าเสรีให้เท่ากันทั้งหมด หรือลงให้เป็นสหภาพศุลกากรโดยเร็วนั่นเอง
           เขตการต้าเสรีสะท้อนแนวคิดสำคัญทางเศรษฐศาสตร์ทีว่า "ประโยชน์จากการต้าระหว่างประเทศจะเกิดขึ้นสูงสุดเมื่อประเทศต่างๆ ผลิตสินค้าที่ตนมีต้นทุนในกาผลติต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้วนำสินค้าเหล่านั้นมาขายแลกเปลี่ยนกัน" ซึ่งในโลกแห่งความเป้นจริงนั้น ประโยชน์สุงสุดดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น หากยังมีการเก็บภาษีขาเข้าและมีการใช้มาตรการกีดกันทางการต้าต่างๆ ซึ่งส่งผลบิดเบือนราคาที่แท้จริงของสิค้า และทำให้การต้าขายไม่เป็นไปอย่างเสรีและมีประสิทธิภาพ
           พร้อมกันนี้ เขตการต้าเสรีถือเป็นเครื่องือทางกาต้าสำคัญที่ประเทศต่างๆ สามารถใช้เพื่อขยายโอกาสในการต้า สร้างพันธมิตรทางเศราฐกิจ พร้อมๆ กับเพ่ิมความามารถในการแข่งขันด้านราคาให้แก่สนค้าของตน เนื่องจากสินค้าที่ผลิตใน "เขตการต้าเสรี"จะถูกเก็บภาษีขาเข้าในอัตราที่ต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่สมาชิก จึงทำให้สินค้าที่ผลิตภายในกลุ่มได้ เรปียบในด้านราคากว่าสินค้าจากประเทศนอกกลุ่ม...(www.th.wikipedia.org/../เขตการค้าเสรี)
           ASEAN Free Trade Area : AFTA เขตการค้าเสรีอาเซียน แนวทางการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจของอาเซียนปรากฎเป็นรูปะรรม จากากรประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 1 ค.ศ. 1976 ณ เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป้นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ เพราะหลังจากนั้น ก็มได้มีโครงการต่างๆ มากมาย เช่น โครงการอุตสาหกรรมอาเซียน AIP โครงการแบ่งผลิตทางอุตาหกรรมอาเวียน AIC โครงการร่วมลงทุนด้านอุตสาหกรรมอาเซียน AIIV เป็นต้น จนมาถึงแนวความคิดในการจัดตั้งเขตการต้เสรีอาเวียน ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 3  เมืองมะนิลา ในการประชุมครั้งนี้ มีการหารือถึงความเป้นไปได้ในการจัดตั้งเขตการต้าเสรีอาเวียน แต่ประเทศอินโดนีเซีย ได้คัดค้านการจักตั้งดังกล่าวจึงทไใ้ข้อเสนอนี้ตกไป แต่อย่างไรก็ดี ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 4 ที่ประเทศสิงคโปร์ นายอาฯันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรีประเทศไทยในขณะนั้นได้เสนอ เรื่องการจัดตั้งเขตการต้าเารีอาเซียนอีกครั้งในครั้งนี้ผุ้นำอาเซียนได้เห็นชอบกับแนวความคิดดังกล่าว จึงได้มีการลงนามจัดตั้งเขตการต้าเสรีอาเซียนขึ้น อย่างเป็นทางการ
       
 เป้าหมายและวัตถุประสงค์ เขตการต้าเสรีอาเซียน เกิดจากคามต้องการร่วมมือทางกาต้าจากประเทศต่างๆ ในอาเซียน เพื่อให้อาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจ และเพิ่มอำนาจในกาต่อร่องทางด้านเศรษฐกิจในเวทีโลก พร้อมกันนี้อาเวียนยังมีความต้องการที่จะดึงดูดประเทต่างๆ ให้เข้ามาลงทุน เพื่อความเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องภายในภุมิภาค โดย AFTA นั้นจะทำให้การต้าขายสินค้าในอาเซียนเป็นไปอย่างเสรี มีการคิดอัตราภาษีระหว่างกันในระดับที่ตำ่ และปราศจากข้อกำหนดทางการต้า อันจะส่งผลให้ประเทศสมาชิกจะมีต้นทุนการผลิตสินค้าที่ลดลง อีกทั้งเป็นการเพ่ิมปริมาณทางด้านการต้าในภูมิภาคให้มีมากขึ้น ทำให้อาเซียนเป็นภุมิภาคที่มีการเติลโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและมั่นคง
         กรอบการดำเนินงาน อาเซียนดำเนินการจักตั้งเขตการค้าเสรีอาเวียน ดดยมุ่งเน้นไปที่การขจัดอุปสรรคทางการค้าทั้งหลายภายในภูมิภาค ทั้งในด้านภาษีและเครื่องกีดขวางทางการต้าต่างๆ ที่มิใช่ภาษี ยกตัวอย่เช่น การจำกัดโควต้าการนำเข้า เป้นต้น โดยจะยกเว้นแต่เพียงสินค้าที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง ศีลธรรม ชีวิต และสฺปะ เท่านั้น ซึ่งมาตรการที่สำคัญที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นมาตรการทางภาษี โดยอาเซียนมีเป้าหมายในการลดภาษีในบัฐชีลดภาษี ให้เหลือร้อยละ 0-5 ภายใรปี ค.ศ. 2002 และตั้งเป้าให้เลหือร้อยละ 0 ภายใน ค.ศ. 2010 ..(wiki.kpi.ac.th/../เขตการค้าเสรีอาเซียน)
             

วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2560

History Economic of Sounth East Asia :Thailand

              ระบบเศรษฐกิจไทยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ปัญหาทั่วไปของประเทศไทยหลัวสงครามโลกครั้งที่สองคือ ความเสียหายของอุกรณ์การผลิตทั้งหลายตลอดจนปผัจจยการผลิตขึ้นพื้นฐานต่างๆ ทั้งการคมนาคมพลังงาน ท่าเรือ ฯ รวมมั้งความเสียหายเนื่อจากการต้าระหว่างประเทศถูกตัดขาดมานาน ส่งผลให้เกิดความขาดแคลนสิค้ารต่างๆ อย่งรุนแรง แต่ประเทศไทยวามารถฟื้นตัวได้รวดเร็วซึงอาจเป็นเพราะสาขาการผลิตที่สำคัญคือ การเหษตร มิได้ถูกทำลายมกนักในระหว่างสงคม โดยเฉพาะอย่างยิงข้าว ดังนันเพียง 6 ปีหลังสงคราม คือ ค.ศ. 1951 ระดับการผลิตข้าวก็สูงเกินกว่าระดับการผลิตเฉลี่ยช่วงก่อนสงครา นอกนั้นในระหว่างสงครามมีการฟื้นฟูอุสตสาหกรรมหลายชนิดขึ้นในประเทศเนื่องจาก สินค้าหลายอย่างไม่อาจนำเข้าจากต่างผระเทศได้ แต่สาขาเศรษฐฏิจที่ทรุดโทรมก็คือสาชขาการต้าระหว่างประเทศ เนื่องจากการคมนาคมระหว่งประเทศขัดของเป้นเหตุให้ไม่มีสินค้าเข้าออกดังภาวะปกติ
             ดังนั้น เมื่อเสร็จสิ้นสงครามจึง้องมีการบูรณะประเทศเป็นการใหญ่ ไทยมีภาวะการขาดแคลนสำรองเงินตราร่างประเทศหลังสงคราม เพราะส่วนหนึ่งของทุนสำรองเงินตราระหว่งประเทศที่ฝากไว้ ณ ประเทศอังกฤษถูกยึดโดยถือเสมอนไทยเป็นฝ่ายแพ้สงคราม อีกส่วนหนึ่งเป้ฯทองคำและเงินเบยนของญี่ปุ่น (ซึ่งไม่มีค่าในช่วงนั้น) ซึ่งมิได้คือใไ้ไทยการขาดแคลนเงินสำรองย่อมทำให้ขดความสามารถซ้อสินค้าเข้าและทำให้ค่าเงินตราสของไทยขาดเสถียรภาพอีกด้วย ดังนั้น สิ่ิงแรกที่ไทยจัดดำเนินการคือการฟื้นฟูการผลิตเพื่อส่งออกและข้าวคือการผลิตเป้าหมาย แต่ไทยประสบปัฐหาเรื่องข้าวมากในระยะนั้น เพราะการบังคับของฝ่ายพันธมิตรให้ไทยส่งข้าวโดยไม่คิดมูลค่าเพื่อแลกกับการไม่ต้องตกเป็นฝ่ายแพ้สงครา แต่เมื่อการบังคับดังกล่าวไม่ประสบผลดีฝ่ายพันธมิตรจึงให้พไทยขายข้าวราคาถูกให้ แต่วิธีการเช่นนี้ยากที่จะประสบผลสำเร็จได้ เนื่องจากราคาข้าวในตลาดโลกขณะนั้นสูงมาก จึงทำให้ผุ้ผลิตไม่ต้องการผลิตมากนัก นอกจากนั้นข้าวเป็นจำนวนมากที่มีการผลิตได้ถูกนำมาขายในตลาดมืดและลักลอบส่งออกต่างประเทศ รัฐบาลไทยจึงไม่อาจส่งข้าวได้ครบตามจำนวนที่สัฐญฐญา อย่างไรก็ดี ข้อบังคับต่างๆ ของฝ่ยพันธมิตรต่อไปทยน้ัน เป้ฯการกีดขวางการส่งออกของข้าวไทยอย่างยิ่ง ไทยมีโอกาสค้าข้าวโดยเสรีใน ค.ศ. 1947 ซึ่งมีผลให้การส่งออกขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ข้าวฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วนั้น สินค้าออกอื่นๆ ฟื้นตัวได้ค่อนข้างข้า เช่น การทำดีบุก ยางพารา และไม้สัก
             ปัญหารเงินสำรองระวห่างประเทศนั้นค่อยๆ ผ่อนคลายลงเมือไทยส่งออกได้เพิ่มขึ้นและอังกฤษได้คือสำรองเงินตราส่วนที่เป้นเงินปอนด์ให้กับรัฐบาลไทย และญี่ปุ่นก้คืนทองคำบางส่วนมาให้ไทยด้วย นอกจากการได้คือสำรองเงินตราบางส่วนมาดังกล่าวแล้ว รัฐบาลไทยได้แก้ไขปัยหาการขาดแคลนสำรองเงินตราต่างประเทศนี้ด้วยการเข้าควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตาโดยทำการควบคุมอย่างเต็มที่ในระยะแรกคือรายรับจาการส่งออกทังหมดต้องนำมาแลกเปลี่ยนที่ธนาคารชาติในอัตราทางการและจะขชายเงินตราแก่ผุ้สั่งเข้าสินต้าที่รัฐบาลพิจารณาว่าจำเป้นเท่านั้น ต่อมาการควบุคุมกาแลกเปล่ยนเงินตราลดความเข้มงวดลง คงควบคุมเฉพาะเงินตราที่ได้จาการส่งออกาซึ่งสิค้าสำคัญ ๆ คือ ข้าว ไม่สัก ยางพารา และดีบุก เท่านั้นการกระทำ ดังกลาวของรัฐบาลไทยอาจพิจารณาได้สองทัศนะคือ การควบคุมเฉพาะรายได้จากสินค้าสำคัญ เพราะรัฐบาลเห็นว่าสินค้าดังกบล่าวมีตลาดที่กว้างมากในระยะหลังสงครามและรายได้จาดสินึ้าเหล่านี้มีจำนวนมหาศาล หากรัฐบาลไม่ควบคุมแลกเปลี่ยนเหล่านี้ อาจทำให้เสถียรภาพทางการเงินของประเทศแปรปรวนได้ ในขณะที่สินค้าออกอื่นๆ ซึ่งไม่ถูกควบคุมนั้นทำรายได้ให้แก่ประเทสน้อยมาก จนไม่จำเป็นที่รัฐบาลจะทการควบคุมอักทัศนะหนึค่งคือรัฐบาลต้องการเปลียนกลยุมธในการพัฒนาประเทศคือ พยายามให้มีการส่งออกสินค้าอื่นๆ มากขึ้น โดยการให้แรงจูงใจแก่ผุ้ส่งออกด้วยการไม่ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงนิตราอย่างเข้มงวด แต่ขณะดี่ยวกับอาจเห็นได้ว่าเป้นการลดแรงจูงใจของผุ้ส่งออกสินค้าสำคัญดั้งเดิม 4 ชนิด
                ในช่วงทศวรรษที่ 1950 นี้ประเทศไทดยเริ่มติดต่อค้าขายำับต่างปะระเทศอย่างจริงจังอีกครังหนึ่งเมื่อมีสนธิสัญญากับตะวันตกในรัฐกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นั้นกล่าวได้ว่าเป้นสาเหตุที่ทำให้ระดับการต้าระหว่างประเทศของไทยพุ่งขึ้นสู่จุดแห่งความรุ่งเรืองอย่างมาก ดุลการต้าเกิดดุลตลดอเวลา อย่างไรก็ตาม ความเจริญเติบโตของการต้าในช่วงหลังๆ เป็นไปในอัตราที่ค่อข้างต่ำ และากรต้าทรุดโทรมลงในช่วงของการเกิดภาวะผดปกติขึ้นในโลก ชเ่น ระยะที่เกิดสงครามดลกทังสองครั้ง หรือช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก เศรษฐกิจสาขาการต้าระหว่างประเทศของไทยพุ่งขึ้นสุจุดยอดแห่งความเจริยีกครั้งในเมือเกิดสงครามเกาหลีและสงครามอินโดจีนตรังแรกในทศวรรษ 1950
            อาจกล่าวได้ว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยมีการต้าขายกับต่างประเทศอย่างจริงจัวในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 มีทั้งปัจจัยภายในประเทศและนอกประเทศ
            ในช่วงก่อนการมีแผนพัมนาเศราฐกินั้น โครงสร้างของการต้าระหย่างประเทศของไทยนั้นคือ สินค้าออกเป็นสินค้าขั้นปฐม แต่สินค้าขาเข้าเป็นสินค้าอุตาสหกรรมบริโภคฟุ่มเฟือยส่วยใหญ่ โดยหลัการแล้วไทยจะมีดุลการต้าเสียเปรียบในระยะยาว เนื่องจากสินค้าออกเกษตรมีความยือหยุนของอุปทานค่อนข้ารงต่ำเมือเทีบกับสินค้าอุตาสหรรม นอกจากนั้นมูลคา เพ่ิมของสินค้าเกษตรกรรมยังต่ำด้วย แต่การที่ไทยไม่ประสบปัญหารขาดดุการต้าในระยะดังกล่าวนั้นเป็นเพราะความต้องการสินค้า เกษตรของไทยโดยเฉพาะอย่างยิงข้าวมีมาก ทั้งทรัพยากรเพื่อการผลิตของไทยยังมีอยุ่เหลือเฟือ
             โครงสร้างการต้าเช่นนี้ดำเนินอยู่เป้นเวลานาน มีการหยุดชะงักบ้างในระยะสงครามดลกหรือเศรษฐกิจตกต่ำ มีผลให้ไทยต้องชลอการสั่งสินค้าจากต่างประเทศ แต่เมื่อภาระความจำเป็นหมดไป ไทยก็กลับซื้อสินค้าอุปโถภคบลริโภคเข้ามาอีก อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังสงครามโลน้นมีสินค้าเข้าประเภททุนเพ่ิมมากขึ้น นเื่องจากการประกอบอุตสาหกรรมและการทำกิจกรรมพ้นฐานของรัฐบาล สินค้าเข้าของไทยยังคงมีลักาณะกระจายคือมีสินค้าเขาหลายชนิด แต่ละชนิดมีผุ้บิรโภคจำนวนน้อย ซึ่งเป็นอุปสรรคใการพัฒนาอุตสาหรรมแบบทดแทนการนำเข้า ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่รัฐใไการสนับสนุนในทศวรรษ 1960
             การผลิต หลังสงครามดลกครั้งมีั่สองนั้น ไทยหันกลับมาชำนาญในการผลิตข้าสอีก แต่รัฐบาลไทยมีบทบามในการลทุนด้านอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น อุตสาหรรมน้ำตาล สิ่งทอ และกระดา แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ทางด้านการเกษตรนั้นแม้ข้าวยังคงเป็นสินค้าออกที่ำสคัญ แต่ความำสำคัญเร่ิมลดลงนับจากปี 1950 เป้นต้นมาพื้ที่การเพาะปลูกเพ่ิมน้อยมา เช่นจากช่วง 1950-52 และ 1965-67 เพื้นที่การเพาะปลูกข้าเพิ่มเพียง 15 % สินค้าทางเกษตรชนิดอื่นๆ มีความสำคัญเพ่มขึ้นมาก ยางพารามีอัตราการผลิตและกาารส่งออกอย่งรวดเร็ต่ากับก่อนสงครามมาก ทั้งยางพารและดีบุกเป็นการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตคลาดโล นอกจากนั้นพชเศรณฐกิจเื่อนๆ มีการผลิตเพ่ิมมากขึ้นทุกที เช่น ข้ารวโพด และมันสำปะหลัง จะเห้นได้ว่าหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้นชนิดของพืชมีลักษณะกระจายมากขึ้น ในขณะเดียวกัน เมือเปรียบเทียบความสำคัญของเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมในระายได้ประชาขชาติแลว ความสำคัญขงอการเกษตรลดลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่งยิ่งในทศวรรษ 1960 จากสัดส่วนขงอภาคเกษตรกรรม 50% ของรายได้ประชาชเมื่อ ค.ศ. 1951 เหลือเพียง 31% ใน ค.ศ. 1969
         
