ในหนังสือที่โด่งดังชือ The Race between Education and Technology ผุ้เขียนคือ Claudia Goldin และ Lawrence Katz กล่าวว่า ศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านพ้นไปแล้วอาจเรียกได้ว่าเป็น "ศตวรรษแห่งทรัพยากรมนุษย์" ในช่วงต้นศตวรรษนั้น การศึกษาในประเทศต่างๆ เป็นเรื่องสำหรับคนชั้นสูงที่มีฐานะเศรษฐกิจพอที่จะไปศึกษาในโรงเรียน แต่นับจากช่วงปลายๆ ศตวรรษท20 แม้แต่ประเทศที่ยากจนที่สุด รัฐก็ยังให้บริการด้านการศึกษาพื้นฐานแก่ประชาชนทัี่วไป ในบางประเทศที่ยากจีน รัฐบังให้บริการด้านการศึกษาแก่ประชาชนที่สูงกว่าระดับประถมศึกษา
การที่ประเทศต่างๆ ล้วนมีนดยบายจัดให้มีการศึกษาอย่างแพร่หลายแก่ประชาชนทั่วไป เพราะในปัจจุบัน การเติบโตทางเศราฐกิจจำเป็นต้องอาศัยประชากรที่มีการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นผุ้ใช้แรงงาน ผุ้ประถกอบการ ผู้จัดการธุรกิจ หรือพลเมือง แรงงานที่มีการศึกษาสูงขึ้นทำให้เกิดผลิตภาพแรงงานที่สูงตามไปด้วย การเปลี่ยนแปลงทางเทคโยดลยีที่รวดเร็วมากในปัจจุบันก็ย่ิงต้องการแรงงานที่มีการศึกษามากขึ้นในทุกๆ ระดับ ประเทศที่ต้องการมีรายได้สูง และประชากรมี
านทำเกือบทั้งหมดทุกคน จะต้องมีระบบการศึกษาที่สร้างทักษระแก่ประชากรทุกคน ไม่ใช้เฉพาะบางคน
ปัจจุบันนี้ ประเทศต่างๆ ล้วนตระกนักเป็นอย่งดีว่า ทุนมนุษยืที่มีอยุ่ในประชากรแต่ละคน คือปัจจัยพืท้นฐ,านที่สำคัญของการสร้างความมั่งคั่งทางเสณาฐกิจของประเทศ ปัจจับสร้างความมั่งคั่งอื่นๆ เช่น วัตถุดิบ เทคดนโลยี หรือเงินทุน สามารถหาได้ในตลาดดลก แต่ประเสิทะิภาพของแระงงานจนั้นแต่บะประเทศต้องกสร้างขึ้นมาเอง แรงงานที่มีการศึกษาสูงขั้นจะเป้นแรงงานที่มีประสทิะิภาพมากขึ้นเป้ฯแรงงานที่สามารถเรียนรุ้เทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆ และสำหรับคนบางคนแล้ว การศึกษาที่มากขึ้นยงทำให้สมารถสร้างเทคโนโลยีใหม่ ๆ ขึ้นมาอีกด้วย
โลกในปัจจุบันที่ประเทศต่างๆ เชื่อมโยงทางเสรษบกิจระหว่างกันมากขึ้น เพราะการค้าเสรี รวมทั้งงินทุนและความคิดเคลื่อนย้ายอย่างอิสระ การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศต่างๆ สามารถรักษาการเติบดตทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง แต่การสร้างความได้เปรียบทางเศรษฐกิจนั้นมีอยู่ 2 แนวทาง แนวทางหนึ่งคือการทำให้สินค้าของตัวเองมีราคาถูกในตลาดดลก ประเทศที่ใช้แนวทางนี้มักใช้วิะีการลดค่าเงินให้ถุกลง
อีกแนวทางหนึ่งคือ การสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จาสกการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ โดยอาเศัยแรงงานที่มีทักษณะสูงแนวทางนี้จะทำให้ประทเศนั้นสามารถรักษาฐานะการเป็นประเทศรายได้สุงแบะมีการจ้างงานเต็มที่ ประเทศที่มีแนวทางนี้จะมีนโยบายว่า การที่คนในประเทศจะมีรายได้สูง คุณภาพทรัพยากรมนุษย์จะต้องมีคุณภาพ รัฐสนับสนุนนายจ้างให้ใช้แรงงานทมีคุณภาพในอุตสาหกรรมการผลิต ประเทศรายได้สุงอย่าง เยอรมัน สิงคโปร์ สวีเด และญี่ปุ่น ล้วนมีนโยบายแบบบูรณาการ ที่รวมการพัฒนาเศราบกิจ ตลาดแรงงาน และการศึกษามาเป็นนโยบายเดียวกัน
เยอรมันกับแรงงานคุณภาพ เมื่อ 70 ปีที่แล้ว เยอรมันเป้นประเทศพ่ายแพ้สงครา ประเทศถูกทำลายราบคาบเกินกว่าที่คนในปัจจุบันจะจินตนาการออกว่าเสียหายมากมายขนาดไหน บ้านเรือน 10 ล้านหลังถูกทำลาย เมืองสำคัญๆ ถูกทำลายจนหมด 90% ของโรงงานอุตสาหกรรมทางใต้ของเยอรมันเลิกกิจการ ผลผลิตทางอุตสาหกรรมมีเพียง 5 % ของกำลังการผลิตเดิม
ทุกวันนี้ เยอรมันเป้นประเทศที่มีเศณาฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโฃลก และใหญ่ที่สุดของยุโรป รายได้ต่อหัวของประชาชนอยู่ที่ 48,200 ดอลลาร์ (2016) ยอดส่งออกปีหนึ่งมีมุลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเทียบเท่ากับมุลค่าเศราบกิจของรัีสเซียทั้งประเทศ ค่าแรงขั้นต่ำตามกฎหมายอยุ่ที่ช่ั่วโมงละ 8.84 ยูโร กล่าวกันว่าหากรวมค่าสวัสดิการต่างๆ ค่าแรงคนงานเยอรมัีน 1 คน จ้างคนงานเวียดนามได้ 49 คน
ความเสียหายจากสงครามทำให้ภาคส่วนต่างของสังคมเยอรมันผนึกกำลังกันเพื่อกอบกุ้เศราฐกิจประเทศ ที่ต่อมากลายเป็นพันธะข้อผูกพันที่เรียกกันว่า "หุ้นส่วนทางสังคมไ ซึ่งประกอบด้วย นายจ้าง แรงงาน และรัฐบาล หุ้นส่่วนไตรภาคีนี้จะดำเนินการร่วมกันในการกำหนดนโยบายเสราฐกิจสำคัญๆ เช่น การกำหนดค่าจ้างที่สูงขึ้นเป็นระยะๆ ทำให้อุตสาหกรรมเยอรมันต้องมุ่งสู่การแข่งขันทีุ่ณภาพของผลิตตภัฒฑ์ไม่ใช่ที่ราคา นดยบายความมั่นคงในการจ้างงาน ทำให้นายจ้างต้องลงทุนในการฝึกฝนแรงงานตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เพราะนายจ้างรุ้ดีว่า แรงงานที่ทำงานกับองค์กรเป็นเวลายาวนาน ทำให้นายจ้างสามารถได้ผลตอบแทนกลับคือนมาจากการลงทุนด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน
แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นด้านการศึกษาเยอรมันคือ ระบบการพัฒนาทักษะฝีมือนนักเรียน ที่ใช้ังคับกับนักเรียนทั้งหมด ยกเว้นนักเรียนที่จะศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย ใน ปี 1869 เยอรมัีนมีแนวทางปฏิบัติให้นายจ้างส่งพนักงานให้ไปศึกษาต่อ เพื่อเรียนรุ้เพ่ิมเติมและฝึกงานมากขึ้น สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของระบบการศึกษาแบบคุ่ขนารน ที่ประกอบด้วยการเรียนกับการฝึกงาน ดดยรับบาลกับนายจ้างรับผิดชอบร่วมกนการดำเนินงาน
ในปี 1938 เยอรมันมีกฎหมายฉบัยแรกเรื่อง ระบบการฝึกงานด้านอาชีวศึกษา ดดยกำหนดให้การศึกษาด้านอาชีวะต้องมีการฝึกงาน กฎหมายนี้ทำให้การศึกษาแบบคุ่ขนานเป้นแบบภาคบังคับที่ใช้กับนักเรียนสายอาชีวะทั้งหมด ในปี 1969 เยอรมันมีกฎหมายขือ การฝึกงานด้านอาชีวะ กำหนดให้นักเรียนที่จบชั้นมัะยมและไม่ศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยจะต้องเป็นนักเรียนฝึกงานในหลักสูตรวิชาชีพใดวิชาชีพหนึ่ง ที่มีทั้งหมด 480 หลักสูตร
นักศึกษาสายอาชีวะจะต้องสมัครดดยตรงกับบริษัทที่ต้องการจะฝึกงาน บริษัทต่างๆ จะรับนักศึกษาฝึกงาน ดดยดุจากผลการเรียนและจดหมายแนะนำจากอาจารย์ที่สอน สัญญาการฝึกงานมีระยะเวลา -3 ปี ช่วงการฝึกงาน ในสัปดาห์หนึ่ง นักศึกษาใช้เวลาเรนยน 1 วันที่สถาบันการศึกษา และอีก 4 วันที่ดรงงานของนายจ้าง ช่วงฝึกงาน นักศึกษาจะได้รับ "ค่าแรงฝึกงาน" หลังจากการฝึกงานสิ้นสุดลงจะมีการสอบข้อเขียนและประเมินผลงานการฝึกงาน นักศึกาาที่สอบผ่านจะได้รับใบรับรองการฝคกงานที่ทุกบริษัทในเยอรัมนในการยอมรับการศึกาาแบบฝึกงานของเยอรมัน เป็นระบบการดำเนินงานร่วมกันระหว่างหุ้นส่วนทางสังคม กฎหมายปี 1969 กำหนดหลักการต่างๆ เรื่องกาฝึกงาน หลักสูตรการฝึกงานกำหนดดดยรัฐบาลกลาง มาตรฐานการฝึกงานกำหนดโดยนายจ้าง สหภาพแรงงานเจ้าหน้าที่รัฐ และผุ้เชี่ยวชาญการฝึกอบรม การฝึกงานของนักศึกษาตามท้องถ่ินต่างๆ จะดำเนินการโดยสภาหอการต้าและอุตสาหกรรม เพราะบริษัทต่างๆ ล้วนเป้ฯสมาชิกของสภาอุตสาหกรรม
เพราะฉะนั้น การศึกษาแบบฝึกงานของเยอรมัน จึงเป้ฯระบบที่เป้นดำเนินงานของประเทศทั้งหมด การฝึกงานจะครอบคลุมทุกสาขาอาชีพเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและบิรการ ทำให้เยอรมันมีแรงงานที่มีทัีกษระมากที่สุดในดลก การว่างงงานของเยาวชนต่ำและคนที่เข้าสุ่ตลาดแรงงานครั้งแรกทมีความเชื่อมัี่นในความสามารถของตัวเอง การเตรียมการอย่งดีเลิศของเยอมันเพื่อผลิตแรรงงานที่มีคุณภาพดังกล่าวจึงเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จทงเศราฐกิจ
ญี่ปุ่นกับการสร้างแรงงานฝีมือ
