วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2560

LifeStyle ASEAN (Indonesia)

          ชาวอินโดนีเซียมีความเลื่อมล้ำทางเศราฐกิจสูง มีช่องว่างเรื่องรายได้  คนมีรายได้น้อยมีอยุ่จำนวนมาก     ผู้บริโภคส่วนใหญ่จึงยังอ่อนไหวกับราคาสินค้า ไม่ค่อยนอยมสินค้าราคาแพง ในกลุามผุ้บริโภคที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไปนิยมบริโภคสินค้านำเข้าจากต่างประเทศทั้งสินค้านำเข้าจากเเอเซียและจากประเทศตะวันตก มีแนวโน้มใส่ใจกับการดุแลสุขภาพเพิ่มขึ้น
          ขาวอินโดนีเซียนใช้จายเพื่อซื้ออาหารค่อนข้างสูง สัดส่วนประมาณร้อยละ 51 ของรายได้ นิยมออกมารบประทานอาหารนอกบ้านเพื่อเป็นการผ่อนคลาย และใช้เวลาร่วมกับครอบครัว เนื่องจากมีความเป็นสังคมเมืองเพ่ิมขึ้นจึงมีแนวโน้มเร่ิมหันมานิยมซ้ออาหารสำเร็จรูป อาหารพร้อมปรุง และอาหารพร้อมรับประทานมทาเก็บไว้ที่บ้านแทนการออกไปซื้ออาหารสดทุกวันเช่นเดิน อาหารจำพวกซีเรียลเป้ฯอาหารหลักในชิวิตประจำวันสำหรับทุกกลุ่มรายได้ และคนอินโดนีเซียนชอบรับประทานอาหารรสเผ็ด              
เกือบ 90 เปอร์เซ็นของประชากรอินโดนีเซีย นับถือศาสนาอิสลาม คริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ แคทอลิก ฮินดู และพุทธตามลำดับ อินโดนีเซีย เป็นรัฐอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามศาสนาอิสลามในอินโดนีเซียไม่เหมือนกับอิสลามทั่วไปที่พบอยู่ในประเทศอาหรับ หรืออินเดีย ความแตกต่างที่เห็นชัดคือสตรีมุสลิมในอินโดนีเซียไม่ต้องแต่งกายหรือคลุมร่างกายทุกส่วนเหมือนสตรีอาหรับ สำหรับเทศการทางศาสนาอิสลามที่สำคัญได้แก่ รอมฎอน คือ เดือนที่ชาวมุลิมถือศีลอดไม่รับประทานอาหารหรือน้ำ ระหว่างอาทิตย์ขึ้งถึง
อาทิตย์ตก โดยจะรับประทานอาหารได้หลังดวงอาทิตย์ตกดอินไปแล้ว, "วันตรุษอิดุลฟิตริ" หรือ "ฮารีรายา" หรือวันขึ้นปีใหม่ ตรงกับวันแรกของเดือนสิบในปฏิทินมุสลิมและเป็นวันสิ้นสุดของการถือศีลอด โดยจะมีพิธีฉลองใหญ่ 2 วัน 2 คือ, "วันตรุษอิดุลอัฐฮา คืองานเฉลิมฉลองประจำปี ซึ่งตรงกับช่วงการทำพิธีฮัจย์เสร็จสิ้น โดยชาวอินโดนีเซียที่นับถือศาสนาอิสลามจะนิยมทำพิฑีฆ่าสัตว์ใหญ่ เช่น ควาย วัว แพาะ เเกะ  เพื่อให้เนื้อสัตคว์แก่คนยากจน, "เทศกาลกาลุงงัน เป็นงานประจำปีของชาวบาหลีเทศกาล 10 วันนี้จัดขึ้นเพื้อฉลองชัยชนะของเทพเจ้าที่มีต้อวิญญาณร้าย และชเื่อว่ัญญาณบรรพบุรุษจะมาร่วมงานเฉลิมแลองนี้ด้วย ทั้งนี้ ในแต่ละปีจะจัดไม่ตรงกัน , "กาซาด้า คืองานประจำปีในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หรือมีนาคมของทุกปี โดยเป็นการบวงสรวงภูเขาไฟไบรโม ทางตะวันออกของเกาะชวา เพื่อมอบสิ่งของต่างๆ ทั้งอาหาร และครื่องใช้ต่างๆ ให้แก่ภูเขาไฟ..(http://www.aseanthai.net/กิจกรรมทางศาสนาในอินโดนีเซีย)
           
อินโดนีเซียมีวิธีการปรุงอาหารที่น่าสนใจ อาทิ อาหารของชาวบาหลี, เบตาวี หรือปาดัง ซึ่งก็ต้องไปแยกย่อยอีกตามชนชาติที่อาศัยอยุ่ในพื้นที่นั้นๆ แต่โดยหลักแล้วอาหาของประเทศอินโดนีเซียนมีส่วนผสมของเครื่องเทศค่อนข้างมาก และการใช้เครื่องเทศอย่างแพร่หลายในอาหารนี้ ก็มีที่มาจากการค้าขายเครื่องเทศอันเฟื้องฟูในอดีตกับชาวดัชต์นั่นเอง
            ส่วนผสมสำคัญอีกย่างของอาหารอินโดนีเซียนก็เห็นจะเป็นพืชและผลไม่พื้อนเมือง ซึ่งโดยมากใช้วิธีการปรุงที่เรียบง่ายเช่น การย่างหรือการผัด ซึ่งไม่มีการเพ่ิมเครื่องปรุงดัดแปลงกลิ่นหรือรสชาติมากนัก จึงทำให้อาหารแต่ละจานยงคงประโยชน์ สีสัน  และรูปแบบที่เป้ฯธรรมชาิมากที่สุด ตังอย่าง สไตล์อาหรที่มีขายกันอยางแพร่หลายในอินโดนีเซียนและนักท่องเที่ยวได้รับคำแปนะนำว่าให้ลองชิมรสชาติดูก็คือ โตราจา ฟู้ดส์ ศึ่งเป็นอาหารของชาว โตราจา ซึ่งมักจะปรุงจากหมูและผักนำไปย่างหรือต้มปรุงรสชาติด้วยผลไม้พื้นเมือง ส่วนใหญ่รับประทานคู่กับข้าวสวยและ ราวอน ซึ่งเป็นซุปข้นที่ทำจากผักและหมูเช่นเดี่ยวกัน
           อาหารอีประเภทที่น่าสนใจคือ มินิน ริสตาฟเฟล สไตล์ ที่นิยมกันมากในจาร์กาต้า ซึงจัดเนรียงกับข้าวหลากหลายไว้ให้เลือกกินคู้กับข้าวสวย ไข่ต้ม และเนื้อย่าง ดูคล้ายข้าวแกงในเมืองไทย หรือสูตรเฉพาะของร้าน แพค อัน ที่ประสบความสำเร็จบนเกาะ บังก้า ไอแลนด์ ซึ่งจะเสิร์ฟอาหารจานปลาเป็นหลัก ที่มีเมนูซิกเนเจอร์ของร้านอย่าง  lempah ซึ่งเป็นแกงเผ็ดที่ทำจากปลาท้องถ่ินเจ้าของร้านบอกว่าหากมีคอนเมนต์จากลูกค้าเกี่ยวกับรสชาติของอาหาร นันก็หมายถึงวัตถุดิบไม่ดีเท่าที่ควรซึ่งทางร้านก็จะเปลี่ยนจานใหม่ให้ลูกคาฟรีทันที่ เพื่อรักษามาตรฐานของอาหารเอาไว้ เชฟในร้านอาหารชื่อดังหลยแห่งในอินโดนีเซียได้บอกไว้ว่าอาหารของอินโดนีเซียส่วนใหญ่ ส่วนผสมก็แทบจะไม่ต่างกันมากนัก แต่เคล็ดลับของรสชาติว่าแต่อาหารแต่ละจานจะอร่อยหรือไม่นั้นอยู่ที่ความสดของวัตถุดับที่มาจากธรรมชาติซึ่งหาจากที่ไหนไม่ได้ในโลกนี้ และพวกเขาก็กังวลว่าธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปจะทำให้วัตถุดับที่ดีของพวกเขาจะหมดไปด้วย..(http://www.dooddot.com/.. วัฒนธรรมอาหารกับวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติของดินแดนภูเขาไฟประเทศอินโดนีเซีย)
         