 กล่วได้ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยหลังสงครามดลกครั้งสองกอนทศวรรษ 1960 นั้นรูปแบบไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก สินค้าออกของไทยโดยเฉพาะข้าวมีอุปสงค์จากตลดโลกเกือบตลดอเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งขช่วงสงครามเกาหลี มีผลให้ดุชำระเงินของไทยอยุ่ในสภาพเกินดุล และมีสำรองเงินตราเพิ่มจนเป็นอัตราที่น่าพอใจ แต่เมื่อสงครามเกาหลีสิ้นสุดลง ความต้องการสินค้าไทยเริ่มลดลง ระดับราต่ข้าวลดลงด้วย วึ่งเป้นผลมาจากากริส้นสุดของภาวะกสงครามและเป้นช่วงเวลาที่ประทเศผุ้ผลิตพืชอาหาร เช่น พม่า แลเวียดนามต่างปรับตัวได้แล้วอุปทานจึงไม่ขาดแคลนดังก่อน ยังผลให้มูลค่าการส่งข้าวออกของไทยลดลง ซึ่งส่งผลกระทบไปยังดุลการต้าแลดุการชำระเงนของประเทศในขณะนั้นการต้าข้าวถูกควบคุมอย่งเข้มงวดโดยสำรักงานข้าว แลมีการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจากการต้าข้าวอันเป็นอุปสรรคของการต้าขาย ดังนั้น รัฐบาลจึงยกเลิกเอกสิทธิ์ของสำนักงานข้าวเมื่อ ค.ศ.1955 และในปีนั้นก็เลิกบังคับให้ผุ้ส่งข้าวออกต้องนำเงินตราต่างประเทศมาขายให้รัฐบาลด้วยแต่ยังคงให้มีการเก็บค่าฟรีเมี่ยมจากผุ้ส่งออก เพื่อรักษาระดับราต่ข้าวในประเทศไว้ ค่าพรีเมี่ยมนี้คือภาษีชนิดหนึ่งนันเอง
            ระยะหลังสงคราดลครั้งที่สองช่วงที่ดครงสร้างการผลิตที่การเปลี่ยนแปลงไปเห็นได้ค่อนข้างชัดคือ จากทศวรรษ 1960 ซึ่งประเทศไทยมีแผนพัฒนาเศรษบกิจแล้วและรับบาลบสนับสนุนให้เอกชนทำอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยเน้นอุตสาหกรรมทดอกทนการนำเข้า ทั้งนี้เป็นผลมาจาการแนะนำของธนาคารโลกในต้นทศวรรษ 1950 นั่นเอง
            การเปลี่นแปลงโครงสร้างเศรษบกิจในทศวรรา 1960 ปรากฎว่าสาขาอุตสาหกรรมสาขาบริการมีความสำคัญเพ่ิมขึ้นในขณะที่ความสำคัญของเกษตรกรรมลดน้อยถอยลง ในช่วงดังกล่าวนี้รายได้ประชาชาติเพิ่มเฉลี่ยปีละ 8.1% สาขาอุตสหกรรมขยายตัวได้เร้ซถึง 10.9% ต่อปี ส่วนสาขาเกษตรขยายตัวได้เพียง 5.5% เฉลี่ยต่อปี แต่แม้ว่าสาขาเกษตรกรรมจะลอความสำคัญลงก็ตามแต่ยังเป็นสาขเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะข้าวซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของประเทศในทศวรรษที่พชเกษตรใหม่ๆ มีบทบาทมากขึ้น เช่น ข้าวโพด ปอ มันสัมปะหลัง ถั่ว ฯ ในพืชใหม่ๆ นี้จะพบว่ามีลักษณะการผลิตตามความชำนาญเฉพาะอย่างโดยแยกภูมิภาคเช่น ปอ นั้นจะปผลิตในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ข้าวโพดจะผลิตในภาคกลาง เป็นต้น และพืชใหม่เหล่านี้หลายประเภทที่เป็นการผลิตเพื่อการส่งออกโดยเฉพาะ ดังนั้นสภานภาพทางเศรษฐกิจของผุ้ผลิตพืชดังกล่าวย่อมผูกพันกับภาวะตลาดโลกข่างเต็มที่ การเสี่ยงของเกษตรกรรมกลุ่มนี้ย่อมสูงกว่าผุ้ผลิตข้าวซึ่งอาจมีรายได้ตำ่กว่าแต่ความมั่นคงมากกว่า เพราะอย่างน้อยผู้ปลูกข้าวจะมีอาหารรับประทาน ในช่วงศตวรรษท 1960 นี้บทบาทของรัฐบาลในการสนับสนุนเกณาตกรรมมากว่าเดิม เช่น การทำการชนลประทานการสร้างถนน เป้นต้น แต่ดูเหมือว่าการทำงานด้านการแสวงหาตลาดให้แก่สินค้าเกษตรกรรมไทย รัฐบาลยังทำไม่ได้ผลดีนัก
              ระยะแห่งการมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจจาทศวรรษที่ 1960
              - การพัฒนาอุตสาหกรรม เมื่อคณะสำรวจภาวะเศรษบกิจของธนาคราดลกเข้ามายังประเทศไทยเมื่อ ค.ศ. 1957 นั้นได้เสนอแนะให้รัฐบายุติการประกอบกจิการอุตสาหกรรม รัฐบาลควรมีบทบาทเพรียงการให้ความสะดวกแก่ผุ้ผลิตเอกชนรวมทั้งมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนโดยการให้สิทธิพิเศษต่างๆ รวมทืั้งการภาษร เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ขึ้นเป้นนายกได้นำแนวคิดดังกล่าวมาปฏิบัติทันที่ ดดยมีการวางแผนพัฒนาปะรเทศแผนแรกในต้นทศวรรษ 1960 หลังจากมีแผนฯ แล้ว โครงสร้างทางเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงคื อลดความสำคัญของการผลิตทางเษตรล
ให้คามสำคัฐญแก่อุตสากหรรมมาขึ้น ว฿งมีพผลต่อการจ้างงานและอพยพแรงงานระวห่างภาคเศรษบกิจ เป็นต้น อุตสาหกรรมที่รัฐบาลให้การสนับสนุนในระยะแผบยทร่ 1 และ 2 คืออุตสาหกรรมทดอทนแากรนำเข้าซึ่งใช้ทุนเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ และเกือบจะเป้ฯเพรียงการนำชิ้นส่วนมาประกอบกันเข้าในประเทศไทย โดยสิ่งนำเข้าต่างๆ ทีเ่กี่ยพันกับอุตสาหกรรมที่รัฐสนับสนุนจะได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีอย่างมาก ทั้งๆ ที่อุตสาหกรรมหลายประเภทมิได้ผลิตสิ่งจำเป้นปก่การดำรงชีวิต การส่งเสริมการลงทุนในลัษณะดังกล่าวกลับทไใ้มีการขาดดุลการต้าเพ่ิมมา และมิได้มีส่วนช่วยให้มีการจ้างงานมากนัก ดังนั้น ในทศวรรษที่ 1970 จึงมีการเปลี่นนโยบายใหม่ในแผนที่ 3 โดยให้ความสำคัญแก่อุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกมากขึ้น โดยพยายามให้มีการเชื่อมโยงกับการเกษตรกรรมในประเทศเป็นอุตสาหรรมที่ใช้วัตถุดิบในประทศเพื่อลดการขาดดุลการต้า และเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ แต่ปรากฎว่านโยบายดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จเพราะอุตสาหกรรมประเภทนีมิได้จ้างแรงงานมากเท่าที่รัฐบาลหวังไว้และคุณภาพสินค้ายังไม่อาจแข่งขันในตลาดโลกได้ทั้งการใช้วัตถุดิบจำนวนมากจากต่างประเทศในหลายๆ อุตสาหกรรมยังคงมีอยู่
            การที่รัฐบาลไทนวนับสนุนการผลิตอุตาสกหรรทอแทนการนำเข้าในช่วงแรกนั้น มีเหตุผลคือในระยะนั้นมีการขาดดุลการต้าและมีรัฐต้องการสงวนเงินตราของประเทศตลอดจนแรงผลักดันของสหรัฐ และเชื่อว่าอุตสาหกรรมประเภทนี้จะมีลู่ทางแจ่มใสของเพราะมีตลาดในประเทศรองรบ แต่ข้อผิดพลาดคือผุ้สนับสนุนดบบายดังกล่าวมิได้คิดว่าลักษณะสินค้าอุตาสหรรมที่นำเข้าประเทศไทยนตั้นเป้นสินค้าบริโภคฟุ่มเฟือยฟลายชนิดแต่ละชนิดมีลูกค้าไม่มากซึงจะไม่สามรถใช้ประโยชน์จากประหยัดขนาด ได้ อนึ่ง การผลิตนี้มิได้เป็นการประหยัดเงินตราต่างประเทศเพราะมีการนำชช้ินส่วนต่งๆ เข้ามามากเพียงเพื่อประกอบเป็นสินค้รสำเร็จรูปในเมืองไทยต้นทุนการผลิตจึงสุงมาก ซึ่งเป็นผลให้มูลค่าเพิ่มของกิจการประเภทนี้ในประเทศไทยไม่มาเท่ากับที่ทฤษฎีอธิบายไว้ว่า การผลิตทางอุตสาหกรรมมีมุลค่า เพิ่มสูงกว่าทางเกษตรกรรม ดังนั้น สิทธิพิเศษต่างๆ ที่รัฐบาลให้เพือส่งเสริมเกษตรกรรมจึงกลายเป็นการให้สิทธินายทุนต่างชาิตเข้ามาตักตวผลประทโยชน์ออกไป ทั้งอุตาสหกรรมดงลก่าวยังก่อใไ้เกิดความไม่เท่าเทียมในชนบทและเมืองมากขึ้น เพราะส่วนใหญ่อุตสาหกรรมกระจุกตัวอยุ่ในเขตกรุงเทพฯ และบริเวณใกล้เคียง ซึ่งมีความสะดวกขึ้นพ้นฐานมากการอุตาสากรรมในรูปนี้ยังทำให้การจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติเป้นไปโดยไม่มีประสิทธิภาพ และไม่เป็นธรรมแก่ผุ้บริโภค เพราะรฐบาลให้อภิสิทธิ์มากมายรวมทั้งการกดค่าแรงและราคาสินค้าทางเกษตรเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม ตลอดจนการตั้งกำแพงภาษี ซึ่งทำให้อุตสาหกรรมเหล่านี้ายสินค้าราคาแพงได้และไม่พยายามปรับปรุงประสิทะิภาพเพื่อการแข่งขัน นอกจากนี้อุตสาหกรรมทอแทนการนำเข้าที่ไทยทำยังทำให้เศรษฐกิจไทยมีลักาณพึงพิงมากขึ้น เพราะเป็นอุตสาหกรรมยังผลให้มีแรงงานอพยพเข้ามาแออัดกันใเขตเมืองมากมายก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาสลัม อาชญากรรมฯ