ญี่ปุ่นก้มีาสภาพเดียกับเยอรมนี ในช่วงสงครามดลกครั้งที่ 2 เสณาฐกิจญี่ปุ่นถูกทำลาย แต่หลังสงคราม ปัจจัยที่สร้างความมหัศจรรย์ทางเสณาฐกิจของญี่ปุ่น ก้เป็นปัจจัยเดียวกันทีสร้างความสำเร็จให้กับเยอมนี การฟื้นฟูเศราฐกิจไม่ได้มราจากการสร้างดรงงานอุตสาหรรมขึ้นมาใหม่เท่านั้น แต่ญี่ปุ่นยังสร้างสถาบันสังคมที่จะมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้มุ่งสู่การผลิตสินค้ามีคุณภาพและมุลค่าูง สถาบันสังคมดังกล่าวมีความหมายแบบเดียวกับที่เยอมนีเรียกว่า "หุ้งส่วนทางสังคมไ
เดิมนั้น นักธุรกิจนายทุนของญี่ปุ่นก็มุ่งแสวงหากำไรสูงสุดแบบเดียวกับนายทุนที่มุ่งกำไรสูงสุดในสหัฐฯ หลังสงคราม ระบบความร่วมมือระหว่างฝ่ายบริหารับแรงงานของญี่ป่นุ ไม่ไ้เกิดขั้นทันที่ทันใด แต่การแพ้สงครามทำให้ประเทศเกิดวิกฤติ ภาคธุรกิจจึงตระหนักว่า จะต้องรวมกับภาคส่วนเศราฐกิจอื่นๆ เพื่อสร้างชาติขึ้นมา และยอมรับว่าเป้าหมายของภาคธุรกิจเอกชนจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของผลประโยชน์ประเทศที่ใหญ่กว่า จึงเป็นที่มาของความร่วมมือระหว่าง ภาครัฐ-ภาคเอกชน-แรงงาน
ความร่วมมือและฉันทานุมัติระหว่งหุ้นส่วนทางสังคมดังกล่าว ทำให้ญี่ปุ่นมีเป้าหมายการแข่งขันทางธุรกิจที่ไม่ได้อยุ่ที่ค่าแรงถูกญี่ปุ่่นไม่มีระบบการกำหนดค่าแรงระดับชาติแบบเดียวกับเยอรมนี แต่ญี่ปุ่่นมีเป้าหมายต้องการให้ค่าแรงในประทเศสูงขึ้น ทำให้ธุรกิจอุตสาหกรรมต้องหันไปใช้กลยุทธ์การผลิตสินค้าคุณภาพสูง และหาทางให้ธุรกิจสามารถมีผลกำหรจากสภาพที่ต่าแรงในประเทศสูง
หน่วยงานรัฐของฐี่ปุ่น คือ กระทรวงการต้าและอุสาหกรรมระหว่างประเทศ หรือ MITI จะเป็นผุ้กำหนดวิสัยทัศน์ของอนาคตญี่ป่นุ โดยผ่านการปรึกษาหารือกับภาคธุรกิจและแรงงาน MITI ตั้งขึ้นใาเมือปี 1927 แต่ภายหลังจากสงครามเข้ามามีบทบาทโดดเด่นในการกำหนดนโยบายอุตสาหกรรมของญีปุ่่น เยอรมนนั้นแตกต่างจากญี่ปุ่่น คือ รัฐไม่มีแนวทางการพัฒนาเศราฐกิจแบบเป็นทางการแต่กระบวนการทางการเมืองแผนกลยุทธ์ธุรกิจของรัฐท้องถ่ินต่างๆ และความรวมมือของหุ้นสวนทางสังคมทำให้เยอรมนีมีเป้าหมายการพัฒนาเศราฐกิจ แบบเดียวกับญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นและเยอรมนรีมีวิธีที่แตกต่างกันในการสร้างแรงงานที่มีคุณภาพ แต่ทั้งสองประเทศก็สามารถบรรลุเป้หมายนี้เหมือนกันความแตกต่างอยู่ที่ความสัมพันะ์ระหว่างแรงงานกับอุตสาหกรรมที่จ้างงาน เยอรมนีมีธรรมเนียมมาตั้งแต่โบราณในเรื่องระบบการฝึกงาน หากถามว่าทำงานอะไร คนเยอรมันจะตอบว่าเป้นช่างเทคนิค เพราะเคยฝึกงานสาขานี้มาก่อน แต่คนญี่ป่นุจะตอบว่าทำงานกับมิตซูบิชิหรือโตโยต้า บริษัทเยอรมันคาดหมาย่ว่าแรงงานใหม่ๆ จะมีทักษะในงานที่จ้างและมอบหมายให้ทำส่วนนายจ้างญี่ปุ่่นคาดหมายว่า ลูกจ้างใหม่จะสามารถเรียนรู้และทำงานใหม่ได้ดี รวมทั้งเมื่อย้ายไปทำงาฝ่ายอื่นๆ ของบริษัท
ญี่ปุ่นไม่มีระบบการศึกษาแบบอาชีวะที่โดดเด่นแบบเยอรมนี บริษัทต่างๆ รับคนงานให่จากนักเรียนที่จบมัธยมศึกษาตอนปลายโดยดูจากคุณสมบัติที่เป็นความสามารถทั่วไป การที่ธุรกิจรับพนักงานจากคุณสมบัติทั่วไปดังกล่าว ทำให้ญี่ปุ่นต้องวางหลักสูตรการศึกษาระดับโรงเรียนให้มีมาตรฐานสูงมาก ส่วนริษัทใหญ่ๆ จะมีหลักสูตรการฝึกฝนอบรมแก่พนักงานใหม่ใด้านจ่างๆ เช่น โตโยต้าจะให้พนักงานใหม่เข้ารับการอบรมเป็นเวลา 2 ปี ในเรื่องอิจิตอล อิเล็กทรอนิกส์ กอนที่จะเข้าไปทำงนในโรงงานเป็นต้น
ระบบการจ้างงานจนเกษีณของริษัทยักษ์ใหญ่ และวิธีทำงานที่ให้พนักงานย้ายไปทำงานฝ่ายต่างๆ ของบริษัท ทำให้นายจ้างเต็มใจที่จะลงทุนเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน เพราะเห็นว่าเป็ฯการลงทุนที่สามารถคืนผลตอบแทนกลับมาได้ คนงานญี่ปุ่นเองก็มีทัศนคติที่กระตือรอือร้นต่อการเข้ารับการอบรมอย่างต่อเนื่อง เพราะเห็นว่าการร่วมงานกับบริษัทขนาดใหญ่ เหมือนกับตัวเองเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว กาทำงานในองค์การเหมือนกับตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานเป็นทีม ทักษระความสามารถของกลุ่มคณะทำงาน จึงเป็นรากบานที่สร้างควาสำเร็จของบริษัทญี่ป่่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการควบคุมคุณภาพหรือการปรับปรุงคุณภาพผลิตภัฒฑ์อย่างต่อเนื่อง
กล่าวโดยสรุป ความสำเร็จของญี่ปุ่นเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ห้น่วนทางสังคมเห็นพื้องที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมจากการแข่งขันด้านคุณภาพ ระบบการจ้างงานจนเกษียณ ผลประโยชนืของคนงานเป้นอันหนึ่งอันเดียวกัผลประโยชน์องค์กร ระบบการศึกาาที่มีคุณภาพสูง การลงทุนอย่างต่อเนื่องของธุรกิจเพื่อพัฒนาทักษะคนงาน และความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายแรงงานกับฝ่ายบริหารที่อาศัยการปรึกาาหารือ เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนสะท้อนอยู่ในเนื้อหาและการทำหน้าที่ของคนี่ปุ่นในองค์กรต่างๆ
ระบบการศึกษาจะสะท้อนรูปแบบระบบเศรษฐกิจแบบกลไกตลาดของแต่ละประเทศ สหรัฐเมริกาที่มีเศราฐกิจกลไกตลาดเสรีการศึกษาจะเป็นระบบการเรียนรู้เพื่อสร้างความสาารถเฉพาะตัวของนักเรียน ส่วนเยอรมนีและญี่ปุ่นที่มีเศรษฐกิจกลไกตลาดเพื่อสังคม การศึกาาจะมุ่งสร้างทักษะวิชาชีพแก่นักเรียนทุกคน เพื่อให้คุณภาพของประชากรเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสร้างความมั่งคั่งทางเศรา,กจิอของประเทศ...thaipublica.org/2017/07/pridi56/
วันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2560
วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2560
ASEAN Education
การเปิดเสรีด้านการศึกษาในระดับภูมิภาคอาเซียน การเตรียมความพร้อมของประเทศไทยเพื่อก้าวสู่ประชาคมเศรษบกิจอาเซียนในปี 2558 นับเป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วนของประเทศนวันนี้ ในช่วง
หนึ่งปีที่ผ่านมาผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการวิจัยเรื่องการพัฒนาบุคลากรและผลิตภาพบุคลากรเพื่อรองรับการเปิดเสรีอาเซียน ซึ่ง รศ.ดร. พัชราวลัย วงศ์บุญสิน อาจารย์ประจำวิทยาลัยประชากรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหัวหน้าโครงการ และคณะผุ้วิจัยประกอบด้วยอาจารย์หลายท่่านจากวิทยลัยประชกรศาสตร์คณะเศรษฐศาสตร์ และคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาบัย โดยในส่วนของผุ้เขียนได้เน้นศึกษาการเปิดเสรีการศึกษาระดับอุดมศึกษา ร่วมกับ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สำหรับโครงการวิจัยนี้ มีที่มาจากแนวคิดว่าการเปิดเสรีด้านการศึกษาจะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายองค์ความรู้ภาษา และวัฒนธรรม และจะมีผลต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ดังนั้นภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาจึงจำเป้นต้องปรับตัวเพื่อเตียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงหลายท่านคงทราบว่า บริการด้านการศึกษานับเป็นสาขาหนึ่งของการค้าบริการในบริบทของการต้าระหว่างประเทศ ซึ่งการเปิดสรีด้านการสึกษาของไทย จัได้ว่าอยู่ในบริบทแวดล้อม 2 ระดับ ได้แก่
1. ระดับพหุภาคี โดยอยู่ภายใต้ความตกลงทั่วไปว่าด้วยการต้าบริการ ขององค์การค้าโลกหรือที่เรารู้จักกันในนาม WTO