อาหารอินโดนีเซีย  "สะเต๊ะ"ซึ่งมีจุดกำเนิดอยู่ที่อินโดนีเซีย เป็ฯอาหารอยางหนคึ่งซึ่งทำจากเนื้อที่หั่นบางๆ หรือหั่นเป็นอ้น อาจจะเป็นเหนื้อหมุ เนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อแพะ เนื้อปลา ฯลฯ เสียบลดวยไม้เสียบที่ทำจากไม้ไผ่ แล้วนำไปย่างบนเตาฟืนหรือเตาถ่าน เสิร์ฟพร้อมเครื่องปรุงรส ที่มีรสจัด (ซึงแตกต่างกันออกไปในแต่ละตำรับ สะเต๊ะมีจุดกำเนิดมาจากเกาะชวาหรือเกาะสุมาตรานประเทศอินโดนีเวยน แต่ก็ยังได้รับวามนิยมในประเทศอื่นๆ ด้วย เช่น มาเลเซียน สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ รวมทั้งประเทศไทย หรือแม้แต่เนเธอร์แลนด์ซึ่งรับเอาวัฒนธรรมไปกับอาณานิคมของตน สะเต๊ะของอินโดนีเซีนอาจได้รับอทะิพลจากคาบับที่เป็นอาหารพื้นเมืองของอินเดียภาคเหนือ ซึ่งด้รับอิทธิพลจากชาวเตอร์กอีกต่อหนึ่ง ตำรับดั้งเดิมของชาวตุรกีเป็นเนื้อแพะหั่นเป็นชินหมักแล้วเสียบเหล็กแหลมย่างไฟ ชาวเปอร์เซียนและชาวอินเดียรับมาดัดแปลง อาจใช้เนื้อบทหรือเนื้องทั้งชิ้น จะเสียบหรือไม่เสียบไม้ก็ได้ เมื่อแพร่หลายมาถึงมลายู ชวา จึงหลายเป็น
สะเต๊ะอย่างในปัจจุบันนี้ "บักโซ" เป็นเนื้อปั้นก้อนแบบอินโดนีเซียมีลักษณะคล้ายลูกชิ้นแบบจีน ปกติทำจากเน้อวัว แต่ก็สามารถทำจากเนื้อชนิดอื่นๆ ได้ เช่น ไก่ ปลากุ้ง อาจเิร์ฟในชาวน้ำซุปกับหมี่เหลือง หมี่หุน ผักดอง เต้าหู้ ไข่ กะหล่ำปลี ถั่วงอก ขนมจีบ เกี๊ยวกรอบ หอมเจียวและเซเลอรี พบได้ทั่วไปที่อินโดนีเซียน บักโซหั่นเป็นชิ้นใช้เป็นส่วนผสมของหม่โกเร็ง นาซีโกเร็ง "นาซีโกเร็ง" เป็นข้าวผัดที่ผัดกับน้ำมันหรือเนยเที่ยม ปรุงรสด้วยซีอิ็วหวาน หอมแดง หระเที่ยม มะขามและ
พริกอาจมีส่วนปสมอืนได้วย เช่น ไข่ ไก่ กุ้ง "กาโดกาโด" หรือโลเต็ก เป็นอาหารยอดนิยมของประเทศอินโดนีเซีย ประกอบด้วยผัก ทั้งผักสด ผักต้มและผักลวก และธัญพืชหลายชนิด ราดด้วยซอสที่ทำจากถั่ว ทั้งแคร์รอต มันฝรั่ง กะหล่ำปลี ถั่วเขียว ถั่วฝักยาว ขนุนอ่อน ผักกาดหอม นอกจากนี้ยังมีเต้าหู้ และไข่ต้าสุก และกินกับข้าวเกรียบทอดหลายชนิด เช่น กรูปุก์ ซึ่งเป็นข้าวเกรียบกุ้งหรือปลา เอิมปิง เป็นขช้าวเกรียบใส่เมล็ของผักเหมียง หรือจะกินกับเต็มเปทอด หรือข้าต้มแบบลตงก็ได้ รับประทานกับซอสถั่วที่คล้ายกับซอสะเต๊ะ ซึ่งประกอบด้วย กะปิ ถัวลิสงบด กะทิ น้ำตาลโตนด พริกแดง กระเที่ยวม กะทิ มะขามเปียก คำว่ากาโดนี้ ภาษาอินโดนีเซียหมายถึงยำ กาโด-กาโด มีความหลากหลายในแต่ละท้องที่ ในซุราบายาเรียว่า "กาโด-กาโดซีรัมไ ซึ่งจะราดน้ำซอสลงไปบนเครื่องปรุงอื่น ในบันดุงและโบกอร์ จะเคล้าน้ำซอสให้เข้ากับเครืองปรุงก่อนเสิร์ฟ ในจาการ์ตาเรียกว่า "กาโ-กาโด
โบโปล" ใช้เมล็ดมะม่วงหิมพานต์แทนถั่วลิสง "โซโต" เป็นซุปแบบพื้นเมืองในอาหารอินโดนีเซีย ใส่เนื้อและผัก ในบางครั้งจัดเป็นอาหารประจำชาติ มีรับประทานตั้งแต่สุมาตราไปจนถึงปาปัว ดยมีความแตกต่างกันมากมีตั้งแต่ขายข้างถนนไปจนถึงในภัตตาคาร ผุ้อพยพาวชวาได้้นำอาหารชนิดนี้ไปยังสุรินมเมและเรียกว่าเซาโต..(http://www.aeckids.com/ อาหารอินโดนีเซีย)
              กีฬาประจำชาติสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ได้แก่ เคมโป คาราเต้ เป็นกีฬาที่มีรากฐานมาจากประเทศญีปุ่่น ดดยมีสำนักงานใหญ่ของสหพันธ์อยุ่ที่โอซากา ประเทศญี่ปุ่น ได้รับความนิยมในมาเล
เซย, เวียดนาม, ติมอร์และบรูไน โดยในอินโดนีเซียมีคนเล่นกีฬาชนิดนี้กว่า สีแสนคน ซึ่งจะแตกต่่างจากคาราเต้ ดดยจะเป้นการผสมผสานกันระหว่างเทควันโด-ยูโด-คาราเต้ ซึ่งการแต่งตัวก็มีลัษณะคล้ายกันด้วย ส่วนการออกอาวุธจะใช้ทั้งการเตะ ต่อย ทุ่ม บิด ล็อก ตัดสินแพ้ชนะด้วยคะแนน แบ่งการแช่งชขันเป็นรุ่นน้ำหนัก.."ตารุง เดราจัด เป็นศิลปะการต่อสู้และป้องกันตัวของชาวชวาตะวันตก เเป็นกีฒาที่ใช้ทอสอบความแข็งแกร่งของร่างกายและจิตใจ เป็นศิลปะการต่อสู้และป้องกันตัวที่คนอินโดนีเซียทุกเพศทุกวัยรู้จักกันอย่างแพร่หลาย โดยมีนายอัชหมัด เดดจัต หรือคนที่นี่เรียกว่า "ซาง กูรู" เป็นผุ้คิดค้นศิลปะการต่อสู้ชนิดนี้ขึ้นมาเมื่อประมาณ 40 ปีก่อน
              การแต่งกายของชาวอินโดนีเซีย ผุ้หญิงจะสวมเสื้อ "คะบาบ่า" เสื้อแขนยาว คอแหลม ผ่าหน้าอกเข้ารูปยาวปิดสะโพก ปักฉลุลายลูกไม้เข้ากับผ้าโสร่งที่เป็ฯผ้าพื้นเมืองที่เรยกว่า "ปาเต๊ะ" หรือ "บาติก" โดยมีผ้าคล้องคอยาว และสใมรองเท้าแตะหรือส้นสูงแบบสากล ผู้ชาย จะสวนเสื้อคอปิด สวมหมวกคล้าหมวกหนีบ นุ่งกางเกงขายาว หรือโสร่างสีและลงคลายเข้ากับหมวกสวมรองเท้าแตะหรือรองเท้าหุ้มส้น หากเข้าพิธีสำคัญ จะเหน็บกริชด้วย ซึ่งวิธีการแต่งกายจะแตกต่างกันไปตามแต่ละเกาะ..(http://www.asean-info.com/ อินโดนีเซีน-ศิลปะ/วัฒนธรรม/ประเพณี)
              อินโดนีเซียมัีกจะถูกมองข้ามดดยการบดบังของประเทศเพื่อบ้านจำนวนชาวตางชาติมีน้อยแม้แต่ในห้างสรรพสิค้าสุดหรุหรือย่านคนต่างชาติคือสิ่งที่คุณสามาถสังเกตเห็นได้ทันที ดดยเฉพาะหากคุณเดินทางมาแล้วหลายที่ทั่วโลก มันไม่ใช่เรื่องร่าประหลาดใจเพราะจาการ์ต้าไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวมากเท่ากับประเทศเพื่อบ้าน แลที่นี่ยังมีชื่อเสียงในเรื่องของมลภาวะและกาจราจร
               แต่หากคุรเป็นหนุ่มโสดที่มองการการปาร์ต้และอาจจะมองหาเพื่อร่วมเส้นทางปาร์ต้ การที่มไ่มีชาวต่างชาติที่นี่จะเป็นผลดีกับคุน ชาวจาการ์ตาโดยเฉพาะสาวๆ นั้นจะต้อนรบคุณอย่างดีแบบทีไม่เคยสัมผัสมาก่อน เหตุผลง่ายๆ เพราะชาวต่างชาติถือเป็นของแปลกสำหรับพวกเธอ สำหรับหนุ่มโสดนั่นหมายคึวามว่าหากคุณเดินเกมส์อย่างถูกต้ง โอกาสที่คุณจะ ท่องราตีอย่างเดียวดายแทบจุไม่มีเลย (และโดยไม่ต้องควักเงินในกระเป๋าเช่นกัน)
           
  ด้วยจำนวนประชากร 20 ล้านคนทำให้จาการ์ตาเป็นเมืองใหญ่ แต่จริงๆ แล้วไมได้ยากที่จะหาสถานที่ปาตรีที่ดีที่สุดในเมืองนี้ สถารที่ส่วนใหญ่ที่คุณต้องไปเยือนในฐานะหนุมโสดตั้งวอยงุ่ในทางตอนใต้ของเมือง โดยเฉพาะในย่าน โกลเด้น ไทแองเจิล ออฟ เจแปน สุไลมาน, จาลาน กาทอท และจาแลน ราสุนะ หากคุณพักในดรงแรมย่าน พลาซ่า อินโดนีเซียน คุณจะสามารถพบบาร์และคลับที่ดี่ที่สุดได้ในาัศมี 30 นาที
             ช่วงหัวค่ำหลายๆ คนอาจจะชอบเร่ิมการท่องราตรีในช่วงดึกมากว่าหัวค่ำเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรี่ติดขัด แต่ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุฯตะไม่สามารถเริ่มต้นตอนหัวค่ำได้ หากคุณกำลังมองหาการดือมเพื่อเริ่มต้นเพียงแก้วสองแก้วก่อนจะปาร์ตี้จริง สถานที่ที่ดีที่สุดคือ Loewy, Bluegrass, Cork and Screw และ Social House อีกทั้งมันยังเป็นที่ที่ยอดเยี่ยมในการพบปะสาวๆ ที่คุณอาจจะได้ออกท่องราตรีด้วยทั้งคืน
            บาร์บนดานฟ้า เป็นของขึ้นชื่อของอินโดนีเซียนเช่นกัน และสองที่ที่ทขึ้นชื่อที่สุดได้แก่ จาการ์ตา แอนด์ สกาย และ โคลด เลาจ์ ทั้งสองที่นี้มีดนตรีที่ไพเราะและวิวที่มหัศจรรย์และยังเป็ฯสถานที่สุดเพอร์เฟ็คในการพบปะสาวๆ อีก้วย อีกทั้งยังตั้งอยุ่ใกล้กับ พลาซ่า อินโดนีเซีย
             ไนท์คลับ หากดนตรีและการเต้นรำคือส่ิงที่คุฯชื่นชอบ คุณไม่ควรพลาด อิมมิแกรน, กราก้อนฟลายด์หรือ X2ทั้งสามที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับชาวต่างชาติการปาร์ตี้ในจาการ์ต้ามีบรรยากาศที่จิดจรัสเสมอ ผุ้คนที่นีเป็นมิตรและคุณจะไม่รุ้สึกเครียดเมื่อพูดคุยกับพวกเขา (http://www.10010688.com/ ปาร์ตี้ไม่เคยเดียวดายที่อินโดนีเซีย)

วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

LifeStyle ASEAN (Cambodia)

             กัมพูชามีการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นด้วยเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้าไปลงทุนสูงขึ้นทุกปี อย่างไรก็ตามประชาชนส่วนใหญ่ยังมกำลังซื้อไม่สูงนัก การตัดสินใจซื้อเน้นพิจารณาจากประโยชน์ของสินจ้าและราคาเป็นสำคัญ สินค้าอุปโภคบริโภคยังมีให้เลือกไม่หลากหลายนัก ส่งนใหญ่เป็นสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน มักเป็นสินค้าจากไทย จีนและเวียดนามแนวโน้มความนิยมสินค้าฟุ่มเฟื่อยและสิ่งอำนวยความสะดวกเร่ิมได้รับความนิยมในกลุ่มผุ้มีรายได้สูง นักการเมืองและนักธุรกิจ (http://www.rd.go.th/
"ไลฟ์สไตล์ รสนิยม และวัฒนธรรมของคนประเทศต่ารงๆ ในอาเซียน")
         