          ควาผิดพลาดของนโบบายอุตสาหกรรมไทยในทศวรรษ 1960 คือการมิได้เลือเแพาะสินค้าทอแทนที่มีศักยภาพสูงคือ ควรเป้นการผลิตที่มีวัตถุดิบในประเทศ มีตลาด และมีโอกาสที่จะทำการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต
               หากรฐบาลไทยยังตองการให้สาขาอุตสาหกรรม เป้นสาขานำการพัฒนาแล้วจักต้องพิจารณาให้รอบคอบ ไม่ว่าจะเป้ฯการผลิตเพื่อส่งออกเหรืการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า การพิจารรรศักยภาพด้านต่างๆ เป็นเรื่องสำคัญ หากอุตาสหรรมใดที่ต้องนำวัตถุดิบ เครื่องจักร ผุ้เชียวชาญ ส่วนประกอบการผลิต ฯ มาจากต่างประเทสมากๆ อุตสาหกรรมชนิดนี้จะไม่ช่วยแก้ปัญหาของชาติ ปัญหาดุลการต้าขาดดุลจะเกิดได้ การจ้างงานจะมีน้อย การสะสมทุนในประทเศจะต่ำ และมูลค่าเพ่ิมของการผลิตจะต่ำด้วยซ่งสิ่งเหล่านี้ผู้วางนโยบายจังต้องพิจารณาให้รอบคอบ ก่อนที่จะวางนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมใด
              ากรพัฒนาเศรษกบิจของประเทศไทยนั้นมีอายุยาวนานับเกือบพันปี แต่การพัฒนาในสมัยโบรราณเป็นไปตามแรงผลักดันของธรรมชาติมิได้มีการวางแผนอย่างเป็นระบบดังเช่นปัจจุับ บางครั้งมีปัจจัยจากาภยนอกมากรทบ เช่น สงครามภาวะ เศราบกิจก็อาจทรุดโทรมลงได้ หากบ้านเมืองสงบการผลิตและการค้าขายมักจะทำได้สะดวก มีผลให้ระบบเศรษบกิจของประเทศรุ่งเรืองขึ้น
              ในประวัติศาสตร์ของไทยอาจกล่าวได้ว่าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเศรษบกิจมี 3 ช่วงคือ ใน ค.ศ. 1955 สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล่าฯ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ประเทศอังกฤษเข้ามาทำสัญยาเบาว์ริ่งกับไทยและติดตามมาด้วยประเทศตะวันตกอื่นๆ เข้ามาขอทำสัญญาเอาเปรียบไทยอย่างมาก แต่ส่งผลให้การค้าขยายตัว การผลิตเพ่ิมขึ้นโดยแฑาะอย่างยิ่งข้าว มีผลให้เสณษฐกิจเปลี่ยนจากการผลิตแบบยังชีพกลายเป็นการผลิตเพื่อการต้ามีการใช้เงินตราแพร่หลายขึ้น และทำให้ดรงสร้างเศรษฐกิจเปลี่ยนไปคือ เน้นการผลิตข้าวมาก แต่อุตสาหกรรมพื้นบ้านเสื่อมโทรม เพราะสินค้าเข้ามีราคาถูกกว่า ที่สำคัญคือเป้ฯการเปิดประเทศอย่างเป้นทางการอีกครั้งหลังจากปิดประเทศตั้งแต่ปลายสมัยอรงุศรีอยุธยา
               หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นอีกช่วงที่เศรษฐกิจของไทยมีการเปลี่ยนแม้จะไม่มากนัก นั่นคือ หลัวสงครามโลกนั้นรัฐบาลของ จอมพลแปลก พยายมยึดนโยบายชาตินิยมด้วยการผลิตทุกสิ่งเอง รัฐบาลก้าวเข้ามามีบทบาทในการผลิตสินค้าอุตสหกรรมหลายอย่าง เช่น กระดาษ สิ่งทอ ฯ เป็นยุคที่รัฐวิสาหกิจของไทยเจริญขึ้นมาอย่างมาก ซึ่งเป็ฯที่ราบกันดีว่ารัฐวิสาหกิจของไทยไม่มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานและเป็นปัญหาหนักของประเทศในฐานะผุ้ก่อหนี้ต่งประเทศที่สำคัญของชาติในขณะนี้ นอกจากนี้ ในทศวรรนีเองที่ลัทธินิยมหวนกลับมาอีกครั้งเพื่อจะแผ่ขยายอิทธิพลในแถบประเทศด้วอยพัฒนา โดยอาศัยสภาบันการเงินระหว่างประเทศเป็นสื่อ เช่น คณะสำรวจภาวะเศรษฐกิจของธนาคารโลกเข้ามาแนะนำการปรับปรุงระบบเศรษบกิของแต่ละประเทศ เช่น ในประเทศไทยเขข้ามแนะนำให้รับบาลเลิกดำเนินการอุตสาหกรรมเองแต่ให้ส่งเริมเอกชนแทน ในทศวรรษนี้เงินกู้และช่วยเหลือในรูปต่างๆ หลังไหลเข้ามาในประเทศไทยและเพื่อนบ้านอย่างมากมาย ด้วยเงื่อไขต่างๆ นานา ไทยมีความเห้ฯคล้อยตามธนาคารโลกและในที่สุดเมื่อจอมพลสฤษดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้นัดให้มีการวางแผนขึ้นในต้นทศวรรษ 1980 นั่นเอง
               ช่วงแห่งการมีแผนพัฒนาในทศวรรษท 1960 เมื่อแปผนฉบัยที่ 1,2 สร้างขึ้นในช่วงนี้นั้น รัฐบาลมีบทบาทเพียงผุ้ส่งเสริมการอุตสาหกรรมด้วยมรตการต่างๆ เช่น ภาษีอากร โดยให้เอกชนเข้ามาีบทบาทในการลทุนให้มากที่สุด ภายใต้กาอำนวนคามสะดวกของรัฐบาล โดยหวังว่าอุตสากหรรมทอแทนการนำเข้าที่รัฐบาลส่งเสริมี้จะช่วยลดดุลการต้าที่เสียเแรียบ เป็นแหล่งดูดซับแรงงาน แต่ปรากฎว่าโดยความบกพรองบางอย่างของมาตการที่รัฐบาลใช้ อุตสาหกรรมดังกล่าวไม่ตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ของรัฐบาลและกลับก่อใไ้เกิดปัญหาหนัก ทั้งนี้เพราะอุตาสาหกรรมนี้เป็นเพียงการนำชิ้นสวนมาประกอบกันเข้าในเมืองไทยเทานั้น ดดยที่ช้ินส่วนต่างๆ ต้องนำเข้าจึงเป็นการช่วยคุ้มครงอให้นายทุนต่างชาติมากอบโกยผลประโยชน์จากเมือไทยไปในแผน 3 จึงมีการพยายามแก้ไขด้านอุตสาหกรรม ใระยะแผนฯ 1-3 นั้น รัฐบาลมิได้ให้ความสนใจในการพัฒนาในชนบทเท่าที่ควร....(ประวัติการพัฒนาเศรษฐกิจเอเซียตะวันออกเฉียงใต้, รศ. ญาดา ประภาพันธ์, 2538.)
         
     

วันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2560

History Economic of Sounth East Asia : myanmar

              หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พม่าต้องฟื้นฟูประเทศให้พ้นจากความเสียหายต่างๆ ต้องซ่อมแซมเส้นทางคมนาคม การปรับปรุงอู่ต่อเรือ ฯ ปัญหาทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจรุมล้อมพม่าอยู่ทางด้านเศรษฐกิจนั้น ปรากฎว่าเกษตรกรขาดแคลนเงินทุนอยู่ที่วไป ปัยหาโจรผุ้ร้ายชุกชุม ทางด้านการเมืองนั้นปรากฎว่าแนวความคิดแบบคอมมิวนิสต์เร่ิมจะแผ่ขยายตัว อย่งไรก็ี ในค.ศ.1948 เมื่อพม่าได้เอกราชอย่าแท้จริง รัฐบาบของอูนุพยายามใช้นโยบายเศณาฐกิจและการเมืองแบบผสมระหว่างทุนนิยมและสังคมนิยมมีลักษณะเป็นรัฐสวัสดิการมีการวางแผนจากส่วนกลางบ้าง โยอาศัยความช่วยหลือจาต่างประเทศในด้านผุ้เชี่ยวชาญ พม่ต้องการฟื้นฟูทั้งทางเษตรกรรมและอุตสาหกรรมให้ทัดเทียมกัน โดยรัฐบาจะเข้าช่วยเหลือท้งทางการลงทุนตลอดจนเข้าไปดำเนินการผลิตด้วยตนเอง ในช่วง ค.ศ. 1948-1950 ปรากฎว่าภาวะทั้งเศรษฐกิจและการเมืองของพม่าสับสนปั่นป่วนมีการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองอยุ่เกือบตลอดเวลา แต่ในที่สุดการเา่ิมพัฒนาอยาง ได้เร่ิมขึ้นเมื่อมีโครงกรพัฒนาเกิดขึ้น
             การพัฒนาในระยะเริ่มแรกของพม่านั้น ให้ความสำคัญแก่บทบาทของเอกชนมาก โดยเฉพาะอย่งยิงทางด้านการออมและากรลงุทน ซึง่เชื่อว่าภายใต้แรงจูงใจที่รัฐให้จะทำให้เอกชนมีการใช้จ่ายลงทุนในระดับที่น่าพอใจ นอกจากน้น รัฐบาลยังยอมรับความขวยเหลือจากต่างประเทศเป็นจำนวนมากมาย แม้ว่าความตั้งใจเติมของพม่าืชือการไม่ยอมพึงพาต่างประเทศประมาณว่า 1 ใน 3 ของายจ่ายขงอรัฐในช่วงนี้มาจากต่างประทเส อย่างไรก็ตา เมือถึงระยะ ค.ศ. 1959-60 ปรากฎว่าสภานกาณ์ต่างๆ ไม่เป้นตามที่รัฐบาลหวังไว้ เอกชนยังคงลงทุนต่อำว่าที่รัีฐคาดคะเนเอาไว้มาก
           ในกาพัฒนาของพม่าในระยะเร่ิมแรกของทศวรรษนี้นั้นพยาบยามพัฒนาทั้งสาขาเกษตรและอุตสาหกรรมไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นลักษณะของการพัฒนแบบสมดุล โดยรัฐบาลเข้าควบุคมในการเำเนินงานเศรษฐกิจโดยตรง เช่น การกำหนดราคาสินค้าการเกษตรคงที่ราคาเดียวตลอดปีแก่เกษตรกรเป้นต้น โดยหลักการแล้วการแทรกแซงของรัฐมีผลให้เกิดการจัดทรัพยกรที่ผิดพลาดของสังคม เพาระราคามิได้เป็นกลไกในการตัดสินปันญาของตลาดหรือการแบ่งสรรทรัพยากรอีกต่อไป
         อย่างไรก็ตาม กล่าวดดยสรุปได้ว่าในทศวรรษ 1950 นั้น เศรษบกิจของพม่ามีอัตรการขยายตัวของเศรษฐกิจในระดับที่ดีพอสมควรเมื่อเทียบกับระกับหลังสงครามโลกใหม่ๆ แต่ยังต่ำกว่าระดับก่อนสงคราม คือ  GDP ของพม่าในช่วง คซศ. 1949-1950 เป็นเพียง 70 % ของช่วง ค.ศ. 1938-1939 ในช่วงของการพัฒนาในทศวรรษ 1950 นั้น พม่าขายข้าวได้เป็นจำนนมากประกอบกับราคาข้าวที่สูงเนื่องจากความต้องการมีมาก เพราะในระยะนั้นมีสงครามเกาหลีและสงครามอินโดจีน ทำให้รายได้ของประเทศพม่ามีจำนวนมาก แต่ทว่าต่อมาหลายประเทศได้ฟื้นฟูการผลิตของตนได้ ทำให้พท่าขาดรายได้จากการต้าข้าวมากและเกิดภาวะการต้าขาดดุล จำนวนสำรองเงินตราของพม่าลดลง ซึงมีผลกระทบต่อแผนพัฒนาที่ตั้งไว้ เพราะเมื่อสำรองเงินตราลดลงย่อมเกิดอุปสรรคในการสั่งสินค้าเข้า
       
