วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Plus Three II

            เอเซียตะวันออกในยุคหลังสงครามเย็น เราอาจสรุปการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโลก ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภูมฺิเอเซีย ตะวันออก ดังนี้
            - การยุติสงครามเย็น ทำให้ลัทธิทางการเมืองการปกครองไม่เป็นอุปสรรคปิดกั้นการเคลื่อนไหวคน สังคมวัฒนธรรม เศษบกิจ และการเมือง ระหว่า่งประเทศ (ยกเวิ้นเกาหลีเหนือที่ยังคงยึดถือความเป็นสังคมคอมมิวนิสต์และปฏิเสธความสัมพันธ์กับประเทสอื่นๆ นอกจากประเทศที่เป็นสังคมนิยมด้วยกันเอง แม้ว่าประเทสเหล่านั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมนิยมตามแนวใหม่ก็ตาม)
            - โลกก้าวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ที่ผู้คน รวมทั้งธุรกิจการต้าและความรู้ทางเทคงโนโลยีสามารถติดต่อข้ามพรมแดนได้โดยง่าย
            - การคมนาคมเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว ซึ่งได้มีบทบาทสำคัญทำให้ผุ้คนสามารถเดินทางได้สะดวกนับตั้งแต่หลังสงครามดลบกครั้งที่สองมาแล้ว พอมาถึงยุคนี้ พัฒนาการทางด้านการคมนาคมได้ก้าวหน้าไปไกลมากยิ่งขึ้นและอัตราค่าดดยสารมีราคาถูกลง คนทั่วไปจึงสมารถเดินททางดดยเครื่องบินได้ ในขณะเดียวกันที่มีการก่อสร้างทางเหลวงเชื่อมต่อระหว่างจีนกับอุษาคเนย์ สร้างรถไฟที่มีความเร็วสุงในญี่ปุ่น เกาหลีใต้และจีน  และมีการพัฒนาเรื่อเดินสมุทรที่ทันสมัย ทำหใ้การขนถ่ายสินคึ้าระหว่างประเทศเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร้ซ อนึ้ง ญี่ปุ่นและเกาหลี่ใต้ยังเป้นชาติอันดับหนึ่งที่มีอุ่ต่อเรือที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในโลก
           - ความมั่นคงของโลกได้ย้ายจากคาบสุทรแอตแลนติก มายังคาบสมุทรแปซิฟิก ที่ประเทสต่างๆ ในเอเชียตะวันอกมีการติดต่อคช้าขายกัน ทั้งปริมาณและมูลค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 และมูลค่าทางการต้าเพิ่มสูงมากย่ิงขึ้นเมื่อจีนกลายเป็นประเทศคู่ค้าหลักของญี่ปุ่น เกาหลีใต้และปรเทศต่าง ๆในกลุ่มอาเซียนแทนสหรัฐอเมริกาและยุโรปตั้งแต่ต้นสหรัสวรรษใหม่
           - ASEAN กลายเป็นองค์กรที่มีความสำคัญในฐานะที่เป้ฯกลุ่มประเทศที่มีอำนาจในการต่อรองมากขึ้นเมื่องเทียบกับอดีตที่เป้ฯเพียงการรวมตัวอย่งหลวมๆ แทบจะไมมีบทบาททางเการเมืองระหวางประเทศ ในยุคนี้ ทั่วดลกต่างยอมรบสถานภาพของอาเวยนว่าเป้ฯองค์กรที่ต้งขึ้นมานาน และใช้นโยบายกรรวมกลุ่มที่ไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศสามชิก ก่อให้เกิดการผนึกความร่วมมือระหว่างกันและกันมากทำให้ จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นเข้ามามีส่วนร่วมนับตั้งแต่ตอนปลายทชขอวทศวรรษ 1990 โดยเรียกว่า  ASEAN plus Three และอาจจะกลายเป็น ASEAN plus Six (เพ่ิมอินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์) อีกทั้งมีบทบาทใน APEC มากยิ่งชขึ้นและในปี 2015 จะมีการจัดตั้งเป็นประชาคมอาเซียน ขึ้น เป็นการกระชับความสัมพันะ์ในหมู่สมาชิกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นทุกภาคส่วน
                 ความสัมพันธ์ระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือและเอเชียตะวันอกเฉียงใต้ตามปัจจัยต่างๆ ได้ดังนี้
                 การเคลื่อนย้ายคน สังคม และวัฒนธรรม
                 จีน
                  จีนอาศัยความผุกพันทางเชื้อชาติ (ภาษา วัฒนธรรม และสายเลือด ) เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศในอุษาคเนย์ภายหลังที่เปิดประเทสในตอนปลายทศวรรษ 1970 และยกระัดับการทำการต้าการลงทุจั้งแต่ทศวรรษ 1990 อีกทั้งเพ่ิมประเมษและมูลค่ามากขึ้นในสหรัสวรรษใหม่จนถึงปัจจุบันทำให้ความรู้สึกตอจีนที่เอคยเป็น "ภัยคุกคาม" ในอดีตได้จางลงไปกลายเป็นมหามิตรและได้รับการยกกย่องให้ดำรงตำแหน่งเป็นผุ้ทำทั้งทางเศราฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศของเอชียในยุคใหม่นี้
                 การติดต่อกับจีนโดยคน สังคมและวัฒนธรรมเป้นไปเหนือความคดหมาย ดดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการท่องเที่ยวที่คนเชื้อสายจีนและชนพื้นเมืองต่างนิยมเดินทางไปเย่ยนมชมเมืองจีนเป้นจำนวนมากในแต่ละปี มีการเช่าเครื่องบินเหมาลำนำนักท่องเที่ยวจาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังเมืองจีน และนำชาวจีนไปยังเอเชียอาเคเนย์ ก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจทีผุ้คนได้ไปสัมผัสอิจแดนของกันและกัน นักธุรกิจต่างเดินทางไปมาหาสู่กันเป็นจำนวนมากเพื่อทำธุรกรรมทางการต้าและากรลงทุน โดยจีนเปิดมณฑลกวางสีใหเป็นศุนย์กลางการต้าเชื่อมระหว่างจีนกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอนุญาตให้ตั้งศูนย์กลางตลาดสินค้าจากอุษาคเนย์ในเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศ
                ความเกี่ยวพันทางสังคมวัฒนธรรม รวมทั้งเสณาฐกิจและการเมืองอย่างใกล้ชิดในยุคนี้ยังผลให้มีการโยกย้ายผุ้คนจากจีนไปสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท้งที่เป้ฯการอาศัยอยู่แบบชั่วคราว และแบบถาวรทั้งที่เข้าออกประเทสอย่างเป็นทางการและที่แอบหลบหนีเข้าเมือง
                ในขณะที่ชาวเวียนนามและแรงงานจากประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวนนับแสนคนอแบเดินททางเข้าไปทำงานในเมืองอุตสาหกรรมตามชายฝั่งภาคใต้ของจีน ซึ่งมีตำแหน่งว่างกว่า 2 ล้านตำแหน่งตามโรงงานต่างๆ
                จำนวนคนเวียนามที่แอบเข้าไปทำงานในจีนมีเป็นจำนวนมากนั้นเป็นเพราะมีพรมแดนติดต่อกันอย่างก็ตาม คนจีนมีทัศนคติต่อคนเวีนดนามไม่ค่อยดีนักและมักดูถูกเะหยีบหยามคนเวียนดาม ทั้งนี้คงวเป็นเพราะจัีนเคยครอบงไและปกครองเวียดนามเป้นเวลบาหลายร้อยปีในอดคตกาล
               ในมิติทางด้านสังคมและวัฒนธรรม นั้น รัฐบาลจีนสนับสนุนให้นักวิชาการจีน เข้าร่วมมงานทางวิชาการกับนักวิชาการกับนักวิชาการในเอเชียทุกด้านโดยเฉพาะอย่างยิงในการประชุมสัมนา ซึ่งได้ผ่านองค์กรระดับสูงที่เรียกว่า Government - Operated Non- Government Organzation เพื่อติดต่อกับองค์กรเอกชนของต่างประเทศ อนึ่ง รัฐบาบลจีนสนับสนุนให้ก่อตั้งองค์กรเครือข่าย ที่มีสมาชิก 13 ชาติ คือ ASEAN Plus Three
               รัฐบาลจีนได้ให้ความสำคัญต่อชาวจีนโพ้นทะเล ที่อาเสยอยุ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อให้เป็น "ห่วงโซ่" คล้องความสัมพันะ์อันดีระหว่างประเทศ ทำให้ความรุ้สึกเกลี่ยดชังและแบ่งแยกขนเขื้อสายจีนในมาเลิซียนและอินโดนีเซียลดต่ำลงในสหัสวรรษใหม่ ทั้งนี้เรพาะคนเชื้อสายจีนเป็นเสือทรัพยากรที่มีคุณต่าใช้เชื่อมโยงกิจกรรทางการต้าและการลงทุนกับประเทศจีนได้ง่ายขึ้น นอกจานี้ จึงยังสับสนุนให้คนในอุษาคเนญตระหนักถึง "ค่านิยมของเอเชีย" ซึงจีนใช้ทอแทนำว่า "ค่านิยมขงจื้อ" ให้เป็นเสือทูตทรางวัฒนธรรมเชื่อมระหว่งจีนกับ อาเซียน
                การใช้อินเทอร์เนและดทรทัศน์ผ่านดาวเที่ยม มีผลให้จีนส่งผ่านวัฒนธรรมไปทัวโลกได้ง่ายท้งด้านศิลปะ นักร้อง ภาพยนต์ นักกีฬา ฯลฯ อันเป้นการเพิ่มความเข้าใจและรับรู้ภาพลักษร์ของจีนในยุคปัจจุบัน ในขณะที่การเป็นเจ้าภาพกีฬาเอเชี่ยนเกมส์และกฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ปี  2008 ซึ่งได้มีการฉายภาพของจีนยุคปัจจุบันไปทั่วโลก ผุ้คนต่างมองจีนไปในทางที่ดีขึ้นในขณะเดียวกัน  มีสินค้าแลผลิตภัฒฑ์ของจีนวางขายในตลาดทั่วโลก รวมทั้งข่าวที่จีนก้าวขึ้นเป้นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับที่สองของโลกในปี 2011 ก็ยิงทำให้ภาพพจน์ของจีเลื่องลือไปไกล
               ประการสุดท้าย เมื่องใหญ่ๆ ของจีนได้ผุ้สัมพันะ์กับเมืองต่างๆ ในอุษาคเนย์ให้เป็นเมื่องพี่เมืองน้อง อันเป็นการเพ่ิมความสัพมัธ์ต่อกันในระดับท้องถ่ิน ดังเช่นเมืองเฉิงตูของจีนจึังหวัดสุพรรณบุรีของไทย เป้นต้น
               สภานภาพทางสังคมของชาวจีนโพ้นทะเลในยุคปัจจุบัน ได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญในทุกถาคส่วนของสังคม ในยคุนี้ลุกหลานชขาวจีนโพ้นทะเลได้กลายเป้นประชากรของประเทศที่พวกเขาอาศัยอยุ่ โดยเรียกว่า คนเชื้อสายจีนหรือพลเมืองใหม่ เช่น คนไทยใหม่ คนมาเลย์ใหม่ เป้นต้น คนเหล่านนี้ ได้ปสมปสานทางวัฒนธรรมและมีความสำนึกว่าเป็นพลเมืองของประเทศนั้นๆ แม้ว่าในบางมิติจะยังคงย้ำถึงความเป้นคนจีนและยึดถือวัฒนธรรมจีนควบคุ่ไปด้ย แต่ในกรณีประเทศสิงคโปร์ที่มีประชากรเชือสายจีนเป็นชนกลุ่มใหญ่การแสดงออกทางด้านวัฒนธรรมและความเป้นคนจีนมีอย่างเด่นชัด มีการใช่ภาษาจีนเป็นภาษาราชการ คนสิงคโปร์ใหม่จึงใชสองภาษา ได้แก่ จีนกลาง และภาษาในการสื่อสารระหว่างกัน คนสิงคโปร์ใหม่กุมอำนาจทางเการเมือง ดำรงตำแหน่งเป้นนายกรัฐมนตรี และเป็นผุ้บริหารในส่วนราชการของกระทรวงต่างๆ เช่นเดียวกับการกุมอำนาจทางเศรษบกิจ โดยเป็นเจ้าของธุรกิจและผุ้บิรหารระดับสูงของบริษัทขนาดใหญ่ทุกระดับ รวมทั้งธุรกิจขนาดกลางและขราดเล็กด้วย ส่วนในทางสังคม ก็เป็นกลุ่มที่มีบทบาททางด้านการศึกษา เช่น เป้นอานารย์ นักงิจัยและผุ้นำทางด้านวัฒนธรรมจีนในสัคมแห่งนี้และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงสมารถสร้างมหาวิทยาลัยให้มีชื่อเสียงในระดับโลกได้
              ญี่ปุ่น
              ญี่ปุ่นสร้้างความสัมพันธ์อัดีกับอาเซียนมานานนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง และได้ตั้งศูนย์อาเซียน-ญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 เพื่อให้เป็นศูนย์ส่งเสริมทางด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยเน้นในด้านการส่งออกสินค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยเน้นในดานการส่งออกสินค้าและนักวิชาการไปยังญี่ป่นุ ในขณะเดียวกัน ก็ส่งเสริมการลงทุนและการท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นสู่อาเซียน กิจกรรมเหล่านี้ได้ดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ศุนย์ฯ ได้รวบรวมข้อมุลทางสถิติระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่นในด้านการต้า การลงทุน และการท่องเทียว ให้ผุ้สนใจเปิดเข้าศึกษาจากเว็บไซด์ของศุนย์การส่งเสริมความสัมพันธ์ของศุนย์ดังกล่วยังผลหใ้มีนักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นเข้าสุ่อเาซียนปีละ 3-4 ล้านคน
              ญี่ปุ่นได้สร้างความร่วมมือกับกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง เรียกว่า Japan-Mekong Region Partnership Program ในปี 2007 เพื่อสนับสนุน โครงการ UN ที่ดำเนินงานดครงการทศวรรษแห่งความร่วมมือของประเทศบริเวณลุ่มน้ำโขง โดยญี่ปุ่นได้ให้ความช่วยเหลือเป็นเวลา 3 ปี เพื่อจัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว การแลกเปลี่ยนเยาวชน และกิจกรรมทางด้านเศรษบกิจและการเมืองกับประเทศเขมร ลาว เวียดนาม ไทยและพม่า
              ชาวอุษาคเนย์อาศัยอยุ่ในญีปุ่นแบบถาวรนั้นมีไม่มากเนื่องจากความชาวญี่ปุ่นตระหนักถึง "ความเป็นเอกพันธุ์"ของชาวอาทิตย์อุทัย แต่ในยุคปัจจุบัน ญี่ปุ่นต้องเปิดรับนักท่องเที่ยวที่นำเงินตราต่างประเทศเข้ามาใช้จ่ายในประเทศเพื่อทดแทนดุลการต้าที่ขาดหายไปในทศวรรษ 2000 ทำให้จำนวนผุ้เข้ามาเยื่อนจากอุษาคเนย์เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ "ผู้ฝึกงาน" จากภูมิภาคดังกล่าวได้เข้ามาเยื่อนจากอุษาคเนย์เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ "ผู้ฝึกงาน" จากภูมิภาคดังกลาวได้เข้ามาทำงานชั่วคราวราว 1-3 ปี ในโรงงานอุตาสาหกรรมของญี่ปุ่น จำนวนกล่า 300,000 คนอาศัยอยู่ชัวคราวเกิน 3 เดือนในปะเทศต่าง ๆ แถุบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชเ่น ในไทย 24,746 คน สิงคโปร์ 19,660 คนในปี ค.ศ. 2002 เพื่อทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม และการต้าที่ญี่ปุ่นเข้าไปลงทุน..