ประเทศกัมพุชามีศาสนาพุทธนิกายเถรวาท เป็นศาสนาประจำชาติ มีศาสนิกชนกว่าร้อยละ 95 ถือเป็นศาสนาที่แข็งแกร่งและเป็นที่แพร่หลายในทุกจังหวัด มีอารามในพทูศาสนา 4,392 แห่งทั่วประเทศ ชาวเขมรมีความผูกพันกับพุทธศาสนามากทั้งประเพณีและวัมนธรรม แม้ศาสนาพทุธรวมถึงศาสนาอื่นๆ จุถูกยกเลิกในช่วงปี ค.ศ. 1970 แต่ก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่อีกครั้ง นอกจากนี้ในกลุ่มชนเชื้อสายจีน ยงมีการนับถือควบคู่กันระหว่างมหายานกับลัทะิเต๋า
             ศาสนาอิสลาม เปนที่ยอมรับนับถือในชุมชนที่มี่เชื้อสายจามและมาเลย์ มีคำสนอกชนราว 300,000 คน ในจังหวัดกำปงจามมีดรงเรียนสอนศาสนาอิสลามจำนวนหลายแห่ง ส่วนศาสนาคริสต์ส่วนใหญ่นับถือนิกายโรมันคาทอลิก ตามด้วยนิกายโรปเตสแตนต์ มีชาวคาทอลิกราว 20,000 คนเหรือร้อยละ 0.15 นอกจากนี้ยังมีนิกายอื่นๆ เช่น แบปติสต์ พยานพระยะโฮวา และศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย...(sites.google.com/...ศาสนา)
            อาหารกัมพูชาคล้ายกับอาหารไทย ปละได้รับอิทธิพลจากอาหารต่างชาติค่อนข้ามาก เช่น นเมืองใหญ่จะมีอาหารเวียดนามบริการ เช่น เฝอ ปอเปี๊ยะ ปากหม้อ ข้าวเกรียบอ่อน ขนมจีนหมูย่าง อาหารประเภทผัดผัก หรืออาหารเส้นได้รับวัฒนะรรมจากประเทศจีน ก๊วยเตี๋ยวน้ำ (บะหมี่ไข้เส้นสีเหลือง) บะหมีผัดแห้ง, ก๋วยเตี๋ยวผัด (เส้นทำจากแป้งข้าว), แกงกะหรีได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ซึ่งีบทบาทต่อกัมพุชามากในประวัติศาสตร์ ยังพบเห้นอาหารที่รับวัฒนธรรมจากทางตะวันตก เช่น ลกละ ซึ่งเป็น สเต็กเนื้อหั่นเป็นลูกเต๋า ขนมปังปะเตขนมปังฝรั่งเศส ใส่ไส้แฮม ต้นหอม เนื้อบด นิยมรับประทาน เป็ฯอาหารเช้า กาอหารกัมพูชารสชาติไม่จัดจ้าน การปรุงรสเผ็ดใช้พริกไทยเป็นหลัก ในน้ำพริก นั้นจะใช้พริกไทยทำให้เกิดรสเผ็ด ใช้น้ำปลา กะปิ และปลาร้า ชาวกัมพุชารับประทานข้าวเจ้าเป็นหลัก ข้าวเหนียวนิยมทำขนมและของหวาน ขชองหวานจากข้าวเหนียวที่เป็นที่นิยมคือ ข้าวต้มมัด/ข้าวต้มผัด ใส่กล้วย และ ชรุค ข้าวต้มมัด/ผัด ใส่หมูและถั่วเขียว(คล้ายไส้ขนมเทียน) ซึ่งใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่
  กรรมวิธีการปรุงอาหารปรุงเน้นเรียบง่ายไม่ยุ่งยากแต่ได้รสชาติอาหารสดๆ จากธรรมชาติ เช่นการต้ม การป้ิง ย่าง พืชผักมีทั้งจากสวนจากไร่ ผลูกไว้ข้างบ้านและผักป่า ผักที่นิยมใช้คือ ขมิ้น ข่า ชิง กระเที่ยม มะกรูด นิยมใช้ใบมะกรูดในอาหารหลายๆ อย่าง มะขาม มะนาวใช้ปรุงรสเปรี้ยว จำพวกต้มยำต้มโคล้
 ผักติ้ว แตงกว่า โหระพา สะระแหน่ ทองหลาง ผักกาดเขยว ผักปัง ผักขแยงนา ใบบัวบก สายบัว รากบัว ชะพลู มะยม แค ผักแพว ผักไผ่
ยอด-ดอก-ผลอ่อนของฟักทอง มะเขื้อ ยาวสด ยักชีญน ผักคาวตอง มะม่วง มะกอก (มะก๊ะ) นิยมนำมายำเป็ฯอาหารว่าง เช่น ยำมะม่วงใส่กะปิ ยำมะกอกกับ
ปลากรอบในอาหารกัมพุชาใช้น้ำตาลโตนดมากกวา่น้ำตาลทราย เนื่องจากปลูกต้นตาลมากกวาการปลูกอ้อยใช้กะทิในแกงกระหรี่และของหวานเนื่องจากภูมิประเทศยังเป็นป่าอยู่มาก การกินอาหารป่าจึงเป็นเรืรองปกติ แต่แหล่งอาหารสำคัญคือ โตนเลสาบ (ทะเลสาบเขมร) ซึ่งมีปลาอุดมสมบูรณ์และรสชาติดีมากอหารโปรตีนหลักจึงเป็นปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ สัตว์น้ำที่เหลือจากบริโภคนิยมทำปลาร้า ปลาจ่อม และกะปิ อาหารส่งออกหรือเป้ฯของฝากจากกัมพูชา มีกเป็นปลากรอบ ปลาตากแห้ง ปลรารมควัน นิยมกินปลากรอบโดยนำมายำกับมะกอก ย่าง หรือนำมาแกง ปลาแห้งก็แกงใส่ผัก เช่น ฟักเขียว หรือตำน้ำพริกเนื้อปลานำมาทำทอดมัน ทำอามุก คือ ห่อหมา ใช้ปลาน้ำจืดหั่นเป็นชิ้นมาทำห่อหมก..(mekongcuisine.wordpress.com/..กินแบบกัมพุชา)
              กัมพูชามีความเกี่ยวข้องกับกีฬามากกว่า 30 ปี มีกีฬาที่เป็ฯที่นิยมคือฟุตบอลและศิลปะป้องกันตัว ได้แก่ ปกกอโต หรือกระบี่กระบอง ประดัลเสรี และมวยปล้ำกัมพุชาที่นิยมไปทั่วประเทศ
              ปกกอโต หรือ บกกอโต หรือชื่อที่เป็นทางการ ลปกกอโต(หมายถึงการสู้สิงโตด้วยไม้) เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบโบราณของกัมพุชา เป้ฯการต่อสู้บนพื้น คล้ายกับประบี่กระบองของไทย มีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ ต่างจากประดัลเสรีที่เป็นศิปละการต่อสู้แต่ปกกอโตเป็นกีฬาของทหาร มีการใช้อาวุธต่างๆ และส่วนต่างๆ ของร่างกาย ในการต่อสู้ผุ้เล่นจะแต่งตัวแบบทหารเขมรในสมัยโบราณ ใช้ผ้าขาวม้า ผกร็อมา) พันมือและมีมงคลสีแดงหรือสีน้ำเงินสวมหัวสีของผ้าขาวม้าจะแสดงความชำนาญในการต่อสู้ ต่ำสุดคือสีขาว สูงสุดคือสีดำ การต่อสู้มี 341 ท่า ซึ่งตั้งชื่อเลี่ยนแบบชื้อสัตว์ต่างๆ
             
ประดัลเสรี เป็นการชกมวยแบบพื้นบ้านในกัมพูชา ลักษระคล้ายมวยไทยและมีการจัดการแข่งขันทั่วไปในกัมพูชา โดยแข่งครั้งละ 5 ยก ยกละ 3 นาที พักยกละ 1-2 นาท ก่อนชกจะมีการไหวครู มีการบรรเลงดนตรีระหว่างการแข่งขันซึ่งประกอบด้วยกลอง ปี่ และฉิ่ง กติกาการแแข่งขันที่สำคัญได้แก่ ไม่อนุญาตให้ซ้ำเติมคนล้ม ห้ามกัด หากอีกคนสู้ไม่ได้ กรรมการจะยุติการแข่งขัน ผุ้ชนะอาจชนะโดยชนะน็อค เมื่อทำให้คู่ต่อสู้ล้มแล้วไม่สามารถสู้ต่อได้ภายใน 10 วินาที ดดยกรรมการเป็นผุ้นับ ถ้าสู้กับครบยกจะตัดสินด้วยคะแนน ถ้าคะแนนเท่ากันถือว่าเสมอ
               รูปแบบการชกมวยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความคล้ายคลึงกัน คาดว่าในอดีตเป็นศิปละการตอสู้ที่พัฒนาขึ้นโดยได้รับอิทธิพลจากอนเดีย ชาวเขมรเชื่อวาประดับเสรีเกิดขึ้นก่อนการต่อสุ้แบบอื่นไในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีหลักฐานจากรูปสลักหินในปราสาทนครวัดแต่ยังไม่มีหลักฐานอื่นเพิ่มเติม
               ในช่วงที่กัมพูชาเป็นอาณานิคมฝรั่งเศสประดัลเสรีกลายเป็นกีฬาโดยเพ่ิมการสวมนวมและการแข่งขันเป็นยก ระหว่างสงครามกลางเมืองกัมพุชา เมืองเขมรแดงโค่นล้มรัฐบาลนอยมตะวัตกของ ลน นลเมื่อ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 เขมรแดงมีแผนจะกำจัดอิทธิพลของตะวันตกออกไปและสร้างสังคมในอุดมคติ บุคคลที่มีความรู้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลเก่าและผู้เคยเป็นครู แพทย์ ทหาร นักแสดง นักร้องจะถูกประหารชีวิต ชาวกัมพูชาถูกบงคับให้อยู่ภายในค่ายใช้แรงงาน ในช่วงนี้ประดัลเสรีดูกห้ามแข่ง นักมวยส่วนมากถูกประหารเช่นกัน ทำให้ศิลปะการต่อสู้ชนิดนี้ลดลงอย่างมาก ในเือนมกราคม พงศ. 25522 กองกำลังเขมรฝ่ายตรงข้ามกับเขมรแดงร่วมกับกองทัพเวียดนามโค่นล้มรัฐบาลเขมรแดขงลบ หลังจากนั้น ประดัลเสรีจึงได้รับการฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง
               หลังจากที่มีการฟื้นฟู ประดัลเสีได้เป็นที่นิยมไปทั่วประเทศ มีการเปิดค่ายฝึกเป็นจำนวนมาก และมีผุ้มาฝึกเป็นจำนวนมากเช่นกัน ทั้งชาวกัมพูชาและชาวต่างชาติ มีการจัดการเข่งขันทุกสัปดาห์ และมีถ่ายทอดทางโทรทัศน์ ปัจุบัน กัมพุชาพยายามสนับสนุนประดัลเสรีเพื่อแข่งกัีบมวยไทยในเชิงการตลาด กัมพูชาเคยพยายามที่จะรวมกีฬามวยสุวรรณภูมิเข้าด้วยกันในการประชุมอาเซียน พ.ศ. 2538 ในช่วงที่มีการแข่งขันมวยไทยสมัครเล่นชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ กัมพูชาต้องการรให้เปลี่ยนแชื่อมวยไทยเป็นมวยสุวรรณภูมิ ซึ่งจะรวมมวยไทย มวยลาว ประดับเสรีของกัมพูชา และมวยในพม่า แต่ไทยไม่เห็นด้วยเพราะเห็นว่าแต่ละชาติมีการชกมวยในรูปแบบของตนเอง อีกทั้งมวยไทยเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติแล้ว ต่อมา กัมพูชาจึงไม่ร่วมแข่งขันมวยไทยในกีฬาซีเกมส์ พ.ศ. 2548
           