 ในปลาทศวรรษ 1950 ปรากฎว่าการเมืองในพม่าถึงจุดวิกฤต ความล้มเหลวของเศรษบกิจในตอนปลายทศวรรษนี้ยังผลให้เกิดความไม่พอใจทั่วไป ทหารเริ่มเข้ามามีบทบาทในการแทรกแซงทางการเมือง และในที่สุดรัฐบาลพลเรือนของอูนุก็ต้องพ้นอำนาจ นายพลเนวินซึ่งทำการปฏิวัติรัฐบาลเดิมได้ตั้งรัฐบาบโดยมีสภาปฏิวัติแทนรัฐสภา และในยุคนี้ระบบเศรษบกิจถูกชี้นำโดยรัฐโดยตรง รัฐบาลควบคุมกิจการต่างๆ ทางเศรษบกิจ มีการวางแผนส่วนกลางเต็มที่มีการโอนกิจการต่างๆ ทั้งการต้า การธนาคาร ทั้งของชาวต่างประเทศและชาวพื้นเมืองมาเป็นของรัฐ และลแ้วพม่าก็ก้าวไปสู่การพัฒนาประเทศภายใต้ระบอบ "สังคมนิยแบบพม่"จะเห้นได้ว่าบทบาทของเอกชนจะต้องถูกจำกัดภายใต้ระบบเศราฐฏิจดังกล่าวนี้ ความเสรีในการตัดสินใจดำเนินะูรกรรมต่างๆของฝ่ายเอกชนไม่อาจเกิดได้แน่นอ และแรงจูงใจต่างๆ ทางเศษบกิจย่อมสูญสิ้นไป
          พม่าในทศวรรษ 1960 ในทศวรรษนี้ ภายใต้การนไของเนวินนั้น ไม่อสจช่วยให้ระบบเศรษบกิจฟื้นตัว สถานการณ์กลับเสือมโทรมลงไปอี สถานการณืการขาดแคลนข้าวเกิดขึ้นในพม่าทั้งๆ ที่เคยเป็นประเทศผุ้ผลิตที่สำคัญของโลก ตลาดมีดของสินค้าตลอดจนการลักลอบนำสินค้าออกต่างประเทศเกิดโดยทั่วไป เศรษฐกิจทรุดโทรมลงทั้งทางด้าน เกษตรกรรมและอุตาสหกรรม ในขณะที่มีการเพิ่มของประชกร ซึ่งย่อมทำให้รายได้ต่อหัวของประชากรต่ำลบ การส่งสินค้าออกต่างประเทศลดลงตลอดเวลา และภายใต้สภาพเช่นนี้ภาวะดุลการต้และการชำระเงินย่อเลวลงดุลการต้าของพ่าขาดดุลติดต่อกันเกือบตลอดทศวรรษ 1960 ยกเว้นปีแรกๆ เท่านั้น
          นายพลเนวินมได้นำประเทศไปสู่การพัฒนาแตกลับิ่งทำให้ประเทศทรุดโทรมลงอบางมาก ทำให้ปรเทศพม่าซึ่งเคยอุดมสมบูรร์ในอดีตถึงกับต่องมีกาปันสวนสิค้าแผนเศรษบกิจตลอดจนหลัการที่สวยงามของเนวินที่จะทำให้เศรษฐกิจมีการพัฒนาอย่างได้สัดส่วนตามที่วางแผยไว้หาได้เกิดขึ้นไม่ ความเท่าเทียมโดยความยากจนยิงกว่าเดิมของชาวพม่าเช่นนี้อาจจะเลยร้ายย่ิงกว่าควาไม่เท่าเที่ยมที่เป้นอยู่ตั้งเดิมเสียอี การมุ่งแก้ไขความไม่เท่าเทียมของพลเมืองโดยการยึดโอนกิจการต่างๆ มาเป็นของรัฐ โดยละเลยกลไกระคาเสียและใช้การวางแผนส่วนกลางตามแบสังคมิยมนั้นมิได้ช่วยให้พม่ามีสภาพกีขึ้นตรงข้ามกับเกิดภาวะชะงักงันของเศรษบกิจ การไม่ต้องการพึ่งพิงทุนนิยมจากาภยนอก็เป็นส่ิงที่เป็นไปไม่ได้สำหรับกรณีพม่า เพราะเมือพม่าไม่ต้องกาพึงพาฝ่ายทุนนิยม ในที่สุดพม่าก็หันไปอิงกับฝ่ายสังคมนิยม
         กล่าวได้ว่าทั้งรัฐบาบสวัสดิการเสรีของอูนุ และรัฐบาสังคมนิยมของเนวิน นั้นมิได้มีการวางแผนเศรษฐกิจอย่างจริงจัง แผนส่วนใหญ่เป็นแผนระยะสั้น กรรมการวางแผนหรือกรรมการปฏิบัติงานเป็น
กรรมการเฉพาะ เมื่อหมดงานก็ยุบเลิกไปจึงไม่มีกาตติดตามผลงานที่วางแผนไว้ การวบอำนาจเกินไปนั้นมีผลให้การควบคุมงานทำได้ไม่ทั่วถึง และไม่มีประสิทธิภาพ การวางแปนจากส่วนกลางของนายพลเนวินก็เป็นแต่เพียงการโอนงานให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทำแทนเอกชนให้ภาคเศรษกบิกจเท่านั้น มีการตงหน่วยงานของรับอย่างมากมายแต่การดำเนินงานไม่มีการประสานงานที่ดี รัฐพยายามโอนกิจการธนาคาร การต้าและอุตสาหกรรมมาเป้นของรัฐ รวมท้งการโอนที่ดินด้วย รัฐจึงกลายเป็นนายทุนใหญ่รายเดี่ยวของประทเศ และเป้ฯนายทุนที่มีอำนาจเปด็จการแต่ไร้ประสิทธิภาพ จเกิ็นได้จาการโอนกิจการธนาครานั้น ความขาดประสิทธิภาพของรัฐบาลทำให้ประชาชนภอนเงินออกไปได้อ่กนเป็นเจำนวนมาก ส่วนการโอนการต้าแลอุตาสหกรรมล้วนล้มเหลว เกิดตลาดมืด และเกิดเงินเฟ้อตลอดเวลา การกระทำของรัฐไม่ช่วยให้ฐานะทางความเป็นอยุ่ของประชาชนดีขึ้นเลย ผุ้ผบิตาภยใต้กาบังคัขาดแรงจุงใจในการผลิต ย่อมลดการผลิตลง ระบบปันส่วนสินค้าดดยรัฐไม่ได้ผลเพราะราคาในตลาดมืดสุงมาก ผุ้ได้รับโควต้าสินค้าทั้งเจ้าของร้านและลูกค้าต่างแอบเอาสินค้าไปขายต่อในตลาดมือเพราะได้กำไร แสดงให้เห็นว่าจุดมุ่งหมายของรัฐบาลที่จะขจัด "กำไร" ซึ่งถือว่าเป็นตัวการท่ีทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในระบบสังคมนิยมนั้น ไ่ประสบผลสำเร็จและแสดงถึงการควบุคมที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐ ดังนั้น ปัญหาความขาดแคลนสินค้าย่อมแก้ไขมิได้ชี้ไใ้เห็นว่ากลไกของรัฐไม่อาจทำงานได้ก็เท่ากบกลไกตลาด เมื่อเปรียบเทียบสภานการณ์ใช่วงก่อนการเปลี่ยนระบบกรปกครองกับช่วงหลังของการปกครองใระระบบเผด็จการ หรือเปรียบเทียบช่วงก่อนการได้รับอิสรภาพกับช่วงลหังการได้อิสรภาพ
            อย่างไรก็ดี ในช่วงทศวรรษ 1960 นี้กล่าวได้ว่าพม่ายายามให้ความสนใจชนบทมากขึ้นมีการให้แรงจูงใจเกษตรกรด้านสินเชื่อด้วยการตั้งสหกรณ์การเกษตรเอนกประสค์กสิกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์จะกู้เงินได้โดยง่ายและดอกเบี้ยเงินกู้ก็ต่ำนอกจากนั้นรัฐบาลพยายามเพ่ิมราคาขึ้นต่ำ ของขาวเปลือกแต่ยังต่ำกว่าราคาตลาดมือปรากฎว่าชาวนามีการขอกุ้เงินขากสหรกณ์เพ่ิมมาก แต่การขอกุ้เงินเพิ่มจำนวนมากขึ้นในกลางทศวรรษ 1960 นั้น มิได้หมายความว่าผลิตผลจะเพิ่มขึ้น ดังนั้น เมื่อจำนวนเงินเพิ่มโดยผิตผลไม่เพิ่มภาวะเงินเฟ้อจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ การที่ผลิตผลมไม่เพิ่มมองได้สองนัยคือ ชาวนานำเงินกู้ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ หรือผลิตผลส่วนที่เพิ่มนั้นถูกลักลอบนำไปขายในตลาดมือ เรพาะระบบการควบุคมของรัฐไม่รัดกุม
             หากพิจารณาให้ถ่องแท้แล้วการที่พม่าพยายามปิดประเทศ ไม่ยอมรับความช่ววเบลหือจากตะวันตก แต่กลับนำเอาวิุีทางแบบสังคมนิยมบัคับมาใช้นั้น อาจมิใช่ทางเลือกที่ถูกต้งนัก เพราะพม่าขาดแคลนปัจจัยการผลิตทั้งทางด้านทรัพยากรมนุษย์ วัตถุดับที่สำคัญในการอุตสาหกรร เทคดนโลยี ตลอดจนเงินทุนเพื่อพัฒนา การพึงพาต่างประเทศในระดับที่เมหาสมอาจมีประโยชน์แก่พม่ามากว่าการโดเดี่ยวตนเองจากโลกภายนอก อนึง ประเทศพม่าเคยเป้นปะเทศที่อุดมสมบูรณ์อาจเท่ากับหรือมากว่าประเทศไทย ประชาชที่อดอยากยากจนที่สุดก็ไม่น่าจะมีสภาพเลวร้ายไปหว่าไทย การมีชนกลุ่มน้อยชราวต่างชาติเข้ามากอบโดยผลประดยชน์ไปจากพม่านั้น ไทยก็ประสบปัญหาเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไทยมีทางเลือกที่แตกต่างออกไป การเอาระบบสังคมนิยมมาใช้ในพม่าอาจเป็นข้อผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ทไใ้เกิดผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ เมื่อการลงทุนของนายทุนเอกขนทั้งขชาวต่างชาติและขาวพื้นเมืองยุติล
 และโดยการจัการที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐประกอบกับการขาดแคลน เทคโนโลยีและทุน ย่อมทำหใ้การผลิตตกต่ำลง การจ้างงานย่อมน้อยลง รายได้ทั้งของประเทศและประชาชนลดลง และระบบความเสมอภาพเช่นที่พม่าต้องการกลับเป็นการทำร้ายประชาชนของตนเอง ทั้งยังปรากฎว่าในที่สุดแล้วพม่าต้องพึ่งพาประเทศอื่น แม้จะมิใช่ฝ่ายโลกเสรีก็ตาม
                ในปัจจุบันนี้พม่ายังคงประสบภาวะยุ่งยากซึ่งเป้นปัญหาเรื้อรังคือ ปัญหาของชนกลุ่มน้อย ซึ่งยังต้องการชิงอำนาจจากรัฐบาลอยุ่อันมีผลให้ความสงบภายในของพม่ามีน้ยอเมื่อความสงบภายในไม่ม่ี การพัฒนาประเทศทั้งทางเศรษบกิจการเมืองและสังคมยากที่จะสำเร็จ ในขณะที่ประเทศไทยไม่มีปัญหาคนกลุ่มน้อยมาเท่าพม่า แต่ก็มีปัญหารหลายๆ อย่างที่เป็นอุสรรคการพัฒนประเทศเช่นกัน เช่นการตกเป็นหนี้สินต่างประเทศอย่างมาก เป็นต้น....( ประวัติการพัฒนาเศรษฐกิจเอเซียตะวันออกเฉียงใต้, รศ. ญาดา ประภาพันธ์. 2538.)