            ความสัมพันธ์กับกลุ่มอาเซียนและญี่ปุ่นได้รับการท้าทายและข่งขันจากเกาหลีใต้และจีนในสหัสวรรษใหม่ ทำให้ญ่ป่นุต้องหันมาให้ความสนใจและเน้นกิจกรรมทางเวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้น ดดยมีการแลกเปลี่ยนธรรมแบบยุคลงิถี กล่าวคื อจัดนิทสสศการและการแสดงทางวัฒนธรรม จัดมหกรรมอาหารจากอาเซียน ฯลฯ ในญีป่นุรวมทัี้งดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในโครงการ "เรือเยาวชน" ซึ่งเริ่มจัดขึ้นตั้งแต่ปี 1974
            อย่างไรก็ตาม คนญี่ปุ่นยังคงตระหนักถึงความสูงเด่นในชาติพันธ์ุของตน่าเหนือกว่าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมองว่าเป็นภุมิภาคที่ดอ้ยความเจริญ (ยกเว้นสิงค์โปร์) ที่หวังแต่จะขอความช่วยเหลือจากญี่ปุ่น ในขณะที่ชาวอุษาคเนย์ยังคงยอมรับในความเป้ฯเจ้าและอัจฉริยภาพของชาวอาทิตย์อุทัย ดังที่รัฐบาลมาเลเซียเคยประกาศนโยบายมองตะวันออก ที่จะนำชาติให้เจริญรุ่งเรองตามแบบอย่างการพัฒนาของญี่ปุ่น เมื่อเทียบกับสินค้าที่ผลิตขึ้นเองในภูมิภาคส่วนกรณีของไทยนัน ญี่ปุ่นเป็นประเทศทีเข้ามาลงทุนมากเป็นอันดับที่หนึ่ง หรือราวร้อยละ 40 ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมดในปี ค.ศ2011
             เกาหลี
             เมื่อเทียบกับจีนและญี่ปุ่นแล้ว เกาหลีใต้เพิ่งตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งไม่มีจุดเชื่อมโยงใดๆ กับภูมิภาคนี้มาก่อน ทำให้รัฐบาลเกาหลีได้ในยุคของประธานาธิบดี คิม เดจุง ได้ทุมเทความพยายามทุกทางในการสร้างความสัมพันธืกับดินแดนอุษาคเนย์
            เกาหลีใต้เริ่มทำการพัฒนาเศรษฐกิจตั้งแต่ปี ค.ศ. 1962 ได้เลือกใช้แม่แบบการพัฒนาเพื่อให้สังคมทันสมัย ที่คิดขึ้นโดยนักวิชาการชาวอเมริกันเป้าหมายของตลาดส่งออกของสินค้าเกาหลีในยุคนั้นก็คือ สหรัฐอเมริกา และยุโรปเป็นหลัก จึงมองข้ามตลาดเล็กๆ ในเอชียไป ดังนั้น ความสนใจของรัฐบาลแะนักธุรกิจอุตสาหกรรมของเกาหลีจึงมุ่งไปยังประเทศที่พัฒนาแล้ว ต่างทำให้นโยบายและความผุกพันเน้นไปในการสร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และยุโรป
            ภายหลังที่เกาหลีได้รับความสำเร็จในการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียเกมส์ และโอลิมปิกฤดูร้อนในตอนปลายทศวรรษ 1980 ภาพลักษณ์ของดินแดนเมืองโสมของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เปลี่ยนไป จากการมอืงว่าเป็นประเทศยากจนเพราะตกอยุ่ในสภาพปรักหักพังหลังสงครามเกาหลี กลายเป้นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ที่เจริญรุ่งเรืองและมีศักยภาพในทางการพัฒนายิ่ง ทำให้สินคาเกาหลีค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปยังตลาดแถบอุษาคเนย์ ซึ่งกลายเป้นตลาดใหย๋อันดับที่ 3 ของสินค้าเกาหลีไปในตอนปลายของทศวรรษ 1990 รัฐบาลเกาหลีจึงให้ความสนใจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากยิ่งขึ้น และทุ่มเทสรรพกำลังเพื่อแย่งชิงความได้เปรียบของจีนแลญีปุ่นต่อบริเวณแถบนี้ของโลกมาเป้นของตนเองบ้าง  โดยตระหนักว่า ประเทศของคนเป็นผุ้มาที่หลัง อีกทั้งมีจุดเชื่อม กับอุษาคเนย์น้อยมาก
               การบรรุลความสำเร็จในการพัฒนา ดดยเกาหลีได้รับการยอรับเข้าเป็นสมาชิกองค์การของกลุ่มประเทศร่ำรวย เป็นชาติสมาชิกลำดับที่ 29 ใน ค.ศ. 1996 และในปีนั้นประชชนมีรายได้เฉลี่ยต่อกัวเท่ากับ 10,548 เหรียญสหรัฐต่อปี ต่อมา เกาหลีใต้ได้เผชิญกับวิกฤตทางด้านการเงินในปี ค.ศ. 1997 ประธานาธิบดี เคจุง ได้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยการประกาศโครงการหลากหลายโครงการเพื่อให้เกาหลีใต้เป็นชาติชขั้นนำในภูมิภาคและของโลก ดังตัวอย่างต่อไปนี้
               - East Asia Economic and Cultural Hub Projict ใน ค.ศ. 2002  ประะานาธิบดีคิ เค จุง ได้ประกาศสร้างเมืองใหม่บิเวณแถบเมืองอินซอน (ใกล้ดกับกรุงโซล) ให้เป็นศุนย์กลางเสณาฐกิจและวัฒนธรรมอขง๓ุมิภค ดดยเน้นให้เป็นศูนย์กลางการลงทุนทั้งจากภายในและจากต่อางประเทศที่มีกฎหมายอบรับใเขตตอุาหกรรมนานาชาติแห่งนี้ว่า  บริษัทที่เข้ามาตั้งอยุ่สามารถปรับลดและเลิกจ้างคนงานเมือใดก็ได้ มีการใช้ภาษาอังกฟษเป็นภาษากลาง และเป็นศุนย์กลางการเงินคมาคม และัฒนธรรมของภุมิภาคเอเชียตะวันออก
               รัฐบาลได้ชี้ให้เห็ฯว่า เมื่อดซล -อินซอนตั้งอยู่ระหว่างศุนยกลางสำคัญของจีน และของญี่ปุ่น จึงเป็นบริเวณที่เหมาะสมยิ่งที่จะให้เป็นศุนย์กลางรวมชาติทั้งสมให้มีความร่วมมืออย่างแน่นแฟ้นต่้อกัน
              - East Asia vision Group ในปี ค.ศ. 1997 ผุ้นำอาเซียน ได้ร่วมประชุมกันที่เมืองกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซียน ดดยได้เชิญชวนผุ้นำจีน เกาหลีใต้และญี่ปุ่น เข้าประชุมกัันที่เมืองกัวลลัมเปอร์ประเทศมาเลเซีย  โดยได้เชิญชวยผุ้นำจน เกาหลีใต้และญีป่นุ เข้าร่วมหารือด้วย อันเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่เรียกกันว่า  อาเซียนบวกสาม และได้มีการประชุมอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยย้ายไปจัดการประชุมตามเืองหลงของประเทศมาชิกสมาคมอาเซียนสลับสับเปลี่บยนปมุนเวียนกันไป
              ในการร่วมประชุมเมือวนที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1998 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ประธานาธิบดค คิม เดจุง ได้เสนอใหจัดตั้ง "กลุ่มวิสยทัศน์ในภุมิภาคเอเชยตะวันออก" ขึ้นเพื่อระดมความคิดและแสวงหาวิธีการขยายความร่วมมือใทุกด้าน และทุกระดับเพื่อการพัฒนาประเทศในภูมิภาค ดดยให้มีการรวมกลุ่มที่เรียกว่า "กลุ่มศึกษาเอเลียตะวันออก" ได้จัดให้มีการประชุมหารือสมาิชกชาติละ 2 คนหลายครั้ง และสรุปผลในปี ค.ศ. 2001 ว่า ควรสภาปนา "ประชาคมเอเชยตะวันออก" ขึ้น รัฐฐาลเกาหลีได้พยายามผลักดันให้โรงการนี้พรรลุผลด้วยการทุมอททรัพยากรและเงินทุน รวมทั้งเรียกร้องให้ชาติสมาชิกของสมาคมอาเซียน 10 ชาติและของจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นให้ความร่วมมือเพื่อให้โครงการนี้เป้ฯรูปเป็นร่างขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจประสงค์ให้เกาหลีได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งกลุ่มอย่างไรก็ตาม ดครงการนี้ได้รับการเพิกเฉยจากรัฐบาลของจีน ญี่ปุ่นและของประเทศในสมาคมอาเซียนส่วนใหญ่
              สืบเนืองจากการประชุม อาเซียน บวกสาม ที่กรุงมะนิลา ค.ศ. 1999 ผุ้นำของจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นได้ร่วมประชุมสุดยอดกัขึ้นเป็นครั้งแรก และตกลงกันว่าจะหาทางจัดการประชุมระหว่างผู้นำทั้งสามประเทศขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเอกลักษณ์ของชนชาวเอเลีย
              ต่อมา ประะานาธิบดีดรห์ มูเฮียนได้ประกาศในวันเข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศอย่างเป็นทางการเมืองวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003 วา เขาจะส่งเสริมให้เปิดศักราชแห่งสันติภาพและความมั่งคั่งในภุมิภาคเอเชีย ตะวันออก ขึ้นดังนั้น จึงเป็นที่มาของ  NACI โดยเน้น 3 เศรษฐกิจที่มีความแข็งแกร่งในเอเชีย คือเกาหบีใต้ จีน และญี่ปุ่น และร่วมมือกับกลุ่มประเทศ ASEAN โดยมีเกาหลีเป็นผู้นำ
             อนึ่ง กิจกรรมสำคัญอันหนึ่งของ NACI  ก็คือการสร้างบุรณาการทางการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ และการต้า หรือ เรียกว่า Northeast Asian intergration อีกทั้งประสค์ที่จะขยายความสัมพันธ์ไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น เกาหลีเหนือ รัสเซีย และมองโกเลีย โยใช้เส้นทางรถไฟ ทรานส์ ไซบีเรีย เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างกัน
              จุดยืนของเกาหลีได้ที่รัฐบาลได้ประกาศและเป็นตัวตั้งตัวตีในการดำเนินการอย่างแข็งขันพร้อมกับบืนยันอย่างออกนอกหน้ากับรัฐบาลของประเทศที่เกี่ยวข้องว่า ต้องการเป็นผุ้นำขององค์กรดังกล่ว อย่างไรก็ตม ความพยายามดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างเย็นชาจากจีนและญี่ปุ่นทีแม้ไม่ปฏิเสธความประสงค์ที่จะเป้นผุ้นำของเกาหลี แต่กก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาที่จะให้ความร่วมมือตามความต้องการของรัฐบาลเกาหลี นั่นคือ แต่ละประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกนั้น ไม่มีใครยอมใคร และต่างฉกฉวยผลประโยชน์ทงการเมืองและเสรษฐกิจในระดับภูมิภาค และของโลกเพื่อชาติของตนเองแทบทั้งสิ้น หรือหากจะยอมทำตามก็เป็นเพราะประเทศของตนจะได้ผลประโยชน์เท่านั้น
            โครงการวิจัยร่วมเพื่อสเริมสร้างความร่วมมือทรางเศรษฐกจิ 3 ประเทศ จากการประชุมสุดยอดระหว่าผุ้นำจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นที่กรุงมะนิลาในช่วงการประชุม อาเซียนบวกสามในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1999 ได้มีการบรรลุข้อตกลงคือ การตั้งคณะกรรมการ่วมทำการศึกษาวิจัยในเรื่อง "การเพ่ิมความีร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่งจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ประกอบด้วยองค์การวิจัยของแต่ละชาติเป็นตัวแทน
            ในช่วงแรก เป็นการศึกษาในหัวขอ้การส่วนสริมการค้า จากนั้นได้นำผลการวิจัยไปร่างข้อเสนแค้านโยบายเพื่อให้ผุ้นำร่วมพิจารณา คือ นายกรัฐมนตรีจู หรงจี้ของจีน นายกรัฐมนตรีจูนิชิโร โคอิซูมิของญี่ปุ่น และประธานาธิบดี เคจุงของเกาหลีใต้ ที่เข้าร่วมประชุม ASEAN plus Three ที่ประเทศบรูไนในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2001 ผุ้นำทั้งสามได้ตกลงตามข้อสเนอดังกล่าว ต่อมา จึงได้จัดให้มีการประชุมระหว่างรัฐมนตรีทางการต้าและเศรษบกิจของ 3 ประเทศในเดือนกันยายน ค.ศ. 2002 ที่ประเทศบรูไนเพื่อดำเนินกาตามนโยบายที่ได้กำหนดขึ้น โดยได้จัดให้มีการประชุมสุดยอดนอกรอบระหว่างผุ้นำ 3 ปรเทศเพื่อสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย แทนที่จะจัดการประชุมสุดยอดเฉพาะของตนเอง
              สันนิบาตบนคาบสมุทรเกาหลี ประธานาธิบดีโร์ มูเฮียน ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า เมื่อมหาอำนาจถกเถียงกันในเรื่องอนาคตของภูมิาคเอเชียตะวันออก เราอย่างจะเรียกร้องให้ทุกผ่ายเคารพในสิทธิการตัดสินใจด้วยตัวเองเกี่ยวกับอนาคตของเกาหลีทั้งสอง" ...
              เกาหลีใต้มีนโยบายคล้ายคลึงกับจีนที่ปฏิเสธการใช้กำลังและการตัดเครือข่ายทางการเงินต่อเกาหลีเหนือดังเช่นสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ทั้งนี้นับตั้งแต่ยุคของประธานาธิบดี คิ เดจุง ที่ยึดถือนโยบายซันชาย ที่โอนอ่อนต่อเกาหลี่เหนือจนนำไปสุ่การประชุมสุดยอดผุ้นำประเทศ..
               ความใกล้ชิดระหว่างเกาหลีใต้กับจีน ได้ปรากฎขึ้นอย่างเด่นชัดเมื่อมีการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโรห์ มูเฮียนกับประธานาธิบดีหู จินเทาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2003 ซึ่งได้ตกลงกันในการยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาีรเป็น "พันธมิตรความร่วมมือทุกทาง" เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ จากนั้นก็มีกิจกรรมร่วมกันระหว่างประเทศทั้งสองในแง่เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมืองเรื่อยมา
            - กระแสเกาหลี คนเกาหลี ต่างดีใจที่กระแสวัฒนธรรมเกาหลี ได้ไหลทะลักเข้าไปในจีน ญี่ป่นุ ไต้หวัน และในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจีน และความภาคภูมิใจที่สุดก็คงเป็นเพราะจีนและญี่ปุ่นต่างรับกระแสเกาหลีแทบทุกระดับสังคมทั้งๆ ที่ในอดีตเกาหลีเคยตกอยุ่ภายใต้การเป็นอาณานิคมทางการเมือง และวัฒนธรรมของประเทศที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองมานานนับพันปี
            - การลงทุนและการเคลื่อนย้ายคนและวัฒนธรรมเมื่อรัฐบาลของประธานาธิบดี คิม เดจุง ได้ประกาศนโยบายผุกมิตรกับอุษาคเนย์ ก่อให้เกิดกระแสของการเร่งรัดออกไปลงทุนในกิจการธุรกิจอุตสาหกรรมในกลุ่มประเทศอาเซียน เป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในช่วงตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 เป้นต้นมา คนเกาหลีต่างเดินทางออกไปทำงานในบริษัทร่วมทุนประกอบกับธุรกิจ และการท่องเทียวของเกาหลีทำให้จำนวนคนเกาหลีเข้าไปอาศัยอยุ่แบบชั่วคราวและถาวรในอาเซียนเพิ่มมากขึ้นทุกปี ...

วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Plus Three

             การค้าและการลงทุนของจีน เกาหลีใต้และญีปุ่่นต่ออาเซียนมีลักษณะเป็นแบบพหุภาคี ที่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือต่างแข่งขันแย่งชิงตลาดตลาดอาเซียนอย่าเข้มข้นด้วยกานำนโยบายเชิงรุก เพื่อให้ได้รับประฌยชน์สูงสุดแก่ประเทศของตน ในทางกลับกัน อาเซียนต่างมีความเป็ฯอิสระและเปิดทางให้ เศรฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าเข้าครอบงำ ก่อให้เกิดเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเที่ยสกัน ขึ้นดังตัวอย่างเช่น ญีปุ่นลงุทนในไทยมากกว่าร้อยละ 40 ของกาลวุทนจากต่างประเทศทั้งหมดทำให้ญีปุ่นเข้าครอบงำเศรษบกิจของไท และเป็นผลให้เกาหลีใต้หันไปลงทุนในเวียนนามและอินโดนีเซียนนที่ญี่ปุ่นมีอิทธิำลน้อยกบาวและเป็นประเทศที่มีแรงงานราคาถูกกว่าแม้จะมีปัจจัยพื้นฐานด้อยกว่าก็ตาม ส่วนจีนสร้างความสัมพันธ์กับคนเชื้อสายจีนในทุกหประเทศของอาเวียนใช้เป้นสายใยเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและพาณิชยกรรมกับอาเวียน อนึ่ง ญีปุ่นแลเกาหลีใต้ต่างใช้มาตรการทั้งทางภาษีและมิใช้ภาษีอากร ใการปกป้องตลาดภายในของตนกีดกันสินค้าทางการเกษตรจาประเทศอื่น รวมทั้งไทย ทำให้การส่งสินค้าไปขายยังเกาหลีเต็มไปด้วยความยากลำบาก
            ความรุ่งโรจน์ของจนในยุคใหม่ ในยุคแรกที่เปลี่ยนการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ ในปี ค.ศ. 1949 เหมา เจ๋อตุงและคณะรัฐบาลซึ่งเป็นผุ้นำรุ่นที่หนึ่งได้นำประเทศไปสู่ควาเท่าเทียมกันด้วยการยึดปัจจัยการผลิตมาเป้นของรัฐและยึดทรัพย์สินคขจองคนร่ำรวยและชนชั้นกลางมาแ่งปันให้คนในสังคมทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ในยุคนั้น สังคมจีนเป็นสังคมเกษตรกรรม ผุ้นำให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในชนบท ยกระดับวัฒนธรรมของชาวนาชาวไร่ และใช้อุดมการ์ของลัทธิคอมมิวินสต์ในการบริหารประเทศอยางจริงจัง ในการเกลี่ยความเจริญจาเหมืองไปสู่ชนบทนั้น ..ลดความแตกต่างระหว่างผุ้ใช้แรงกายกับผุ้ใช้แรงสมองให้น้อยลงส่งเสริมและผลักดัน "ระบบความรับผิดชอบ" และเน้นใหคนทำงานรู้สึกสำนึกถึงส่วนได้ส่วนเสียในการทำงาน..
              ประวัติศาสตร์ของจีนตั้งแต่พรรคคอมมิวนิสต์เข้าบริหารประเทศ นั้น ปรากำหว่า ในด้านนหนึ่งสมารถนำประชาชนพัฒนาประเ?สไปตามระบบสังคมนิยม สร้างสรรค์เศรษบกิจแบบสังคมนิยมจนเจริญรุดหน้าไปในอัตราที่เร็วพอสมควร มีรากฐานด้านอุตสาหกรรมเป็นปึกแผ่น และมีเกษตรกรรมที่พอจะเลียงตัวงเองได้ ตลอดจนมีวิทยาศาสตร์และวัทยาการด้านการป้องกันประเทศค่อนข้างก้าวหน้าา ทั้งระเบิดนิวเคลียร์และเครื่องบินรบ และมีเกียรติภมูิทางสากล แต่อกด้านหนึ่งนั้น ประชานเกือบทั้งประเทศกลับมีชีวิตอยุ่อย่างยากจน มีรายได้ต่อหัวต่ำ ระดับการศึกษาไม่สูงขาความรุ้ความเข้าใจในเร่องต่างประเทศอย่างถูกต้อง ประสิทธิภาพการทำงานต่ำ เทคโนโลยีในการผลิตล้าหลัง และที่สำคัญคือเป็นเครื่องมือในการรณรงค์ทางการเมือง ประชาชนจนถุกปลุกระดมขึ้นมา ร่วมกันสร้างสรรค์สังคมนิยมอย่างคึกคัก..แต่ต่อมาเมือก้าวเข้าสู่ระยะก้าวกระโดดใหญ่ที่มุ่งจะให้จีนเป็นสังคมคอมมิวนิสต์อย่างรวดเร็ว และเริ่มมีการรณรงค์ทางการเมือง จึงมีการจำกัดอำนาจของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้จนกระทั่งพัฒนากลายมาเป้ฯ "การปฏิวัติวัฒนธรรมแห่งชนชั้นกรรมาชีพ"...ภายหลังอสัญกรรมของเหมา เจ๋อตุง ผู้นำรุ่นที่สอง เติ้ง เสียวผิง ซึ่งประกาศวาทะว่า "ความยากจนไม่ใช่สังคมนิยม" ความเท่าเทียมกันแบบยากจนเท่าๆ กัน ไม่อาจเรียกว่าเป็นสังคมนิยมที่จะก้าวไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์ที่อุดมสมบูรณืได้" และ "ไม่ว่าแมวจะสีดำหรือสีขาว ขอให้จับหนู่ได้ก็เป็นพอ" เติ้ง เสี่ยวผิง จึงดำเนินการปฏิรูปประเทศตามนโยบายสี่ทันสมัย กล่าวคือ การพัฒนาจีนให้เป็นสังคมทันสมัยสี่ด้านได้แก เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การทหาร และวทิยาศาสตร์และ เทคโนโลยี หรือที่เรียกกันว่า "สังคมนิยมแบบจีน"
                 การปฏิรุปขยายไปถึงการต้าและกาลงทุนกับต่างประเทศ ปี ค.ศ. 1979 จีเปิดเขตเศราฐกิจพิเศษขึ้น 4 แห่ง คือ เซินเจิ้น จูไห้ ซ่านโถวหรือซัวเถา และเซียนเหมิน อนุญาตให้นักลุงทนุชาวต่างประเทศเข้าไปลงุทน ตั้งโรงานและกิจการทางการต้าหลากหลายประเภทต่อมา ใน ค.ศ. 1984 ได้เปิดอี 14 หัวเมืองชายฝั่งตั้งแต่เหนือจรดใต้โยหใ้มีบทบาทคล้ายกับเขตเศรษบกิจพิเศษรุ่นแรก อีกหนึ่งปีต่อมาได้เปิดเขตสามเหลี่ยนมปากแม่น้ำแยงซีเกียง ปากแม่น้ำจูเจียง และดินดอนสามเหลี่ยมทางตอนใต้ของมณฑลฟูเจี้ยน (ฮกเกี่้ยน) ขึ้นเป็นเขตเศษกบิจเปิด...
                กลุ่มผุ้นำรุ่นที่สาม เจียง เจ๋อ หมิง ได้ผลักดันประเทศให้ก้าวไปสู่การเป็นประเทศสังคมนิยม ที่มีความรุ่งโรจน์ทางเศรษฐกิจต่อไปตามนโยบาย "สามตัวแทน" หมายความว่า พรรคคอมมิวนิสต์ต้องเป็นตัวแทนของพลังการผลิตที่ก้าวหน้า เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมที่ก้าวหน้า และเป้นตัวแทนของผลประโยชน์ของมวลชนจีน แนวคิดสามตัวแทนนี้เปิดโอกาสให้พรรคคอมมิวนิสต์รับนักธุรกิจภาคเอกชนผุ้ประกอบการ และพนักงานระดับสุงของบริษัทเข้ามาเป็นสมาชิกพรรค ทำให้ฐานอขงพรรคหว้างยิ่งขึ้นในขณะที่นายกรัฐมนตรีจู หลงจี้ ผุ้ที่ได้รับฉายาวา "ซาร์แห่งเศรษฐกิจ" ได้สานต่อการปฏิรุปทางเศรษฐกิจของเติ้ง เสี่ยวผิง
                กลุ่มผู้นำรุ่นที่ สี่ นาย หุ จินเทา เป็นประธานาธิบดี ได้เน้นการนำวิทยาศาสตร์มาใช้ในการพัฒนา กระจายการลงทุนและรายได้ไปยังภาคตะวันตกให้เจริญทัดเทียมกับภาคตะวันออก เนนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 21 ประเทศจีนมีการขยายตัวทางเศณษฐกิจอย่างรวดเร็ว ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ฤดูรอน ปี 2008 กลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของเอเชีย และแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นเป้ฯมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับที่ 2 ของโลกในปี 2011
           
 เกาหลีใต้ : กระแสเกาหลีเจิดจ้า นับตั้งแต่ปี 1962 เกาหลีใต้มีเป้าหมายการพัฒนาที่จะให้ประเทศเป็นสังคมอุตสาหกรรม โดยประธานาธิบดี จุงฮี ผุ้ซึ่งประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่หนึ่ง ปรับใช้นโยบาย "การมองไปสู่ภายนอก" ที่เน้นการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้แรงานมากเพื่อการส่งออก มีการใช้ลัทธิชาตินิยมปลุกระดมมวลชนให้เร่งรัดการพัฒนาและจูงใจให้ขยันขันแยงในการทำงาน ดดยรัฐผลักดันให้คนทำงานหนักสามารถเลื่อนชั้นทางสังคมได้อย่างรวดเร็ว ัฐและราษฎร์ร่วมกันหาตลาอขายสินค้าในต่างประเทศ และสร้างภาพพจน์เกาหลีได้ให้เป็นที่ชื่อนชอบแก่คนทั่วโลก เป้นต้น การพัฒนาของประเทศได้ดำเนินไปยอ่่างอต่อเนื่องเรื่อยมานับเป็นเวลาหว่า 40 ปี โดยไม่เปลี่ยนเป้าหมายและนโยบาย จะมีก็เพียงแต่เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมหนักและเคมีภัณฑ์ ในทศวรรษที่ 1970 และุอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการสื่อสารในตอนปลายทศวรรษที่ 1980 ทั้งนี้ท้งนั้น ก็คือ มุ่งมัี่นที่จะให้เมืองโสมชาวเป็นประเทศชั้นนำของโลกให้ได้นันเอง
             ด้วยเจตนารมณืัอนแน่วแน่ ประกอบกับการมีเป้าหมายที่ชัดเจน สภาพทางเศรษฐกิจของสาธารณรัฐเกาหลีไใต้ทะยานขึ้นแบบก้ายกระโดย จากากรเป็นประเทศที่ยากจนข้นแค้นอันเป็นผลมาจาการดูดดึงทรัพยากรและความมั่งคั่งโดยผุ้ปกคอรงอาณานิคมชาวญีปุ่น และการพังพินาศอยางสิ้นเชิงใช่วงสงครามเกาหลี กลายเป้นสังคมที่มีศักยภาพโดดเด่น เป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ในทศวรรรษที 1980 ผุ้คนต่างดีใจที่ประเทศของตนก้าวล้ำนำหน้าสมกับความานะพากเพียร ขยันทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ จนได้รับเกี่ยรติให้จัการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ในปี ค.ศ. 1986 และกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนใน ค.ศ. 1988 อีกทั้งได้รับการยอมรับเข้าเป็นสมาชิกอขงกลุ่มประเทศพัฒนา OECD - Orgranization for Economic Cooperation and Development ในปี ค.ศ. 1996 และเศราฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 11 ของโลก ตลอดจนเป็นที่คาดหมายกันว่า ในศตวรรษที่ 21 เกาหลีใต้จะกลายเป็นชาติชั้นแนวหน้าในหมุ่ประชาคมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่น้อยหน้ากว่าญีปุ่่นที่เป็นศัตรูคู่แค้นอีกต่อไป
             เศรษฐกิจของเกาหลีสะดุดลงเมื่อเกิดวิกฤตทางด้านเศรษบกิจใปี 1997 จึงกุ้เงินฉุกเฉินจาอองค์กรการเงินระหว่างประเทศ IMF เป็นจำนวนว 20 พันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกาเพื่อใช้เป็นเงินทุนสำรองของประเทศ และต้องกู้เพิ่มต่อไปอีกจนมียอดเงินกุ้รวมถง 57 พันล้านเหรียญ ความโกลาหลจึงเกิดขึ้นทั่ววไป รัฐบาลได้พยายามแก้ไขปัญหาจนกระทั่งเหตุการณืร้ายได้บรรเทาเบาบางลง อีกทั้งได้เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ผลักดันโครงการพัฒนาอุตาสหกรรมวัฒนธรรม อุตสาหกรรมไอที และอุตสาหกรรมเทคโนลโลยีทางชีวภาพ ภามนโยบาย  "Dynamic Korea 21"
           นายโรห์ มุเฮียน เป็นผุ้เปลี่ยนแนวทางการพัฒนาของประเทศที่เคยใช้เกือบครึงทศวรรษ โดยเน้นการพัฒนาที่ยึดความเปนธรรมทางสังคม มากกว่าการเน้นเฉพาะความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจเทานั้น รายได้ต่อหัวของคนเกาหลีเพิ่มขึ้นเปน 2 เท่าในขณะเดียวกันได้เพิ่มวบประมาณด้านการวิจัยพลังงาน/สิงแวดล้อมพัฒนาราว 12.5 ล้านเหรียญในอุตสาหกรรมหลักพื้นฐานสี่ประเภท คือ ไอที เทคโนดลยีชีวภาพ พลังงาน/สิ่งแวดล้อม และเครื่องบิน และได้เน้นอุตสาหกรรมสำหรับอนาคต อีก 10 ประเภท
            การส่งออกได้เพ่ิมขึ้น โดยตลาดจีนกลายเป็นตลาดใหย่ที่สุดของเกาหลีแซงหน้าตลาดสหรัฐฯ อัตราการผลิตของโรงานอุตสาหกรรมเพ่ิมขึ้นเป็นร้อยละ 81.1 และในปี 2005 ผลผลิตมีอัตราเพิ่มร้อยละ 7.4 ซึ่งถือว่าสุงที่สุดในรอบ 78 เดือน
             ปี 2007 นายลี มยองบัง อดีต CEO ที่ได้รับความสำเร็จของบริษัทชั้นนำ เป็นประธานาธิบดี นายลี ได้นำนโยบายอนุรักษ์นิยมกลับมาใช้ ประกาศใช้นโยบายหาเสียงโดยยึดแนวอนุรักษ์นิยม นายลีได้ดำเนินการตามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจที่ได้ให้คำมั่นสัญญากับประชาชนในตอนหาเสียนงรื่อยมาตลอดช่วงเวลาของการดำรงตำแหน่งผุ้นำประเทศ 5 ปี ท่ามกลางความผันแปรและวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เรียกว่า "แฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส" ผลสัมฤทะฺ์ที่ได้รับดังปรากฎในปีสุดท้ายของการเป็นประธานาธิบดี ของเขาก็คือ เกาหลีใต้มีอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยเพียงปีละ 4-4.5 % ประชากรมีรายได้ต่อหวราว 20,000 เหรียญสหรัฐฯต่อปี และขนาดเศรษฐกิจของประเทศอยุ่ในลำดับที่ 13 ของโลก ซึ่งต่ำหว่าเป้าหมายของนโยบายหาเสียงเป็นอย่างมาก
             สภานการณ์ญี่ปุ่น : อาทิตย์อัสดง ญี่ปุ่นเปิดคริสต์ศตวรรษใหม่ด้วยสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมทีไม่่อยสดใสนัก ทั้งนี้เป็นเพราะมีปัญหารุมเร้าตลอดช่วงตอนปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในทุกภาคส่วน แต่เนหื่องจากเป็นชนชาติที่มีรากฐานทางวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เข้มแข็งมีประวัติาศตร์และอารยธรรมสูงเด่นนามนับพันปี ทำให้รากเง้าวัฒนธรรมที่เก่าแก่ยังปรากฎให้เห็นในแทบทุกส่วนของการดำรงชีวิต แม้จะเปลี่ยนไปบ้างตามกระแสโลกาภิวัตน์และปัญหาที่เกิดขึ้นรอบข้างก็ตาม
              ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ทำให้เกิดการล่มสลายของสถาบันการเงินในญ๊ปุ่น เริ่มจากการล้มของธนาคารโตโยโซโก ในเดื่อนเมษายน ค.ศ. 1992 ติดตามมาด้วยการล้มของะนาคารโตโยชนิคินในเดืนอตุลาคมปีเดียวกัน เมือเวลาผ่านไป ความรุนแรงและจำนวนสภาบันที่ล้มก็เพ่ิมมากขึ้นในปี 1995 สภาบันการเงินหลายแห่งล้มลง..ประชาชนทั่วไปตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และใเดือนพฤศจิกายน 1997 จากการล้มของธนาคารฮอกไกโดทะคุ โชคุ ซึ่งเป้ฯหนึ่งในธนาคารใหญ่ในเมืองหลักที่มีสาขาทั่วประเทศ และบริษัทหลักทรัพย์ยะมะอิจิจซึ่งเป็นหนึงใน 4 บริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของญีปุ่น ส่งผลให้ระบบการเงินญี่ปุ่นโยรวมตกเข้าสุ่ภาวะวิกฤตอย่างรุนแรง ยิ่งไปหว่านั้น 2 ใน 3 ของธนาคารเพื่อสินเชื่อระยะยาวของญี่ปุ่นก็มีหนี้สุเกินสินทรัพย์และต้องตกอยู่ในความดุลแของรัฐเป็นการชั่วคราว
              ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมานานนับ 10 ปี และยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นตัวในปี 2002 อีกทั้งยังคงสภาพนี้ต่อไปอีกลายปี ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรมในวงกว้าง
              ญี่ปุ่นได้ก้าวพ้นยุควิกฤตทงเศรฐกิจในทศวรรษที่ 1990 มาได้ ทำให้อัตราความเจริญเติบโตเป็นบวกนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 เป็นต้นมา เป้นสัญญาณว่า ญ๊่ป่นุเริ่มฟื้นตัวและยังครอบตรองความเป็นมหาอไนาจทางเศรษฐกิจของโลกอันดับที่ 2 อยู่ต่อไป พ้อมกันนี้ความนิยมในการบริโภคสินค้าญี่ปุ่น เป็นไปอย่างกว้างขวาง เช่น รถยนต์โตโยต้า ซันโยเป็นต้น โดยได้สร้างผลกำไรให้แก่บริษัทเพิ่มสูงขึ้นทุกปี อันส่งผลให้ค่าเงินเยนสูงขึ้น ในขณะที่สินค้าอื่นต้องแข่งขันกับสินค้าที่ผลิตจากประเทศอื่น ปี 2008 ี่ปุ่นส่งออกได้ชะลอต้วลง และอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง
           การฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าภายหลังที่เกิดวกฤตเศรบกิจที่เรียกว่า "ทศวรรษที่หายไป" และโหมกระหน่ำให้เกิดปัญหาทางการเมืองที่ต้องเปลี่ยนรัฐบาลเกือบทุกปีใรตอนปลายของทศวรรษ 2000 ส่งผลให้หลุดจากากรเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับที่ 2 ให้แก่จีนไป และตามมาด้วยเหตุการณ์คลื่นซึนามิซัดถล่มคร่าชีวิตผุ้คนกว่า  20,000 รายและทรัพย์สินเสียหายกว่าง 309,000 ล้านเหรียญสหรัฯ ต่อด้วย โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมาไดอิชิ เกิดระเบิด ส่งสารกัมมันตภาพรังสีออกไปทั่ว จึงต้องอพยพโยกย้ายประชาชนซึ่งอาศัยอยู่ในรัศมี 20 กิโลเมตรรอบโรงงานไฟฟ้าฯ ความเสียหารที่เกิดขึ้นมีมุลค่ามากที่สุดท่าที่เคยบันทึกมา...(บางส่วนจาก " ไทย-เกาหลีใต้- อาเซียนบวกสาม" ศูนย์เกาหลีศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง, รศ.ดร. ดำรงค์ ฐานดี, 2555)

วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Optimum Currency Area : ASEAN +3

           หลังจากวิกฤตการณ์การเงินในภุมิภาคอเาว๊ยนและเอเชียตะวันออกในปีพ.ศ 2540 ทไใ้ประเทศไทยและประเทศอื่นในภุมิภาคยกเลิกอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ซึ่งยึดค่าเงินไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แล้วหันมาเข้าสูรระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว ซึ่งระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตังเป็นผลให้ค่าเงินมีความผันผวนซึ่งเกิดจากภาวะเศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านการต้า การเงินและการลงทุน ดังนั้นระบบอัตราแลกเปลี่ยนแปบบลอยตังจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดของระบบอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งส่วนใหญ่จะเป้นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดเล็กและเป็นปบบเปิดสอดคล้องกับความคิดที่ว่าประเทศกำลังพัฒนาที่มีขนาดเศรษฐกิจที่เล็กและมีเศราฐกจค่อนข้างเปิดตามทฤษฎี แล้วแนะนำให้ประเทศกำลังพัฒนาเหล่านนี้ใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนคงที่โดยอิงกับเงินตราสกุลสำคัญ การอิงกับเงินตราสกุลหลักจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นในต่าเงิน ซึ่งผลดีคือการที่ประเทศเล็กๆ จะทำการต้าขายกันเองภายในกลุ่มเดียวกันจะลดปัญหาด้านความไม่แน่นอนของอัตราแลกเปลี่ยน เช่น ความไม่แน่นอนในรายได้ส่งออก ความไม่แน่นอนในมูลค่าการนำเข้า และความไม่แน่นอนของมูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศที่ประเทศเหล่านี้ถือไว้
 ในปัจจุบันระบบเศรษฐกิจมีการเปิดเสรีมาขึ้น หลายๆ ประเทศจึงใหความสนใจกับนโยบายการต้าเสรี แม้แต่กระทั่งประเทศจีนซึ่งเคยเป็ฯระบบสังคมนิยมก็ยังให้ความสนใจกับระบบบทุนนิยมมากขึ้น ระบบการต้าเสรีนั้นทำใ้หระบบเศรษฐกิจมีการขยายตัวมากขึ้น เกิดการเคลื่นย้ายเงินทุนหรืปัจจัยการผลิตข้ามชาติขยายตัวไปทั่วโลกการแข่งขันทางการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ความได้เปรียบจะอยู่กับประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ทั้งความได้เปรียบทางด้านต้นนทุนการผลิตทรัพยากรการผลิต และที่สำคัญคือความได้เปรียบในด้านการต่อรองด้านการต้า ส่งผลกระทบต่อประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดเล็กจะถูกเอาเปรียบและถูกกีดกันทางการค้าดังนั้นกลุ่มมประเทศต่างๆ จึงพยายามรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างฐานเศรษฐกิจโดยกลุ่แลเพิ่มอำนาจต่อรองทางการต้า มีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน มีฐานการผลิตที่ขนาดใหญ่ขึ้นและสามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้
ง่าย ซึ่งผลประโยชน์ที่เพ่ิมขึ้นก็คือการมีจำนวนผู้บริโภคที่สูงขึ้นตามประชากรของแต่ละประเทศที่มารวมกลุ่ม ส่งผลให้เกิดการขยายการผลิตและมีประสิทธิภาพ ในการผลิตเพิ่มขึ้น ก่อเกิดต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง การรวกฃลุ่มทางเศรษฐกิจ จึงเป็นการสร้างประโยชน์ทางการต้าให้เกิดขึ้นระหว่างกัน อีกทั้งหากการวมกลุ่มมีความก้าวหน้าไปถึงการใช้เงินสกุลเดียวกันก็จะเป็นการประหยัดทุนธุรกรรมในการเปลี่ยนแงิน ถ้าจะมองภาพง่ายๆ ว่ามีมุลค่าเท่าใดก็อาจจะพิจารณาจากรายได้ของธนาคารในการปริวรรตเงินตรา รวมถึงค่าธรรมเนียมในการประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน... ผลที่ตามมาคือจะมีการต้าการลงทุนระหว่างประทศมากขึ้นผุ้ที่สนับสนุนการต้าเสรีก็จะชื่นชอบเพราะจะทำให้ผุ้บริโภคมีทางเลือกในสินค้ามากขึ้นด้วยราคาที่ถูกลง จากกรณีประเทศในสหภาพยุโรป มีการใช้เงินสกุลร่วมกันประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการใช้เงินสกุลร่วมกันต่อเสณาฐกิจ หากมีประเทศที่มพลังทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งซึ่งไดแก่ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีเข้ามามีบทบาทในการเป็นผุ้นำเพื่อสร้างระบบการเงินเอเชียตะวนออก ซึ่งทั้งนี้ประเทศจีนมีระบบเศรษบกิจพื้นฐานที่เข้มแข็ง และมีบทบาทสำคัญในเวทีเศรษบกิจโลก เนื่องจากจีนได้มีความเชื่อมโยงด้านการจ้า การลงทุนและการเงินกับภุมิภาคอื่นทั่วโลกมากขึ้นดังนั้นการดำเนินนโยบายใดๆ ของจีนจึงได้รับ
ความสนใจจากทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง เช่น นโยบายที่จีนส่งเสริมให้ใช้เงินหยวนในการชำระค่าสินค้าระหว่างประเทศ การทำกรอบนโยบายข้อตกลงทวิภาคีกับประเทศต่างๆ วึ่งเงินหยวนได้ถูกใช้ในการชำระค่าสินค้ามาเป็นเวลาหลายปีในส่วนของการต้าในกลุ่มอนุภูมิภาคกลุ่มแม่น้ำโขง เช่น พม่า เวียดนามและลาว เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจไม่สูงนัก และประสบปัญหาการขาดดุลการค้ามาดดยตลอดทำให้ขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ ประกอบกับค่าเงินไม่มีเสถียรภาพ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงเป้ฯปัจจัยชับเคลื่อนให้เงินหยวนกลายเป็นเงินสกุลหลักในการชำระค่าสินค้าระหว่างกัน ในส่วนของภาครัฐก็ยัง พบว่า ทางการจีนยังออกมาตรการเพื่อผลักดันในนโยบายการชำระเงินสกุลหยวน ทไใ้ผุ้ประกอบการจีนได้ประโยชน์ทั้งด้านภาษี และลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น"""
               ทฤษฎีเขตเงินตราที่เหมาะสม หมายถึง กลุ่มของประเทศที่เงินตราภายในประเทศเชื่อมโยงกัน ดดยผ่านอัตราและเปลี่ยนคงที่อย่างถาวร เงินตราของประเทศสมาชิกสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเสรีกับประเทศนอกกลุ่ม เขตของประเทศเดียวกันใช้เงินตราสกุลเดียวกัน เรียกว่าเขตเงินตราที่เหมาสม ซึ่งประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษบกิจยุโรป พยายามก่อตั้งขึ้น การก่อตั้งเขตเงินตราที่เหมาสมจะกำจัดความไม่แน่นอนที่เกิดจาอัตราแลกเปลี่ยนไม่คงที่อย่างาถาวร และจะเร่งให้มีควาชำนาญในการผลิตพร้อมกับมีการต้าและการลงทุนระหว่างประเทศภายในกลุ่มโดยสนับสนุนให้ผุ้ผลิตมอง่าพื้นที่ทั้งหมดเป็นตลาดเดียว ซึ่งได้รับผลประโยชน์จากการปลิตขนาดใหญ่ การที่มีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่อย่างถาวรทให้ระดับราคามีเสถียรภาพมาก และเป้ฯการสนนับสนุการใช้เงินตราเป็นที่สะสมมูลค่าและทำลายการแลกเปลี่ยนที่ไม่มีประสิทธิภาพที่เกิดจากภาวะเงินเฟ้อ นอกจากนี้ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายที่รรัฐบาบแทรกแซงในตลาดเงินตราต่างประเทศ ประหยัดค่าใช้จ่ายจากการทำการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง และประหยัดค่ามใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลหนึ่งเป็นอีกสกุลหนึ่งเมื่อประชาชนท่องเที่ยวในประเทศสมาชิกของกลุ่ม...
              เขตเงินตราที่เหมาะสมของแลุ่มประเทศอาเซียน +3 เพื่อศึกษาถึงความพร้อมของการเป็นเขตเงินตราที่เหมาะสมและความเหมาะสมของเงินตราที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนปัจจุบัน โดยใช้ทฤษฎีเขตเงนิตราที่เหมาะสมของเงินตราที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนปัจจบัน โดยใช้ทฤษฎีเขตเงินตราที่เหมาสม โดยเงื่อไขที่จำเป็นประกอบด้วย ระดับการเคลื่อนย้ายการผลติ ระดับการเปิดประเทศ การกระจายของสินค้า ความสอดคล้องกิจกรรมทางเศรษบกิจและทฤษฎีควาทเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อทั่วไป เป็นการศึกษาความเหมาะสมของสกุลเงินทีเหมาะสมต่อการเป็นสื่อกลาการแลกเปลี่ยนที่ใช้ในปัจจุบันโดยเปรียบเทียบเงินสกุลเงินหยวนของจีน และสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลุ่มประเทศอาเซียน +3 ที่ศึกษาประกอบด้วย จีน อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย....
             สรุปว่าการทดลองตามแนวทฤษฎี G-PPP ในกลุ่มประเทศอาเซียน +3 โดยใช้เงินหยวนเป้ฯฐานของอัตราและเปลี่ยนที่แท้จริง เหมาะสมกว่ากรณีเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นฐานของอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริง...
           
             - บางส่วนจาก "ความาสามารถในการเป็นเขตเงินตราที่เหมาะสมของอาเซียน +3" วิทยานิพนธ์เศรษฐศาสตร์มหาบัณฑิต เสนอต่อมหาวิทยาลัยรามคำแหง,2556 โดย กุลกันยา ชูแก้ว
             

วันพุธที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Japan : ASEAN : East Asia Communuty