  มวยปล้ำกัมพูชา จะแข่งขันกันสามยก ผุ้ชนะในแต่ละยกคือผุ้ที่ดันคุ่ต่อสู้ให้ถอยหลังได้ ผุ้ชนะคือผุ้ชนะสองในสามยก ในระหว่างการแข่งขันจะมีการตีกลองให้จังหวะ แนิยมแข่งกีฬาชนิดนี้ในวันขึ้นปีใหม่เขมรและงานตามประเพณีอื่นๆ... (th.wikipedia.org/wiki/กีฬาในประเทศกัมพูชา)
               การแต่งกายของชาวกัมพูชา เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับไทยมาก่อน จึวมีลักษณะศิลปะเหมือนกับไทย เช่น ที่จังหวัด สุโขทัยมีศิลปะสมัยขอมอยู่มาก เช่น การทำตะกร้าหวาย เครื่องจักสาน เครื่องไม้ เครื่องเงิน ทองแดง ทอผ้าพื้นเมือง เรียกผ้าซัมปอด และผ้าปูม คนไทยสมัยนี้ก็ยังนิยมอยู่
               การแต่างการยของชาวกัมพุชาจะนุ่งผ้าซัมปอต เป็นผ้าทอมือ ถือว่าเป็นการ แต่างกายประจำชาติ สำหรับข้าราชการผุ้ใหญ่จะนุ่งผ้าโอลกับเสื้อมีกระดุมสีทอง ในงานพิธีจะนุ่ง ผ้าโตตจงกระเบนเวลาไปวัดจะนุ่งผ้าม่วง
               ผ้าซัมปอต มีท้งที่เป็นผ้าฝ้ายและผ้าไหม มีหลายแบบ ถ้าเป็นผ้าที่ใช้ในโอกาสพิเศษจะใช้เส้นใยพื้นเมืองทอ ถ้าใมช้ในชีวิตประจำวันจะใช้วัดุราคาไม่สูง ซึ่งจะส่งมาจากประเทสญี่ป่นุ นิยมทำลวดลายตามขวาง ถ้าเป็นชนิดหรูหราจะทอด้ายเงินและด้ายทอง
               ผ้าโอล เป็นผ้าที่วยงามประณีต และเก่าแก่ที่สุด จะเป้ฯผ้าทัดหมี่ชนิดหนึ่งเป็น ปบบที่มัดเส้นพุ่ง ผ้าโฮลที่มีชื่อเสียงด้านคุณภาพแลเนื้อผ้าจะทอจาก กัมปะจาน และเทีอค ชอร์ ผ้าโอลจะมีลวดลาย
สำหรับผุ้หญิงและชาย เช่น ลายโกฎจะเป้ฯลายของผุ้ชาย ส่วนลายต้นไม้ ดอกไม้ เป็นของผู้หญิง แต่ในระยะหลังผ้า โอล์ จะใช้เฉพาะสตรีเท่านั้น การแต่งกาย หญิง นิยมนุ่งผ้าถุงสีดำ เน้ือมทัน คาดเขํ็มขัด ใส่เสื้อสี งานพิธีนุ่งผ้ายก พวกในวังักนุ่งผ้า โจงกระเบน ไว้ผมตัด ทานหมากจนฟันดำ ผู้ชาย นุ่งผ้าโจงกระเบน ใส่เสื้อคอปิด ขัดกระดุมห้าเม็ด..(http://www.nuks.nu.ac.th..การแต่งการของชายเขมร)
                ชีวิตยามค่ำคืนที่พนมเปญ เมืองหลวงกัมพูชามีเสน่ไม่น้อยกว่าถนนข้าวสารของไทย ถ้าพูดถึงร้านอาหารแนวๆ ผับบาร์ ไนท์คลับ ในเมืองพนมเปญ ถือว่ามีอยู่มากกระจายอยู่ทั่วเมือง หลากหลายสำตลบ์ ทั้งญี่ปุ่น, เกาหลี และอาหารตะวันตก แต่ถ้าอย่างจะท่องเที่ยวแนวๆ ถนนข้าสาร หรือ สตรีท ผับ ในเมืองเสียมเรียบ ต้องมาที่  Pasteur Street ซึงกลางวันจะมีสถานที่ให้ช๊อปป้งของฝากและร้านขายของเป็นล๊อคเล็กๆ เรียกว่า โกล์เด้น โซรยะ มอลล์ รวมถึงร้านอาหารที่เปิดให้บริการนักท่องเที่ยว ส่วนในตอนกลางคือ ที่นี้เต็มไปด้วยผับบาร์และนักท่องเที่ยวต่างชาติื ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวตะวันตก ที่นี่ผับจะเป็น 3 ทุึ่น และปิด ตี5 ผับที่ได้รับความนิยม อาทิ Pontoon Vibe Pub จะเป็นแนวผับดีเจเปิดแผ่นเสียง, Howie's Bar ร้านนี้เป็นเพลิงแนวดิสโก้-เพลงแดนส์ มีสนุ๊กเกิให้เล่น, Heart of Darkness ผับเกย์ยอดนิยมที่สุดในเมืองพนมเปญ มีทั้งคนท้องถ่ินและชาวต่างชาติ..( http://www.nightphoomin.com./..พนมเปญ เที่ยวกลางคือนที่ไหนดี)

วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2560

LifeStyle ASEAN (Brunei)

           
บูรไน บ้านเมืองสงบเรียบร้อย เป็นระเบียบ ไม่มีการขายเครื่องดื่อมแอลกอฮอล์ทุกชนิด ประชากรมีรายได้สูงเป็นอันดับสองรองจากสิงคโปร์ เน่องจากเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเป็นสินค้าหลักมีประชากรเพียง 4 แสนคน ร้อยละ 80 เป็นข้าราชการ ชาวบรุไนมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง ในหความสำคัญกับคุณภาพสินค้ามาก นิยมสินค้าแบรนด์เนมหรูหราราคาแพงและสินค้าฟุ่มเฟือยนำเข้าจากต่างประเทศ มีรสนยมทันสมัยและสนใจติดตามวัฒนธรรมตะวันตก  นิยมอาหารที่ผลิตตามหลักการของศาสนาอิสลาม ใส่ใจเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารมาก วัฒนธรรมการบริโภคอาหารคล้ายชาวมาเลเซีย..(http://www.rd.go.th.."ไลท์สไตล์ รสนิยม และวัฒนธรรมของคนประเทศต่างๆ ในอาเซียน")
            บรูไนเป็นประเทศที่นิยมการรับประทานอาหารทอดและใช้เคื่องเทศกับกะทิเป็นหลัก อาหารที่ขึ้นชื่ออาทิ "นาซิ เลอมัก" คือข้าวหุงกับกะทิและใบเตย หรือในประทเศไทยเรียก "ข้าวมัน" นั่นเอง รับประทานกับไก่ทอด หรือแกงกะรี่ไก้ และเครื่องเคียง 4 อย่าง ได้แก่ ปลากะตักทอดกรอบ แตงกวาหั่น ไข่ต้มสุก และถั่วอบ นาซิ เลอมัก แบบดั้งเดิมจะห่อด้วยใบตองและมักทานเป็นอาหารเช้า แต่ในปัจจะบันิกลายเป็นอาหารยอดนิยมที่ทานได้ทุกมื้อ
               " อุดัง ซามบาล ซีไร เบอซานตาน" เป็นลักษระคล้ายแกงกะหรีกุ้งราดข้าา ควรรับประทานร่วมกับไข่ต้มแตงกว่า และถั่วลิสง.."เรินดังเนื้อ" เป็นแกงเนื้อที่คล้ายพะแนงเนื้อของไทย เครื่องแกงของเรินดังมีสวนผสมของพริกแห้ง หอม กระเทียม ขิง ข่รา ตะไคร้ ลูกผักชี ยี่หร่า ลูกจันทร์ป่น พริกไทยมะหร้าวคั่วและแคนเดิลนัท เป็นอาหารที่สามารถทานได้ทุกมื้อ มักจะเเสิร์ฟพร้อมกับข้าวสวยและรับประทานกัเครื่องเคียงต่างๆ ได้แก่ ใบมันสำปะหลังลวกผักบุ้งลวก เป็นต้น.. "อัมบูยัต" ตัวแป้งจะเหนียวข้นคล้ายข้าวต้มหรือโจ๊ก โดยมีแป้งสาคูเป็นส่วนผสมหลัก และตังวแป้งอัมบูบตไม่มีรชาต ควรรับประ
ทานขณะร้อๆ โดยใช้แท่งไม่ไผ่ 2 ขา ม้วนแป้งรอบๆ แล้วจุ่มในซอสลไม้เปรี้ยว หรือซอสที่ทำจากกะปิ รับประทานคู่กับเครื่องเคียงดีก 2-3 ชนิด เช่น เนื้อห่อใบตองย่าง หรือเนื้อทอด เป็นต้น.."เกอตูปัต" ซึ่งจะเป็นข้าวห่อด้วยใบมะพร้าวสานเป็นรูปตะกร้อ ทรงสี่เหลี่ยม หรือข้าวเหนียวห่อด้วยใบกะพ้อสานเป็นรูปสามเหลี่ยมแล้วนำไปต้ม ดดยชาวบรูไนจะรับประทนอาาหารชนิดี้กับสะเต๊ะ หรืออาหารจำพวกกแกงกะหรี่
                 การรับประทานอาหร ควรฝึกรับประทานด้วยมือเมื่อต้องรับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวชาวบรูไน ควรเรียนรุ้การรับประทานอาหารควาร่วมกับชาวบรูไนที่มักมีข้าวเป็นอาหารหลัก และมีน้ำจิ้มปลาเค็ม และผักเป็นเครื่องเคียง ควรเลือกซื้อกาหารที่มีการปรุงตามวิธีฮาลาล เมื่อเชิญชาวบรูไนร่วมรับประทานอาหาร ชาวบรูไนนิยมอาหารฮาลาลที่ผลิตตามหลักการของศาสนาอิสฃลาม การปรุงอาหารของชาวบรุไนที่ใช้ "ส้มจี๊ด" เพื่อเพิ่มความเปรี้ยวในอหารชาวบรูไนไม่นิยมใช้มะนาวในการปรุงอาหาร
                 ชาวบรูไนนิยมอาหารรสค่อนข้างจัด ซึ่งมักประกอบด้วยเครืองเทศเป็นหลักในการปรุง การเดินรับประทานอาหารในที่สาธารณะ ชาวบรูไนถือว่าเป็นเรื่องไร้อารยธรรมรุแรง ประเทศบรูไนเป็นประเทศอิสลาม จึงไม่ควรสั่งอาหารที่ปรุงด้วยหมู่เมื่องร่วมรับประทานอาหารกับชาวบรูไน ไม่ควรรับประทานอาหารต่อหน้าชาวบรูไนในช่วงถือศิลอด และห้ามทุกคนในประเทศห้ามนั่งกินอหารในร้านอาหารในช่วงกลางวัน ในช่วงถือศีลอด แต่ซื้อกลับบ้านได้ และยังห้ามร้านอหาร รวมท้งสถานที่ทำงานทั้งหมดเป็นให้บริการในช่วงวันศุกร์ เวลา 12.00-14.00 น. เพราะเป็นวันสวดมนต์ใหญ่ ชาวมุสิมต้องเข้ามัสยิด ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ในที่สาธารณะ ห้ามโฆษณาอหารจำพวกจานด่วน ก่อเวลา 22.00 น. เพื่อป้องกันไม่ใ้เด็กๆ ติดอาหารเหล่านี้และเพื่อส่งเสริมการรับประทานอหารเชิงสุขภาพ
               