2. ระดับภูมิภาคอาเวีน โดยอยู่ภายใต้ความตกลงการต้าบริการของอาเซียน โดยการเปิดเสรีการต้าบริการในระดับภมูิภาคอาเซียน อิงหลักการตามความตกลงทั่วไปว่าด้วยการต้าบริการขององค์การการต้าโลก แต่เน้นให้เป็นไปในลักษณะที่กว้างและลึกกว่าที่ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ผูกพันไว้ภายใต้ความตกลงทั่วไปว่าด้วยการตาบริการขององค์การการต้าดลก ซึ่งการเปิดเสรีการต้าบริการของอาเวียน มีการจัดทำข้อผูกพันในด้านการเข้าสู่ตลาด และการปฏิบัติเยี่ยยงคนชาติ และมีรูปแบบการต้าบริการ 4 รูปแบบ ได้แก่
รูปแบบที่ 1 ได้แก่การให้บริการข้ามพรมแดน ยกเตัวอย่งเช่น การที่ประเทศมาเลเซียสั่งซื้อโปรแกรมเพื่อการศึกษาจากประเทศสิงคโปร์
รูปแบบที่ 2 ได้แก่ การบริโภคบริการในต่างประเทศ เช่น การที่นักศึกษาจากประเทศลาวเดินทางไปศึกษาต่อระดับปรญญาโทที่ประเทศอินโดนีเซีย
รูปแบบที่ 3 ได้แก่ การจัดตั้งธุรกิจเพื่อให้บริการ เช่น การที่มหาวิทยาลัยจากประเทศไทยไปตั้งสาขาที่ประเทศพม่า
รูปแบบที่ 4 ได้แก่ การเคลื่อยย้ายบุคลากร เช่น การที่ครูจากประเทศฟิลิปปินส์เดินทางไปสอนภาษาอังกฤษที่ประเทศเวียนดนาม
ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกอาเซียนมีลัษณะการเปิดเสรีด้านการศึกษาที่เป็นไปในรูปแบบเดียวกับหลุ่มประเทศสมาชิกองค์การการต้าโลก โดยมีการเปิดเสรีในระดับที่มากกว่าสำหรับรูปแบบการต้าบริการรูปแบบที่ 1 และ 2 เมื่อเทียบกับรูปแบบที่ 3 และ 4 โดยหลายประเทศมีข้อจำกัดสำหรับรูปแบบการต้าบริการรูปแบบที่ 3 และยังแทบจะไม่มีการเปิดเสรีในกรณีของรูปแบบที่ 4
ประเทศไทยมีระดับการเปิดเสรีด้านการศึกาามากน้อยเพียงใดคำตอบคือค่อนข้างมาก ประเทศมีข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการศึกาาในทุกระดับการศึกษา และในหลายประเภทของการศึกษาในแต่ละระดับโดยจัดว่ามีจำนวนของระดับและประเภทของการศึกษาที่มีข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการศึกาามากกว่าประเทศส่วนใหญ่ในอาเวียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับมัธยมศึกาาและระะับอุดมศึกาาประเทศไทยมีข้อผูกพันที่คีอบคลุมทุกประเภอของการศึกษาใน 2 ระดับนี้http://www.thai-aec.com/697
เปิดเสรีการค้าบริการการศึกาาอาเซียนระเบิเวลาธุรกิจการศึกษาไทย
...ปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ตระหนักถึงผลกระทบของการรวมตัวเป็นประชาคมอาเวียนต่ออุดมศึกษาไทย ซึ่งเป็นประเด็นที่กรอบแผนอุดมศึกษาระยะยาว 15 ปี ฉบัยที่ 2 (พ.ศ. 2551-2565) ให้ความสำคัญในฐานะที่เป็นปัจจัยโดยตรงต่อการจัดการอุดมศึกษา จึงเป็นที่มาของยุทธศาสตร์อุดมศึกษาไทยในการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งจัดทำขึ้นจากผลการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมิ การระดมความเห็นจากกลุ่มเป้าหมายต่างๆ โดยยึดตามกรอบการพัฒนาของอาเซียน โดยเฉพาะการเป็นประชาคมอาเซียน ซึงประกอบด้วย
การเพิ่มขีดความสามารถของบัณฑิตให้มีคุณภาพมาตรฐานในระดับสากล
การพัฒนาความเข้มแข็งของสถาบันอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาประชาคมอาเซียน
การส่งเสริมบทบาทของอุดมศึกาษไทยในประชาคมอาเซียน
"ภาษา" อุปสรรคการแข่งขัน แม้รัฐบาลไทยจะมีนโยบายประกาศตัวเป็น "ศูนยกลางการศึกษาในภูมิภาค" หรือ "ฮับการศึกษา" ประกาศประลองความเป็น "ฮับ" กับมาเลเซีย แต่เมื่อต้องก้าวเข้าไปผูกพันในตลาดเสรีตามแยนการสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเวียนที่ทั่วทั้งภูมิภาคจะเป็นตลาดเดียวกัน มีแรงงานเคลื่อย้ายข้ามไปมากันได้ และการก่อตั้งธุรกิจในต่างประเทศ โดยมีการคุ้มครองจากหลักากรปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง ทำหใ้ตลาดการศึกษาระหว่างสถาบันอุดมศึกษาภาคคเอกชนในภูมิภาคนี้น่าจะคึกคักและตื่อนเต้นไม่น้อย
เมื่อเปรียบยเทียบสมรรถนะความสามารถในการแข่งขันเพื่อสะท้อนสถานภาพการศึกษาของประเทศไทยยังพบด้วยว่า ผลสัมฤทธิ์ของการอุดมศึกษาไทยมีผุ้จบระดับอุดมศึกษาเพียง 18% อยู่ในอันดับที่ 43 และความามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของไทยยังด้อยคืออยู่ในอันดับที่ 51
การถ่ายโอนความรุ้ระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคฑุรกิจ ได้อันดับที่ 32 และการจัดการศึกษาที่สนองความต้องการของภาคธุรกิจ ได้อันดับที่ 32 ด้วยเกตุนี้จึงต้องมีมาตรการที่ควรดำเนินการเพิ่มเติมแก้ไขปัญหา เตรยมความพร้อม เมื่อต้องเปิดเสรีภาคการต้าบริการด้านการศึกษา และการเป็นตลาดเดียวกันทั่วอาเซียนในอีก 5 ปี ข้างหน้าด้วยมาตรการ อาทิ ส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ โดยให้มีระบบวัดผลการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่มีประสิทธภาพ
การส่งเสริมการผลิดตและพัฒนาอาจารย์ด้านการสอนภาษาอังกฤษ ภาษาของประเทศสมาชิกอาเวียน การส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาของประเทศสมาชิกอาเซียน ความรุ้เกี่ยวกับอาเวียน การวิจัยด้านอาเวียน การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนนักศึกษา สนับสนุนการถ่ายโอนหน่วยกิตระหว่างสถาบันอุดมศึกษาของไทยกับประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างต่อเนื่องและเป้นระบบ...http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=21518&Key=hotnews
หนึ่งปีที่ผ่านมาผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการวิจัยเรื่องการพัฒนาบุคลากรและผลิตภาพบุคลากรเพื่อรองรับการเปิดเสรีอาเซียน ซึ่ง รศ.ดร. พัชราวลัย วงศ์บุญสิน อาจารย์ประจำวิทยาลัยประชากรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหัวหน้าโครงการ และคณะผุ้วิจัยประกอบด้วยอาจารย์หลายท่่านจากวิทยลัยประชกรศาสตร์คณะเศรษฐศาสตร์ และคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาบัย โดยในส่วนของผุ้เขียนได้เน้นศึกษาการเปิดเสรีการศึกษาระดับอุดมศึกษา ร่วมกับ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สำหรับโครงการวิจัยนี้ มีที่มาจากแนวคิดว่าการเปิดเสรีด้านการศึกษาจะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายองค์ความรู้ภาษา และวัฒนธรรม และจะมีผลต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ดังนั้นภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาจึงจำเป้นต้องปรับตัวเพื่อเตียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงหลายท่านคงทราบว่า บริการด้านการศึกษานับเป็นสาขาหนึ่งของการค้าบริการในบริบทของการต้าระหว่างประเทศ ซึ่งการเปิดสรีด้านการสึกษาของไทย จัได้ว่าอยู่ในบริบทแวดล้อม 2 ระดับ ได้แก่
1. ระดับพหุภาคี โดยอยู่ภายใต้ความตกลงทั่วไปว่าด้วยการต้าบริการ ขององค์การค้าโลกหรือที่เรารู้จักกันในนาม WTO
2. ระดับภูมิภาคอาเวีน โดยอยู่ภายใต้ความตกลงการต้าบริการของอาเซียน โดยการเปิดเสรีการต้าบริการในระดับภมูิภาคอาเซียน อิงหลักการตามความตกลงทั่วไปว่าด้วยการต้าบริการขององค์การการต้าโลก แต่เน้นให้เป็นไปในลักษณะที่กว้างและลึกกว่าที่ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ผูกพันไว้ภายใต้ความตกลงทั่วไปว่าด้วยการตาบริการขององค์การการต้าดลก ซึ่งการเปิดเสรีการต้าบริการของอาเวียน มีการจัดทำข้อผูกพันในด้านการเข้าสู่ตลาด และการปฏิบัติเยี่ยยงคนชาติ และมีรูปแบบการต้าบริการ 4 รูปแบบ ได้แก่
รูปแบบที่ 1 ได้แก่การให้บริการข้ามพรมแดน ยกเตัวอย่งเช่น การที่ประเทศมาเลเซียสั่งซื้อโปรแกรมเพื่อการศึกษาจากประเทศสิงคโปร์
รูปแบบที่ 2 ได้แก่ การบริโภคบริการในต่างประเทศ เช่น การที่นักศึกษาจากประเทศลาวเดินทางไปศึกษาต่อระดับปรญญาโทที่ประเทศอินโดนีเซีย