              หลังจากนโยบายฟูคูดะ จะดสำคัญในความสัมพันธ์ญีปุ่นอาเซียนคือการประกาศปฏิญญาโตเกียว ซึ่งปฏิญญาโตเกียวมีวัตถุประสงค์ในระยะยาวในการจัดตั้งประชาคมเอเชียตะวันออก ขึ้นมแต่ผลปรากฎว่าการดำเนินการของประชาคมเอเชียตะวันออกนั้นขาดความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและอาเซียนในลักษณะที่จะเป็นตัวแปรในการสร้างประชาคมเอเชยตตะวันออกให้มีความเข้มแข็งได้อย่างไรจึงเป็นสิ่งที่น่ำศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
              ญี่ปุ่นกับแนวนโยบายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คำถามนี้ได้รับความสนใจเป้นอย่างมาก เนื่องจากถึงแม้ว่าญี่ปุ่นจะได้เข้ามาเกี่ยวข้องในภุมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาหลายทศวรรษแล้วผ่านทากงารต้าและการใหความช่วยเหลือในด้านต่างๆ แต่แนวนโยบายของญี่ปุ่นในภูมิภาคนี้ยังคงไม่ชัเเจนมากนัก กระทั่งทศวรรษที่ 1980 บรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ของอญีปุ่นน้นเข้ามาลงทุนในภุมิภาคนี้อย่างมหาศาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการทำข้อตกลงพลาซา Plaza Accord ระหว่างญีปุ่นกับชาติมหาอำจาจตะวันตกซึ่งได้ส่งผลทางอ้อมในการกระตุ้นเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้โดยรวม แต่อย่างไรก็ตามการทูตของญีปุ่นต่อภูมิภาคนี้ก็ยังคงถูกพิจารณาว่าเป้นในลักษณะที่ยังไม่ใ้ความสำคัญเด่นชัดนัก สำหรับญีปุ่นภูมิภาคนีจัดได้ว่ามีผลประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจกับญีปุ่นในการหาวัตถุดิบราคาถูกรวมถึงเป้ฯตลาดขาดใหญ่ในการขายสินค้าของตนด้วย สำหรับการเน้นการเข้ามาในเชิงเศรษฐกิจของญีปุ่นนั้นได้ส่งผลให้มุมมองของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มองญี่ปุ่นในเชิงลบว่าเข้ามาแสวงหาประดยชน์ทางด้านเศรษฐกิจมากกว่าจะเข้ามาสร้างความเข้มแข็งร่วมกันและยิ่งผสมผสานกับประสบการณ์ที่ประเทศในภูมิภาคนี้ได้รับจากการกระทำของญีปุ่น่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยังไม่ลืมเลือนไปจากอดีต
              สำหรับประสบการณ์ในการรวมกลุ่มแบบภูมิภาคนิยม ของอาเซียนนั้นเริ่มขึ้นในค.ศ. 1967 ซึ่งการวมกลุ่มในครั้งนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแนวนโยบายของญีปุ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงเร่ิมต้นเท่าใดนัก เนื่องจากญี่ปุ่นในขณะหนั้นได้ดำเนินแนวนโยบายตามสหรัฐฯที่ได้ประกาศแนวนโยบายนิกสัน ที่ได้ประกาศในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1969 หลังจากการถอนตัวของสหรัฐฯ จากภุมิภาคอันเนื่องมจากความพ่ายแพ้ในสงครามเวียดนาม จากปัจจัยนี้เองทำให้ญีปุ่นและอาเซียนมีความจำเป้ฯจ้องสร้างกรอความร่วมมือในระดับภูมิภาคระหว่างกันขึ้นมา นี่เป้นเหตุผลสำคัญที่ทำให้แนวนโยบายฟูคูดะได้ถูกเสนอขึ้น และอีกเหตุผลเพื่อที่จะลบภาพในเชิงลบของญี่ปุ่นที่ถูกมองจากกลุ่มอาเซียนว่าเปรียบเสมือน "สัตว์เศรษฐกิจ economic animal" ที่ได้กล่าวในข้างต้นมาแล้ว โดยญีป่นุดำเนินนโยบายกับอาเซียนในลักษณะที่ให้อาเซียนเป็นตัวขับเคลื่อนนโยบายสร้างความร่วมมือระหว่างกันอยางไรก็ดีญี่ปุ่นมิได้่งเสริมความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจแต่เพียงด้านเดียว แต่ญีปุ่่นยังพยายามในการแสดงบทบาททางการทุตและการเมืองระหว่างประเทศในการเป็นตัวเชื่อมระหว่างประเทศในภุมิภาคที่เป้นคอมมิวนิสต์กับประเทศที่ไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ซึ่งในจุดนี้ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าใดนัก เนื่องจกาสาเหตุที่ญีปุ่นปรับนโยบายสนับสนุนอาเซียนในช่วงท่เวียดนามนั้นรุกรามกัมพุชาในเือนธีนวาคม ค.ศ. 1978 และในช่วงสิบปี ระหว่าง ค.ศ. 1978-1988 ญี่ปุ่นได้ร่วมกับสาธารณรัฐประชาชนจีน สหรัฐฯ และอเารเซียนการคัดค้านการกระทำดังหกล่าวของเวียดนามตลอดมา จากการดำเนินการอย่างตั้งใจของญีป่นุในด้านต่างๆ จะพบว่าในช่วงเวลานี้สามารถตอลรับได้กับการดำเนินแนวทางทางการทุตของอาเซียนในการสร้างความเช้มแช็งในแก่กลุ่มของตนเองโดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการณ์กัมพูชาเป็นอย่างดี
             อย่างไรก็ดีนสถานการณ์ปัจจุบันในยุคหลังสงครามเย็นันเป้นที่ชัดเจนว่าแนวนโยบายของญีปุ่นต่ออาเซียนในปัจจุัยอันหนึ่งได้แก่ การขึ้นมาเป็นมหาอำนาจคู่แข่งของจีน โดยญีปุ่่นจะมีการตอบสนองกับจีนอย่างไรและขีดข้อสรุปใดความเป็นข้อสรุปที่นำมากำหนดนโยบายของญีปุ่นต่อจีนนั้นเป็นส่วนสำคัญที่ญีป่นุต้องให้ควาในใจในขณะนี้ถ้าญีปุ่นมองว่าการขึ้นมาเป้ฯมหาอำนาจขอจีนนั้นเป้นภัยคุกคามต่อตนเองและมองวาการสร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่สามารถนำมาถ่งงดุลกับจีนได้ จาแนวคิดนี้ที่ได้รับการยอมรับการผุ้กำหนดนโยบายคนสำคัญของญีปุ่นหลายท่านตั้งแต่อดีตนายกรัฐมนตรีนายจุนอิชิโร โคอิซุมิ นายกรัฐมนตีคนปัจจุบันนายชินโซ อาเบ รัฐมนตรีต่างประทเศญ๊ปุ่นนายทาโร อาโซะ โดยแนวคิดให้ความสำคัญกับสหรัฐฯเป็นลำดับแรกและเอชียเป็นลำดัต่อมา เป็นแนวทางที่ถูกวิพากวิจารณือย่างหนักว่าทำให้เกิดความขัดแย้งกับจีนอย่างหลีกเลี่ยงมิได้รวมถึงยังไมเป้นการส่งเสริมในการสร้างการรวมกลุ่มให้เกิดขึ้นในเอเชียนตะวันออกได้อย่างแท้จริงอีกด้วย ตแ่ความเป้นแนวทางที่นำสหรัฐฯและจีนเข้ามาร่วมกันในการสร้างความเข้มแข็งให้กับภุมิภาคจะเป้นประดยชน์กว่า เนื่องจากโดยพื้นฐานของความเป็นจริงนั้นการสร้างความสัพมันธ์อันดีระหว่างสหรัฐฯ ญีปุ่นและจีนจะเพิ่มมูลค่าในด้านการต้าและการลงทุนซึ่งส่งผลในเชิงบวกกับภาพรวมทางเสณาฐกิจของโลกและการทำให้จีนอ่อนแอหรือไม่มั่นคง ในทางกลับกันก็คงจะทำให้เกิดความเสียหายหรือชะลอตัวทางเศณาฐกิจโดยรวมเช่นเดียวกัน จากตัวเชขทางสถิติการต้าระหว่างจนกับญี่ปุ่นใน ค.ศ. 2004 นั้นคิดเป็ฯร้อยละ 20 ของการต้าระหว่างประเทศของญีปุ่นโดยมีมุลค่าเกือบ 17,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้จีนจัดได้ว่าเป้ฯคุ่ต้าสำคญในลำดับต้นๆ ของญีปุ่น
 แนวนโยบายของญีปุ่นในยุคปัจจุบันจึงไมควรเน้นการให้ความสำคัญแก่ชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัญฯ มากจนเกินไป ญี่ปุ่นควรที่จะหใ้ความสำคัญกับสหรัญ และประเทศในเอเชียตะวันออก เอชียตะวันออกเฉียงใต้ในสถานที่เท่าเทียมกัน การผูกพันกับจีนนั้นสามารถที่จะกำหนอให้กระบวนการรวมกลุ่มของเอเชียตะวนออกนั้นเป้นเป้าหมายในระยะยาวที่สามาถทำให้ในอนาคตและยังช่วยสร้างความเขชื่อใจและเชื่อมั่นระหว่งกันทั้งยังสามารถทใไ้ภาพในเชิลบของญีปุ่น่นที่มีอยุ่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นเบาบางลงไปอีกด้วย เมื่อนดังกรณีของความขัดแย้งระหว่างจีนและญี่ป่นุในกรณีของการเยือนศาลเจ้ายาวูโคนิ ของฝ่ายบริหารญีปุ่นหลายครั้งที่เป้นประเด็นระหว่างกันหลายครั้ง ได้มีข้อเสนอจาก เสนอว่าญีปุ่่นควรสร้างอนุสรณ์สถานของผุ้ที่เสียชีวิตในสงครามดลกครั้งที่ 2 เพื่อจะเป็นทางเลือกในการเข้าไปเคารพสัการะอย่งเป็นทางการของฝ่ายบริหารและยังสามรถที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับต่างชาติได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย และในขณะที่ญีปุ่่นให้ความสำคัญแก่การสร้างสัมพันธ์กับจีนญี่ปุ่นก็ยังคงต้องเดินหน้าในการสร้างความสัมพันธ์กับอาเวียนไปอย่างต่อเนื่องซคึ่งสิ่งน้ลั้ไม่เพียงแต่จะสร้างสันติภาพและความมั่งคั่งให้เกิดขึ้นให้กับความสัพมันธ์ญ๊่ปุ่นแลอาเวียนโดยรวมเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวขับเคลื่อนในแผนการรวมกลุ่มของภุมิภาคเอเชียนตะวันออกและเอเชยตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย แถลงการณ์ ในค.ศ. 2003 จึงเป็นการสร้างกรอบความร่วมมือและการพัฒนาระหว่างญีป่นุแลอาเวียน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของทั้งสองฝ่ายในการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อสเริมสร้างความสัมพันธ์กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกในการสร้างปรชาคมเอเชียตะวันออกให้แข็งแกร่งต่อไป
              อาเซียนกับการก่อตั้งประชาคมเอเชียตะวันออก เมื่ออาเวียนก่อตั้งข้ชั้นในค.ศ. 1967 หรือเมื่อ 40 ปีมาแล้วนันวัตถุประสงค์หลักของอาเซียนนั้นได้แกการสร้างความเจริญเติบโตทางเสณษฐกิจ สังคม และการพัฒนาทาวัฒนธรรมอย่างไรก็ดีในช่งแรกของการก่อตั้งอาเซียนนั้นไม่ค่อยที่จะประสบความสำเร็จเท่าใดนักเนื่องจากอุปสรรคเดิมที่เคยเกิดขึ้นในกลุ่มของอาเซียน อันได้แก่ ความไม่เชื่อใจและหวาดระแวงระหวางกัน และจากวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งอาเวียนนั้นจะไม่ได้เน้นถึงในเรื่องของการเมืองเท่าใดนัก แต่ในความเป้นจริงนั้น เหตุผลหลักที่แบแฝงอยู่่ของอาเซียน ได้แก่ความพยายามที่จะเปลี่ยนสถานะของความวุ่นวายและความไม่มีเสถียรภาพให้เป็นภุมิภาคที่มีสันตุภาพและความสบงเกิดขึ้น ในช่วง  ทศวรรษแรกอาเวียนตัดได้ว่าประสบความสำเร็จในการดำเนินากรทางการทุตระหว่างกัน ในขณะที่ด้านเศรษฐกิจซึ่งจัดได้ว่าเป็ฯเหตุผลหลักที่ได้กล่าวไว้ในวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งไว้ไม่ก้าวหน้านักใน 2 ทศวรรษนี้เนื่องจากเหตุผลหลักสองประการ
             ประการที่หนึ่ง เนหื่องจากประเทศสมาชิกของอาเวียนส่วนใหญ่นั้นเป็ฯคู่แข่งในางเศราฐกิจกันเอง เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ผลิตสินคึ้าและส่งออกสินค้าที่มีลักาณะเป้ฯวัตถุดิบในการปลิต และเป้นสินึคาแบบปฐมภุมิ เชน สินึ้าเกษตรที่ยังไม่ได้แปรรุแ เป็นต้น ทั้งยังมีการกีดกันางการค้าระหว่างกันในระดับที่ยังสูงอย่ง ยิ่งไปกว่านันการขาดการส่งเสริมซึ่งกันและกันในะระบบเสณาฐกิจของเอาเวียนก็จัดเป็นสากเหตุสำคัญอีกประการในการทำให้มูลค่าการต้าภายในกลุมอาเซียน นันอยุ่ในระดับที่ต่ำอยยุ่ ประการต่อมาประเด็นปัญหารกัพุชาที่มีอยุ่ในภมุิาคในช่วนั้นถุกนำมาใช้เป้นขออรงในการขาดความรวมมือระหว่างกันในเชิงเศรษบกิ แย่างไรก็ดีในช่วงหลักงที่การแก้ปัญหากัมพุชาคลี่ลายไปก็ทำให้อาเซียนมีภาพลักษณ์ในการเป้นภุมิภาคที่ความเชื่อถือมาขึ้นในเวลทีโลกได้ ส่งผลถึงการส่งเสริมความร่วมอทางเสณาฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียนอีกทางหนึ่งในเวลาต่อมาด้วย
            เมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลงและปัญหาของกัมพูขที่หสข้อยุติได้ในค.ศ. 1991 ความสัพมัีะ์ในเชิงการเมืองและการทูตระหว่งกันที่เคยเป้นตัวประสาาติสมาชิกอาเซียนทั้งหลายเข้าด้วยกันได้ดีเหมือนในชวงสงครามเย็นันมีการเปลี่นแปลงไปจากเดมโดยไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดีเหมือนก่อน จากสถานะของเหตุการณ์และช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้เหิดโอกาสให้เื้อแก่การให้ความสำคัญแก่ประเด็นทางเสรษฐกิจมากขึ้นจัดได้ว่าเป็นยุคแรกที่อาเวียนสามรถหาแนวกลยุทธ์การพัฒนาร่วมกันได้ โดย่งเสริมแนวทางการเปิดเสรีและเปิดการต้าระว่งกันรวมถึงกำจัดอุถปสรรคต่างที่มีต่อการรวมกลุ่มระหว่างกัน โดยในการประชุมสุดยอดผุ้นำอาเซียนครั้งที่ 4 ที่สิงคโปร์ ในค.ส. 1992 มีการก่อตั้งเขตการต้าเสรีอาเวีียนขึ้นจัดได้ว่าเป็นข้อตกลงประวัติศาสตร์ของอาเวียนในการขยายความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรมทางเศราฐกิจนอเหนือจากกรอบทางด้านการเมืองและการทุต
              อาเซียนงยังได้มีการสร้างความสัพมัธืกับจีนหลังจากจนได้มีการพัฒนาทางเศรษกิจอย่างรวดเร็วในทศวรรษที 1990 เป้นต้นมาโดยมีการดำเนินการสร้างความร่วมมือในหลายกรอบเจรจาในระดับพหุภาคี จากการสร้างความสัพมันะ์กับมหาอำำนาจอย่างจีนเป้นการพัฒนาบทบาทของอาเวียนที่สำคัญในการพัฒนาโครงสร้างทางความาั่นคงและเศรษฐกิจของภูมิภาคต่อไป ซึ่งจีนก็ให้การตอบรับและความร่วมมืออันดีย่ิงในกานสงสเริมความสัพมันะ์ทางการทูตกับอาเซียนเป้นการส่งเสริมความสัมพันะ์แบบทวิภาคระหว่งอาเวียนและจีนที่มีประสิทธิภาพย่ิง
           
ถึงแม้อาเวียนนั้นจะประสบกับวิกฤตกาณ์ทางเสณาฐกิจในค.ศ. 1997 ซึ่งทำให้อาเซียนสูญเสียความมั่นใจและนำไปสุ่การวิพากวิจารณ์อาเวียน ถึงการขาดความร่วมมือระหว่างกันและความไร้ประสิทธิภาพในการหามาตรการร่วมกันในการแก้ไขวิกฤตการณ์ครั้งทนีจากจุดนี้เป้นตัวเร่งให้อาเซียนมีความจำเป็นต้องหามาตรการเพื่อป้องกันวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยในอาเซียนอาเศัยความสัมพันธ์ที่มีกับประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของเอชเียตะวันออกได้แก่ ญีป่นุ จีนและเกาหลีใต้ โดยมีการหารือกันในระดับผุ้นำประเทศของประเทศสมาชิกอาเวียนและผุ้นำของญีปุ่นจีนและเกาหลีใต้เป็นครั้งแรก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1997 จัดได้ว่าเป้นจุดเริ่มต้นของการประชุมสุดยอดอาเซียน+3 ที่ได้จัดขึ้นเป้ฯประจำปีในช่วงเดียวกับการประชุมสุดยอดอาเซียน ในความเป็นจริงแล้วในช่วงของวิกฤตเศรษฐกิจนั้น ญีปุ่นได้มีความพยายามที่จะจัดตั้งกองทุนการเงินเอเชีย ขึ้นมาเพื่อเป็นองค์กรในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เนื่องจากมีเงื่อนไขที่ทำให้ประเทศในเอเชียได้รับความลำบากอย่างมาก แต่กองทุนการเงินเอเชียนั้นก็ไมได้มีการจัดตั้งขึ้นเนื่องจากคำคัดค้านของสหรัฐฯ ที่ให้เหตุผลว่าการจัดตั้งกองทุนการเงินเอเชียนันจะส่งผลให้ระบบการเงินโลกนั้นไม่มั่นคง อย่างไรก็ตามหลังจาก ค.ศ. 1999 นั้นกรอบของอาเซียน +3 นั้นได้มีแนวคิดที่จะขยายกรอบนี้ออกไปซึ่งส่วนนี้เป้นการเสนอแนวความคิดของเกาหลีใต้ให้มีการประชุมสุดยอดเอชียตะวันออกขึ้นมาโดยมีแนวคิดที่จะดึงอินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ขึ้นมา เพื่อเป็นแนวทางที่จุะถ่วงดุลการขึ้นมามีอำนาจของจีนที่อาจจะส่งผลต่อการเข้ามามีอิทธิพลในกรอบของอาเซียน +3 ขึ้น ทำให้อาเซียนสามารถเป็นพลังในการผลักดันให้กรอบของอาเซียน +3 นั้นเป้นแหล่งที่สมารถนำญี่ปุ่น จีนและเกาหลีใต้ที่มีความขัดแย้งในหลายประเด็นและทำให้ความร่วมมือของทั้งสามชาตินั้นเป็นได้ยากอย่างยิ่งในอดีตเป็นไปได้ในเวทีนี้ นับได้ว่าเป็นศักยภาพของอาเซียนที่สำคัญในเวทีโลก
               ญีปุ่น อาเซียน กับการขับเคลื่อนประชาคมเอเชียตะวันออก วิกฤตเศรษฐกิจในค.ศ. 1997 นั้นอาจส่งผลกระทบในด้านลบหลายๆ ประเทศในอาเซียนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกแต่ในอีกมุมมองหนึ่งวิกฤตครั้งนี้กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นหันเข้ามาร่วมมือ เกี่ยวข้องและสร้างความสัมพันธ์กับอาเซียนมากขึ้น ดดยการเข้าร่วมในการรวมกลุ่มแบบภูมิภาคนิยม ในเอเชียตะวันออก โดยแนวคิดของการรวมกลุ่มแบบภุมิภาคนิยมในเอเชียตะวันออกนั้นเริ่มจากรูปแบบของการก่อตั้ง  East Asian Economic Caucus (EAEC) ที่เริ่มในทศวรรษที่ 1990  โดยมหาเธ โมฮัมหมัด ในช่วงนั้นปฏิกิริยาของญี่ปุ่นนั้นเป็นลกษณะไม่ผูกมัดและค่อนข้างวางเฉย เนื่องจากสไรับญีปุ่นนั้นความสัมพันะ์กับสหรัฐฯ ถือว่าเป็นความสำคัญลำดับแรกของญี่ปุ่นในนโยบายต่างประเทศ โดยญ๊ปุ่นตระหนักว่าการรมกลุ่มแบบภูมิภาคนิยมในเอเชียตะวันออกนั้นจะเป้นอุปสรรคและอาจจะทำให้เกิดความขัอแย้งกับสหรัฐฯ ได้ในที่สุดถ้าญีุ่่ปุ่นจะเปลี่ยนลำดับความสำคัยในนโยบายต่างประเทศญีปุ่น
         