เมื่อร่วมโต๊ะกับชาวบูรไน ห้าสั่งอาหรต้องห้ามดังนี้ สัตว์ที่ตายเอง, เลือดสัตว์ ,สุนัข, สัตว์ที่ถูกฆ่าจากจุดประสงค์เพื่อบูชารูปเคารพ, สัตว์ที่เช่อโดยไม่ระบุนามของพระเจ้า, สัตว์ดุร้ายที่ใช้เขี้ยวจับเหยื่อเป็นอาหาร เช่น เสือ สิงโต , สัตว์ปีกที่ใช้กรงเล็บจับเหยื่อ เช่น เรเร้ง เหยี่ยว ไม่ควรปฏิเสธเมื่อมีผุ้ยื่นอาหารให้ เพราะถือเป็นการเสียมารยาทมาก หากต้องการปฏิเสธอาหารจานนั้นจริง ๆต้องใช้มือขวาและแตะที่จานอย่างสุภาพ เมื่อต้องการเชิญชาวบรูไนรับประทานอาหาร ควรของให้ชาวบรูไนเป็นผู้เลือกร้านอาหาร เพื่อเป็นการเลี่ยงปัญหาอาหารที่เป็นข้อห้ามของชาวมุสลิม
                ปันจักสีลัต เปนคำที่มาจากภาษาอินโดนีเซีนมาจากคำว่าปันจัก หมายถึง การป้องกันตนเงอ และคำว่า สีลัต หมายถึงศิลปะ รวมความแล้วหมายถึงศิลปะการป้องกันตนเอง กีฬาประเภทนี้เดิมเป็นศลปะการต่อสู้ของคนเชื้อสายมาลายู ใน ภาีพื้นเอเชียอาคเนย์ ได้แก่ มาเลเซียน ดินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน และพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย คือ ปัตตานี ยะลา สต
ูล นราธิวาส และสงขลา เรียกว่า "สิละ" "ดีกา" หรือ "บือดีกา" เป็นศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าเท้าเปล่า เน้นให้เห็นลีลา การเคลื่อนไหวที่สวยงาม มีบางท่านหล่าว่า สิลามีรากคำว่า สิลา ภาษาสันสกฤต
                 ทั้งนี้เพราะดินแดนของมลายูในอดีตเคยเป็นดินแดนอาณาจักรศรีวิชัย ที่มีวัฒนนะรรมอินเดียเข้ามามีบทบาทที่สำคัญ จึงมีคำ สันสกฤตปรากฎอยู่มาก ประวัติวความเป็นมาของปันจักสีลัตนั้น มีตำนานเล่าต่อกันมาหลายตำนาน ซึงมีส่วนตรงกันและแตกต่างกันบาง บางตำนานว่า การต่อสู้แบบสิละมีมาตั้งแต่ 400 ปีมาแล้วดดยกำเนินที่เกาะสุมตรา ต่อมาผุ้สอนได้ดัดแปลงแก้ไขให้เข้ากับยุคสมัย ตำนานว่า สมัยหนึ่งสามสหายเชื้อสายสุมาตรา เชื่อ บูฮันนุดดินซัมซุดดิน และฮามินนุดดิน เดินทางจาก มินังกาบัง ฝั่งตะวันตกของเกาะสุมาตรา สำนักวิทยายุทธนั้นอยู่ใกล้สระน้ำใหญ่ น้ำในสระไหลมาจากหนาผาสุงชัน ริมสระมีต้นบอมอร์ ออกดอกสีม่วงสดกลมกลืนกับสีนกกินปลา ึ่งถลาร่อนเล่นน้ำเนื่องนิตย์ วันหนึ่ง ฮามินนุดดินไปตักน้ำที่สระแห่งนั้น เขาสังเกตเห็นว่าแรงน้ำตกทำให้น้ำในสระเป็นระลอกคลื่น หมุนเวียน และที่น่าทึ่งคือ ดอก บอมมอร์ช่อหนึ่ง ซึ่งหล่นจากต้น ถูกน้ำพัดตกลงกลางสระแล้วจึงถอยย้อนกลับไปใกล้
ตลิ่งลอยไปลอยมา เช่นนี้ประหนึ่งว่่ามีชีวิต จิตใจ ฮามินนุดดิน เพิ่มความพิศวงถึงกับวางกระบอกไม่ไผ่ซึ่งบรรจุน้ำแล้วจ้องมองดอกไม้ในสระเป็นเวลานาน จากนั้นชายหนุ่มรับคว้าดอกไม้ช่อนั้นกลับมา เขาไปนำลีลาการลอยของดอกบอมอร์มาประยุกต์สอนการร่ายรำให้แก่เพื่อนทั้งสอง และช่วยกันคิดวิธีเคลื่อนไหวโดยอาศัยแขนขา เพื่ป้องกันฝ่ายปรปักษ์ วิชาสิละ จึงเกิดขึ้นด้วยประการนี้..(www.nuks.nu.ac.th/.. ปันจักสีลัด..กีฬาประจำชาติ ของบนรูไนดารุสซาลาม)
                บรูไนเป็นประเทศมุสลิม จัดระเบียบสังคมตามข้อบัญญัติของศาสนาอย่างเคร่งครัด วิถีการดำเนินชีวิตของประชากรจึงเป็นไปตามหลักศาสนาดอสลาม ด้านความเป็นอยุนั้นสะดวกสบาย เนื่องจากเป็นประเทศที่ร่ำรวย รัฐมีเงินดูแลประชากรในเรื่องปัจจัยพื้นฐานเป็นอย่างดี คนบรูไนสวนใหญ่จึงไม่มีปัฐหาทางเศรษฐกิจมากนัก และส่วนใหญ่มีรถส่วนตัวใข้
                การแต่งการของชาวบรูไน ผู้ชาย สวนเสื้อแขนยาว คอปิด กระดุมผ่าหน้าถึงหน้าอก สวนหมวกหรือมีผ้าพันศีรษะ กางเกงขายาว โดยให้สีเสื้อและกางเกงเป็นสีเดียวกัน มีผ้าพันรอบเอว เป็นผ้ายกดิ้นหรือผ้าพ้น โดยนุ่งพับมาด้านหน้าทั้งสองพับ ผู้หญิง สวนเสื้อแขนยาว อกเสื้อผ่าหน้า ความยาวของตัวเสื้อคลุมสะโพกลงไป สวมผ้าคลุมศรีษะอย่างสตรีชาวมุสลิมทัวไป กระโปรงยาวมิดชิด เครื่องประดับก็จะมีมงกุฏเพื่เพิมความสวยงานอีกได้
                 สำหรับชุดของผู้ชายเรียกว่า Baju Melayu และชุดของผุ้หยิ.เรียกว่า Baju Kurung คล้ายกับชุดประจำชาติของประเทศมาเลเซีย ผุ้หญิ่งบรูไนจะแต่างกายด้วยเสื้อผ้าที่มีสีสีนสดใสดดยมากมักจะเป็นเสื้อผ้าที่คลุมร่างกายตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า ส่วนผุ้ชายจะแต่งกายด้วยเสื้อแขนยาว ตัวเสื้อยาวถึงเข่านุ่งกางเกงขายาวแล้วนุ่งโสร่ง..(www.nuks.nu.ac.th/.. การแต่งการประจำชาติ บรูไน)
                 สังคมบรุไน มีลักษระพื้นฐานที่ยึดหลักครอบครัวประชาชนมีความเป็นอยุ่อย่างสงบเรียบง่าย  ศาสนาอิสลามมีบทบามากในการกำหนดพฤติกรรมทางสังคม ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จัดระเบียบสังคมตามข้อบัญญัติของศาสนามุสลิมและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด วัฒนธรรมบรุไนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมาเลเซียนและอินโดนีเซียมา จึงมีประเพณี ภาษา และการแต่างกายที่คล้ายคลึงกัน

วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Lifestyle ASEAN (Myenmar)

            ชาวพม่าเป็นคนชอบสังคม ชอบพบปะสังสรรค์ แม้ในเช้าวันอาทิตย์ที่ฝนตกหนัก ชาวบ้านก็ยังออกจากบ้านมาพบปะพูดคุยกัน เกี่ยวกับร้านอาหาางพม่ามีมุมมองที่น่าสนใจว่า ยิ่งเก้าอี้สูงอาหาร ก็ยิ่งแพง หากไปที่พม่าเราจะเห็นร้านอาหารของชาวบ้านร้านข้างทางที่มีเก้าอี้เตี้ยๆ สไกรับนั่งทานอาหาร พม่ากับเวียดนามมีมุมมองเรืองนี้คล้ายกัน คือ ยิ่งเกาอี้ต่ำ อาหารยิ่งถูก ยิ่งเก้าอี้สูงอาหารยิ่งแพง
            ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีกำลังซื้อไม่สูงนัก การตัดสินสใจซื้อเน้นเหลือกจากประทโยชน ของสินค้าเป็นสำคัญ มักซื้อสินค้าเท่าที่จำเป็ฯ พิจารณาเรื่องราคาเป็นหลัก สินค้าประเภทเดี่ยวกันหากยี่ห้อไหนราคาถูกกว่าก็จะซื้อยี่ห้อหนั้น สินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะไทยและจีนมีอิทธิพลค่อนข้างมากในตลาดพม่า สินค้าอุปโภคบริโภคในพม่ายังมีให้เลือกไม่หลากหลายนักประชาชนส่งนใหญ่ยังซื้อเฉพาะสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน สวนสินค้าฟุ่มเฟื่อยหรือสิ่งอำนวนความสะดวกได้รับความนิยมเฉพาะกลุ่มผุ้มีรายได้สูงจำนวนไม่มาก ในกลุ่มนักการเมือง ทหาร นักธุรกิจ หรือข้าราชการระดับสูง..(www.rd.go.th/..ไลฟ์สไตล์ รสนิยม และวัฒนธรรมของคนปรเทศต่างๆ ในอาเซียน")
                ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศพม่านับถือศาสนาพุทธ 93% ศาสนาคริสต์ 4% อื่นๆ 3% เชื่อกันว่าพม่าได้รับอิทธิพลพุทธศาสนามาในสมัยพรเจ้ากนิษกมหาราช เป็นกษัตริย์ปกครองประเทศอินเดีย ต่อมาประมาณ ราวพุทธศตวรรษที่ 6-7 พุทธศาสนามีรากฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงมต้เป็นเวลานับพันปี พระเจ้าอนระทามังช่อ หรือพระเจ้าอนุรุทธ ทรงเป็ฯกษัตรยิ์พม่าที่เคารพนับถือพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก
พระองค์ได้สถาปนาเมืองปาฆัน โดยสมมติให้เป็นเมืองพระพุทธนคร พร้อมกับสร้างวิหาร พระสถูปเจดีย์อย่างวิจิตรงดงาม รวมจำนวน พันแก่ง ประดิษฐานถี่ห่างจากกันแทบเต็มเนื้องที่เมืองปาฆัน ในกรุงย่างกุ้งมีพระเจดีย์ชะเวดากอง สร้างไว้บนยอดเขาเตี้ย แต่นับว่าเป้นเจดีขนาดใหญ่มากที่สุดแห่งหนึ่งของพุทธอาณาจักร ฝีมือของช่างชั้นเอก  จากการสำรวจพระเณรในประเทศพม่ามีกว่า สี่แสนรูป มากกว่าประเทศไทย หนึงแสนรูป ปัจจุบันพม่าจึงนับเป็นแหล่งหรือศูนย์กลางพระพุทธศาสนาประเทศหนึ่งในเอชีย
       ชาวพม่านิยมรับประทานอาหารแบบล้อมวงโดยใช้ดต็ะขนาดเล็กหรือบนเสือไม่ไผ่ อาหารหนึ่งมื้อประกอบด้วยข้าว แกงปลาน้ำจืด ปลาเค็มหรือปลาแห้ง จะตักอาหารให้ผุ้สูงอายุในวงก่อน ปกติรับประทานด้วยตะเกียบโดยได้รับอิทธิพลจากประเทศจีน ซึงชาวพม่านิยมใช้ตะเดียบมากตะเดียบี่ชาวพม่าใช้จะเรียกว่า ทู่ว์ ใช้สำหรับรับประทานอาหารปกติและอาหารประเภทเส้น หรือไม่ก็จะใช้ช้อน ส้อมเพื่อความสะดวกรวดเร็ว และรับประทานด้วยมือสำหรับผลไม่แล้ผัก สวนเครื่องดื่มที่นิยมเป็นชาท้งแบบร้อนและเย็น อาหารฉิ่นสวนใหญ่เป็นข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง นิยมปรุงด้วยการต้มมากกว่าการทอด