รูปแบบที่ 3 ได้แก่ การจัดตั้งธุรกิจเพื่อให้บริการ เช่น การที่มหาวิทยาลัยจากประเทศไทยไปตั้งสาขาที่ประเทศพม่า
รูปแบบที่ 4 ได้แก่ การเคลื่อยย้ายบุคลากร เช่น การที่ครูจากประเทศฟิลิปปินส์เดินทางไปสอนภาษาอังกฤษที่ประเทศเวียนดนาม
ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกอาเซียนมีลัษณะการเปิดเสรีด้านการศึกษาที่เป็นไปในรูปแบบเดียวกับหลุ่มประเทศสมาชิกองค์การการต้าโลก โดยมีการเปิดเสรีในระดับที่มากกว่าสำหรับรูปแบบการต้าบริการรูปแบบที่ 1 และ 2 เมื่อเทียบกับรูปแบบที่ 3 และ 4 โดยหลายประเทศมีข้อจำกัดสำหรับรูปแบบการต้าบริการรูปแบบที่ 3 และยังแทบจะไม่มีการเปิดเสรีในกรณีของรูปแบบที่ 4
ประเทศไทยมีระดับการเปิดเสรีด้านการศึกาามากน้อยเพียงใดคำตอบคือค่อนข้างมาก ประเทศมีข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการศึกาาในทุกระดับการศึกษา และในหลายประเภทของการศึกษาในแต่ละระดับโดยจัดว่ามีจำนวนของระดับและประเภทของการศึกษาที่มีข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการศึกาามากกว่าประเทศส่วนใหญ่ในอาเวียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับมัธยมศึกาาและระะับอุดมศึกาาประเทศไทยมีข้อผูกพันที่คีอบคลุมทุกประเภอของการศึกษาใน 2 ระดับนี้http://www.thai-aec.com/697
เปิดเสรีการค้าบริการการศึกาาอาเซียนระเบิเวลาธุรกิจการศึกษาไทย
...ปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ตระหนักถึงผลกระทบของการรวมตัวเป็นประชาคมอาเวียนต่ออุดมศึกษาไทย ซึ่งเป็นประเด็นที่กรอบแผนอุดมศึกษาระยะยาว 15 ปี ฉบัยที่ 2 (พ.ศ. 2551-2565) ให้ความสำคัญในฐานะที่เป็นปัจจัยโดยตรงต่อการจัดการอุดมศึกษา จึงเป็นที่มาของยุทธศาสตร์อุดมศึกษาไทยในการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งจัดทำขึ้นจากผลการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมิ การระดมความเห็นจากกลุ่มเป้าหมายต่างๆ โดยยึดตามกรอบการพัฒนาของอาเซียน โดยเฉพาะการเป็นประชาคมอาเซียน ซึงประกอบด้วย
การเพิ่มขีดความสามารถของบัณฑิตให้มีคุณภาพมาตรฐานในระดับสากล
การพัฒนาความเข้มแข็งของสถาบันอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาประชาคมอาเซียน
การส่งเสริมบทบาทของอุดมศึกาษไทยในประชาคมอาเซียน
"ภาษา" อุปสรรคการแข่งขัน แม้รัฐบาลไทยจะมีนโยบายประกาศตัวเป็น "ศูนยกลางการศึกษาในภูมิภาค" หรือ "ฮับการศึกษา" ประกาศประลองความเป็น "ฮับ" กับมาเลเซีย แต่เมื่อต้องก้าวเข้าไปผูกพันในตลาดเสรีตามแยนการสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเวียนที่ทั่วทั้งภูมิภาคจะเป็นตลาดเดียวกัน มีแรงงานเคลื่อย้ายข้ามไปมากันได้ และการก่อตั้งธุรกิจในต่างประเทศ โดยมีการคุ้มครองจากหลักากรปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง ทำหใ้ตลาดการศึกษาระหว่างสถาบันอุดมศึกษาภาคคเอกชนในภูมิภาคนี้น่าจะคึกคักและตื่อนเต้นไม่น้อย
เมื่อเปรียบยเทียบสมรรถนะความสามารถในการแข่งขันเพื่อสะท้อนสถานภาพการศึกษาของประเทศไทยยังพบด้วยว่า ผลสัมฤทธิ์ของการอุดมศึกษาไทยมีผุ้จบระดับอุดมศึกษาเพียง 18% อยู่ในอันดับที่ 43 และความามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของไทยยังด้อยคืออยู่ในอันดับที่ 51
การถ่ายโอนความรุ้ระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคฑุรกิจ ได้อันดับที่ 32 และการจัดการศึกษาที่สนองความต้องการของภาคธุรกิจ ได้อันดับที่ 32 ด้วยเกตุนี้จึงต้องมีมาตรการที่ควรดำเนินการเพิ่มเติมแก้ไขปัญหา เตรยมความพร้อม เมื่อต้องเปิดเสรีภาคการต้าบริการด้านการศึกษา และการเป็นตลาดเดียวกันทั่วอาเซียนในอีก 5 ปี ข้างหน้าด้วยมาตรการ อาทิ ส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ โดยให้มีระบบวัดผลการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่มีประสิทธภาพ
การส่งเสริมการผลิดตและพัฒนาอาจารย์ด้านการสอนภาษาอังกฤษ ภาษาของประเทศสมาชิกอาเวียน การส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาของประเทศสมาชิกอาเซียน ความรุ้เกี่ยวกับอาเวียน การวิจัยด้านอาเวียน การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนนักศึกษา สนับสนุนการถ่ายโอนหน่วยกิตระหว่างสถาบันอุดมศึกษาของไทยกับประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างต่อเนื่องและเป้นระบบ...http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=21518&Key=hotnews
วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2560
ASEAN :The Basic Education II
เมียนมาร์ โรงเรียนมนประเทศเมียนมรร์ จะเปิดในเดือนมิถุนายนและปิดในเดือนมิถุนายมและปิดในเดือนมีนาคมในปีถัดไป เด็กๆ ที่มิีอายุ 5 ขวบ ต้องเข้าดรงเรยนประถม รับบาลเมีนยมาร์จะดูแลรับผิดชอบการศึกษาขั้นพื้นฐานที่เร่ิมขึ้นจากช่วงการศึกษาระดับประถมในระยะเวลา 5 ปี และตามด้วยการศึกษาระดับมัธยมเป้นเวลา 4 ปี และอีก 2 แี สำหรับการศึกษาระดับประถมศึกษาตอนปลาย โดยรวมแล้วรัฐบาลเมียนมาร์จัดให้มีการศึกษาทั่วไปๆ ไปเป็นเวลา 11 ปี นโยบายการศึกษา
การศึกษาของประเทศเมียนมาร์นั้นได้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการของเด็กทั้ง 2 ด้าน คือทั้งทางด้านจิตใจ และทางกายควบคู่กับไปและเน้นเรื่องการใช้ชีวิต และพฤติกรรมที่พึงมีต่อสังคม
วิสัยทัศน์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า "การศึกษาเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์และเป็นส่วนประกอบนสำคัญ ในคุณภาพชีวิต เป็นเครื่องค้ำประกันคุณค่าทางสังคมและศีลธรรมเป็นเครื่องมือสำหรับผลิตผลทางเศราฐกิจวัตถุประสงค์ด้านสังคมสำหรับการศึกษาในประเทศเมียนมารร์นั้นมีความมุ่งหมายสูง รวมถึงการพัฒนานักเรียนเพื่อการแก้ปัญหา และมีความคิดสร้างสรรค์ นำไปสู่การพัฒนาสถาบันและสังคม ส่งเสริมความเป็นเอกภาพของชาติและขจัดความแบ่งแยก เรียนรุ้ที่จะทำงานร่วมกับผุ้อื่น และพัฒนาความมั่นใจในตนเองจุดมุ่งหมายดังกล่าวของนโยบายการศึกษาของรับบาล ก็เพื่อจะสร้างระบบการศึกษาซึ่งก่อให้เกิดสังคมของการเรียนรุ้ที่สมารถเผชิญหน้ากับคท้าทายในยุคแห่งการเรียนรู้
นอกจากนั้น กระทรวงการต่างประเทศของเมียนมาร์ที่ได้กล่าวถึงการศึกษาของเมียนมาร์ ดังนี้
"เด็กในวัยเรียนทุกคนต้องอยู่ในโรงเรียน" และ "การศึกษาสำหรับทุกคน" เป้นคำขวัญซึ่งเป้นแนวทางในการจัดการศึกษาของประเทศเมียนมาร์ เพื่อให้ทันกับยุคข้อมูลข่าวสารในปัจจุบยัน โรงเรียนมัธยมและโรงเรียนประถมศึกษาได้มีการติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยให้นักเรียนได้มีความคุ้นเคยกับสืออิเล็กทอรนิกส์ แต่อย่างไรก็ตามวิธีการที่สมบุรณ์แบบ นั่นก็คือการพัฒนาด้านจิตใจ ให้มีศีลธรรมภายในร่างกายที่มีสุขภาพดี โรงเรียนได้ฝึกฝนนักเรียน ใด้านศีลธรรมและพฤ๖ิกรรมการอยู่ร่วมในสััคม เพื่อสนับสนุนจุดประสงค์นี้ต่อไปโรงเรียนของัดจึงได้รับการฟื้นฟูขึ้นมา
ระดับประถมศึกษา
การศึกษาในระดับประถมศึกาาเป้นช่วงเรียนแรกของการศึกษาขั้นพื้นฐานและเป้ฯการศึกษาภาคบังคับ ระยะเวลบาเรียนประมาณห้าปีที่ซึ่งรวมในปีที่รับเข้าม แบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือประถมศึกษาตอนต้น ตั้งแต่ เกรด 1-3 และระดับประถมศึกาาตอนปลาย คือ เกรด 4 และเกรด 5 ในการับเข้าศึกษาในระดับปรถมศึกษานั้นจะรับนักเรียนที่มีอายุประมาณ 5 ขวบ แต่บลางครั้งก็มีนักเรียนบางคนเข้าเรียนในขณะที่มีอายุเกิน 6 ขวบก็มี และเมื่อจบการศึกษาระดับประถมศึกษาแล้วนักเรียนะต้องผ่านการทดอสอบ
ระดับมัธยมศึกษา