History Economic of Sounth East Asia : Indo-China

                เศรษฐกิจหลักของประเทศอินโดจีนคือ การเกษตรกรรม ในประเทศลาวนั้นประชาชนทำนาเป็นอาชพหลัก ในราวทศวรรษ 1960 นั้นปรากฎว่ามีพืชอ่นๆ ด้วย คือ ข้าวโพด น้ำตาลมะพร้าวอ้อย ส่วนในกัมพูชา มีการผลิต ยาสูบ น้ำมันปาล์ม ยางพารา ฝ้าย และพริไทย แต่ทว่าพื้นที่ทำการเพาปลุกของประเทศเหล่านี้น้อยมาก สวนใหยถูกปล่อยให้เป็นป่า ทางด้านอุตสาหกรรมมีอยุ่บ้าง เช่น การทำโรงสีข้าว ทอผ้าไหม การปั้นถ้วชาม ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมขั้นต้น ส่วนอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่มีอยุ่ในช่วงทศวรรษ 1960 คือ การกลั่นน้ำมัน ดรงงานทำแก้ว ฯ แต่อุตสาหกรรมสมัยใหม่นี้ไม่ช่วยการจ้างงานเท่าที่ควร มีแรงงานชาวพื้นเมืองเพียงประมาณ 2% ที่เข้าไปทำงานในภาคอุตสาหกรรม ส่วนกาต้าตกอยุ่ในมือชาวต่างชาติ ในกัมพูชานั้นการต้าตกแยุ่ในมือของชาวจีนและชาวเวยดนาม ปลายทศวรรษ 1960 เศรษบกิจของลวและกัมพุชายังอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม ต้องแสวงหาความช่วงเหลือจากสถาันระหว่างประเทศอยางมาก ส่วนประเทศเวียดนามนั้นในช่วงทศวรรษ 1960 มีข้อมูลค่อนข้างจำกัแต่ก็เช่นเดี่ยวกับประเทศลาวและเขมตือ การปลูกข้าวเป้ฯการผลิตที่สำคัญ สถิติของทศวรรษ 1960 พบว่าการผลิตข้าวได้รับความกระทบกระเทือจากภาวะธรรมชาติและสาเหตุจากสงคราม เพราะแรงงานไม่มีโอกาสทำการผลิต เนื่องจากถูกเกณฑ์ไปทำสงครามบ้างหรือหลบภัยจากงครามบ้าง ในเวียดนามเหนือจอกจาการผลิตข้าแล้ว มีการเลั้ยงสุกร ผลิตน้ำตาล กาแฟ ชา เป็นต้น สินค้าเหล่านี้มีการส่งออกต่างประเทศด้วย การต้าของเวยดนามเหนือในทศวรรษท 1960 นั้น ส่วนใหญ่เป้ฯการต้ากับจีนแแผ่นดินใหญ่ และรัสเซีย ในเวียดนามได้นั้น มีการปลูกถั่ว อ้อย และยาวพารานอกจาการปลูกข้าวเป้ฯพืชหลัก
             กล่าวได้ว่ ฝรั่งเศสมิได้ดำเนินการใดๆ ที่แสดงให้เห็น่าต้องการพัฒนาอินโดจีน ประกอบกับการมีสงครามภายในอินโดจีนเองตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อประทเศเหล่านี้ได้ปกครองตนเอง จึงปากฎว่าสภาพ เศรษฐกิจอยู่ในภาวะที่ทรุดโทรมภายหลังสงครามอินโดจีน ครั้งที่สองเสร็จสิ้นลงในต้นทศวรรษ 1970 ในประเทศเวียดนามนันประชาชนอดอยาก ไร้ที่อยุ่อาศัย เกิดสภาพตลาดมือ ตลอดจนปัญหาหาชญากรรมการดำเนินงานของรับบาลเวยดนามในขณะนันคือ มีการโอนกิจการชาดใหญ่มาเป็นของรัฐเข้าควบคุมกรธนาคารและการต้าระหว่างประเทศระบบทุนนิยมยังมิได้เลิกล้มโดยเด็ดขาด เอกชนยังสามารถประกอบกิจการย่อยๆ ต่อไปได้ การถือครองที่ดินโดยเอกชนยังควมีอยุ่ ในขณะเดียวกันมีการเพิ่มสวัสดิการให้แก่กรรมการในโรงงานด้วย อย่างไรก็ดี ทรัพยากรของเวียดนามถูกทำลายลงอย่างมากมาย เช่นป่าไม้ถูกทำลายถึง 5 ล้านเอเคอร์ เวียดนามได้พยายามแสงหาควาช่วยเหลือจาากต่างประเทศทั้งฝ่ายโลกคอมมิวนิสตืและโลกเสรี นอกจากนั้นองค์การเงินทุนระหว่างประเทศต่างให้ความช่วยเหลือเวียดนาม
          ส่วนเศรษฐกิจในประเทศลาวหลังจากได้รับเอกราชแล้วต้องพึ่งพาสหรัฐอย่างมาก แต่กระนั้นการพัฒนาในลาวยังอยุ่ระดับต่ำมากขาดการสาธารณูปโภคต่างๆ มาตรฐานชีวิตของประชาชนเสื่อโทรมมีการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงรัฐบาลต้องเกณฑ์ประชาชนทำการผลิตอาหาร ปลูกพืชผัก รัฐบาลกำหนดให้ข้าราชการทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน ถ้าว่างให้ทำสวนครัว รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาราคาเงินเฟ้อด้วยวิธีการหลายอย่างรวมทั้งการเปลี่ยนแมาตรเงิน มีการเข้ายึดกิจการขนาดใหญ่เป็นของรัฐ ส่วนกิจการขนาดย่อมนั้นให้เอกชนดำเนินงานต่อไปได้ ลาวก็เช่นเดียวกัน เวียนดนามที่ต้องอาศัยความทช่วยเหลือจากต่างประเทศ
            ในักัมพูชานั้นหลังจากได้รับเอกราชแล้วเจ้าสีหนุพยายามใช้นโยบายความเป้นกลาง โดยอิงทั้งฝ่ายดลกเสรีและโลกคอมมิวนิสต์ แต่ก้ไมด่เป้นผลดีแก่ประเทศกัมพูชา เพราะกลับหลายเป็นการชักศึกเข้าบ้านและทำลายตนเองในที่สุด ความจริงเศรษบกิจกัมพูชาแม้ช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 นั้นกล่าวได้ว่า ทางด้านเกษตณกรรมยังเป็นการผลิตเพื่อเลี้ยงตนเอง คือผลผลิตเกือบทั้งหมดจะใช้นกาบริโภคมากกว่าการนำปชายหรือแลกเปลียนแกับสินค้าอื่นใช้เงินลทุนในการผลิตน้อย ระดับเทคโนโลยียังต่ำมาก  ใข้แรงงานของสัตว์และคนในการผลิต แต่อย่างไรก็ตาม มีกิจการที่เป็นการลงทุนแบบทันสมัยในด้านเกษตรกรรมอยุ่บ้าง คือการปลูกยางพาราแต่เจ้าของสวนยางเป็นชาวต่างประเทศทั้งหมดและผลผลิตของยางนั้นเพื่อการส่งออก ซึ่งคล้ายกับกรณีของไทยคือ การผลิตยางพารานั้นมิได้บริโภคในประเทศ
           ส่วนอุตาหกรรมของกัมพูชานั้นอยู่ในสภาพเสื่อโทรมย่ิงกว่าการเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรมมีขนาดเล็ก และในภาคอุตสาหกรรมนี้กิจการสำคัญๆ ตกอยู่ในมือของชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ เช่น โรงสีข้าว ซึ่งเป็นลักษณะเดี่ยวกับสภาพของประเทศในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้โดยทั่วไป
            การที่เศรษฐฏิจของกัมพูชาไม่พัฒนานั้น อาจเป็นเพราะสาเหตุของการถูกครอบงำโดยฝรั่งเศส เขียว สัมพันธ์ อ้างว่าก่อนที่ฝรั่งเศสจะเข้ามาครอบงำน้น เศรษฐกิจของกัมพูชาก้าวหน้ากว่าระบบศักดินาในยุโรป ระบบการต้าขายแลกเปลี่ยนในตลาดเกิดขึ้นแล้ว และอุตสหรรมหัตถกรรมกำลังเจริย แต่หลังจากที่ฝรั่่งเศสเข้ามาปกครองได้ทำลายความเตริญดังกล่ว การที่สินค้าจากต่างประเทศข้ามาแข่งขันได้เสรีมีผลให้สินค้าอุตาสหกรรมพ้ินเมืองต้องหยุดชะวัก ดังนั้น ผุ้ผลิตชาวพื้นเมืองจึงต้องถอยกลับไปทำงาน้ดานกสิกรรม หรือยังคงผลิตอุตสาหกรรมขนาดเล็กต่อไปพร้อมกับเพาะปลูกเลี้ยงตัว หรือทำการต้าสินค้ายุโรปแทน ในที่สุดกัมพูชากลายเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาสินค้าทุนแลสินค้าบริโภคจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันปัญหาเกี่ยวกับที่ดินมีมากขึน นายทุนที่ดินและข้าราชการใช้วิธีการต่างอๆ ทำใ้ชาวนาสูญเสียที่ดินมากขึ้นทุกทีโดยที่รัฐบาลมิได้ช่วยเหลือในการปรับปรุงวิธีการผลิตให้แก่เกษตรกรมากนัก ปรากฎว่าชาวนาตกเป็นผุ้กู้ยืมมากขึ้นทุกที และรายได้ที่บรรดานายทุนที่ดินได้ก็นำไปซื้อสินค้านำเข้าฟุ่มเฟือย สรุปสภาพของชาวนาได้ว่าชาวนายังมีชีวิตดที่ต้องพึงพาเจ้าที่ดิน นายทุนเงินกู้แลสภาพอากาศแบบมรสุมที่เปบี่นแปลงอยู่ตลอดเวลา
           การพัฒนาด้านอุตสาหกรรมของเขมรในช่วงที่ทุนนิยมต่างประเทศมีอิทธิพลนั้นก็าิได้มีส่วนช่วยจ้างแรงงานพื้นเมืองเท่ารที่ควร เพราะในการผลิตอาศีัยทุน เครื่องมือ แรงงานฝีมือ ตลอจนวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็๋นส่วนใหย การผลิตสินค้าส่วนใหย่เป้ฯไปเพื่อสนองตลาดในเมืองและตลาดต่างประเทศ เขียนว สัมพันธ์เห็นว่าการที่ระบบเศรษฐกิจของเขมรต้องพึงพิงอยู่กับระบบเศรบกิจต่างประเทศมิใช่ทางแก้ปัญหาการอ้ยพัฒนาของชาติ เรพาะกลับจาะทำให้เกิผลร้ายแก่เศรษกบิจของเขมรเองอาทิ เช่น การเติบโตของอุตสาหรรมชาติอาจถูกจำกัดโยอิทะิพลของบริษัทต่างชาติซึ่งจะมีผลเสียต่อการจ้างงานแลมารตรฐานการครองชีพของประชากร อาจจะก่อให้เกิดการชะงักของการต้า การผลิตทางเกษตณ ภายในประเทศ และยิ่งไปกว่านั้นโดยลหัการแล้วผลของการพึ่งพิงอาจน้ำไปสู่ปัญหาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศก็ได้ เช่น การยอมรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศมักจะเป้ฯไปโดยมีเงื่อนไขที่จะให้ประโยชน์แก่ผุ้เป็นเจ้าของเงินทุนอย่งมาก เพราะไม่มีผุ้ใดหว่าพืชโดยไม่หวังผลการพึงพาต่างชาติอาจนำไปสู่การตกเป็นหนี้ต่างประเทศอยางหนกจนในที่สุดบรรดาผุ้ให้ความช่วยเลหืออาจเข้ามาีอิทธพลในประเทศทางการะมเืงและเศรษฐกิจได้
          อย่งไรก็ตามเป้ฯสิงที่ต้องยอมรับว่าในบรรดาปรเทศอินโดจีนนั้นมีเพียงเวียดนามเท่านั้น มีทรัยพกรค่อนข้างสมบุรณื ในขณะที่เขมรและลาวมีทรัพากรธรรมชาติจำกัด ประชกรน้อย ว฿่งเป้นอุปสรรคอย่างหนึ่งของการพัฒนา ส่วนอุสรรคอีกประการหนึ่งก็คือ ความสงลสุขในดินแดนนี้ยังหาได้บังเกิดไม่ ตราบใดที่ภาวะสงครามยังไม่หนมสิ้น การพัฒนาจะเกิดขึ้นไดอย่างไร การสงครามรังแต่จะนำมาซึ่งควมพิสาศย่อยยับของชีวิตผุ้คน ทรัพย์สิน และในที่สุก็คือ การทำลายประเทศของตนเอง ดังที่ได้เห็นจากเหตุการณืทุกวันนี้ก็คือ การอพยพหลบหนีของพลเมืองออกจากประเทศทั้งสาม มาพำนักในประเทศต่างๆ ในลักษณะของผุ้อาศัยเป็ฯที่น่าสมเพช หากยอมรับว่าแรงงานคืปัจจัยการผลิตที่สำคัญที่สุ โดยเฉพาะอย่างยิงแรงงานฝีมือแล้ว การอพยพของประชรออกจากประเทศอินดจีนก็คือความสูญเสียปัจจัยการผลิตที่สำคัญไปนั่นเอง เพราะผุ้ลี้ภยที่จะได้รับเลือกข้าไปยู่อาศัยในประเทศต่างๆ มักจะเป้นแรงงานที่มีความรู้แลมีฝีมือ นอกนั้นก็ถูกผลักดันให้กลับไปอยู่ในประเทศดั้งเดิมในที่สุ และการพัฒนาประเทศย่อมเป็นไปไม่ได้ถ้าาดแคลนแรงงาน ความไม่สงบและความสูญเสียที่เกิดขึ้นแก่ประเทศอินโดจีนน่าจะเป้ฯเตื่องเตือนสติให้กับประเทศอื่นๆ ในก๓ุมทิภาคเอเชียตะวนออกเแียงใต้ได้ว่าคราบใดที่ยังมีความแตกแยกภายในประทเศ การบริหารงานไร้ประสทิะิภาพมความทุจริในการหน่ยงาน ตลอดจนมีความมุ่งร้ายประเทศเพื่อบ้านปล้ว วาระสุดท้ายของประเทศก็จะมาถึงในเวลาอันไม่ช้า....(ประวัติการพัฒนาเศรษฐกิจของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้, รศ.ญาดา ประภาพันธ์, 2538.)
         

วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560

History Economic of Sounth East Asia :Singapore

               เศรษฐกิจของสิงคโปร์สามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้นเรื่อยๆ หลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้นน่าจะเป็นด้วยสาเหตะที่สำคัญประกอบดันอยุ่สองสามประการคือ สิงคโปร์เป้ฯประเทศที่มีขนาดเล็กมา ซึ่งจะทำใ้หารบริหารงานทำได้ทั่วถึงและมีประสทิะิภาพสุงกว่าการบริหารในประเทศใหญ่ ทั้งยังอยุ่ในทำเลที่เหมาสมแก่การต้าระหว่างประเทศสิงคโปร์ซึ่งส่วนใหญคือคนจีนนั้นมีความขยันขันแข็งในกิจการงาน จึงกล่าวได้ว่าขนาดและที่ตั้งของประเทศและคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนา จากนี้นจะพิจารรเศรษบกิจของสิงคโปร์ในช่วงหลังสงครามโลก
             เศรษฐกิจแบบศูนย์กลางการต้าหลังสงครามโลกครั้งที่สองจนถึงค.ศ. 1959 แท้จริงิงคโปร์มีัลักาณะเศราฏิจแบบศูนย์กลางการต้ามาดั้งเดิมแล้วเนื่องจากเป็นทำเลที่เหมาสมมากในค่บสมุทรมบายูเป้นจุดผ่านสำคัญของเรือสินค้าจากประเทศต่างๆ และรายล้อมใไปด้วยประเทศเกษตณกรรม สิงคโปร์จึงได้ทำหน้าที่เป็นเสมือนศูนย์บริการทางการต้าให้แก่เรือสินค้าของประเทศต่างๆ ที่ผ่านแหลมมลายู สินค้าจากที่ต่างๆ จะถูกนำมาเก็บรักษาไว้ที่สิคโรป์เพื่อส่งไปจหน่ายยังประเทศื่อนต่อไป และจากการเป็นศุนย์กลางการต้าระหวางประเทศที่สำคัญก็ได้กลายเป้นศูนย์การเงินที่สำคัญในย่านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ไปด้วย
            ในขณะที่สิงคโปร์เป็ฯประเทศที่เศราฐกิจพึงพิงกับการให้บริการนั้น สาขาการผลิตอื่นๆ ทั้งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมจึงมีความสำคัญน้อย สิงคโปร์มีการผลิตขั้นแปรรูปเบ้องต้นเช่น การแปรรูปยางพารา ผลิตภัฒฑ์จากไม่ อาหารกระป๋อง แรงงานกว่า 50 % จะอยู่ในภาคการต้าและการให้บริากรอื่นๆ ในขณะเดียวกันแรงงานทางด้านเกษตรกรรมมีขนาดเล็กและลดลงเรื่อยๆ
            ลักษณะของเศรษฐกิจช่วงนี้มีได้เปลี่ยนแลงไปจาก่อนสงคราดลครั้งที่สองนัก และมีแนวโน้มว่ากิจกรรมสาขาบริากรอื่นๆ มีากรขยายตัวสอดคล้องไปกับการค้าระหว่างประเทศในช่วงดังกล่าว อย่างไรก็ดี เมื่อสิ้นสุดระยะการปกครองและการควบคุมทางเศรษฐฏิจของอังกฤษลงแล้ว ความรุ่งเรืองของสิงคโปร์ในฐานะการเป็นเมืองท่าศูนย์กลางของภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แม้จะยังคงเจริญอยู่แต่อาจไม่เป็นการเพียงพอ เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ได้พยายามพัฒนาตั้งขึ้นมาเป้ฯเมืองศูนย์กลางค้าบ้าง สิงคโปร์จึงมีคู่แข่งขัน ดังนั้น ผลประโยชน์หรือรายได้ของประเทศจากการให้บริการต่างๆ ทางการต้าจึงย่อมลดลงบ้างประกอบกับการมีประชากรเพิ่มสูงด้วยในช่วงหลังสงครามโลก ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์มิได้นิ่งนอนใจ ปรากฎว่ามีการใช้มาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขและพัฒนาเศรษกิจในช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี
            - การพัฒนาในทศวรรษ 1960 ปรากฎว่าเศรษฐกิจแบบเมืองท่าไม่อาจเป้ฯสาขาเดียวี่จะเลี้ยงประเทศได้อีกต่อไป เนื่องจากมีคู่แข่งขันเพ่ิมขึ้น ตลอดจนผุ้บริโภคในประเทศก็เพ่ิมขึ้น และการมีสาขาเศรษฐกิจบริการเป้นสาขานำเท่านั้นมิได้เพียงพอที่จะรองรับการเพ่ิมของแรงงานได้อีกต่อไป การว่างงานเพ่ิมขึ้นตลอดเวลา จากค.ศ. 1957 ปัญหาการว่างงานเป็นปัญหาที่้ร้ายแรงทางเศรษกิจ ซึ้งอาจบันทอนการพัฒนาลงได้มาก สิงคโปร์ตระหนักปัญหานี้เป็นอย่างดี จะเห็นได้จากที่มีการวางแผนครอบครัวและการพยายามหันมาเน้นการอุตสาหกรรมมากขึ้น รวมทั้งการพยายามแสวงหาแหล่งเงินตราต่างประเทศจากแหล่งต่างๆ มาชดเชยรายได้ที่เคยได้รับจากการตั้งฐานทัพของอังกฤษด้วย
                1)  บทบาทของรัฐบาลต่อความเจริญทางเศรษฐกิจ ในทศวรรษที่ 1960 อัตราความเจริญทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์อยุ่ในระดับที่สูงมาก เมื่อเทียงกับประเทศเพื่อนบ้าน GDP เพิ่มจาก 2,050ล้านดอลล่าร์เป็น 5,190 ล้านดอลล่าร์ใน 1970 และอัตราการเพ่ิมของประชากรก็ลดลงได้จาประมาณ 4% หลังสงครามเหลือเพียง 1.3%ในค.ศ. 1970 ดังนั้นรายได้ต่อหัวของประชากรโดยเฉลี่ยจะสูงขึ้นอย่างไรก็ดี อัตราความเจริญในทศวรรษนี้มีความแปรปรวนอยู่มากโดยเฉพาะครึ่งแรกของทศวรรษ ซึ่งการเมืองเป็นสาเหตุด้วยประการหนึ่ง คือใน ค.ศ. 1963 สิงคโปร์ได้เข้าร่วมเป้ฯสหพันธ์มลายาปรากฎว่าสหพันธ์ดังกล่าวถูกต่อต้านจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย อย่างมากอันมีผลกระทบทางเศราฐกิจของประเทศที่เข้าร่วมในสหพันะ์ซึงรวมถึงเศรษฐกิจแบบเมืองท่าของสิงคโปร์ด้วย
                 หลังจาก คซ. 1968 เป็นต้นมาการเจริญเติบโตทางเศราฐกิจเป็นไปอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ ทั้งการว่างงานก็ลดลงจนไม่ถือว่าเป็นปัญหาร้ายแรงอีกต่อไป โดยแท้จริงกลับเห็นไดว่าระยะยต่อมา สิงคโปร์กลับต้องจ้างแรงงานจากต่างประเทศเข้าไปอีกด้ยเช่นแรงงานจากประเทศไทย ในขณะที่อัตราความเจริญเป็นไปอย่างมากนั้น เศรษฐกิจของสิงคโปร์ก็มีเสถียรภาพอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะรัฐบาลสิงคโปร์มีการควบคุมที่ดีในการเรียกร้องขึ้นค่าจ้างแรงงานการนัดหยุดงาน มีการควบคุมมิให้พ่อค้ารวมหัวกันเอาเปรียบผุ้บริโภค ตลอดจนการควบคุมปริมาณเงินตราของประเทศมิให้มากจนเกินควร นอกจากนั้นสิงคโปร์ยังได้มีโครงการสวัสดิการพื้นฐานอลายอยาง อาทิจัดสร้างที่อยุ่อาศัยในราคาถูกให้ก่พลเมืองตามระดับรายได้ ดังนั้น ปัญหาค่าครองชีพด้านที่อยุ่อาศัยจึงไม่มีทั้งๆ ที่เป้นประเทศขนาดเล็ก (ซึ่งการลงทุนด้านนี้ของรัฐบาลอาจมีผู้เห็นว่าไม่ก่อให้เกิผลผลิต แต่ไม่ควรลืมว่าทรัพยากรมนุษย์คือ สิ่งล้ำค่าในการพัฒนาชาติ การมีคุณภาพชีวิตที่ดีจึงเป็นสิ่งจำเป็น และทีอยุ่อาศัยนั้นเป็นปัจจัยประกอบของคุณภาพชีวิตอย่างหนึ่ง ทางฝ่ายรัฐบาลของสิงคโปร์นั้นพยายามควบคุมรายจ่ายให้เหมาะสม จึงปรากฎว่างลประมาณมีลักาณะสมดุลเสมอ แต่รัฐบาลยินดีกู้เงินหากจะเป้นไปเพื่อการพัฒนาเศรษกบิจ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป้ฯการกู้ภายในประเทศ
           ในขณะที่รายได้ประชาชาติเพ่ิมอย่งมากนั้น การสะสมทุนรวมของประเทศก็เพ่ิมขึ้นโดยรวดเร็ว ซึ่งเป็นลักษระต่างไปจากประเทศกำลังพัฒนาซึ่งขาดแคลนการสะสมทุนภายในประเทศ การสะสมทุนถาวรของสิงคโปร์เพ่ิมจาก 6% ของ GDP ใน ค.ศ. 1960 เป็น 24% ของGDP ใน ปี 1970 ในการสะสมทุนภาวรนั้นรัฐบาลสิคโปร์มีบทบาทสำคัญ รัฐบาลมีการลงทุนเพิ่มในกิจการต่างๆ อย่างมากมาย ทั้งยังพยายามหามาตการจุงใจให้มีการลงทุนโดยเอกชนทั้งจากภายในประเทศอง และจากต่างประเทศปรากฎว่าหลังจาก ค.ศ. 1968 เป็นต้นมาเงินลงทุนจากต่างประเทศได้หลั่งไหลเข้ามาในสิงคโปร์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิงในสาขชาอุตสาหกรรมหัตถกรรม ที่มาของทุนจากต่างประเทศส่วนใหญ่คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น และเนเธอร์แลนด์
           จากการเข้ามาลงทุนด้านอุตาสหกรรมของต่างประเทศวคึ่งตงกับความต้องการของรัฐบาลสิงคโปร์ ในอนที่จะขยายสาขาเศรษฐกิจให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ดังนั้น รัฐบาลสิงคโปร์จึงพยายามดึงดูดใจนักลงทุนเอกชน ด้วยการสร้างกิจกรรมพ้นฐานให้มากขึ้น เช่น การขยายเมืองการสร้างนิคมอุตสหกรรม กาพลังงาน การคมนาคมขนส่งฯ นอกจาการพยายามส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตแล้วยังมีความพยายามส่งสเริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอีกด้วย โดยการจัดสร้างสถานที่พัก การปรัปปรุงระบบธนาคาร เป็นต้น
            2) กลยุทธในการพัฒนาแลการเปลี่ยนโครงร้างทางเศษฐกิจ รัฐบาลสิงคโปร์พยายามสร้างภาวะความเท่าเทียมและความอยุ่ดีกินดี ให้กับประชาชนด้วยมาตรการต่างๆ ดังกล่วมาแล้ว ซึ่งเป็นผลดีแก่การพัฒนาเศรษบกิจของประเทศ เพราะหลักความจริงที่ว่าตราบใดที่ความเหลือมล้ำทางเศรษบกิจของประชาชนในสังคมมีมาก เสถียรภาพของประเทศก็ยากที่จะดำรงอยู่ได้
            ในทศวรรษที่ 1950 สิงคโปร์ประบปัญหานานประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพึ่งเศรษฐกิจการค้าแต่อย่างเดี่ยวไม่เป็นการเพียงพอ รัฐบาลจึงหันมาใช้กลยุทธ์เพื่อแก้ปัญหาการจ้างงาน ดดยการขยายสาขาเศรษกิจออกไปหลายๆ สาขานอกจากการต้า นั่นคือ กันมาเหน้นหนักการอุตสาหกรรมอย่างเต็มที่ แต่อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมในระยะทศวรรษ 1960 นั้นเป็นลักษระการประกอบโดยอาศัยชิ้นสวนนำเข้าจากต่างประเทศและผลิตเพื่อขายตลาดในประเทศเป้นสวนใหญ่ ที่เหลือจึงเป็นการส่งออกโดยรัฐให้คึวามคุ้มตรองอุตสาหกรรมถายในโดยใช้ระบบโควต้าและกำแพงภาษี ซึ่งลักษระการผลิตดังกล่าวจะเกิดผลเสียแก่ดุลชำระเงินของประเทศ และยังปรากฎว่าตลาดภายในมีขนาดจำกัดอีกด้วย ดังนั้น ในปลายทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 รัฐบาลจึงเปลี่ยนนโยบายอุตสาหกรรมหันมาสนับสนุอุตสากรรมเพื่อส่งออกเท่านั้น ซึ่งถือเป้นการส่งเสริมการขยายตัวของการต้าต่างประเทศด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลจะเลิกการใช้กำแพงภาษีคุ้มครองสิค้าเข้า แต่จะให้คามช่วยเลือการผลิตเพื่อส่งออก โดยพยายามดึงดูดการลทุนจากต่างประเทศและภายในเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมให้ความสะดวกในการตั้งโรงาน การขนส่ง การนำเข้าและการส่งออก ตลอดจนมีการออกกฎหมายควบุคมอัตราค่าจ้างให้เหมาะสม รวมทั้งวันหยุดและช่วดมงการทำงานของแรงงาน มีการฝึกฝนแรงงาน ตลอดจนการพัฒนาวิทยาการจัดการ นอกจากนั้นอนุญาตให้ผุ้ผลิตส่งเงินกำไรออกจากประเทศได้เสรด้วยมาตรการต่างๆ เล่านี้มีผลให้สิงคโปร์กลายเป้นประเทศอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกภายในระยะไม่นานนัก การให้ความช่วยเหลือในลักษณะดังกลาวนั้นเป็นการเน้นการแข่งขัน ภายใต้ความเสมอภาค ดังนั้น การที่อุตสาหกรรมใดจะดำรงอยู่ได้หรือสลายไปจึงขั้นกับประสิทธิภาพของตนเป็นสำคัญ
              จากเศรษบกิจแบบศุนย์กลางการต้าในสมัยเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษจนกระทั่งการตกอยุ่ใต้อิทธิพลของญี่ปุ่น การร่วมในสหพันธ์มาเลย์เซีย ตลอดจนถึงสมัยที่เป็นเอกราชนั้น สิงคโปร์ได้ผ่านปัญหาหลายอย่างทั้งการเมืองและเศรษฐกิจมากพอสมควร แม้จะไม่รุนแรงเท่ากับประเทศเพื่อบ้านบางประเทศ สิงคโปร์ประสบทั้งปัญหาการกีดกันของมลายู ตลอดจนปัญหาต่างๆ ภายในประเทศ แต่สิงคโปร์สามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ จนขึ้นมาเป็นประเทศพัฒนาที่ประชาชนมีรายได้สุงมีความกินดีอยุ่ดี และมีความเสมอภาคท่ามกลางเพื่อนบ้านที่ยังด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนาไดอ้ย่างน่าภาคภูมิ เป็นปัญหาที่น่าขบคิดอย่างยิ่งว่าเหจุมดประเทศซึค่งไร้ความสมบูรณืทั้งทรัพยากรแร่ธาตุ ตลอดจนผืนดินน้น จึงได้รับผลสำเร็จปานนั้น ถ้าจะคอยแต่เพียงว่าเพราะขนาดของประเทศเล็กการบริหารย่อมทำได้ง่าย ทำให้พัฒนาได้เร็วเห็นจะเป็นเหตุผลที่ไม่เพียงพอ หากมองให้ลึกลงไปจะเห้นได้ว่าคุณภาพของมนุษย์ในประเทศนี้ต่างหากที่สำคัญ ความตั้งใจของผุ้นำ ตลอดจนความขยันขันแข็งและเคารพกฎระเบียบของพลเมืองต่างหากที่ทำให้นโยบายต่างๆ ของรัฐบาลทำงายอย่างได้ผลรัฐบาบของสิงคโปร์ทำงานจริงจังเพื่อผลประโยชน์อของประเทศแม้ว่าในสายตาของผุ้อื่นอาจเห็นว่ามีการพยายามเอาเปรียบเพื่อนบ้านก็เป็นปกติวิสัยของพ่อค้า ซึ่งผู้ทีติดต่อด้วยต้องฉลาดทีน นอกจากนั้นนโยบายตลอดจนบทบาทบางอย่างของรัฐบาลสิงคโปร์ถูกเพ่งเล็งว่าเป้นการก้าวเข้าไปยุ่งกับชีวิตส่วนตัวของประชาชนมากไป เข่น การวางแผนครอบครัวการลงโทษผผุ้มีบุตรมากกว่าที่กำหน หรือในปัจจุบันรัฐบาลกำลังวิตกกับการที่ผุ้มีการศึกษาสูงๆ ไม่ยอมสมรสเหล่านี้ ถ้ายายามมองในด้านดีก็จะเห็นได้ว่ารัฐบาบลสิงคโปร์ต้องการให้ประชกรทีเกิดมามีคุณภาพชีวิตที่ดีนั่นเอง
                 ทางด้านเสณาฐกิจน้้นในชวงของทศวรรษ 1960 นั้นมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง จากากรที่สาขาการค้ามีความสำคัญเพียงอย่างเดียวมาเป็นการเพ่ิมความสำคัญของอุตสาหกรรม และโครงสร้างดังกล่าวยังได้เปลี่ยนแปลงไปอีกข้างในปลายทศวรรษ 1980 นั้นคือ การเน้นหนึกในอุตสาหกรรมเพื่อทดแทนการสั่งสินค้าเข้านั้นได้เปลี่ยนเป็นการให้การสนับสนุนการผลิตอุตสาหกรรมเพื่อส่งออก ในการส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษกบิจนั้น รัฐบาลได้พยายามดึงดูดใจให้เอกชนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศมีบทบาทมากขึ้นๆ โดยรัฐบาลเป็นเพียงผุ้สนับสนุนด้านต่างๆ เช่น ความสะดวกด้านการขนส่ว การพลังงาน สถาบันการเงิน ฯ สิงคดปร์ประสบความสำเร็จมากในการดึงดูดทุนจากต่างประเทศ ทั้งนี้ก็โดยมีนักลงทุนเหล่านั้นมีความเชื่อมั่นในกเสถียรภาพของรัฐบาลสิงคโปร์ ตลอดจรความมีประสิทธิภาพในหน่วงานต่างๆ ของสิงคโปร์ว่าจะทำให้การดำเนินงานของเขาเป้นไปโดยสะดวก และการลงทุนจะไม่สูญเปล่า...(ประวัติการพัฒนาเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, รศ. ญาดา ประภาพันธ์, 2538.)
             