           หล่าเพ็ด เป็นหนึ่งในเมนูขึ้นชื่อของพม่า วิะีทำคือนำใบชาหมักมาทานกับเครื่องเคียง อาทิ กระเทียมเจียว ถั่วชนิดต่างๆ กุ้งแห้ง งาคั่ว ขิง มะพร้าวคั่วเหมือนกับเมี่ยงคำของไทย แต่หล่เพ็ดจะทานรวมกันหมดเลย ไม่ได้ นำอะไรมาห่อเป็นคำๆ แมนูอาหารชนิดนี้ขาดไม่ได้ในโอกาสพิเศษหรือเทศกาลสำคัญๆ ของประเทศพม่า ถึงขนาดพูดกันว่างานเลื้ยงใดไม่มีหล่าเพ็ดถือว่างานนั้นไม่สมบูรณ์เลยที่เดียว
           โมฮิงจา หรือ ขนมจีนพม่า หน้าตาเหมือนกับขนมจีนน้ำยากะทิของไทย รสชาติก็คล้าย เพียงแต่ใช้เส้นก๋วยเตี๋ยว เสิร์ฟพร้อมกับน้ำซุปสมุนไพร ทานคู่กับปลีหล้าวหั่นฝอยแก้เลี่ยน เป็นอาหารที่คนพม่านิยมทานกันในตอนเช้า แต่ก็มีขายในช่วงเวลากลางวันและกลางคืนด้วย
         
อาหารไม้เสียบ เป็นสตรีทฟู้ดยอดนิยมของชาวพม่าและนักท่องเที่ยว คล้ายกับร้านลูกชิ้นบ้านเรา แต่อาหารไม้เสียบของพม่าจะไม่มีลูกชิ้นกลมๆ เน้นเป็นเนื้อสัตว์ต่างๆ เสียบไม้ มีทั้งหมู ไก่ กุ้ง ปลาหมึก หอย และเครื่องในสัตว์ นำมาย่างแล้วทานกับน้ำจิ้ม...(gothailandgoasean.tourismthailand.org/..อาหารพม่า-อร่อยไปกับเมนูอาหารเอเชียผสมเครื่องเทศ)
           ร้านอาหารในย่างกุ้ง อาหารอร่อยหากินง่าย แต่ราคาสวนทางกับรายได้ ราคาเฉลี่ยมื้อละ 200-300 บาทต่อคน ร้านที่ได้รับความนิยมในย่างกุ้งอาทิ
           ร้าน Feel Restaurant ร้านนี้เป็นร้านอาหารพม่า พื้นเมือง ชือดัง อารมณ์แบบข้าวราดแกง ในร้านจะมีหลากหลาย มีทั้งพวกก๋วยเตี๋ยวพม่า ฮมฮิงก่า และอื่นๆ ที่อร่อยเหมือนกัน สั่งด้วยการเลือกอาหารเหมือนร้านชข้าวแกง ทุกโต๊ะจะมีน้ำพริกมาให้ฟรี และข้าวหนึ่งโถ ของหวานจะต้องเดินไปสั่งหน้าร้าน เคล้ากับขนมหม้อแกง
           ร้านปิ้งย่าง บาร์บีคิว ย่าน ไชน่า ทาวน์ เมืองยางกุ้งเค้าอุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์ทะเล อาทิ ปลา กุ้ง ปลาหมึง สดไม่มีคาว เลือกของสดให้เขานำไปปิ้ง ย่าง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะสั่งของย่างพร้อมกับ เมียนม่าร์เบียร์ ซึ่งในย่านไชน่า ทาวน์นี้มีหลายร้านให้เลือก
           ฮอต พอต ชื่อดัง Shwe Kwuang Hot Pot ร้านนี้ดังมาก ฮิตมาก เลย์เอาท์อารมณ์เหมือนหมู
กะทะแต่หม้อ คือ ชามอ่าง กะละมัง และมีของให้เลื้อกอีกมากมาย มีหอยทาก หมูสไลด์ น้ำซุปจะเป็นทั้งซุปไก่ และซุปหมู เผ็ดกับไม่เผ็ด่...( pantip.com ่รีวิว ร้านอาหาร ที่พม่า...)
          ทางด้านการกีฬา ชินลง หรือ ชินโลน เป็นกีฬาโบราณของประเทศพม่า จัดเป็นกีฬาตะกร้อ ชนิดหนึ่งที่มีวัฒนะรรมร่วมกันในภาคพื้นอุษาคเนย์มาหลายร้อยปี ก่อนจะปรบเปลี่ยนวิะีการเล่นและชื่อเรียกไปตามศิลปะและวัฒนธรรมพื้นถิ่นของแต่ละประเทศ เช่น "เซปัก-รากา ในมาเลเซียน สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย", "สีปา ในฟิลิปปินส์", ตะกร้อในลาว", "ตระกร้อวง ในไทย" และได้มีการ
พัฒนามาเป็นเกมส์การแข่งขันเล่นข้ามตาข่ายเรียก "เซปักตะกร้อ"
             ชินลง มีความคล้ายกับ ตะกร้อวงลอดบ่วงของไทย แต่จะมีตัวเอก หรือเรยกว่า "มินตา" เข้ามาเล่นโชว์ลีลากลางวง โดยมีหน้าที่หลักในการคอนโทรเกมส์ ศิลปะการเล่นและท่วงท่าลีลาในแต่ละท่าต้องผ่านการฝึกซ้อมอย่างดี แฝงด้วยทักษะ ความสมดุล และความสามัคคีของผุ้เล่นทุกคนในทีม ที่จะคอยผลัดกันมาเป็น "มินตา" โดยท่าของชินลงนั้นมีมากกว่า 200 ท่า.(www.intapro.org/.. รู้จัก-ชินลง-กีฬาตะกร้อ-ประจำชาติพม่า)
           
การแต่งกาย ชาวพม่าทั้งหญิงและชายนิยมนุ่งโสร่ง ที่เรียกว่า "ลองยี" ซึงมีทั้งผ้าฝ้ายและไหมที่มีสีสด ของผู้หญิงจะมีลายเชิงด้านล่างและมีลวดลายเล็กๆ กระจายทั่ว ผืนผ้า ลวดลายของแต่ละท้องถ่ิ่นจะต่างกัน ผ้าที่ทอมาจากเมืองอมรปุระเป็นลวดลายดอกไม้ เครือไม้ หรือเป็นดอกเป็นลายตามขวาง ไม่นิยมใข้เข็มขัด สวมเสื้อตัวสั้น คอกลม ผ่าอกติดกระดุม 5 เม็ด แขนกระบอกยาวจรดข้อมือบางครั้งเป็นแขนกระบอกสั้น..สวดรองเท้าคีบทั้งชายและหญิง ผู้หญิงจะเหล้าผมสูง บางที่ก็ปล่อยชายห้อยลงมาไว้ทางซ้ายบ้างขวางบ้าง มีดอกไม่แซมผม เครื่องประดับ  นิยมหิน และพลอยที่มีค่า
            เครื่องแต่งกาย นุ่งโสร่งเช่นเดี่ยวกับหญิงแต่สีไม่ฉุดฉาด เป็นลายตาราง ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง หรือเป็นลายทางยาวบ้าง โดยทั่วไปใส่เสื้อขาวจะสวมเสื้อคล้ายเนื้อจีนแขนยาว ถึงข้อมือ แบบหนึ่งเรยกว่า "กุยตั้ง"เป็นเสื้อชายสั้นๆ ติดดุมถงแบบจีนป้ายมาข้าง ๆ อีกแบบเรียกว่า "กุยเฮง"ตัวยาวถึงสะโพก และติดกระดุมตั้งแต่คอตรงมาจดชายเสื้อใช้สีสุภาพ  ผมตัดสัน ไม่นิยมสวมหมวก หรือโพกศีรษะตามประเพณีเดิม เมื่อมีพิธีจะมีผ้าหรือแพรโพกศีรษะทำเป็นกระจุกปล่อยชายท้ิงไว้ทางด้านขวา นิยมใช้สีชมพู..(www.baqanjomyut.com. การแต่งกายชาวเอชีย, สหภาพพม่า)
             ในปัจจุบัน กลุ่มวัยรุ่นในเมียนมาร์เร่ิมหันมาสวมใส่เสื้อผ้า และปรับเปลี่ยนการแต่างกายให้สอดคล้องกับแฟชั่นตะวันตกมากขึ้น หลังจากทีก่อนหน้านี้ การตามแฟชั่นตะวันตกมากเกินไป ซึ่งรวมถึงการสวนกระโปรงสั้นของสตรี มักถูกมองเป็นเรื่องไม่ในสังคม แม่ค้าขายเสื้อผ้าในนครย่างกุ้ง กล่าวยกตัวอย่างการแต่งกายของนาง ออง ซาน ซูจี ว่าเธอเคยชอบใส่ชุดประจำชาติที่มีแขนเสื้อยาว แต่ปัจจุบัน เธอหันมาใส่เสื้อผ้าที่เปิดเผยเนื้อหนังมังสา และตามสมัยนิยมมากขึ้น
             ขณะที่ล่าสุด มีรายงานว่า นครย่างกุ้งมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เปิดใหม่อยางน้อย 5 แห่ง เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยห้างดังกล่าว มีสินค้าแบรนด์เนมจากต่างชาติวางขายให้กับวัยรุ่นชาวเมียนมาร์เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ปัจจุบัน รัฐบาลเมียนมาร์ได้เดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างประเทศในหลายด้าน รวมทั้งการเปิดประเทศ เพื่อต้อนรับการลงทุนจากต่างประเทศ ส่งผลให้ชาวเมียนมาร์มีโอกาสเลือกสินค้าที่มาจากต่างชาติ..(www.dek-d.com..โอ้โห..แฟชั่นของวัยรุ่นพม่า )
         
เนื่องจากพม่าเพิ่งเปิดประเทศไนท์ไลฟ์ในพม่าจึงไม่โดดเด่น กิจกรรยามค่ำคืน ในพม่า Sarkies Bar at The Strand Hotel เป็นบาร์ที่ตกแต่างอย่างสวยงาน ในโรงแรมสแตรนด์คลาดสสิก ด้วยไม้อย่างสวยงาม เพดานสูง ผ่านคลายด้วยเฟอร์นิเอร์หวาย เครื่องดื่มเป็นเบียร์เย็นๆ ไวน์ และเครื่องดื่มค็อกเทลที่โดดเด่น ด้วยวัตถุดิบคุณภาพสูง กล่าวอีกนัยหนึ่งSarkie เป็นโอเอซิสในใจกลางเมืองยางกุ่ง..