ถึงแม้ญี่ปุ่นจะมีแนวนโยบายที่ให้ความสำคัญแก่สหรัญฯเป็ฯลำดับแรก จากที่ได้กล่าวมาในช่วงต้นการเกิดวิกฤตเศรษกบิจส่งผลในการกดดันให้ญีปุ่นต้องเข้ามเกี่ยวข้องในการรวมกลุ่มของภุมิภาคเอเชียตะวันออกมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอาเซียน ภายใต้ผนการ  "มิยาซาวา อินนิติทีฟ" ญี่ปุ่นมีแผนในการให้การสนับสนุนทางการเงินเป็นจำนวนถึงสมหมื่อนล้านดอลลารสหรัฐฯ เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่จีนให้การสนับสนุนในลักาณเดียกันเป็นจำนวนเกือบสี่พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคงอัตราการแลกเปลี่ยนของเงินหยวนไวอย่างเดมโดยไม่ลดค่าลงเพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อการส่งสินคึ้าออกของอาเวียนแลป้นการช่วยสภาพของการต้าและากรลงทุนในอาเซียนในระดับหนึ่งอีกด้วย รวมถึงกรอบของเซียน +3 ที่ทั้งญี่ปุ่นและจีนมีความกระตือรอืล้นที่จะเข้ามาสร้างความแข้.แกร่งยังทำให้เกิดความร่วมมือด้วยการสร้างความร่วมมือในระดับภุมภาคทางการเงินและการธนาคารผ่านทาง "เชียงใหม่ อินนิเทียทีฟ"
            จากความร่วมมือของญีป่นุกับอเาซียนในช่วงนีภายใต้นายกรัฐมนตรี โอบูชิ ไคโซะ ช่วงเสริมสร้างควมแข็.แกร่งให้กับญีปุ่นและอาเซียนอยางมาก แต่สำหรับอาเซียนแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้ามาครอบงำของมหาอำนาจไม่ว่าจะจากญี่ปุ่นหรือจีน ส่งผลให้อาเวียนจำเป็นต้องสร้างสมดุลในความสัมพันธ์กับทั้งสองฝ่าย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทั้งนักวิชาการและนักวิเคราะห์เห็นตรงกันว่าจีนนั้นได้เปรียบกว่ามนการ
มีความสัมพันธ์กับอาเซียนในหลายทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากมีการเดินทางเพื่อพบปะหารือกันในระดับผุ้บริหารประเทศเพื่อสร้างความร่วมมือ ไกล่เกลี่ยและแก้ไขปัญหาร่วมกันในหลายประเด็นด้วยกัน อาทิ เรืงของเส้นแบ่งเขตแดน การต้า ความร่วมือทางทหาร เป็นต้น เนื่องจากจีนนั้นมีแนวทางและความตั้งใจที่ชัดเจนในกาเปิดสัมพันธ์กับอาเซียน กรณีนี้ญีปุ่นแตกต่างจากจีนเนื่องจรากย๊่ปุ่นมักจะมีความไใ่ชัดเจนเมื่อต้องเพ่ิมระดับความสัพมัะน์กับอาเซียนและการรักษาสมดุลในความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เนื่องจากในปัจจุบันที่ญี่ปุ่นกลายเป็นมหาอไนาจทางเศรษฐกิจของโลกทำให้ญีปุ่่นแม้จะมีที่ต้งอยุ่ในทวีปเอเชียแต่ได้มีการกำหนดตนเองให้เป็นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วและมีแนวทางแบบประเทศตะวันตกที่พัฒนาแล้วทำให้เมื่อจะต้องสร้างสัมพันธ์มากขึนกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งแทบทุกประเทศ(ยกเว้นสิงค์โปร์)จัดเป้นประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งสินทำให้อาจจะเกิดความลังเลที่จะเข้าไปอย่างเต็มตัวโดยเฉพาะต้องเข้าไปในความสัมพันธ์ที่มีความเท่าเทียมกับกลุ่มอาเซียนอีกด้วย
                อย่างไรก็ดี หลังจากที่อาเวียนสามารถฟื้นฟู รวมตัวแลร่วมมือกันได้ทำให้อาเซียนกลายเป็นพันธมิตรที่มีประสิทธิภาพสำหรับญีปุ่นในการร่วมกันสร้างประชาคมเอเชียตะวันออกได้ ซึ่วสวนนี้ได้สะท้อนให้เห็นเป็นรูปธรรมในการประชุมสุดยอดผุ้นำอาเซียน ญี่ปุ่น โดยนาย จุนอิชิโร โคอิซูมิ ได้ให้การรับรองเงินเป็นจำนวน 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพือ่สนนับสนุในการรวมกลุ่มครั้งนี้ญีป่นุยังได้เริ่มย้ายการลงทุนของตนเองจากจีนเข้ามาลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น แม้ว่าการกระทำดังกล่าวอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างญี่ปุ่นกับจีนแต่อาเซียนนั้นก็สามารถเป็นตัวเชื่อมโยงทำให้กความขัดแย้งดังกล่าวไม่รุนแรงเกินขอบเขตและยังสร้างบบาทที่สำคัญแก่อาเซียนในการช่วยเร่งและผลักดันกระบวนการรวมกลุ่มในประาชมเอเชียตวะันออกให้ประสบความร่วมมือมากและรวดเร็วขึ้นถึงแม้ว่าสิ่งต่างๆจะดำเนินไปในลักษณะที่ทำให้อาเซียนมีบทบามสำคัญในการสร้างประชาคมเอเชียตะวันออกให้
แข็งแกร่งย่ิงขึ้น แต่ในปัจจุบันก็ยังคงไม่มีแผนงานหรือแนวความคิดหลักในการกำหนดวิสัยทัศน์ของประชาคมอาเซียนตะวันออก เนื่องจกาในปัจจุบันยังมีแนววคิดที่ยังคงมีกาถกเถียงกันเกียวกับวัตถุประสง์ของการร่วมมือในภูมิภาคและประชาคมเอเชียตะวันออกควรจะมีสมาชิกกีประเทศและประเทศใดบ้าง ดังนั้นอเซียนจึงจึงจำเป็นที่จะต้องหให้ความสนใจอย่าต่อเนื่งอในการพัฒนาความร่วมมือในระดับภุมิภาคซคึ่งมีแนวทางในปัจจุบันดังนี้ั ประการแรก ส่งเสริมความก้าวหน้าการรวมกลุ่มในระดับภูมิภาคโดยการพยายามส่งเสริมความแข็งแกร่งของชาติสมาชิกระหว่างกัน ประการต่อมา ความจะพยายามรักษาผลประโยชน์ระหว่างกันให้สมดุลกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อรักษามิให้เกิดความไใ่ไว้วางใจซึ่งกันและกันในกรณีที่จะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาร่วมกันรวมถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างกันในภุมิภาคอีกด้วย ประการสุดท้ายพยายามส่งสรเิมความร่วมมือทางเศราฐกิจในเชิงชึก ของภูมิภาค รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ทั้งในเชิงทวิภาคีและพหุภาคี
             หนทางของประชาคมเอเซียตะวันออก ในขณะที่อาเซียนสามารถใช้เวทีของอาเซียน +3 ในการแสดงบทบาทสำคัญในการรวมกลุ่มในระดับภูมิภาค แต่การจะดำเนินการสำเร็จหรือไม่เป็นอีกปัจจัยหนึ่งก็ขึ้นอยุกับความ่วมมือของมหาอำนาจที่เข้าร่วมดดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของญีป่นุและจีน ในกรณีของจีนนั้นค่อนข้องมีความชัดเจนในเรื่องของบทบาทของตนเองในอาเวียน +3 แต่ในกรณีของญีปุ่นนั้นควรต้องพิจารณาบทบาทของตนเองในชัดเจนว่าจะเำเนินนโยบายอยางไรในอาเซียน+3 ถุวแม้ว่าที่ผ่านมาญี่ปุ่นจะแสดงให้เห็นถึงการพยายามเข้ามาในสวนนี้ไม่ว่าจะเป้นการใหความช่วยเหลือในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา เรื่องของความพยายามในการจะจัดตั้ง AMF แต่สิงที่ญ๊ปุ่่นควรจะต้องดำเนินการด้วยการพิจารณรอย่างรอบคอบคือการดำเนินความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ หลังการเข้าร่วมในอาเซียน +3 เนื่องจากรเื่องความสัมพันธ์ระหว่างญีปุ่่นกับสหรัฐฯ เป็นส่ิงที่ทราบกันดีว่าจะต้องดำเนินต่อไปย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ซึ่งในจุดนี้ก็คงไม่มีชาติใดที่ต้องการให้ญีปุ่นปรับลดระดับความสัมพันธ์ของญีปุ่น่กับสหรัฐฯลง แต่ญีปุ่นมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องแสดงแนวทางของตนเองให้ชัดเจนในอาเซียน +3 ซึงแน่นอนว่าไม่ควรจะนำเรื่องนี้ไปขึ้นอยุ่กับหรืออยุ่บนพื้นฐานของความสัมพันธืระหว่างญีปุ่นกับสหรัฐฯ ซึ่งการกระทำอย่างนั้นจะทำให้บทบาทของญีปุ่่นและความร่วมมืออาเซียน +3 นั้นไม่สามารถดำเนินอย่างมีประสิทธิภาพแท้จริงได้ และอาจเกิดสิ่งที่ทุกชาติให้ความร่วมมือนี้ไม่อยากให้เกิดคอการถูกชี้นำจากจีนที่มีสถานะและแนวทางที่ชัดเจนและสามารถดำเนินการได้ อีกอย่างถ้าญี่ปุ่นยังลังเลในบทบาทของตนเอง ซึ่งอาเซียนเองก็หวังมิหใเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น เนื่องจกาอาเซียนพร้อมที่จะแสดงบทบาทเป็นตัวเชื่อมระหว่างมหาอำนาจที่เข้ามาในอาเซียน +3 เพื่อสร้างให้การวมกลุ่มในประชาคมเอเชียตะวันออกนั้นสามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต...(บทความ "ญี่ปุ่น อาเซียน และการสร้างประชาคมเอชียตะวันออก, สาธิน สุนทรพันธุ์)
         

วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

East Asia Community : EAC

               สาเหตุผลักดันของการรวมกลุ่มเอเชียตะวันออก คือ "วิกฤติต้มยำกุ้ง" ปี 2540 ที่ปรเทศไทยถูกโจมตีค่าเงินบาท โดยกลุ่มทุนจากตะวันตก (การปล้นทางเศรษฐกิจ) อเมริกาในฐานะพันธมิตรนอกนาโต้ กลับยืนมองไทยล้มไปเฉยๆ เมื่อไทยล้ม อินโดนีเซียก็ล้มตาม ตามด้วยเกาหลีใต้ ฟิลิปินส์ มาเลเซีย จึงตกหลักที่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศในฐานะผู้ให้กู้รายใหญ่ในเอเซีย เพราะลูกหนี้ไม่มีจ่าย ส่วนจีนในตอนนั้นไม่ยอมลดค่าเงินของตัวเอง เพื่อช่วยพยุงอาเซียนและเอเชีย จีนจงเป็นที่เกรงใจ ต่อประเทศใน อาเซียนในเวลาต่อมา
              ไทย อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ต้องเข้าดครงการอกงทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF โดย IMF ให้เงินมาก้อนหนึ่งและในทั้ง 3 ประเทศ ลดการใช้จ่ายทงการเงินภาครัฐ และต้องปล่อยให้ธนาคารที่อ่อนแอล้ม นั้นหมายคึวามว่าา มไ่มีการลงทุนจากภาครัฐ และธุรกิจธนาคารพังทลาย เครื่องจักรสำคัญทางเศรษฐกิจ ตัวสำคัญหายไป ผลที่ตามคือ กลุ่มตะวันตกเข้ามาซื้อกิจการของไทย และเอเชีย เกือบทั้งหมด...
              มาเลเซีย นำโดย ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด รุ้ทันสถานะการณ์และมีความสามารถ ไม่ยอมเขาโครงการ IMF และรัฐบาลมาเลเซียน ได้เร่งการลงทุนภาครัฐ และตรังค่าเงินเพื่อลดความผันผวน ผลก็คือ มาเลเซีย ฟื้นตัวเร็วที่สุด อักทั้งไม่ต้องเป็นหนี้ ..
              ณ ตอนนั้นคนไทยมีความรุ้สึกแย่กับอเมริกาเป็นอย่างมาก และเหมือนตบหัวแล้วลูบหฃบัง อเมริกาขายเครื่องบิน F-16 ADF แบบถูกๆให้ไทย มาหนึ่งฝูง แต่ไทยไม่ซื้อเครื่องบินจาอเมริกาอีก ไทยไปซื้อของสวีเดน เป็นเครื่องรุ่น JAS-39 เมื่ออเมริการรู้ข่าว จึงส่งจดหมายทางการมาว่า "อเมริกาไม่เข้าใจ ทำไมประเทศไทยที่ซื้อเครื่องบิน และระบบอาวุธของอเมริกามาตลอก ทำไมจึงได้ตัดสินใจซื้อเครื่องบินของสวีเดน"..
             ความจริงปรากฎอีกครั้งเมื่อง ปี พ.ศ. 2552(2009) "วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์"อเมริการกลับยทำทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับที่ IMF เคยสั่งให้ไทย ทำเมื่อปี 2540 นั่นคือเร่งใช้จ่ายภาครัฐ ลดดอกเบ้ย ตรึงค่าเงิน ประครองธนาคารใหญ่ ไม่ให้ล้ม และรักษาระบบการเงินการธนาคารเอาไว้ สุดท้าย เอเชีย เมื่อได้เห็นปบบนั้น ก็รู้สึกไม่ดีกับ IMF มากขึ้น และในปี 2552 เอเชียนจึงจัดการตั้ง "กองทุนการเงินเอเชีย" หรือ AMF ขึ้นมา แล้วส่งเงินเข้า IMF ให้น้อยลง ผลที่ตามมาคือ IMF ขาดเงิน เพราะเงินทุนส่วนใหญ่เป็นของเอเชีย..(toppicstock.pantip.com/...งานเขียนเกี่ยวกับ "ประชาคมเอเชียตะวันออก")
               กล่าวได้ว่า ในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา เอเชียตะวันออกเป็นหัวจักรสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกวิกฤตเศรฐกิจในเอเชียเมื่อ พ.ศ. 2540-2541(1997-1998) ส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่อเศณาฐกิจของปลายประเทศในภุมิภาคเอเชียตะวันออก ทำให้เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในภุมิภาคชะลอตัวลงชั่วคราว แต่วิกฤติดังกล่าวกลับช่วยกระตุ้นให้ประเทศในภุมิภาคตระหนักถึงความเชื่อมโยงและการพี่งพากันทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การจัดตังกรอบความร่วมมืออาเซียน +3 ญี่ปุน จีน และเกาหลีใต้ กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือในเอเชียตะวันออกโดยมีเป้าหมายระยะยาวคือการจัดตั้งประชาคมเอเชียตะวันออก
 การประชุมอาเซียน +3 จากวิกฤตเศราฐกิจในเอเชียในปี 2540 ส่งผลให้กลุ่มประเทศในเอเชียนตะวันออกเห็นพ้องกันมากขึ้นถึงความจำเป็นในการรวมตัวทางเศณษฐกิจระหว่างกันจะทำให้เกิดการพบหารือกันอย่างไม่เป็นทางการของผุ้นำของประเทศในอาเวียน ผุ้นำญีปุ่น จีนและเกาหลีใต้ ในปี 2540 และนำไปสู่การจัดตั้งกรอบความร่วมมืออาเซียน+3 ซึ่งมีพัฒนาการมาโดยลำดับ โดยที่สำคัญได้แก่ 1) การออกเเถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความร่วมมือเอเชียตะวันออกฉบับที่ 1 ในปี 2542 ซึ่งทไใ้กรอบอาเวียน+3 ก่อตัวเป้นรูปร่างอย่างชัดเจน 2) การจัดตั้งกลุ่วิสัยทัศน์เอเชียตะวันออก East Asia Vision Group : EAVGในปี 2542 ได้ช่วยวางวิสัยทัศนืของการจัดตั้งประชาคมเอเชียตะวันออก 3) การจัดตั้งกลุ่มศึกษาเอเชียตะวันออก East Asia Study : EASG ได้นำไปสู่การจัดทำข้อเสนอแนะมาตรการความร่วมมือที่ช่วยส่งเสริมความร่วมมือในกรอบอาเซียน +3 และรักษาพลวัตรความร่วมมือที่ดำเนิมาด้วยดีในช่วงทศวรรษแรกให้ดำเนินไปได้อย่างมั่นคงโดยเฉพาะภายหลังที่มีการจัดตั้งเวทีความร่วมมือใหม่ ได้แก่ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก East Asia Summit : EAS ซึ่งเดิมที่จะเป้ฯวิวัฒนาการของการประชุมสุดยอดอาเซียน +3
               การประชุมสุยอดเอชียตะวันออก East Asia Summit : EAS การจัดตั้ง EAS ในปี 2548 เป็นพัฒนากรที่สำคัญในความร่วมมือเอเชียตะวันออกเนื่องจากเป้นการเปิดมิติใหม่ของความสัมพันธ์และความร่วมมือในภูมิภาคและมีการเปิดโอกาสให้ประเทศนอกภูมิภาคเข้ามามีส่วนร่วมด้วย โดยประเทศอาเซียน +3 ที่ผลักดันให้ประเทศนอกภุมิภาคได้เข้าร่วมใน EAS แม้จะมีเหตุผลแตกต่างกันไ ปแต่ก็มีเป้าหมายตรงกัน คือ ไม่ต้องการให้ EAS จำกัดอยุ่เฉพาะแค่ประเทศอาเวียน +3 เนื่องจกายังมีความหวากระแวงกันเองทั้งที่จุประสงค์พั้งเิมของ EAS จะเป็นวิวัฒนาการของการประชุมสุดยอดอาเวียน +3 ซึ่งจะจัดขึ้นเมื่อประเทศอาเซียน +3 มีความไว้เนื้องเชื่อใจกันมากพอ
               ปัจจุบัน EAS ประกอบไปด้วยสมาชิก 16 ประเทศ ซึ่งได้แก่ ประเทศอาเซียน +3 และประเทศที่เข้ามาใหม่ 3 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งมักเรียกันว่าอาเซียน +6 โดยในมุมมองของอาเซียน EAS จะเป็นเวทีใหม่อีกเวทีหนึ่งที่อเว๊ยนปรารถนาจะมีบทบาทนำ แต่ในมุมมองของประเทศภายนอกอาเซียนโดยเฉพาะประเทศที่เข้ามาใหา่ทั้ง 3 ประเทศ EAS เป้ฯเวทีที่ประเทศทัง 16 ประเทศมีความเท่าเทียมกัน
EAS จะเข้ามาแทนที่กรอบอาเซียน+3 หรือพัฒนาคุ่ขนานกันไปจะทำให้ความร่วมมือในเอเชียจตะวันออกเข้มข้นขึ้นหรืออ่อนแอลงเป้นส่ิงที่ต้องศึกษากันต่อไป อย่างไรก็ดี EAS อาจเป็นผลดีต่อความร่วมมือในเอเชียตะวันออกในระยะยาว เพราะจะช่วยให้ความร่วมมือในเอเชียตะันออกมพลวัตมากขึ้น การที่เป็นเวทีความร่วมมือที่เปิดกว้างไม่จำกัดเฉพาะประเทศในเอเชียตะวันออกทำให้ EAS สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโครงกสร้างทางเศรษฐกิจและการเมืองของโลกได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังอาจใช้เป้ฯเครื่องมือสำคัญควบคุมจีน หากในอนาคตจีนมีท่าที่เปลี่ยนไปในทางที่พยายามจะแสดงอิทะิพลมากขึ้นทั้งนี้ ในปัจจุบัน EAS มีการประชุมมาแล้ว 5 ครั้ง ในการประชุม EAS ครั้งที่ 5 นเดือนตุลาคม 2553 ที่กรุงฮานอย ได้มีการออกเอกสาร Ha Noi Declaration on Commemoration of 5th Anniversary of the EAS เพื่อแสดงเจตนารมณ์และพันธะทางการเมืองในการสงเสริมความร่วมมือและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับ EAS ต่อไป รวมทั้งขยายสมาชิก EAS โดยสหรัฐอเมริกาและรัสเซียนเข้าร่วมประชุมด้วยใรกาประชุมครั้งที่ 6 ในปี 2554 อย่างไรก็ดี กรอบอาเวียน +3 เป็นกรอบที่มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาไปได้มากกว่า EAS เนื่องจากมีความร่วมมือที่มีความก้าวหน้าไปแล้วในหลายๆ ประเด็น..(บทความ "บทบาทของญี่ปุ่นในประชาคมอาเซียนตะวันออกและนัยต่อประเทศไทย)

วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ASEAN + 3,

                กรอบความร่วมมืออาเซียน + 3 (จีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี)  เริ่มต้นเมื่ปี 2540 (1997) ในช่วงเกิดวิกฤตการเงินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกโดยผุ้นำของประเทศสมาชิกอาเซียนและผู้นำของจีน ญี่ปุ่น และสาะารณรัฐเกาหลี ได้พบหารือเป็นตรั้งแรกที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อเดือน ธันวาคม 2540 และหลังจากนั้นได้มีการจัดประชุมสุดยอดอาเซียน+ 3 เรือยมาปัจจุบันความร่วมมือาเซียน +3 ครอบคลุมเกือบ 20 สาขา และมีแากรประชุมระดับต่างๆ กว่า 60 กรอบ
             เพื่อกำหนดแนวทางความสัมพันธ์ระหว่างกัน ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน +3 ครั้งที่ 3 เมื่อปี 2542(1999) ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความร่วมมือเอเชียตะวันออก และจัดตั้งกลุ่มวิสัยทัศน์เอเชียตะวันออก รุ่นที่ 1 เพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ความร่วมมือในเอเชียตะวันออกโดยในปี 2544(2001) EAVG I ได้มีข้อเสอนให้จัดตั้งประชาคมเอเชียตะวันออก East Asian community-EAc2) และกำหนดมาตรการความร่วมมือด้านต่างๆ กว่า 57 สาขา เพื่อนำปสู่การจัดตั้ง EAcในอนาคต
             ในการประชุมสุดยอดอาเซียน+ 3 ซึ่งกำหนดให้การจัดตั้งประชาคมเอเซียตะวันออกเป็นเป้าหมายระยะยาว และให้กรอบอาเซียน +3 ครั้งที่ 9 ในปี 2548 ผุ้นำได้รับรองปฏญญากัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยการประชุมสุดยอดอาเซียน+3 ซึ่งกำหนดให้การจัดตั้งประชาคมเอเชียตะวันออกเป็นเเป้าหมายระยะยาว และให้กรอบอาเซียน +3 เป็นกลไกหลักเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว นอกจากนี้ในโอกาสครบรอบ 10 ปีของความร่วมมืออาเซียน+3 ในปี 2550 ได้มีการออกแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความร่วมมือเอเชียตะวันออก ฉบับที่ 2 และแผนงานความร่วมมือาเซียน +3 (ฉบับปี 2550-2560) ซึ่งกำหนดแนวทางดำเนินความร่วมมือตามแถลงการณ์ฯซึ่งได้มีการัีบรองแผนฉบับปรับปรุงเมื่อปี 2556
            ในการประชุมสุดยอดอาเซียน + 3 สมัยพิเศษฉลองครอบรอบ 15 ปีของความสัมพันธ์ เมื่อปี 2555 ได้มีการรับรองรายงานของกลุ่มวิสัยทัศน์เอเชียตะวัยออก รุ่นที่ 2 ที่จัดตั้งขึ้นในปี 2554 โดยกำหนดมาตรการส่งเสริมความร่วมมือกว่า 25 สาขา โดยตั้งเป้าหมายในการเป็นประชาคมเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกในปี 2563 เพื่อปูทางสู่การเป็นประชาคมเอเชียประชาคมเอชียตะวันออกในอนาคต
            กลไกความร่วมมือาเซียน +3
            กลไกการดำเนินความสัมพันธ์ในภาพรวมของอาเซียน +3 แบ่งออกเป็ฯ 3 ระดับใหญ่ ได้แก่ การประชุมสุดยอดผุ้นำอาเซียน +3 ASEAN  +3 Summit ซึ่งจัดขึ้นในช่วงเดียวกับการประชุมสุดยอดอาเซียนในช่วงปลายปีของทุกปี, การประชุมรัฐมนตรีต่างประทเศอาเซียน +3 ASEAN Post Ministerial Conference-PMC ในช่วงครึ่งหลังของทุกปี, การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน +3 การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน +3 ในช่วงกลางปีของทุกปี
         
ภาพความร่วมมืออาเซียน +3
            - ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง กลไกหลักคือการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสามาและการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสาม โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค, อาชญากรรมข้ามชาติ กลไกหลักคือ APT Ministerial Meeting on Transnation Crime (AMMTC+3) และ APT Serior Officials Meeting on Transnational Crime (SOMTC+3) ที่มีการประชุมทุก 2 ปี โดยล่าสุด การประชุมครั้งที่ 6 จัดขึ้นที่เวียงจันทน์ เมื่อเดือน ก.ย. 2566 โดยมุ่งเน้นการดำเนินกิจกรรมต่างๆ อาทิการจัดสัมมนา การฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมศักยภาพเจ้าหน้าที่ และการบังคับใข้กฎหมาย
           - ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ในปี 2556 อาเซียนกับประเทศ +3 มีมูลค่าการต้าระหว่างกัน 726,400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ(28.9%ของปริมาณการต้าของอาเซียน) โดยเพ่ิมขึ้นจากปีก่อน 1.8% นอกจากนี้ มูลค่าการลงทุนโดยตรงจากประเทศ +3 เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 35,100 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (28.7% ของการลงทุนทั้งหมดในอาเซียน) โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 13.6%
               การเงิน กลไกหลักคือการปรุชมรัญฐมนตรีคลังและผุ้ว่าธนาคารกลางอาเวียน +3..
               การท่องเทียว กลไกหลักคือ ASEAN Plus Tree Tourism Minister Meeting (M-ATM+3)โดยในปี 2013 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางมาในภูมิภาคอาเซียน +3 จำนวนทั้งสิ้นท 230 ล้านคน ซึ่งเพ่ิมขึ้นจากเดิม 4.37% โดยมีความร่วมมือที่มุ่งสงสเริมศักยภาพของบุคลากร การตลาดร่วม และส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ
               การเกษตร กลไกหลักคือ ASEAN Minister on Agriculture Meeting with Plus Three Countries(AMAF+3) โดยมีการประชุมล่าสุดครั้งที่ 14 ที่กรุงเนปิดอว์ ในปี 2557 โดยมุ่งเน้นสาขาความมั่นคงทางอาหารและพลังงานชีวภาพ การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัการป่าไม้อย่างยั่งยืน และการวิจัยและพัฒนาด้านการเกษตร โดยที่ประชุมสุดยอดอาเซียน+3 ครั้งที่ 12 เมื่อปี 2552 ที่อำเภอชะอำ หัวหิน ได้รับรอง..เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาเหารและพลังงาน รวมถึงจัดตั้งองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียน +3 ซึ่งได้มีการลงนามความตกลงจัดตั้ง APTERR และมีผลบังคับใช้ตังแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2555(2012) ทั้งนี้ สำนักเลขาุการ APTERR มีที่ตั้งอยุ่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมีนายวิโรจน์แสงบางกา เป็นผุ้อำนวยการสำนกงานเลขานุการฯ
               พลังงาน กลไกหลักคือ APT Minister on Energy Meeting (AMEM+3) โดยล่าสุดมีการประชุมครั้งที่ 121 ที่เวียงจันทน์ เมื่อปี 2557 (2014) โดยมุ่งเน้นกิจกรรมเวทีสมัมมาในสาขาต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ตลาดน้ำมัน ความมั่นคงทางพลังงาน พลังงานทดอทนและการประหยัดพลังงานโดยเน้นสร้างศักยภาพ แลกเปลี่ยนข้อมูล
               - ความร่วมมือด้านสังคมและวัฒนธรรม
                ด้านการศึกษา กลไกหลักคือ APT Education Minister Meeting (APT-EMM) โดยมีการประชุมครั้งล่าสุดเป็นครั้งที่ 2 ที่กรุงเวียงจันทน์ เมื่อเดือน ก.ย. 2557 โดยมี ASEAN Plus Three Plan of Action on Education (2010-2017) เพื่อกำหนดแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือ โดยมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนและการประกันคุณภาพหลักสุตร
                ด้านวัฒนธรรม กลไกหลักคือ APT Minister Responsible for Culture and Arts (AMCA+3) โดยการประชุมครั้งล่าสุดจัดขึ้นที่เมืองเว้ เมื่อเดอืน เมษายน 2557 โดยมี Work Plan on Enhancing APT Cooperation in Culture กำหนดแนวทางความร่วมือ โดยมุ่งเน้นการดำเนินนโยบายด้านวัมฯธรรมและศิลปะการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทรดกทางวัฒนธรรม และการพัฒนา SMEs และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
             
 ด้านสิ่งแวดล้อม กลไกหลักคือ ASEAN Plus Three Enviroment (APTHMM) โดยมีการประชุมครั้งล่าสุดที่กรุงเวียงจันทน์ เมื่อเดือน ตุลาคม 2014 โดยมุ่งเน้นด้านสิ่งแวดล้อม การพัฒนาอย่างยั้งยืน การบริหารจัดการน้ำ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
               ด้านสาธารณะสุข กลไกหลักคือ ATP Healt Ministers Meeting(APTHMM)โดยมีการประชุมครั้งล่าสุดเป็นครั้งที่ 7 เมื่อเดือน ก.ย. 2557(2014) ที่กรงุฮานอย โดยมุ่งเน้นความร่วมมือเรื่องยาแผนโบราณสุขภาพแม่และเด็ก หลักประกันสุขภาพถ้วยหน้าและการรับมือโรคติดต่อและโรคระบาดอุบัติใหม่ ซึ่งล่าสุดไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม สมัยพิเศษ เรื่องการเตรียมความพร้อมและการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา เมื่อ ปี 2557(2014)
               ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาสังคม มีกลไกหารือหลักระหวางประเทศอาเซียน+3 สองกลไกได้แก่ Network of East Asia Think Tanks (NEAT) ซึ่งกลไกหารือระหว่างภาควิชาการในประเทศอาเซียน + 3 และ East Asia Forum (EAF) ซึ่งเป็นกลไกระว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาควิชาการ
               กองทุนความร่วมมืออาเซียน +3 ASEAN Plus Three Cooperation Fund-APTCF จัดตั้งขึ้นเมื่อ เมษายน 2552(2009) เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการและกิจกรรมต่างๆ ในกรอบอาเซียน +3 โดยมีเงินทุนเริ่มต้น 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้อัตราส่วนการสมทบ 3:3:3:1(จีน : ญี่ปุ่น : กลต. : อาเซียน)..(บทความ "กรอบความร่วมมืออาเซียน +3 จีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี)
               


วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560

ASEAN-Korea Free Trad Agreement : AKFTA

             เขตการต้าเสรีอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ลงนาม 27 กุมภาพันธ์ 2552(2009) เร่ิมลดภาษี 1 มกราคม 2553(2010) ลดภาษีเป็น 0
            ในการประชุมผุ้นำอาเซียน-เกาหลี เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2003 อาเซียนและเกาหลีเป็นชอบให้จัดตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญร่วมเพื่อศึกษาการขยายความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาระหว่างอาเซียนและเกาหลี ซึ่งรวมถึงการศึกษาควมเป้ฯไปได้ในการจัดทำเขตการต้าเสรี และกลุ่มผุ้เชียวชาญได้สรุปผลการศึกษาว่า การจัดทำเขตการต้าเสรีระหว่างอาเซียนและเกาหลีจะเพิ่มมูลค่าการต้าและการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งส่งผลดีต่ออาเซียนและเกาหลีในด้านอื่นๆ ด้วยในการประชุมผุ้นำอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2004 ณ กรุงเวียนจันทน์ สาธารณรับประชาธปิปตยประชาชนลาว ผุ้นำอาเซียนและเกาหลีเห็นขอบให้เร่ิมการเจรจาจัดทำความตคกลงเขชตกาต้าเสรีอาเซียน-เกาหลี ในช่วงต้นปี 2005 และกำหนดให้สรุปผลเจรจาภายใน 2 ปี โดยการเจรจาจะครอบคลุมการเปิดเสรีการต้าสินค้า การต้าบริการ การลงทุน และความร่วมมือทางเศราฐกิจภายในภูมิภาคอาเซียน-เกาหลี
           กลไกการดำเนินการ
           -จัดตั้งคณะเจรจาการต้าเสรี เป็นเวที่หารือระหว่างอาเซียนและเกาหลี และจัดตั้ง ASEAN Trade Negotiating Group (TNG) เป็นเวทีประชุมหารือระหว่างสมาชิกอาเซียน โดยมีสิงคโปร์เป็นประธารฝ่ายอาเซียน
           - กำหนดกรอบและเงื่อนไขของการเจรจาการเปิดตลาดสินค้าทั้งในกลุ่มลดภาษีปกติ และกลุ่มสินค้าอ่อนไหว/สินค้าอ่อนไหวสูง
           - จัดตั้งคณะทำงานด้านต่างๆ เพื่อยกร่างกรอบความร่วมมือทางเศณษฐกิจ ภาคผนวกที่เกี่ยวข้อง และความตกลงต่างๆ
           - จัดตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน ASEAN-Korea FTA Implementing Committee : AKFTA-IC เพื่อติดตามและดูแลการปฏิบัติตามพันธกรณีความตกลงต่างๆ ที่จัดทำขึ้นภายใต้เขตการต้าเสรีอาเซียน- เกาหลี
         คณะเจรจาการต้าเสรีอาเซียน-เกาหลีสามารถสรุปกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลี, ความตกลงว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาท, และได้ลงนามในการประชุมสุดยอดอาเซียน-เกาหลี ครั้งที่ 9 เดือนธันวาคม 2005 สำหรับความตกลงว่าด้วยการต้าสินค้า อาเซียน 9 ประเทศ ยกเวนไทย สามารถตกลงกับเกาหลีในความตกลงนี้ได้แล้ว และมีการลวนามเมือเดือนสิงคหาคม 2006 โดยความตกลง TIG มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2007 ในส่วนของการเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการ นั้นอาเซียนและเกาหลี่สามารถบรรลุความตกลงได้แลว้ว ทัเ้งในเรื่องร่างข้อบทความตกลง ส่วนแนบท้ายว่าด้วยการบริการด้านการเงิน และตารางข้อผูกพันเฉพาะ ดโยทั้งสองฝ่าย ยกเว้นไทย ได้ลงนามความตกลงนี้ในระหว่างการประชุมผุ้นำอาเซียนเกาหลี เดือนพฤศจิกายน 2007 และมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2009 ณ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน และไทยได้เริ่มใข้บังคับกรอบความตกลงฯ ความตกลงว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาท และพิธีสารฯ เฉพาะในส่วนของความตกลงว่าด้วยการต้าบริการแล้วตั้งแต่วันที่1 มิถุนายน 2009 รวมมั้งได้บังคับใช้พิธีสารการเข้าเป้นภาีของไทยในความตกลงว่าด้วยการต้าสินค้าเมื่อวันที่ 1ตุลาคม 2009 ความตกลงว่าด้วยการลงทุนเป็นความตกลงฉบบสุดท้ายที่กำหนดให้มการเจรจาจัดทำภายใต้กรอบความตกลงฯ ทั้งสองฝ่ายใช้เวลาเจรจานานกว่า 3 ปี และสามารถบรรลุผลการเจรจาเมื่อเดือนเมษายน 2009 โดยรัฐมนตรีเศรษฐกิจของท้งสองฝ่ยได้ลงนามความตกลงนี้เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2009 ทั้งนี้ความตกลงจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 กันยายน 2009
              รัฐสภาเกาหลีให้ความเห็นชอบพิธีสารว่าด้วยการเข้าเป็นภาคีของไทยในความตกลงว่าด้วยสินค้าและพิธีสารว่าด้วยการเข้าเป็นภาคีของไทยใรคามตกลงว่าด้วยการบริการ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2009 ทั้งนี้ความตกลงจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2009..(www.dtn.go.th/..เวทีการเจรจาการค้า,FTA อาเซียน-เกาหลีใต้)
            รูปแบบการลดภาษี
            - กลุ่มสินค้าปกติ เป็นกลุ่มสินค้าที่จะต้องลดภาณีลงเหลือร้อยละ 0 ภายใรระยะเวลาที่ได้ตกลงกันไว้โดยเริ่มลดภาษจาอัตราภาษีฐานในปี 2548(2005)
            - กลุ่มสินค้าอ่อนไหว กลุ่มสินค้าอ่อนไหวสำหรบอาเซียนและเกาหลีจะมีจำนวนไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนรายการสินค้าและมูลค่าการนำเข้าจากอาเซียน/เกาหลีทั้งนี้ กลุ่มสินค้าอ่อนไหวจะแบ่งออกเป็นอีก  กลุ่มย่อย ได้แก่
              รายการสินค้าอ่อนไหว : เกาหลีและอาเซียน 6 จะต้องลดภาษีของสินค้ากลุ่มนีลงเหลือร้อยละ 0-5 ไม่ช้ากว่าวันที่ 1 มกราคม 2559(2016) โดยเวียดนามจะต้องลดภาษีลงไม่ช้ากว่าวันที่ 1 มกราคม 2564(2021) และกัมพูชาพม่า และลาวจะต้องลอภาษีลงไม่ช้ากว่าวันที่ 1 มตราคม 2567(2024)
             
 รายการสินค้าอ่อนไหวสุง : เกาหลีและอาเซียน 5 จะมีสินค้ากลุ่มนี้ได้ไม่เกินร้อยละ 3 ของจำนวนรายการสินค้าทั้งหมดและมูลค่าการนำเข้าจากอาเซียน/เกาหลี โดยไทยจะมีได้ไม่เกินร้อยละ 3 ของรายการสินค้าและไม่เกินร้อยละ 4 ของมูลค่าการนำเข้าจากเกาหลีเวียดนามจะมีได้ไม่เกินร้อยละ 3 ของรายการสินค้า และกัมพูชา พม่า และลาว จะมีสินค้าได้ไม่เกินร้อยละ 3 ของรายการสินค้า..
            - การลดภาษีต่างตอบแทนสำหรับสินค้าอ่อนไหว ในความตกลงว่าด้วยการต้าสินค้าระหว่างอาเซียน-เกาหลี ได้กำหนดข้อบทการลดภาษีต่างตอบแทนเช่นเดียวกับที่ปรากฎในความตกลงอาเซียน-จีนโดยอาเซียนและเกาหลีตกลงให้ประเทศผู้ส่งออกสามารถได้รับสิทธิการลดภาษีต่างตอบแทนสำหรับสินค้าอ่อนไหว เมื่ประเทศผุ้ส่งออกลดอัตราภาษีศุลการของสินค้าที่อยู่ในกลุ่มสินค้าอ่อนไหวลงเหลือร้อยละ 10 หรือต่ำกว่า โดยประเทศผุ้นำเข้าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสำหรัีบสินค้าดังกล่าวในอัตราตามที่กำหนดไว้ในตารางการลิภาษีของประเทศผุ้ส่งออก หรืออัตราที่กำหนดสำหรับสินค้ากลุ่มลดภาษีปกติของประเทศผุ้นำเข้าในพิกัดเดียวกัน ขึ้นอยุ่กับว่าอัตราใดสุงกว่าอย่างไรก็ตา อัตราดังกล่าวจะต้องไม่สูงกว่าอัตราที่เรียกเก็บทั่วไปของประเทศผุ้นำเข้า ยกเว้นสินค้าในกลุ่ม E ของายการสินค้าอ่อนไหวสุงจะไม่ได้รับสิทธิในกาลดภาษีต่างตอบแทน
             กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า สินค้านำเข้าที่จะห้รับสิทธิพิเศษทางภาษีอากรภายใต้ความตกลงฯจะต้องเป็นสินค้าที่ได้รับถิ่นกำเนิดสินค้าตามกฎเกณฑ์ของกฎว่าด้วยถ่ินกำเนิดสินค้าที่กำหนดไว้เท่านั้น
            สินึ้าที่ถือว่ามีถิ่นกำเนิดในประทเศามาชิก AKFTA จะต้องเป็นไปตามกฎดังนี้
             - เป็นสินค้าที่ผลิตหรือใช้วัตถุดิบทั้งหมดในประเทศผุ้ส่งออก หรือ
             - หากเป็นสินค้าไม่ได้ผลิตหรือใช้วัตถุดิบทั้งหมดในประเทศผุ้ส่งออกจะต้องเป็ฯสินค้าที่ผลติตามกฎเกณฑ์ทั่วไป โดยเป็นกฎทางเลือกระหว่าง สินค้าที่ผลิตในประทเศภาคี โดยมีสัดส่วนมุลค่าวัตถุดิบในประเทศภาคีไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40, เป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศภาคีโดยมีการเปลี่ยนแปลงพิกัดอัตราศุลกากรในระดับ 4 หลัก
             - นอกจานี้ จะมีกฎเกณฑ์การได้ถ่ินกำเนิดเฉพาะสินค้า สำหรับสินค้าบางรายการ โดยสินค้ากลุ่มนี้ไม่สามารถได้ถิ่นกำเนิดตามกฎเกณฑ์ทัวไป ได้แก่ บางรายการของกลุ่มสินค้าเกษตร สินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม และสินค้าอื่นๆ ทั้งนี้ การพิจารณราถิ่นกำเนิดสินคึ้ายังมีเกณฑ์ือ่นๆ อีก...
              หลักการเฉพาะเพื่อส่งเสริมการต้าภายใต้ความตกลง เนื่องจากากรต้าในปัจจุบันมีการซื้อขายโดยผ่านพ่อค้าคนกลาง หรือประเทศคนกลางที่มีสินค้าส่งผ่าน มากยิ่งขึ้นความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี จึงกำหนดหลักการเพื่อส่งเริมการต้าแบบผ่านคนกลางดังนี้
  - การออกหนังสือรับรองถ่ินกำเนิดสินค้าแบบ Back-to-Back CO โดยทั่วไป สินค้าจะได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร จะต้องได้ถ่ินกำเนิดจาประเทศผู้ผลิต ตามกฎว่าด้วยถ่ินกำเนิด และมีหนังสือรับรองถ่ินกำเนิดสินค้า กำกับในการส่งออก พร้อมด้วยใบกำกับราคาสินค้า และเอกสารการขนส่ง เมื่อประเทศผุ้นำเข้าได้รับสินค้า จะตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารที่มาพร้อมกับสินค้า จึงจะได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรขาเข้า ในกรณีที่ประเทศผุ้นำเข้าต้องการส่งออกสินค้าที่นำเข้าจะไม่สามารถออกหนังสือรับรองฯได้อีก เนื่องจกาสินค้านั้นไม่ได้ผลิตภายในประเทศตน
             เมื่อการค้าในปัจจุบันมีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป คือ กาต้าตรงระหว่างผุ้ผลิตและผุ้ั่งซื้อ เร่ิมีพ่อค้าคนกลางเข้ามาเกี่ยวข้องโดยเป้นผุ้ประสานระหว่างผู้สั่งซื้อและผุ้ผลิต ดังนั้น ความตกลง AKFTA จึงออกแนวปฏิบัตเพื่อรองรับรูปแบบการต้าที่เปลี่ยนแปลงไปนี้โดยยอมให้ประเทศพ่อค้าคนกลางเหรือประเทศคนกลาวที่สินค้าส่งผ่าน สามารถออก Form AK ฉบับที่ 2 เพื่อกำกับสินค้าที่ส่งออกต่อ โดยต้องคงรายละเอียดในเรื่องถ่ินกำเนิดสินค้าเดิมสินคึ้าเดิมไว้ เรียกว่าเป็นการออกหนังสือรับรองสินค้า แบบ Back to Back ในการนี้ประเทศคนกลางที่สินค้าส่งผ่านสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมุลและราคา FOB ของสินค้าได้โดยประเทศคนกลางที่สินค้าส่งผ่านต้องเป็นสมาชิกในความตกลงเท่านั้น
              - หลักปฏิบัติในการส่งออกโดยใช้ Third Country Invoicing เป็นหลักการเพื่อสนับสนุนการต้าผ่านคนหลางเช่นกัน ตามกฎของหลักากรนี้ ผุ้ส่งออกส่งสินค้าจาประเทศผุ้ผลิต ตรงไปยังประเทศผุ้นำเข้าโดยไม่ผ่านประเทศคนกลาง(ประเทศที่สาม) แต่ผ่อนปรนให้ศุลกากรในประเทศผุ้นำเข้า สามารถยอมรับเอกสารใบกำกับสินค้า ที่ออกโดยประทเศที่ 3 โดยราคา FOB ในใบกำกับสินค้าฉบับ Third Country อาจแตกต่างจากที่ระบุใน Foam AK ของสินค้านำเข้านั้นได้
              - ความแตกต่างระหว่าง Back to Back CO และ Third Country Invocing ประเด็นที่ Third Country Invoicing เหมือนกับ Back to Back คือ ประเทศผุ้นำเข้าปลายทางต่างไม่รู้ราคาต้นทุนสินค้าที่ขายจากประเทศผุ้สงออกเนื่องจากประเทศคนกลางสามารถปลี่ยนราคาสินคค้าใน ฟอร์ม ได้แต่ประเด็นที่แตกต่างกันคือ ฺBack to Back ประเทศคนกลางต้องเป็นประเทศในภาคีความตกลง แต่ Third Country Invoicing ประเทศคนกลางอาจอยุ่ในหรือนอกความตกลงก็ได้...(คุ่มือการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลง อาเซียน-เกาหลี)
               การจัดทำความตกลง FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ คาดว่าจะช่วยให้สินค้าส่งออกของอาเซียนรวมทั้งไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาที่ดีขึ้นในเกาหลีใต้ โดยเฉพาะการแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากจีนที่แย่งส่วนแบ่งตลาอของอาเซียนในเกาหลีใต้ในช่วงที่ผ่านมา(2545-2549) และคาดว่าจะส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดสินค้าของอาเวียนในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น เนื่องจากภายใต้ความตกลง FTA อาเวียน-เกาหลีใต้ เกาหลีใต้ต้องยกเลิกภาษีศุลกากรสินค้าในสัดส่วนร้อยละ 90 ของรายการสินค้าทั้งหมดที่เกาหลีใต้นำเข้าจากอาเซียนภายในปี 2553 สำหรับไทย ผุ้ประกอบการไทยควรเร่งเตรียมความพร้มเพื่อใช้ประโยชน์จากความตกลง FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ ซึ่งการเจรจาเปิดตลาดสินค้าระหว่างไทยกับเกาหลีใจ้ได้ข้อยุติแล้ว คาดว่าจะเริ่มลดภาษีภายใต้ FTA ได้ภายในปี 2551 หลังจากที่อาเวียนอื่นๆ เร่ิมใ้ประโยชน์จากการเปิดตลาดของเกาหลีใต้ภายใต้ FTA ไปก่อนแล้วในช่วงกลางปี 2550
              ด้านการลงทุนของเกาหลีใต้ในอาเซียน การลงทุนโดยตรงของเากหลีใต้ในอาเวียนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยที่สนับสนุนที่สำคัญ ได้แก่
               - สิทธิประโยชน์ด้านภาษีศุลกากรสำหรับการต้าภายในอาเวียนตมความตกลงเขตการต้าเสรีอาเซียน ที่ทำให้เกาหลีใต้เล็งเห็นถึงผลดีของแารเข้ามาลงทุนในอาเวียน และสามารถนำเข้าวัตถุดิบหรือส่วนประกอบจากอีกประเทศอาเซียนหนึ่งได้โดยเสียภาษีในอัตราที่ต่ำ ภายใต้กรอบ AFTA
               - การเปิดเสรีด้านกาต้าสินค้าและภาคบริการในกรอบความตกลง FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ ที่ส่งผลให้การนำเข้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูปและสินค้าทุนจากเกาหลีใต้เขาอาเวียนมีอัตราภาษีต่ำลงภายใต้การเปิดเสรีด้านสินค้าระหว่างอาเซียนกับเกาหลีได้นอกจากนี้ เกาหลีใต้สามารถขเ้าไปจัดตั้งฑุรกิจบริการในอาเซียนได้มากขึ้น เช่น บริการด้านการศึกษา สุขภาพ และท่องเที่ยว จากการลดกฎระเบียบ/เงือนไขของอาเซียนตามข้อตกลงเปิดเสรีภาคบริการระหว่างอาเซียนกับเหาหลีใต้..(www.kasikornresearch.com/..จับตาเกาหลีใต้ใช้ประโยชน์จาก FTA : ขยายการลงทุนในอาเซียน-ไทย,กระแสทรรศน์ฉบับที่ 2029)
             
           

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...