         

History Economic of Sounth East Asia : Malaysai

            ในช่วงญี่ปุ่นเขาครองครองมาเลเซียนั้นได้ปลูกฝังความเกลี่ยดชังชาวจีนให้กับชาวมลายูอย่างมาก จนเมื่อหลงสงครามนั้นชาวมลายธพยายามฆ่าชาวจีนเท่าที่จะทำได้ มีผลให้อังกฤษซึ่งกลับเข้ามาปกครองมลายูอีกต้องทำการปราบปรามอย่างเข้มงวด สภาพของมลายูหลังสงครามโลกนั้น ปรากฎว่ามีการขาดแคลนอาหารอย่า่งมาก ต้องมีการสั่งซื้อข้าวจากาภยนอกประเทศ เช่น จากไทยและพม่า ซึ่งในระยะแรกเป้นไปด้วยความลำบาก เพนื่องจากการผลิตดข้าวของประเทศผุ้สงออกตกต่ำลงระหว่างงครา รัฐบาลมลายูเองพยายามใช้มาตรการต่างๆ กระตุ้นให้มีการเพาะปลูกภายในประเทศเพิ่มขึ้น
            นอกจากการปรับปรุงด้านการเพาะปลูกพืชอาหารแล้ว รัฐบาลได้พยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ซึ่งรวมถึงการบูรณะทางรถไฟ ท่าเรือ ตลอดจนพยายามพัฒนอุตสาหกรรมเหนืองแร่และยางพาราขึ้นมาอีก ในช่วงนี้ปรากฎหว่าเหมืองแร่แบบโบราณของนายทุนชาวจีน ซึ่งใช้แรงงานเป็นปัจจัยสำคัญกลับฟื้นตัวได้เร็วกว่าเหมืองแร่แบบทันสมัยของชาวยุโรป เนื่องจากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ถูกทำลายไปในระหว่างสงครามเป้ฯจำนวนมาก การซื้อหาเครื่องจักรต่าง ๆ มาทดแทนทำได้ยากและมีราคาแพงมาก เนื่องจาก สภาพเงินเฟ้อหลังสงคราม..
            - เศรษฐกิจของมลายามาฝื้นตัวอย่างรวดเร็วประมาณ ค.ศ. 1950 เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานต่างๆ เช่น การคมนาคม พลังงาน ฯลฯ ได้รับการฟื้นฟูบูรณธจากความเสียหายระหว่างสงครามโลก ประกอบกับการเกิดสงครามเกาหลีในปีนั้นได้ส่งผลให้ราคายางและดีบุกสูงขึ้นมาก ทั้งนี้ดดยสหรัฐอเมริกาเป็นผุ้ซื้อสินค้าของมลายูเพื่อสะสมเป็นยุทธปัจจัย สงครมจึงเป้นสาเหตุที่ทำให้การผลิตสินค้าของมาเลิซียนเจริญในขณะนั้น แต่หลังจากนั้นมาระดับความเจริญทางเศรษบกิจของประเทศมีความผันแปร เนื่องจาก เศรษฐกิจของประเทศอิงกับการส่งออกซึ่งสินค้าสำคัญเพียงสองชนิดดังกล่าว มลายาได้ทำการปรับโครงสร้างการผลิตให้มีการผลิตสินค้ามากชนิดขึ้น เพื่อลอความเสี่ยงจากการพึ่งรายได้จากยางและดีบุกลง
            ในสาขาเศราฐกิจอุตสาหกรรมนั้นมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปในช่วงเลาดังกล่าวนี้ คืออุตาสาหกรรมเพื่อทดแทนการนำเข้าได้รับการส่งเสริม ดังนั้นผลที่ปรากฎจึงคล้ายคลึงกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ที่มีการลดลงของการนำสิน้าเข้าที่เป้นวัตถุสำเร็จรูป แต่กลับมีการนำเข้าซึ่งส่วนประกอบการผลิต วัตถุดิบ ฯ อย่างมากในช่วงดังกล่าวน้และอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะเป้นการประกอบชิ้นส่วนเข้าด้วยกัน ดังนั้น มูลค่าเพิ่ม จึงไม่มาก และไม่เป็นการช่วสร้างงานมากนัก
            - การวางแผนเศรษบกิจของมลายา ได้เริ่มวางแผนระยะ 5 ปี ขึ้นใน ค.ศ. 1957 ซึ่งเป็นแนวความคิดต่อเนื่องมาจากพระราชบัญญัติสวัสดิการและการพัฒนาอาณานิคม ของอังกฤษต่อมลายาในปี 1946 นั่นเอง พระราชบัญญัติดังกล่าวนี้เป้นความประสงค์ของอังกฤษที่จะให้รัฐบาลพื้นเมืองมประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการพัฒนาเศราฐกิจและสังคม
            ก่อน ค.ศ. 1950 นั้นรัฐบาลอาณานิคมได้มีความพยายามเพ่ิมผลผลิตในมลายาอยุ่แล้ว ดังที่จะเห้ฯได้จากการส่งเสริมการขยายการผลิยางพาราและดีบุกโดยพัฒนาปัจจัยขึ้นพันฐานต่างๆ ให้แก่มลายา แม้ว่าผลดีจะตกกับอังกฤษด้วย แต่มลายาก็ได้รับผลดี เช่น กัน ปรากฎว่ารายได้จากภาษีสินค้าออกได้เพิ่มอย่างมากรัฐบาลมีเงินสะสมมาก ซึ่งสมารถนำมาใช้จายเมื่อพัฒนาได้มาก มีการขยายกิจกรรมขั้นพื้นฐาาน อาทิ ถนนหนทาง การไปรษณีย์ การรถไฟ ฯ อย่งไรก็ตาม ปรากฎว่า แต่เดิมนั้นรัฐบาลอาณานิคมในมลายาได้มีการพัฒนาในลักาณะที่ไม่สมดุลในประเทศ เพราะรายจ่ายของรัฐบาลสวนมากจะใช้จ่ายไปในกิจกรรมที่สนับสนุนการผลิตเพื่อการส่งออกเท่านั้น โดยถือว่าเป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดผลผลิต ดังนั้น การผลิตอื่นๆ ที่เป้ฯการผลิตขนาดเล็กและเป็นของชาวพื้นเมืองและมิได้ทำการผลิตเพื่อการส่งออกจึงเกือบไม่ได้รับผลประโยชน์จากรับาล เช่ การผลิตข้าว รัฐบาลให้ความสนใจน้อยมาก ไม่มีการสนับสนุนหรือกระตุ้นการผชิตเหล่านี้แต่อย่างใด การที่รัฐบาลไม่สนับสนุนการผลิตข้าวอาจเป้นเพราะผลตอบแทนจากการผชิตยางสูงกว่าการผลิตข้าว รัฐบาลสามารถสั่งชข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาได้ง่าย ดังนั้น เกษตรกรพื้นเมืองจึงมีระดับการผลิตเพียงยังชีพเท่านันอย่างไรก็ดี นโยบายปล่อยให้สาขาการผลิตเพื่อบริโภคล้าหลังเช่นนี้ได้แสดงให้เห็นผลเสียในยามที่เกิดภาวะเศรษบกิจตกต่ำ เช่น ช่วงปลายทศวรรษ 1820 ปรากฎว่ามีความขาดแคลนสินค้าบริโภคในมลายู เพราะผลิตเองไม่พอทั้งสินค้าออกขายได้น้อยในช่วงดังกล่ว รายได้เพื่อซื้อสินค้าเข้าจึงน้อยลง
               ความผิดพลาดในการใช้นโยบาย ดังกล่าได้มีการแก้ไขจาอังกฤษโดยผ่านพระราชบัญญัติสวัสดิการและการพัฒนา อาณานิคมออกมาหลังสงครามดลกครั้งที่ 2 และให้เงินทุนมาใช้ในโครงการพัฒนานี้ด้วย ทั้งนี้ดดยมุ่งให้อาณานิคมมีการกระจายการผลิตออกไปหลายๆ สาขาและให้การสนับสนุนการผลิตพืชอาหารด้วย รวมทั้งการให้สวัสดิการด้านอื่นๆ แก่พลเมืองในอาณานิคมโดยทั่วถึงกัน มิใช้สนับสนุนเฉพาะสาขาการผลิตเพื่อส่งออกอย่างเดี่ยว
             แต่ปรากฎว่าความตั้งใจของอังกฤษไม่ประสบผลดีนัก เพราะเงินทุนที่ให้มานั้น้อยมาก ทั้งมีเงื่อนไขการดำเนินการที่ยุ่งยากจนผุ้บริหารในอาณานิคมไม่สนใจจะเสนอแผนไปยังเมืองแม่ อย่างไรก็ตาม ในกรณีของมาเลเซียนั้น เมื่อสำนักงานอาณานิคมในลอนดอนต้องการให้เสนอแผนก็ได้มีการทำร่างแผนพัฒนาที่เรียกว่า "Yellow Book"ขึ้นในปลายปี 1949-1950เพื่อำหนดเป้าหมายของนโยบายเศรษฐกิจและสังคมสำหรับช่วง 5 ปี คือ ระหว่าง ค.ศ. 1950-55 แต่แท้จริงร่างดังกล่าวเป็นเพียงการเอารายงานของแต่ละหน่วยงานมารวมกันเข้า และพยายามปรับปรุงตัวเลชทางการเงินให้พอดีกับจำนวนเงินที่จะได้จากอังกฤา และเนื่องจากแผนการพัฒนาดังกล่าวนี้มิได้มีการศึษกาสภาพเศรษบกิจอย่างจริงจัง จึงมีข้อบกพร่องมากมาย อาทิ เช่น การวางแผนยังอิงกับหลักการเดิมคือ กิจกรรมใดที่จะก่อให้เกิดรายได้นั้นให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ได้ ส่วนกิจการที่เห้นว่าไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้ใช้จากเงินที่สำนักงานอาณานิคมจัดเป็นกองทุนให้เท่านั้น ดังนั้น การพัฒนาจึงออกมาในรูปแบบเดิมคือ เน้นการสร้างกิจกรรมพื้นฐานเพื่อการผลิตส่งออก แต่ละเลยการให้สวัสดิการแก่สัีงคมและการพัฒนทรัพยากรมนุษย์ ในขณะเดียวกันในแผยนี้การพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมได้ถูกละเลยไป  แต่ภายหลังรัฐบาลมลายาได้พยายามพัฒนการผลิตทั้งการเกษตรและการอุตสาหกรรมคู่กันไป จะเห็นได้ดังต่อไปนี้
             - บทบาทของรัฐบาลด้านการเหาตรกรรม หลังจากที่การผลิตยางชะงักไปช่วงเกิดเศรษบกิจตกต่ำทั่วโลก และในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว ปัญหาต่างเกี่ยวกับการปลูกยางยังมิได้หมดไป เช่น ผู้ปลูกยางขาดเงินทุนในการปลูกยางใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผุ้ปลูกยางรายย่อย ในค.ศ. 1952 รัฐบาลได้ใช้นโยบายโครงการปลูกยางทดแทนโดยการเก็บภาษีจากผุส่งยางออก เพื่อมาใช้สนับสนุนผุ้ปลูกยางทดแทน ปรากฎว่ามาตรการดังกล่าวนี้มิได้มีส่วนช่วยผุ้ผลิตยางรายเล็กๆ อย่างไรก็ตาม ในค.ศ. 1956 นั้นมีนโยบายช่วยเหลือกิจการขนาดเล็ก้ดยการให้เงินอุดหนุนในพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดแต่ไม่เกิน 1060 เอเคอร์ ดังนั้น ชาวสวนยางขนาดใหญ่และขนาดกลางจึงมีการซอยที่อกนออกเแ็นขนาดเล็กเพื่อจะได้รับเงินอุดหนุนเต็มี่ และก่อให้เกิดการกว้านซื้อที่ดินมาแบ่งขายเป็นแลงเล็กๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้เโดยหลักการแล้วก่อให้เกิดผลเสียแก่การพัฒนาอย่างยิ่ง ผลประการหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผุ้ที่เป็นเจ้าของที่ดินส่วนมากผลติขนาดใหญ่ที่จะตัดที่ดินบางส่วนขายได้ ดังนั้น เกษรตกร รายย่อยจริงๆ จึงมิได้รับลผลดีจากโครงการนี้นัก สภาพการขาดแคลนเงินทุนและที่ดินสำหรับเกษตรกรราย่อยๆ ยังคงดำเนินต่อไปการดำเนินการต่างๆ ของรัฐทำโดยไม่รอบคอบนักและล่าช้า ในราวต้นทศวรรษที่ 1960 นั้นรัฐบาลได้เร่งรีบแก้ปัญหาเรื่องที่ดินทำกินในชนบท การบริหารงานในช่วงนี้ซึ่งทำโดยคณะกรรมการพัฒนาที่ดินเป้นไปโดยมีประสิทธิภาพมากขึ้น เกษตรกรไ้ได้ที่ดินเพ่ิมขึ้นและมีบริการอำนวนคามสะดวกตลอดจนสวัสดิการต่างๆ ที่ชนบทดีข้น
          อย่างไรก็ดี การทุมเทรายจ่ายของรัฐเพื่อสนับสนุนการผชิตยางโดยโครงการต่าๆ นั้ ทำให้รัฐบาลต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก อนึ่งการหวังพึงยางพาราให้เป็นสินค้าหลักที่จะพยุงเศาฐกิจของประเทศอย่งเดี่ยน่าจะไม่พอเพียง เนื่องจากมีการผลิตยางสังเคราะห์มากขึ้นทุกที ทั้งนี้เพราะความก้าวหน้าของเทคโดลยีต่างๆ ทำให้ยางสังคเราห์มีคุณภาพใกล้เคียงยางพาราและมีราคาต่ำกว่าด้วย นอกจานั้น ยางสังเคราะห์ยังมีข้อได้เปรียบยางธรรมชาติในประเด็นของการปรับตัวของอุปทานต่ออุปสงค์ในตลาดโลกได้รวดเร็ว
       