วันพุธที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Lifestyle ASEAN (Singapore)

             สิงคโปร์ คนสิงคโปร์ชอบดำเนินชีวิตอยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์ ชอบความเป็นระบบ มีการศึกษา มีรายได้สูง จึงมีกำลังซื้อค่อนข้างสูงไปด้วยนิยมสินค้าแบรนด์เนม ได้รับอิทธิพลเรื่องวัฒนธรรมและวิถีชีวิตจกตะวันตกค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มวันรุ่น สนใจติดตามกระแสและแฟชั่นในตลาดโลกมาก กระแสนิยมในโลกมีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าสูง
             ชาวสิงคโปร์ให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพค่อนข้ามาก นิยมทางอาหารเสริมเพื่อบำรุงร่างกาย ผุ้มีรายได้แลมีระดับการศึกษาสูงนิยมบริโภคอาหารออร์แกนิคมากขึ้ ผุ้หญิงสิงคโปร์มีความเป็นวัตถุนิยม และให้ความสำคัญเรื่องเงินมาก..("ไลฟ์สไตล์ รสนิยม และวัฒนธรรมของคนประเทศต่างๆ ในอาเซียน")
              ร้านอาหารในสิงคโปร์มีมากมายที่สามารถเลือกได้ ตั้งแต่อาหารท้องถ่ินไปถึงอาหารนานาชาติ มีทั้งร้อนและเย็นให้เลือกทานได้ตลอดทั่วทั้งเกาะ อาหารและของใช้ต่างๆ สามารถหาได้อย่างง่ายดายในสิงคโปร์ อาหารประเภทเนื้อง ไก่ ปลา และอาหารทะเล ก็สามารถหาซื้อได้สะดวก นอกเหนือจากนั้นยังมีกาหารกระป๋องและอาหารแช่แข็งไว้คอยบริการ รวมทั้งผักและผลไม่ที่นำเข้าจากประเทศอื่นซึ่งอาจจะมีราคาสู๔งหว่าอาหารที่ผลิตขึ้นในประเทศในตลาดสดจะมีขาย อาหารนานาชนิด ซึ่งราคาไม่แพงนักราคาสินค้าบางอบ่างที่สิงคโปร์จะใกล้เคียง กับในประเทศไทย แต่บางอย่างอาจมีราคาที่่สูงกว่า เครื่องด่มประเภทแอลกอฮอล์ และบุหรี่ขยเช่นกันในสิงคโปร์ ตลอดจนเบียร์ที่ผลิตในประเทศเองและที่นำเข้าซุปเปอร์มาร์เกตส่วนใหญ่เปิดทำการถึง 21.00 น. ทุกวัน
         
 อาหารสิงคโปร์นั้นราคาประหยัดและหาทานง่าย ราคาอาหารตามศูนย์อาหารและฟู้ดคอร์ทเริ่มต้นที่ 3 เหรียญ และมีอาหารให้เลือกมากมาย อาทิเช่น หลักซา ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๋ว สะเต๊ะ และข้าวมันไก่ รวมไปถึงภูเขาน้ำแข็งราดน้ำหวานหลากสีสันอย่าง ร้านอาหารที่ตนสิงคโปร์นิยมในศูนย์อาหารและร้านอาหารทั่วไป เช่น ศูนย์อาหารในย่าน บูกิส สตรีท, เลา ปา สาท, ไชน่าทาวด์ ฟูดส์สตรีท และตลาดย่าน
แมคเวลล์ โรดส์ มาร์เก็ตท์ แต่ยังมีสูนย์อาหารอร่อยขึ้นชื่อีกหลากหลายที่กระจายออยุ่ในชุมชนต่างๆ
             แต่หากต้องการหลบอากาศร้อน ก็สามารถเลือกานตามศูนยอาหารติดเครื่องปรับอากาศ หรือที่ชาวสิงคโปร์เรียกว่า ฟู้ดคอร์ท ส่วนใหญ่จะอยู่ในห้างสรรพสินค้า ซึ่งจะเป็นแหล่งรวมอาหารที่หลากหลายการตกแต่งที่ทันสมัย แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องของที่นั่งลางแห่งค่อนข้าองแน่น วิธีที่ดีที่สุดคือ มองหาแล้วนั่งจองที่นั่งกันก่อน ผลัดกันไปเลือกซื้ออาหาร ฟู้ดคอร์ทที่นิยมกันได้แก่ บูกิส จัทชั่น, คร้าค เคียว,สก็อต ฟินิค ฟู้ด คอร์ท, ทาคาชิมายา ฟู้ด วิลเลจ, โกปิเทียมและไชน่า สแควร์ ฟู้ด เซนเตอร์
 สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีความหลากหลายางเชื้อชาติ และมีนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาท่องเที่ยว จึงมีอาหารที่หลากหลายให้เลือก ทั้ง อาหารจีน อิตาเลียน แอฟริกัน อินโดนีเซีย เวียดนาม เกาหลี รวมทั้งอาหารไทย และอื่นๆ อีกมากมายให้ลิ้มลอง
             ไซเบอร์คาเฟ่ เป็นหนึ่งในความชื่นชอบของคนสิงคโปร์รุ่นใหม่ นอกจากมีการจำหน่ายกาแฟแล้วยังเป็นสถานที่ให้บริการทางด้านอินเตอร์เนต และเกมส์ออนไลน์ โดยทั่วไปอัตราค่าบริการอินเตอร์เนท 2 ดอลล่าสิงคโปร์ ต่อ 15 นาที และค่าบริการเกมส์ออนไลน์ 3 ดอลลาร์ ต่อ 30 นาที...(http//sites.google.com .. อาหารการกิน)
             กีฬาในสิงคโปร์ ที่ชาวสิงคโปร์ชืนชอบได้แก่ ฟุตบอล คริกเก็ต แดมินตัน บาสเก็ตบอล รักบี้ ปิงปอง และวอลเลย์บอล ปกติแล้วในแถบย่านที่อยู่อาศัยของประชากรจะมีสิ่งอำนวยด้านสันทนาการจัดไว้ให้แล้ว กีฬาทางน้ำ เช่น ดำน้ำ สกีน้ำ เรือคายัก และว่ายน้ำ เป็นที่นิยมกันบนเกาะนี้ สนามกีฬาแห่ง
ชาติของสิงคโปร์เปิดให้บริการเมืองปี 1973และถูกใช้เป็นสถานที่แสดงทาง วัฒนธรรม แาารกีฬาและความยันเทิงต่างๆ และถูกปิดลงในปี 2007 หลังจากศูนย์กลางการกีฬาของสิงคโปร์ถูกสร้งขึ้นในพื้ที่ เดียวกัน นั้นในปี 2011 ชาวสิงคด)ร์สร้างผลงานได้ดีในด้านการกีฬาแลสันทนการการจนได้รับชื่อเสียงไปทัวโลก ด้วยการผสมผสานของวัฒนธรรม และความทั้นสมัย สิงคโปร์ได้มอบโครงสร้างทางศิลปะที่ดีที่สุดให้กับประชากรและนักท่องเทียว..(http//sites.google.com .. กีฬาประจำชาติของประเทศอเซยน)
              ไนท์ไลฟ์ในสิงคโปร์ บาร์ชั้นนำไม่ว่าจะต้องการชิลล์เอาท์สบายๆ ที่บาร์ทันสมัย หรือร้องเพลงคลอไปกับวงดนตรีสด ที่นี่เต็มไปด้วยสภานบันเทิงหลากรูปแบบ อาทิ
       เฮาส์ ออฟ แคนดี (House of Dandy) เฮาศื ออฟ แดนดี บาร์ที่อยุ่นใจใครหลายคน ซึ่งมีบรรยากาศที่อบอวนไปด้วยความหรูหราแห่งศตวรรษที่ยี่สิบสะ้อนผ่านการตกแต่างาย่ในที่งามง่าสมบุรรืแบบ ผนังกำแพงเต็มไปด้วยคำพูดของออสการ ไวลด์, ภายในตกแต่งด้วยโคมไฟของอีไซเนอร์ชื่อดัง และเกาอี้ที่ได้แรงบันดาลใจจากเครืองบินสองที่นั่งของกองทัพอังกฤษ และเมนูวิสกี้ที่ยาวเป็นหางว่าว หากคุณไม่ใช่นักดื่ม ทางร้านยังมีเมนูหลากหลายของเครื่องอื่มแอลดอฮาล์แบบบูทีค ค็อกเทลแลบบคลาสสิค และซิการ์ที่คุณจะต้องพึงพอใจ
               เดอะบีสต์ The Beast วอฟเฟอร์กับเนื้อไก่ หมูบดปรุงรส ขนมปังข้าวโพดอบใหม่ แมคขชีสเบอร์เการ์ รายการอาหารเหล่านี้เป็นเพียงเมนูบางส่วนของอาหารทางใต้ที่น่าสนใจให้คุณได้ลิ้มลองที่ เตเตอะบีสต์ บาร์วิสกี้บูร์บงที่ตั้งอยุ่ในเขตฮิปๆ อย่างกัมโปงกลาม นอกจากนี้ ยังมีบริการอาหารเช้าควบกลางวันในทุกวันอาทิตย์อีกด้วย ห้ามพลาดโดนัทเบค่อนราดน้ำเชื่อมเมเปิ้ลและชาหอมหวานที่เป็นซิกเนเจอร์ของทางร้าน
             
 ซุมอี๋ไท๋ Sum Yi Tai บาร์และภัตตาคารแห่งนี้ตั้งอยู่ในตึกแถวโบราณ โดยใช้ะีมย้อนอดีตสะท้อนภาพฮ่องกงในทศวรรษ 1980 ทาปาสแบบจีน เช่น หมูกรอบและขนมผักกาดซอส xo มีให้บริการที่ชั้นลางของร้าน ส่วนห้องอาหาร (มีห้องรับประทานอาหารแบบส่วนตัว) อยุ่ี่ช้นองของอาคาร และที่ชั้นสาม จะเป็นบาร์ส่วนตัวที่อยู่บนหลังคา ซึ่งจะเข้าใช้บริการได้ก็ต่อเมื่อได้รับเชิญหรือจองล่วงหน้าเท่านั้น
 เดอะ ไลบราลี่ เฉพาะคนที่รู้รหัผ่านประจำสัปดาร์เท่านั้น ที่จะได้รับอนุญาตให้เดินผ่านประตูแห่งความลับของบาร์แห่งที่พรางตัวด้วยชั้นงางหนังสือใบใหญ่ เมื่อเข้าไปแล้วคุณจะได้พบกับแสงไฟสลัวๆ และเคาน์เตอร์ทองแดงที่ดุเป็นประกาย เครื่องดื่มรสนุ่มไม่บาดคอจะมาเสิร์ฟคุณในแก้วรูปทรงพิเศา เช่น ถ้าคุณสั่งค็อกเทล ชรับ อะ ดับ ดับ แก้วจะมีลัษณะเหมือนอ่างอาบน้ำเล็กๆ
               วัน อัลทิจูด พาตัวคุณทะยานสุ่ท้องฟ้าเพื่อให้ห่างไกลจากศูนย์กลางทางธุรกิจอันวุ่นวาย สู่บาร์ที่สูงที่สุดในประเทศสิงคโปร์ สภานที่แบบทรีอินวันที่อยุ่สูงจากระดับน้ำทะล 282 เมตรนี้มีทั้งบาร์แบบโอเพ่นแอร์ (ซึ่งก็คือ 1-Altitude), Stellar ภัตตาคารระดับชนะเลิศรางวัล และแดนซ์คลับอย่าง Altimate มุ่งหน้าสู้ปาร์ตี้ยามเย็นที่สนุกสุดเหวี่ยง ในสถานที่ที่สุงที่สุดแห่งนี้ได้ในช่วงเวลา 18.00-20.00 น. ที่นั่นคุณจะได้พบกับเครื่องดื่มค็อกเทลสำหรับฤดูร้อน ดนตรีแจ๊สเพราะๆ และวิวทิวทัีศน์ที่สวยงามตระการตา
              นีออน พีเจี้ยน Neon Pigeon ทุกอย่างในสภานที่พักผ่านสไตล์ญี่ป่นุสมัยใหม่แห่งนี้ คือนิยามของคำว่า ฮิป ตั้งแต่ภาพกราฟิตีบนกำแพงไปจนถึงแก้วค็อกเทลแบบนินจาที่ดุแปลกตา ในเมนู คุณจะได้พบกัยอาหารสไตล์เอเชียอย่างเบอร์เกอร์ลูกชิ้นไก่ ข้าวฟักทองอบมิโสะและซุปข้าวสั่งค็อกเทล เช่น ฮาราจูกุเกิร์ล ซึ่งเป็นสวนผสมระหวางฟอร์ดส์ จิน ความขมจากฟรีบราเธอร์ส พลัม บิทเทอร์ และใบชิโสะ..( m.suvarnabhumiairport.com./..ไนท์ไลฟ์ในสิงคโปร์ บาร์ชั้นนำ 6 แห่งที่าคุณต้องไม่พลาด)

วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2560

A journey through ASEAN

            มองอาเซียนผ่านวรรณกรรม
            แมุ้กวันนี้สื่ออย่าง "วรรณกรรม" จะเป็นสื่ออันดับท้ายๆ ที่จนไทยจะให้ความสำคัญ เพราะสื่ออื่นๆ อย่างอินเทอร์เนตและโทรทัศน์ดูจะเป็นสื่อที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อวรรณกรรมคือสื่อที่มอิทธิพลและสามารถสื่อสารใจความสำคัญไปสู่วงกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
              และในโอกาสที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หลายภาคส่วนกำลังประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้จักประเทศเพือนบ้านมากขึ้นผ่านหลายๆ สื่อ ซึ่งสื่อ "วรรณกรรม"ก็เป็นสื่อหนึ่งที่ได้รับการหยิบยกขึ้นมาใช้ในโอกาสนี้ด้วย จึงเกิดเป็น โครงการวรรณกรรมอาเซียน ที่มีจุดระสงค์เพือใช้สื่อวรรณกรรมในการสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจในประเทศเพือนบ้าน
               อุทยานการเรียนรู้ TK Park จัด นิทรรศการพิพิธอาเซียน ตอน หลากความเหมือนหลายความต่าง ที่เป็ิดประตูสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เรียนรู้และเข้าใจมุมมองความแตกต่างที่เป็นหน่งเดี่ยวของประเทศสมาชิก ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งส่นหนึงของ
นิทรรศการในครั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก็เป็นการเสวนดีๆ ทีชือว่า "อินสไปร บาย ไอดอล วรรณกรรมสร้างความเป็หนึ่ง" โดยวิทยากร คุณหญิงลักษณาจันทร เลาหพันธุ์ นายกสมาคมอาเซียน - ประเทศไทย และ คุณประภัสสร เสวิกุล นักเขียนชื่อดังและศิลปินแห่งชาติสาขา วรรณศิลป์ ดำเนินการเสวนาโดย คุณวิภาว์ บูรพาเตชะ บรณาธิการนิตยสาร แฮปเปนนิ่งส์
               ต้องยอมรับว่าคนไทยรุ้จักประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนน้อยมาก สมาคมอาเซียน-ประเทศไทยจึงจัด โครงการวรรณกรรมอาเซียนขึ้นมา โดยมีคุณหญิงลักษณาจันทรเป็นผู้คิริเร่ิมโครงการนี้ และได้นักเขียนคุณภาพอย่างคุณประภัสสร เสวีกุล เป็นนักเขียนท่านแรกที่เขียนวรรณกรรมที่เกี่ยวกับอาเซยนขึ้นมา "โชคดีที่วงการนักเขียนมีคุณประภัสร ท่านเป้นสิลปินแห่งชาติและนกเขียนวรรณกรรมที่คนไทยื่นชมหลยเรื่อง จึงให้คุณประภัสรเข้ามาช่วย ดดยกรให้ท่านเดินทางไปหาข้อมูลเกี่ยวกับอาเซียนมานำเสนอในรูปแบบนวนิยาย ทำให้คนอ่านได้รู้จักวิถีชีวิต ความนึกคอด ประวัติศตร์ และวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้านมาขึ้น" คุณหญิงลักษณาจันทรกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของโครงการนี้
              ทางคุณประภันสเอง เมื่อสมัยที่ยังเป็นนายกสมาคมนักเขียน ก็เคยได้ร่วมโครงการวรรณกรรรมสัมพันธ์ ซึ่งมีการรวมวรรณกรรมของไทยและกัมพูชารวมไว้ในเล่มเดียวกัน และต่อมาก็ขยายไปยังเวียดนามและลาว คุณประภัสสจึงมีความคุ้นเคยกับนักประพันธของเพื่อบ้านและความเป็นมาต่างๆ ได้ดีขึ้น ผมได้เดินทางไปยังประเทศเหล่านี้เพื่อไปสัมผัสชีวิตจริงๆ ทงการทูตต่่างประเทศก็ช่วยเหลือติดต่อประสานงานให้ มีโอกาสพบปะพูดคุยกับคนทั้งประชาชนทั่วไป นักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ ผู้นำทางศาสนา ผุ้นำทางสังคมต่างๆ ซึ่งเป็นประโยขน์ในการเขียนหนังสือมาก" คุณประภัสสรเล่าถึงการทำงานในโครงการนี้
               หนังสือเล่มแรกในโครงการนี้ เป็นวรณกรรมที่เกี่ยวกับประเทศอินโดนีเซยที่ชื่อว่า จะผันถึงเธอทุกคือที่มีแสงดาว เล่าถึงมิตรภาพและความสัมพันธ์ในวัยเยาว์ของเพื่อชาวไทยและอินโดนีเซีน ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา โดยมีพื้นหลังเป็นประวัติช่วงสั้นๆ ของอินโดนีเซียที่ต่อสุ้เพื่อเอกราช และการเผชิญความทุกข์ยากของชาวเวียดนาม จนถึงความเปลี่ยนแปลงทางเศาบกิจของ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยในแต่ละเรื่องคุณประภัสจะประพันธ์ใหไม่มีความเชื่อมโยงกัน มีวิธีการนำเสนอที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของประเทศนั้นๆ เพื่อให้เกิดความน่าสนใจ
              การสร้างประชาคมอาเซียนนั้น ไม่ได้มีแต่ใแงเศาฐกิจอย่างเดียว ยังมีด้านอื่นๆ อีกด้วย การสร้างความเข้าใจผ่านงานวรรณกรรมทั้งในแง่วิถีชีวิตและวัฒนธรรม จึงเป็นส่งิที่จำเป็นอย่างยิ่ง "เราอาจจะลืมไปว่าที่จริงเราอยู่กันใกล้มาก แต่เราไม่รู้จักกันเลย ในความนึกคิดอย่างของคนอินโดนีเซียนหรือฟิลปปินส์ก็ดี เขาภูมิใจที่ได้ต่อสู้เพือเกา ประเทศไทยอาจจะโชคดีที่ไมต้องผ่านสิ่งเหล่านี้ ซึ่งทำให้เราไม่เห็น ซึ่งวรรณกรรมสามารถทำลายกำแพงเหล่านี้ลงได้ และอีกเหตุผลหนึงี่ทำให้เราไม่รู้จักประเทศเพื่อบ้านเลย นั่นคือเรื่องของภาษา "ภาษาเป็นอุปสรรคท่ชัดเจน เราไม่ร้ภาษาเพื่อบ้านและเราไม่รู้ภาษาอังกฤษเพียงพอที่จะเขียนนวนิยายเป็นภาษาอังกฤษ น่าเสียดายมากๆ ที่ภูมิภาคเรามีรางวัลซีไรต์ แต่คนไทยกลับไม่รู้จัเท่าที่คว กลับไปรู้ักนกเขียนต่างชาติมากกว่า
              คำถามหนึ่งที่หลายคนสงสัยว่า การศึกษาประเทศเพื่อบ้านผ่านวรรณกรรม จะดีกว่าการศึกษาประวัติศาสตร์อยางไร ซึ่งประวัติศาสตร์ก็น่าจะให้ข้อเท็จจริงได้มากกว่า คุณหญิงลักษณาจันทรจึงให้คำตอบว่า ไอย่ากจะเรียนว่า เราไม่ได้มจุดประสงค์ใการเขียนประวัติศาสตร์ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นนวนิยาย เรารู้อยู่แล้วว่าประวัติศาสตร์มีปัญหาค่อนข้างเยอะ ก็รอให้ผู้ท่เชี่ยวชาญมาจัดการในเรื่องนั้นด้วยตนเอง แต่อย่างน้อยเราสามารถสร้างความรู้สึกร่วมในคนไทยกับประเทศเพือบ้านได้ ผ่านข้อมูลเชิงบวกของแต่ละประเทศ ซึ่งคุณประภัสสเข้าไปสัมผัสมาและนำเสนอ ตัวอย่างเรื่อง รักในม่านฝน ที่เป็นเรื่องราวของเวียดนาม อ่านแล้วก็เกิดความรู้สึกทีดีต่อคนเวียดนาม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด นวนิยยสามารถเปลี่ยนแนวคิดของผู้อ่านได้ สอนให้เราคิดกับประเทศเพื่อบ้านในเชิงบวก ราเหล้าของวรรณกรรมเป็นสื่อที่ชัดเจนและง่าย ที่จะช่วยสร้างมูลค่าและเป็นสะพานสร้างสมพันธ์ภาพทีดีระหว่างกัน" คุณประภัสสรจงช่วยเสริมว่า "ผมอยากเห็นคนไทยภูมิภาคนี้อ่านหนังสือเล่มเดียวกัน คนเราพูดกันคนละอย่างเพราะอ่านหนังสือคนละเล่ม"
                 จุดประสงค์หลักของประชาคมอาเซียน คือการทำให้ประเทศทั้งหมดในอาเซียนเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งพลังของวรรณกรรมก็ป็ส่วนหนึ่งในกรสร้างอัตลักษณ์นี้ขึ้นมาได้ แม้แต่ละประเทศจะมีความ
แตกต่างกันอยู่มากก็ตาม "เราต้องยอมรับว่าประเทศในอาเซียนมีความแตกต่าง แต่ในความแตกต่างนั้นก็มีความเหมือนกันอยู่ อยา่งนิทานพื้นบ้านของแต่ละประเทศก็มตัวละครเหมือนกันเยอะ หรือแม้แต่ภาษาก็มีรากของภาษาที่มาจากที่เดียวกัน อีกทั้งประเพณีต่างๆ ก็มีความคล้ายคลึงกัน เราต้องกลับมาอ่านงานวรณกรมของภุมิภาคเรา เพื่อจะได้เชื่อมโยงและเข้าใจว่าความมีอัตลักษณ์เดียวกันเป็นอย่างไร" คุณหญิงลักษาจันทรแสดงทัศนะ
                แน่นอนว่าโครงการนี้จะไม่สำเร็จ หากหนังสือวรรณกรรมดีๆ เหล่านี้ไปไม่ถึงผู้อ่าน โดยเฉพาะอยางยิ่งเยาวชน คุณหญิงลักษณาจันทรจึงมี
ความคาดหวงต่อไปว่า "สถาบันกรศึกษาควรจะรับหนังสือเหล่านี้เข้าำปเป็นส่วนหนึ่งของหนังสืออ่านอกเวลาเรียนของเยาวชนอย่าลือมว่การศึกษาของปะเทศเราก็เป็นปัญหาหนึ่งที่กำลังหาทางออก แต่การให้เด็อ่านหนังสือดีๆ และให้เขยนสิ่งที่ได้จากกรก่า ซึ่งไม่จำเป็นต้องเห็นมุมเดียวกัน อาจจะมีมุมมองที่ต่างกัน ซึ่งเป็นส่ิงที่เราอยางเห็น"
               และท้ายที่สุดจุดประสค์ของโครงการนี้ ก็คือการรวมประเทศทั้งหมดในอาเซียนให้เป็นหนึ่งเดี่ยวกัน รวมไปถึงลดควมขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้น เช่นเดียวกันจุดประสงค์ของประชาคมอาเซียน "เราอยยู่ในความเกลียดชัและไม่เข้าใจกันมานานพอสมควร เราอยู่ในประชาคมอาเซียนแล้ว ถ้ายังมีอคติต่อกันจะอยู่ด้วยกันลำบาก ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ของนักเขียนที่ต้องช่วยสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศเพื่อบ้าน เราไม่สามารถอยู่ลำพังประเทศเดียวได้ เราต้องอยู่ร่วมกันเป็นประชาคม ซึ่งวิธีการอยู่่ร่วมกันที่ดีคือทำความรู้จักและเข้าใจกัน" คุณประภัสสรทิ้งท้าย
              วรรณกรรมอาจจเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เรารู้จักและเข้าใจประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนได้มากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการสร้างทัศนคติที่ดีต่อกัน ความเป็ประชาคมอาเซียนจึงจะเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์..

                       - http//www.tkpark.or.th/...มองอาเซียนผ่านวรรณกรรม, วิชญ์พล พลพิทักษ์ชัย

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...