ระดับมัธยมศึกษาเป้ฯการศึกษาในช่วงที่ 2 ของการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งใในระดับมัธยมศึกษาแบ่งระดับออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (เกรด 6-9) และระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเกรด 10-11 เมื่อนักเรียนจบระดับมัะยมศึกษาตอนต้น นักรเียนจะต้องผ่านการทดสอบความรู้พื้นฐาของมัะยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย
ลาว ภายหลังเปลี่ยนการปกครองเมือปี ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2528) เป้นต้นมา ลาวได้ใช้ระบบการศึกาาเป้นปบบ 11 ปี คือ ระบบ 5 3 3 โดยแบ่งออกเป็นระบบการศึกษา 3 ประเภทด้วยกัน คือ
สามัญศ฿กาา ประกอบด้วย
- ระดับเตรียมอนุบาลและอนุบาล 3 ปี
- ประถมศึกษา 5 ปี ใช้เวลาในการศึกษา 5 ปี
เด็กจะเร่ิมเข้าเรียนเมืออายุ 6 ปี การศึกษาในระดับนี้คือเป้ฯการศึกษาภาคบังคับง เด็กทุกคนต้องจบการศึกษาในระดับนี้ แต่ในทางปฏิบัติการศึกษาภาคบังคับจะมีผลดีแต่เฉพาะเด็กในเมืองใหญ่เท่านั้นเนื่องจากลาวมีพื้นที่ประเทศกว้างขวางและประชกรกระจายกัน
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี ใช้เวลาในการศึกษา 3 ปี และในอนาคตจะให้เด็กได้เรียนภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้น
อาชีวะศึกาา ประกอบด้วย
- ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพและช่างเทคนิค
- ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง
วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย ประกอบ้ดวย วิทยาลัย มี 38 แห่ง และมหาวิทยาลัย 3 แห่งมหาวิทยาลัยทั้ง 3 แห่งได้แก่ มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาวนครเวียงจันทน์ ซึ่งใช้เวลา 5-7 ปี ประกอบไปด้วย 6 วิทยาเขต 10 คณะวิชา ใน พ.ศ. 2551 ได้เปิดสอนระดับปรญญาเอก เป็นโครงการร่วมมอกับมหาวิทยาลัยเศรษฐกิจของเวียดนาม มหาวิทยาลัยสุพานุวง แขวงหลวงพระบางมหาวิทยาลัยจำปาสัก แขวงจำปาสัก
การศึกษานอกระบบโรงเรียนแบ่งเป้ฯ 4 ประเภท คือ
- การฝึกอบรมผุ้ใหญ่ที่อ่านและเขียนหนังสือไม่เป็น
- การยกระดับวิชาชีพแก่ผุ้ใหญ่และการยกเระดับวิชาชีพแก่เจ้าหน้าที่และพนักงาน
- การศึกาาภาคเอกชน ที่ทางรัฐบาลอนุญาตให้ทางเอกชนจัดระบบการเรียนการสอนในระดับอนุบาล จนถึงปริญญาตรี ปรญญาโทและปรญญาเอก
- โรงเรียนสงฆ์ ตั้งอยู่ในหลวงพระบาง ซึงได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเป็นอย่างดีและเก็บค่าเล่าเรียนในอัตราที่ถุก คือ 35,000 กีบหรือประมาณ 140 บาทต่อปี ทำให้มีผุ้มาบวชเรียนจำนวนมาก แต่จำกัดเฉพาะเพศชายเท่านั้นบ่อเกิดของสิทธิในการศึกษาภาคใต้กรอบนโยบายของลาว
.. บางส่วนจาก รวมบทความเรื่อง "การจัดการการศึกษาในประชาคมอาเวียน และคู่เจรจา : สิงคโปร์ บรูไน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม พม่า และลาว : จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์", โดยคณะนักศึกษาหลักสุตรศึกษาศาสตร์ดุษฎีบัฒฑิต ปีการศึกษา 2556 สาขาวิชาการจัดการการศึกษา วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์.
กัมพูชา การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และเศราฐกิจสังคม นำไปสู่การปฏิรูปด้านการศึกษาของกัมพุชาก่อนปี พ.ศ. 2518 ได้ยึดระบบการศึกษาแบบฝรั่งเศสซึ่งให้มีการศึกษาภาคบังคับ 13 ปี ( 6+1) ภายหลังปี พงศ. 2522 กระทรวงศึกษาฯ ใช้ระบบการศึกษาแบบ 10 ปี 4+3+3 และต่อมาได้ขยายเป็นแบบ 11 ปี และใช้สืบเนื่องจากปี พ.ศ. 2529 -2539 กระทรวงศึกษาฯ ยังคงดำเนินการพัฒนาระบบการศึกษา มีการปฏิรูปหลักสูตรมีการพัฒนาตำราเรียนใหม่และนำเทคนิคการสอนใหม่ๆ มาหใ้กับครูเพื่อเตรียมสำหรับการนำระบบการศึกษาแบบ 12 ปีมาใช้ 6+3+3 ในปีการศึกาา 2539-2540 โดยระบบใหม่นี้ จะแบ่งเป็นการศึกษาก่อนประถมศึกษา 3 ปี ประถมศึกษา 6 ปี มัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี มัธยมศึกษาตอนปลาย 3 ปี และระดับอุดมศึกษา 4-7 ปี ส่วนการจัดการศึกษาด้านอาชีวะและเทคนิคจัดให้ตั้งแต่ 1 ปี ไปจนถึง 3-5 ปีการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกาานี้บางสถบันการศึกษาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรสาะารรสุขหรือแรงงานการจัดการศึกษานอกระบบจะเน้นการฝึกทักษะให้กับประชาชนsites.google.com/site/kamphucha5089/kar-suksa
มาเลเซีย รัฐบาลของประเทศมาเลเซียต้องการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางของความเป็นเลิศทางด้านการศึกษาในภูมิภาคนี้โยมีการวางแผนพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่องผลของการพัฒนาเห้ฯได้ชัดจากการที่มีนักเรียนต่างชาติเดิมนทางเข้ามาศึกษาที่ประเทศมาเลเซียสุงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปัจจุบันมีนักเรียนนักศึกษาต่างชาติมากถึง 50,000 คน จากประเทศต่างๆ กว่า 100 ประเทศ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของการศึกษาระดับนนาชาติที่มีคุณภาพ ประกอบกับหลักสูตรที่มีความหลากหลายเป็นที่ยอมรับ และมีราคาที่เหมาสมด้วย
ระบบการบริหารการศึกษาของประเทศมาเลเซีย อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการแบ่งระดับการบริหารเ็น 5 ระดับคือ ระดับชาติ ระดับรัฐ ระดับอำเภอ ระดับกลุ่มโรงเรียน และระดับโรงเรียน การบริหารโรงเรียนระดับชาติอยุ่ในความควบคุมของรัฐบาลกลาง การศึกษาทุกประเภทอุกระดับอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการเพียงกระทรวงเดียว ยกเวนการศึกษาที่มีลักษณะเป้นการศึกษานอกระบบจะมีกรมจากกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบ เช่น กรมแรงงาน กรมเกษตร เป็นต้น
ระบบการจัดการศึกษาของมาเลเซีย เป็นระบบ 6:3:2 คือระบบการศึกษาของมาเลเซียจัดอยุ่ในระดับที่มีมาตรฐานสุงตามแบบของประเทศอังกฤษ สถาบันการศึกาาส่วนใหย่จะใช้ภาาาอังกฤษเป้นสื่อในการสอน ระบบการเรียน การสอนแบบ ทิวินนิ่ง โปรแกรมเป้ฯระบบที่ได้รับความนิยมอย่างมกเป้ฯการร่วมมือกับสถาบันในประเทศ อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนนาดา สวิสเซอร์แลนด์ ฯลฯ
การศึกษาในประเทศมาเลเซียน ระดับประถมศึกษาหลักสุตร 6 ปีการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หลักสุตร 3 ปีการศึกษา, ระดับมัธยมศึกาาตอนปลาย หลักสูตร 2 ปีการศึกษา, ระดับเตรียมอุดมศึกษา หลักสูตร 1 หรือ 2 ปีการศึกษา, ระดับอุดมศึกษา หลักสุตรเฉลี่ยประมาณ 3 ปีครึ่ง ถึง 4 ปีการศึกษาwww.sjworldedu.com/country/malaysia/malaysia-education-system/
ไทย ระบบกรศึกาาในโรงเรียนของประเทศไทยนั้นจะแบ่งการศึกษาออกเป็น 4 ช่วงชั้น คือ 1 ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3, 2) ตั้งแต่ระดับชั้นที่ 1 ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 3) ระดับชั้นมัธยมึกษาตอนต้น (มัธยมศึกษา 1-3) และ4 คือระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย(มัธยมศึกษาปีที่ 4-6) โดยในชั้นที่ 4 นอกจากจะมีการจัดการศึกษาในสายสามัญแล้ว ยังวีการจัดการศึกษาในสายอาชีพด้วย ซึ่งในระดับชั้น ปวช. 1-3 นั้นจะเทียบเท่ากับระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายโดยนักเรียนที่เลือกสายสามัญมัมีความตั้งใจที่จะศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ส่วนนักศึกษที่เลือกสายอาชีพมักวางแผนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การจ้างงานและศึกษาเพิ่มเติม