อย่างไรก็ดี แม้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจจะเน้นการส่งเสริมการผลิตยางพาราเป้ฯอย่างมาก แต่ในระยะต่อมาคือช่วง ค.ศ. 1966-1970 ได้ลดความสำคัญของยางพาราลง และหันไปเน้นการลงทุนอย่งอื่นเพิ่มขึ้น เช่น สนับสนนุการปลูกข้า การประมง นอกจากนั้น ได้มีการพิจารณาส่งเสริมการปลูกปาล์มน้อำมนแทนยางพารา เนื่องจากราคาของปาล์มน้ำมันมีแนวโน้มว่าจะดีกว่าราคายาง
           - บทบาทของรัฐบาลด้านการอุตสาหกรรม ในช่วงแรกของแผนพัฒนา เศรษฐกิจนั้นไม่ปรากฎว่ารัฐบาลสนใจการดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมนัก นอกจากนั้น โดยรายงานของคณะสำรวจภาวะเศรษกิจจากธนาคารโลกในช่วงแรกของทศวรรษ 1950 นั้น ปรากฎว่าไม่สนับสนุนให้รัฐเข้าดำเนินงานอุตสาหกรรมเอง นอกจากการอำนวนความสะดวกต่างๆ และส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนเท่านั้น ซึ่งความเห็นเช่นว่านี้ของคณะสำรวจดังกล่าวที่ไใ้แก่บรรดาประเทศเอเซียตะวนออกเฉยงใต้จะเป้ฯในลักษณะเดี่ยวกันแทบทั้งสิ้นรวมทังประเทศไทยด้วยและนั้นเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้เอกชนลงทุน แต่มักจะแรากฎว่านายทุนพื้นเมืองมีโอกาสน้ยเนื่องจากขาดแคลนเงินทุนและเทคโนโลยีทันสมั้ย จงเป้ฯอีก้าหน่งของนายทุนตะวันตกที่จะกลับมาครอบงำเศรษบกิจของเอเซียตะวันอกเแียงใต้ได้อีกวาระหนึ่ง นอกจากการจำกัดบทบาทของรัฐบาลมลายาแล้วว คณะสำรวจดังกล่าวยังได้เสนอให้การนำเข้าเป้ฯไปอย่างเสรี..อย่างไรก็ตาม ปรากฎว่าได้มีการอุตสาหกรรมทุติยภูมิขนาดย่อมเพ่ิมขึ้นอย่างมาก เช่นการทำอิฐสัปะรดกระป๋อง สบู่ ผลิตภัฒฑ์จากยาง ฯลฯ และในภายหลังมีอุตสาหกรรมหนักเพิ่มขึ้น เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก การกลั่นน้ำมัน การทำซีเมนต์ ฯ
             - ทางด้านการต้าระหว่างประเทศ อาจกล่าวได้ว่าแม้มาเลเซียจะมีการดำเนินนโยบายเพื่อสนับสนุสินค้าเพียงองประเภทเพื่อการส่งออก แต่อย่างไรก็ตาม ในภายหลังโดยเแฑาะในครึ่งหลังทศวรรษ 1960 ได้แก้ไขนโยบายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า มาเลเซียสามารถดำเนินการทางด้านการต้าระหว่างประเทศได้ผลดีมากในช่วงทศวรรษ 1960 โดยมีดุลการต้าเกินดุลตลอดเวลา
               อาจกล่าวได้ว่า มาเลิซียได้ผ่านจากสภาพการเป็ฯอาณานิคมมาจนถึงปัจจุบันนี้ด้วยการเผชิญปัญหาต่างๆ ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งเป้ฯปัญหาที่เกิดจาภายนอกประเทศและปัญหาภายในปประเทศเอง หากพิจารณาดูช่วงของการเป้นอาณานิคมของอังกฤษนั้น ความทารุณโหดร้ายของผุ้ปกครองอาจจะค่อนข้างน้อย หากเปรียบเที่ยบกับประเทศที่ตกเป็นอาณานิคมของดัชท์ หรือของฝรั่งเส แม้อังกฤษจะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ไปไม่น้อย แต่ความปรารถนาดีต่อมาลยูก็พอควร เห้นได้จาการที่ระบบการศึกษา ความสะดวกขึ้นพื้นฐาน ตลอดจนความมีระเบียบวินัยของคนในประทเศล้วนเป้นส่วนหนึ่งของการปลูฝังของชาวอังกฤษ ปัญหาที่แท้จริงของมาเลเซียน้นกลับเป้นปัฐหารที่เกิดในประเทศ เช่น ความแตกแยกกันเองของคนในชาติ เช่น ชาวจีนกับชาวพื้นเมืองดั้งเดิม และชาวอินเดีย วึ่งต่างแก่งแย่งชิงอำนาจทางการเมืองและผลประดยชน์จะเห้นได้จาการกีดกันของชาวมลายูต่อชาวจีนเป็นไปอย่างรุนแรง แม้ในสมัยของการตั้งเป้นสหพันธ์มลายูนั้นได้พยายามออกกฎต่างๆ ที่จะไม่ให้ชาวจีนไ้เป็นพลเมืองของสหพัฯธ์ สิงคโปร์ซึ่งได้พยายามเข้ามารวมตัวด้วยโดยหวังว่าจะได้ประโยชน์ก้กลับถูกกีดกันต่างๆ นานา แม้จนกระทั่งระแวงว่าพรรคการเมืองของสิงคโปร์จะเข้ามามีอิทธิพลทางการเมืองจนอกาจกลายเป็นรัฐบาลของประเทศ ซึ่งในที่สุดสิงคโปร์ก็จำต้องลาออกจากการเป็นสมาชิกของสหพันธ์
             ในทางเศราฐกิจนั้นรัฐลาบมีนโยบายที่ผิพลาดบางประการในระยะแรกๆ นั้นคื อากรสนับสนุการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกเพียง 2 ประเถท คือยางพาราและดีบุก ซึ่งแม้ว่ารายได้จาสินค้าออกทั้งสองนี้จะสูงมกในบางระยะแต่ถือได้ว่ามีความเสี่ยงสูง เรพาะสินค้าทั้งสอชนิดนั้นขึ้กับความต้องการของตลาดโลก เมื่อดดที่ตลาดโลกมีความแรปรวน เศรษบกิจของมาเลเซียก็มปรแปรวนด้วยเป้นการนำเอาเศรษบกิจของตนไปผูกับตลาดโลกมากเกินไป ซึ่ระยะหลังๆ รับบาลตระหนังถึงผลเสียของนโยายเช่นนี้ จึงมีการแก้ไข โดยการพยายามกระจายประเภทผลผลิตให้มากขึ้น ความพยายามดังกล่าวจะเห้ฯได้จากการขยายการผลิตปาล์มน้ำมันซึ่ง ใน ค.ศ. 1966 มาเลเซียกฃลายเป็นผุ้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลก และมีแนวโน้มการผลิตเพ่ิมขึ้นเรื่อยๆ นอกจานั้นผลิตภัณฑ์จากไม้ น้ำมันดิบ รวมทั้งการผลิตข้าวก็มีการเพิ่มผลผลิตตลอดเวลา สำหรับข้าวนั้นจากการผลิตเพียง 910 พันตันใน ค.ศ. 1964 กลายเป็นจำนวนถึง 1,789 ล้านตัน ในค.ศ. 1974 ทั้งนี้โดยการขยายพื้นที่เพาะปลูกและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตด้วย
            ่เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มดังกล่าวจึงเห็นได้ว่ามาเลเซียจะเป้นประเทศหนึ่งในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอนาคตทางเศรษบกิจ หากสามารถปรับความสัมพันะ์ของคนในชาติให้ร่วมมือกันมากยิ่งขึ้น ขณะเดี่ยวกันก็ควรจะร่วมมอกับประเทศเพื่อนบ้าน..(ประวัติการพัฒนาเศรษฐกิจของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้, รศ. ญาดา ประภาพันธ์)
       

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...