นอกจากนี้นักเรียนตะต้องสอบข้อเขียนของโรงเรียนแล้ว นักเรียนจำเป็นจ้องมีคะแนนการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ(โอเน็ต) ซึ่งมีการจัดสอบในช่วงปลายภาคเรียนที่ 2 ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และปลายภาคเรียนที่ 2 ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ยื่นประกอบในการพิจารณา ส่วนการทดสอบระดับชาติของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จะนำไปใช้ใช้ในการรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย
ประเทศไทยมีการแบ่งดรงเรียนออกเป็น 2 รูปแบบ คือ โรงเรียนรัฐและโรงเรียนเอกชน โดยโรงเรียนรัฐ นั้นจะบริหารจัดการโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือหน่วยงานอื่นๆ ที่ไม่ได้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เช่น องค์กรโดยกลุ่มบุคคลหรือมูลนิธิต่างๆ ที่มีใบอนุญาตัดตั้ง ซึ่งโยส่วนใหญ่แล้วมักเป็นโรงเรียนที่มีส่วนเกี่ยวเนื่องกับศาสนาคริสต์ และศาสนอิสลามเป็นหลัก ในเขตชนบทของประเทศไทยนั้นหลายๆ โรงเรียนมีลักษณะเ็นโรงเรียนขยายโอกาศ คือ มีการจัดการเรียนการสอนระดับชั้นประถมศึกษา-ทัธยศึกษาตอนต้น หรืออาจมีการจัดการเรียนการสอนในระดับกาดรศึกษาปฐมวัยด้วยก็ได้ เนื่องจากการขาดแคลนงบประมาณทางการศึกษาแก่โรงเรียนชนบท ส่งผลให้นักเรียนที่อาศัยอยู่ในเขตชนบทเลืหกที่จะเข้ศึกษาต่อในโรงเรียนเอกชนมากกว่าดรงเรียนของรัฐ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นว่าคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนเอกชนอยู่ระดับมรตรฐานที่ดิ หรือเข้าศึกษาต่อในเขตเมืองของจังหวัดนั้นๆ th.wikipedia.org/wiki/การศึกษาในประเทศไทย#.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.A8.E0.B8.B6.E0.B8.81.E0.B8.A9.E0.B8.B2.E0.B8.82.E0.B8.B1.E0.B9.89.E0.B8.99.E0.B8.9E.E0.B8.B7.E0.B9.89.E0.B8.99.E0.B8.90.E0.B8.B2.E0.B8.99
การศึกษาของประเทศเมียนมาร์นั้นได้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการของเด็กทั้ง 2 ด้าน คือทั้งทางด้านจิตใจ และทางกายควบคู่กับไปและเน้นเรื่องการใช้ชีวิต และพฤติกรรมที่พึงมีต่อสังคม
วิสัยทัศน์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า "การศึกษาเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์และเป็นส่วนประกอบนสำคัญ ในคุณภาพชีวิต เป็นเครื่องค้ำประกันคุณค่าทางสังคมและศีลธรรมเป็นเครื่องมือสำหรับผลิตผลทางเศราฐกิจวัตถุประสงค์ด้านสังคมสำหรับการศึกษาในประเทศเมียนมารร์นั้นมีความมุ่งหมายสูง รวมถึงการพัฒนานักเรียนเพื่อการแก้ปัญหา และมีความคิดสร้างสรรค์ นำไปสู่การพัฒนาสถาบันและสังคม ส่งเสริมความเป็นเอกภาพของชาติและขจัดความแบ่งแยก เรียนรุ้ที่จะทำงานร่วมกับผุ้อื่น และพัฒนาความมั่นใจในตนเองจุดมุ่งหมายดังกล่าวของนโยบายการศึกษาของรับบาล ก็เพื่อจะสร้างระบบการศึกษาซึ่งก่อให้เกิดสังคมของการเรียนรุ้ที่สมารถเผชิญหน้ากับคท้าทายในยุคแห่งการเรียนรู้
นอกจากนั้น กระทรวงการต่างประเทศของเมียนมาร์ที่ได้กล่าวถึงการศึกษาของเมียนมาร์ ดังนี้
"เด็กในวัยเรียนทุกคนต้องอยู่ในโรงเรียน" และ "การศึกษาสำหรับทุกคน" เป้นคำขวัญซึ่งเป้นแนวทางในการจัดการศึกษาของประเทศเมียนมาร์ เพื่อให้ทันกับยุคข้อมูลข่าวสารในปัจจุบยัน โรงเรียนมัธยมและโรงเรียนประถมศึกษาได้มีการติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยให้นักเรียนได้มีความคุ้นเคยกับสืออิเล็กทอรนิกส์ แต่อย่างไรก็ตามวิธีการที่สมบุรณ์แบบ นั่นก็คือการพัฒนาด้านจิตใจ ให้มีศีลธรรมภายในร่างกายที่มีสุขภาพดี โรงเรียนได้ฝึกฝนนักเรียน ใด้านศีลธรรมและพฤ๖ิกรรมการอยู่ร่วมในสััคม เพื่อสนับสนุนจุดประสงค์นี้ต่อไปโรงเรียนของัดจึงได้รับการฟื้นฟูขึ้นมา
ระดับประถมศึกษา
การศึกษาในระดับประถมศึกาาเป้นช่วงเรียนแรกของการศึกษาขั้นพื้นฐานและเป้ฯการศึกษาภาคบังคับ ระยะเวลบาเรียนประมาณห้าปีที่ซึ่งรวมในปีที่รับเข้าม แบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือประถมศึกษาตอนต้น ตั้งแต่ เกรด 1-3 และระดับประถมศึกาาตอนปลาย คือ เกรด 4 และเกรด 5 ในการับเข้าศึกษาในระดับปรถมศึกษานั้นจะรับนักเรียนที่มีอายุประมาณ 5 ขวบ แต่บลางครั้งก็มีนักเรียนบางคนเข้าเรียนในขณะที่มีอายุเกิน 6 ขวบก็มี และเมื่อจบการศึกษาระดับประถมศึกษาแล้วนักเรียนะต้องผ่านการทดอสอบ
ระดับมัธยมศึกษา
ระดับมัธยมศึกษาเป้ฯการศึกษาในช่วงที่ 2 ของการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งใในระดับมัธยมศึกษาแบ่งระดับออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (เกรด 6-9) และระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเกรด 10-11 เมื่อนักเรียนจบระดับมัะยมศึกษาตอนต้น นักรเียนจะต้องผ่านการทดสอบความรู้พื้นฐาของมัะยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย
ลาว ภายหลังเปลี่ยนการปกครองเมือปี ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2528) เป้นต้นมา ลาวได้ใช้ระบบการศึกาาเป้นปบบ 11 ปี คือ ระบบ 5 3 3 โดยแบ่งออกเป็นระบบการศึกษา 3 ประเภทด้วยกัน คือ
สามัญศ฿กาา ประกอบด้วย
- ระดับเตรียมอนุบาลและอนุบาล 3 ปี
- ประถมศึกษา 5 ปี ใช้เวลาในการศึกษา 5 ปี
เด็กจะเร่ิมเข้าเรียนเมืออายุ 6 ปี การศึกษาในระดับนี้คือเป้ฯการศึกษาภาคบังคับง เด็กทุกคนต้องจบการศึกษาในระดับนี้ แต่ในทางปฏิบัติการศึกษาภาคบังคับจะมีผลดีแต่เฉพาะเด็กในเมืองใหญ่เท่านั้นเนื่องจากลาวมีพื้นที่ประเทศกว้างขวางและประชกรกระจายกัน
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี ใช้เวลาในการศึกษา 3 ปี และในอนาคตจะให้เด็กได้เรียนภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้น
อาชีวะศึกาา ประกอบด้วย
- ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพและช่างเทคนิค
- ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง
วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย ประกอบ้ดวย วิทยาลัย มี 38 แห่ง และมหาวิทยาลัย 3 แห่งมหาวิทยาลัยทั้ง 3 แห่งได้แก่ มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาวนครเวียงจันทน์ ซึ่งใช้เวลา 5-7 ปี ประกอบไปด้วย 6 วิทยาเขต 10 คณะวิชา ใน พ.ศ. 2551 ได้เปิดสอนระดับปรญญาเอก เป็นโครงการร่วมมอกับมหาวิทยาลัยเศรษฐกิจของเวียดนาม มหาวิทยาลัยสุพานุวง แขวงหลวงพระบางมหาวิทยาลัยจำปาสัก แขวงจำปาสัก
การศึกษานอกระบบโรงเรียนแบ่งเป้ฯ 4 ประเภท คือ
- การฝึกอบรมผุ้ใหญ่ที่อ่านและเขียนหนังสือไม่เป็น
- การยกระดับวิชาชีพแก่ผุ้ใหญ่และการยกเระดับวิชาชีพแก่เจ้าหน้าที่และพนักงาน
- การศึกาาภาคเอกชน ที่ทางรัฐบาลอนุญาตให้ทางเอกชนจัดระบบการเรียนการสอนในระดับอนุบาล จนถึงปริญญาตรี ปรญญาโทและปรญญาเอก
- โรงเรียนสงฆ์ ตั้งอยู่ในหลวงพระบาง ซึงได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเป็นอย่างดีและเก็บค่าเล่าเรียนในอัตราที่ถุก คือ 35,000 กีบหรือประมาณ 140 บาทต่อปี ทำให้มีผุ้มาบวชเรียนจำนวนมาก แต่จำกัดเฉพาะเพศชายเท่านั้นบ่อเกิดของสิทธิในการศึกษาภาคใต้กรอบนโยบายของลาว
.. บางส่วนจาก รวมบทความเรื่อง "การจัดการการศึกษาในประชาคมอาเวียน และคู่เจรจา : สิงคโปร์ บรูไน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม พม่า และลาว : จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์", โดยคณะนักศึกษาหลักสุตรศึกษาศาสตร์ดุษฎีบัฒฑิต ปีการศึกษา 2556 สาขาวิชาการจัดการการศึกษา วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์.
กัมพูชา การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และเศราฐกิจสังคม นำไปสู่การปฏิรูปด้านการศึกษาของกัมพุชาก่อนปี พ.ศ. 2518 ได้ยึดระบบการศึกษาแบบฝรั่งเศสซึ่งให้มีการศึกษาภาคบังคับ 13 ปี ( 6+1) ภายหลังปี พงศ. 2522 กระทรวงศึกษาฯ ใช้ระบบการศึกษาแบบ 10 ปี 4+3+3 และต่อมาได้ขยายเป็นแบบ 11 ปี และใช้สืบเนื่องจากปี พ.ศ. 2529 -2539 กระทรวงศึกษาฯ ยังคงดำเนินการพัฒนาระบบการศึกษา มีการปฏิรูปหลักสูตรมีการพัฒนาตำราเรียนใหม่และนำเทคนิคการสอนใหม่ๆ มาหใ้กับครูเพื่อเตรียมสำหรับการนำระบบการศึกษาแบบ 12 ปีมาใช้ 6+3+3 ในปีการศึกาา 2539-2540 โดยระบบใหม่นี้ จะแบ่งเป็นการศึกษาก่อนประถมศึกษา 3 ปี ประถมศึกษา 6 ปี มัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี มัธยมศึกษาตอนปลาย 3 ปี และระดับอุดมศึกษา 4-7 ปี ส่วนการจัดการศึกษาด้านอาชีวะและเทคนิคจัดให้ตั้งแต่ 1 ปี ไปจนถึง 3-5 ปีการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกาานี้บางสถบันการศึกษาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรสาะารรสุขหรือแรงงานการจัดการศึกษานอกระบบจะเน้นการฝึกทักษะให้กับประชาชนsites.google.com/site/kamphucha5089/kar-suksa
มาเลเซีย รัฐบาลของประเทศมาเลเซียต้องการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางของความเป็นเลิศทางด้านการศึกษาในภูมิภาคนี้โยมีการวางแผนพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่องผลของการพัฒนาเห้ฯได้ชัดจากการที่มีนักเรียนต่างชาติเดิมนทางเข้ามาศึกษาที่ประเทศมาเลเซียสุงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปัจจุบันมีนักเรียนนักศึกษาต่างชาติมากถึง 50,000 คน จากประเทศต่างๆ กว่า 100 ประเทศ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของการศึกษาระดับนนาชาติที่มีคุณภาพ ประกอบกับหลักสูตรที่มีความหลากหลายเป็นที่ยอมรับ และมีราคาที่เหมาสมด้วย
ระบบการบริหารการศึกษาของประเทศมาเลเซีย อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการแบ่งระดับการบริหารเ็น 5 ระดับคือ ระดับชาติ ระดับรัฐ ระดับอำเภอ ระดับกลุ่มโรงเรียน และระดับโรงเรียน การบริหารโรงเรียนระดับชาติอยุ่ในความควบคุมของรัฐบาลกลาง การศึกษาทุกประเภทอุกระดับอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการเพียงกระทรวงเดียว ยกเวนการศึกษาที่มีลักษณะเป้นการศึกษานอกระบบจะมีกรมจากกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบ เช่น กรมแรงงาน กรมเกษตร เป็นต้น
ระบบการจัดการศึกษาของมาเลเซีย เป็นระบบ 6:3:2 คือระบบการศึกษาของมาเลเซียจัดอยุ่ในระดับที่มีมาตรฐานสุงตามแบบของประเทศอังกฤษ สถาบันการศึกาาส่วนใหย่จะใช้ภาาาอังกฤษเป้นสื่อในการสอน ระบบการเรียน การสอนแบบ ทิวินนิ่ง โปรแกรมเป้ฯระบบที่ได้รับความนิยมอย่างมกเป้ฯการร่วมมือกับสถาบันในประเทศ อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนนาดา สวิสเซอร์แลนด์ ฯลฯ
การศึกษาในประเทศมาเลเซียน ระดับประถมศึกษาหลักสุตร 6 ปีการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หลักสุตร 3 ปีการศึกษา, ระดับมัธยมศึกาาตอนปลาย หลักสูตร 2 ปีการศึกษา, ระดับเตรียมอุดมศึกษา หลักสูตร 1 หรือ 2 ปีการศึกษา, ระดับอุดมศึกษา หลักสุตรเฉลี่ยประมาณ 3 ปีครึ่ง ถึง 4 ปีการศึกษาwww.sjworldedu.com/country/malaysia/malaysia-education-system/
ไทย ระบบกรศึกาาในโรงเรียนของประเทศไทยนั้นจะแบ่งการศึกษาออกเป็น 4 ช่วงชั้น คือ 1 ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3, 2) ตั้งแต่ระดับชั้นที่ 1 ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 3) ระดับชั้นมัธยมึกษาตอนต้น (มัธยมศึกษา 1-3) และ4 คือระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย(มัธยมศึกษาปีที่ 4-6) โดยในชั้นที่ 4 นอกจากจะมีการจัดการศึกษาในสายสามัญแล้ว ยังวีการจัดการศึกษาในสายอาชีพด้วย ซึ่งในระดับชั้น ปวช. 1-3 นั้นจะเทียบเท่ากับระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายโดยนักเรียนที่เลือกสายสามัญมัมีความตั้งใจที่จะศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ส่วนนักศึกษที่เลือกสายอาชีพมักวางแผนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การจ้างงานและศึกษาเพิ่มเติม
นอกจากนี้นักเรียนตะต้องสอบข้อเขียนของโรงเรียนแล้ว นักเรียนจำเป็นจ้องมีคะแนนการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ(โอเน็ต) ซึ่งมีการจัดสอบในช่วงปลายภาคเรียนที่ 2 ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และปลายภาคเรียนที่ 2 ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ยื่นประกอบในการพิจารณา ส่วนการทดสอบระดับชาติของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จะนำไปใช้ใช้ในการรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย
ประเทศไทยมีการแบ่งดรงเรียนออกเป็น 2 รูปแบบ คือ โรงเรียนรัฐและโรงเรียนเอกชน โดยโรงเรียนรัฐ นั้นจะบริหารจัดการโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือหน่วยงานอื่นๆ ที่ไม่ได้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เช่น องค์กรโดยกลุ่มบุคคลหรือมูลนิธิต่างๆ ที่มีใบอนุญาตัดตั้ง ซึ่งโยส่วนใหญ่แล้วมักเป็นโรงเรียนที่มีส่วนเกี่ยวเนื่องกับศาสนาคริสต์ และศาสนอิสลามเป็นหลัก ในเขตชนบทของประเทศไทยนั้นหลายๆ โรงเรียนมีลักษณะเ็นโรงเรียนขยายโอกาศ คือ มีการจัดการเรียนการสอนระดับชั้นประถมศึกษา-ทัธยศึกษาตอนต้น หรืออาจมีการจัดการเรียนการสอนในระดับกาดรศึกษาปฐมวัยด้วยก็ได้ เนื่องจากการขาดแคลนงบประมาณทางการศึกษาแก่โรงเรียนชนบท ส่งผลให้นักเรียนที่อาศัยอยู่ในเขตชนบทเลืหกที่จะเข้ศึกษาต่อในโรงเรียนเอกชนมากกว่าดรงเรียนของรัฐ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นว่าคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนเอกชนอยู่ระดับมรตรฐานที่ดิ หรือเข้าศึกษาต่อในเขตเมืองของจังหวัดนั้นๆ th.wikipedia.org/wiki/การศึกษาในประเทศไทย#.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.A8.E0.B8.B6.E0.B8.81.E0.B8.A9.E0.B8.B2.E0.B8.82.E0.B8.B1.E0.B9.89.E0.B8.99.E0.B8.9E.E0.B8.B7.E0.B9.89.E0.B8.99.E0.B8.90.E0.B8.B2.E0.B8.99
วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2560
ASEAN :The Basic Education
สิงคโปร์ ด้วยวิสัยทัศน์และนโยบายการจัดการศึกษาของสิงคโปร์ที่โดดเด่นทำให้การศึกษาของสาธารณรัฐสิงคโปร์ก้าวรุดหน้าไปกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค และยังเป็นประเทศที่มีการปรับปรุงนโยบายทางการศึกษาอย่างต่อเนื่องเพื่อทันต่อการเปลี่ยนแปลงของวิทยาการใหม่ ๆ ของโลก
ในปี พ.ศ. 2547 รัฐบาลนำโดยนายลี เชียน ลุง นายกรัฐมนตรีได้ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ด้านการศึกษาที่สอดคล้องไปกับวิสัยทัศน์ TSLN หรือที่รู้จักดันในวลี "Teach Less, Learn More"ที่เน้นการสอนให้น้อยลงแต่ให้นักเรียนเดิดการเรียนรู้มากขึ้น และนำไปสู่การปฏิบัติ นับเป้นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนการสอนจากที่เน้นปริมาณสู่การเรียนการสอนเป็นการเน้นคุณภาพการสอน โดยเชื่อว่า การสอนที่เน้นปริมาณไม่สามารถนำนักเรียนเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ได้อย่างเพียงพอ ไม่สามารถจุดประกายความอยากรู้อยากเห็น กระบวนการสอนดังกล่าวนี้ ช่วยให้โรงเรียนและครูสามารถเข้าไปถึงแก่นของการเรียนการสอนว่า การสอนนี้สอนเพื่ออะไร สอนอะไร และสอนอย่างไร ด้วยกระบวนการสอนแบบ ที่กล่าวมา จะไม่เหน้นการเรียนการสอนและการวัดผลแบบเดียวเพื่อที่ใช้กับคนหมุ่มาก แต่เป็นการออกแบบการสอนและการวัดผลที่มีความแตกต่างตามความพร้อมและความสนใจของผุ้เรียน เพื่อให้เกิดผลต่อการเรียนรู้ตลอดชีพ
สิงคโปร์มีการจัดโครงสร้างการบริหารสถานศึกษาออกเป็น 4 ระดับคือ
- ระดับรัฐ รัฐบาลสิงคโปร์โดยกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้กำหนดนโยบายและวางแผนสู่การปฏิบัติใน 3 หน่วยงาน คือ Profressinal Wings เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบทางด้านวิชาการ Policy Wings เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนโยบายการศึกษา และ Service Wings เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านงานบริการด้านการศึกษาต่างๆ โดยรัฐจะเป็นผุ้กำหนดหลักสูตรแกนกลาง ที่ใช้ในระดับการศึกษาขั้นพื้นบฐานแก่ทุกโรงเรียน รวมถึงการดุแลเรื่องการสอบและการประเมินผลระดับชาติทั้ง 3 ระดับ คือ เมือจบชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา และเตรียมอุดมศึกษาอีกด้วย
- ระดับเขตพื้นที่การศึกาา ได้รับการมอบอำนาจให้มีหน้าที่ควบคุมดุแลกลุ่มโรงเรียน ที่อยุ่ในเขตเพื่อให้เป้นไปตามวัตถุประสงค์ที่รัฐบาลได้ตั้งขึ้น ว่าได้เกิดการทำงานร่วมมือกันอย่างดี มีการช่วยเหลือกันในกลุ่มอย่างดีหรือไม่ หัวหน้ากลุ่มได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ควรจะเป็นหรือไม่
- ระดับกลุ่มโรงเรียน ที่เกิดจากการรวมกลุ่มหลายโรงเรรียนเข้าด้วยกัน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในด้านวิชาการและทิศทางในการพัฒนาบริหารจัดการโรงเรียนปัจจุบันมีการจัดตั้งกลุ่มทั้งสิ้น 28 กลุ่มครอบคลุมทุกโรงเรียนในประเทศ แต่ละกลุ่มมีโรงเรียนในเครือข่ายประมาณ 10-14 โรง บางกลุ่มก็ประกอบด้วยโรงเรียนระดับประถมศึกษาทั้งหมด บางกลุ่มก็ประกอบด้วยโรงเรียนหลายๆ ระดับมารวมกัน แต่ละกลุ่มจะมีการเลือกหัวหน้า จากผุ้บริหารโรงเรียนต่างๆ ที่มีประสบการณืทำหน้าที่ประสานงานและช่วยกำหนดทิศทงการบริหารจัดการให้แก่โรงเรยนในกุ่ม โดยรัฐได้จัดสรรงบประมาณรายปีโดยตรงให้แก่หัวหน้ากล่่มเพื่อใช้ในการบริหารจัดการ พัฒนา ดูแล ช่วยเหลือ และแนะนำโรงเรียนในกลุ่ม รัฐบาลจับตามองความสามารถของหัวหน้กลุ่มว่ามีสมรนรถภภาพเช่นไร ใช้วบประมาณได้อย่งมีประสิทธิภาพหรือไม่ หากเป็นไปด้วยดีรัฐก็จะมองอำนาจความรับผิดชอบให้หัวหน้ากลุ่มมากขึ้น พร้อมให้อำนาจในการปกครองดูแลโรงเรียนของหัวหน้ากลุ่มเองได้อย่างมีอิสระกว่าโรงเรียนอื่นๆ
- ระดับสถานศึกษา สถานศึกษาเป็นหน่วยงานย่อยที่สุดในการจัดการศึกษาที่มีระดับอิสระในการจัดการต่างกัน หากเป็นโรงเรียนแบบอิสระ และ โรงเรียนปกครองตนเอง จะมีอิสระในการดูแลเรื่องการบริหารจัดการบุคลากร การเงิน และวิชาการบางส่วน เช่น การเลือกแบบเรียน และปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของผุ้เรียนมากกว่าโรงเรียนอื่นโดยโรงเรียนเหล่านี้จะต้องมีการจัดตั้งคณะกรรมกาบริหารโรงเรรียนขึ้นโดยได้รับการอนุมัติจากการะทรวงศึกษาธิการก่อน
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมาที่ได้มีการประกาศวิสัยทัศน์ทางการศึกษา รัฐบาลได้พยายามที่จะเปิดโอกาสให้โรงเรียนอื่นๆ มีความยืดหยุ่นในการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะกับความต้องการของนัเรียนมากยิ่งขึ้น
บรูไนได้กระจายอำนาจการจัดการการศึกษา โดยเปลี่ยนจากการแบ่งอำนาจ สุ่ การมอบอำนาจ โดยมอบอำนาจตามประเภทของงาน คือการให้อำนาจความรับผิดชอบของหน่วยงานส่วนกลางไปยังโรงเรียน แต่ความรับผิดชอบสูงสุดยังอยู่ที่หน่วยงานส่วนลางเช่นการเสริมสร้างกำลงคนขึ้นอยู่กับผุ้นำในโรงเรียนและครูกระทรวงศึกษาธิการได้ให้อำนาจบางบริหารแก่ผุ้นำในโรงเรียนและครูผู้สอน มีการพัฒนาระบบเขตพื้นที่การศึกษาสำหรับระดับประถมศึกษา และระบบกลุ่มดรงเรียนสำหรับระดับมัธยม ให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมกับดรงเรียนมากขึ้น รวมทั้งให้ผุ้นำโรงเรียนมีอำนาจในการจัดโครงสร้างสถานศึกษาการจัดโซนสำหรับระดับประถมศึกษาและจัดกลุ่มดรงเรียนระดับมัธยมศึกษาได้มีการแต่างตั้งผุ้นำและจัดต้้งเป็นคณะกรรมการทีมผุ้นำ เพื่อให้สาชิกได้ออกความคิดเห็น ข่าวสาร และวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด มีการอภิปรายประเด็นต่างๆ เพื่อนำไปสู่แผนผฏิบัติการ ผุ้มีส่วนได้เสียของโรงเรียนมีเวทีในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ระดมสมอง และลงมือปฏิบัติเกี่ยวกับปัญหาทางการศึกษา การปรับปรุงผลการดำเนินงานทั้งด้านวิชาการและไม่ใช่วิชาการ
ฟิลิปปินส์ พระราชบัญญัติฉบับที่ 9155 เป็นพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2544 ที่เกี่ยวกับการกำกับดูแลการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในประเทศฟิลิปปินส์กำหนด บทบาทและความรับผิดชอบ ของระดับการบริหาร ต่างๆ จากส่วนกลางไปถึงระดับโรงเรียน ด้วยพระราชบัญญัติฉบับนี้ชื่อของกรมวัฒนธรรมการศึกษาและกีฬา ถูกเปลี่ยเป็นกรมศึกษาธิการ และกำหนดบทบาทของสำนักงานในพื้นที่ต่างๆ
ตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ ฉบับดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าหน้าที่หลักของสำนักงานในพื้นที่ต่างๆ คือ การประกันคุณภาพ มีหน้าที่ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของทุกโรงเรียนภายใต้อำนาจของตนและให้การสนับสนุด้านอื่นๆ แก่หน่วยงานระดับอภเภอและโรงเรียน ตามที่พระราชบัญัติการศึกษาแห่งชาติระบุ ครอบคลุมการศึกษาในเด็กปฐมวัย ประถมศึกษาและมัธยมศึกษารวมทั้งระบบการเรียนรู้ทางเลือกสำหรับเด็กและเยาวชนที่ออกจากโรงเรียนและนักศึกษาผู้ใหญ่และรวมถึงการศึกษาสำหรับผู้ที่มีความต้องการพิเศษ
โดย พ.ร.บ. ดังกล่าว กำหนดรูปแบบเหตุการณ์ ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ในบริบทของการบริหารโดยใช้ดรงเรยนเป็นฐาน โดยกำหนด วัตถุประสงค์ "เพื่อสนับสนุนส่งเสริม ความคิดริเร่ม เพื่อการพัฒนาโรงเรียนและศูนย์การเรียนรูให้ประสบความสำเร็จ และยั่งยืน" โดยได้มีการกำหนดโครงสร้างของกรมศึกษาธิการกับหน้าที่ความรับผิดชอบที่กระจายอำนาจใน 4 ระดับ จากระดับรัฐ ไปสู่ระดับเขต ระดับอำเภอ และระดับโรงเรียนโดยเป้นการกระจายอำจไปยังโรงเนรียน แต่ไม่ได้กล่าวถึงคณะกรรมการสภาโรงเรียน
กรมศึกษาธิการ เป็นหน่วยงานภาครัฐพื้นฐานที่รับผิดชอบด้านการศึกษและการพัฒนาอัตรากำลังของชาติ ภารกิจของการพัฒนาหมายถึง การให้การศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพที่มีความเสมอภาคและทุกคนสามารถเข้ารับการศึกษาได้ มีการจัดตั้งมูลนิธิสำกรับการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อให้ทุกคนได้รับการบริการได้ทั่วไปอย่งดี ความรับผิดชอบเบื้องต้นของกรมนี้คือ ริเริ่ม การวางแผน การนำไปปฎิบัติ และประสานความร่วมมือในระดับนโยบาย ความช่วยเหลือในเบื้องต้น มาตรฐาน แผนงานจัดโปรแกรมและโครงการต่างๆ ในพื้นที่ที่เป้นการศึกษาในระบบและการศึกษานอกระบบ เป็นการบริหารสถาบันการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งที่เป็นการศึกษาของรัฐและเอกชน ดูแลการจัดตั้งและบริหารจัดการ บำรุงรักษาให้ดีและเพียงพอ บูรณาการระบบการศึกษาเชื่อมโยงกับเป้าหมายของการพัฒนาชาติ
การกระจายอำนาจบริหารการศึกษาสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ใช้รูปแบบ SBM ซึ่งถูกนำมาใช้ใน 23 หัวเมือง ที่เข้าร่วมในระดับปรถมศึกษา ตามโครงการการศึกาษที่ 3 ในระดับประถมศึกษา ได้รับการสนับสนุน จากธนาคารโลก โครงการจัดหาเงินทุน สำหรับโรงเรียนโครงสร้งพื้นฐานของ การฝึกอบรมการพัฒนาหลักสูตรและตำราเรียน SMB เป็นการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาจากกรมศึกษาธิการไปยังสถานศึกษา โดยให้สถานศึกษามีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ มีอิสระและความคล่องตัวในการตัดสินใจกรบริหารจัดการทั้งด้านวิชาการ งบประมาณ บุคลากรและการบิหารทั่วไป โดยมีคณะกรรมการสภาโรงเรียน ซึ่งประกอบด้วย ผุ้บริหาสถานศึกษ ตังแทนผุ้ปกครองและขุชน ตัวแทนครู ผุ้ทรงคุณวุฒิ มีส่วนร่วมกันบริหารสถานศึกษาให้เป็นไปตามความต้องการของผุ้รเียนและผุ้ปกครองให้มากที่สุด ทั้งนี้การบริหารจัการที่รับผิดชอบร่วมกันตามภาระงานของสถานศึกษานั้น จะทำให้เกิความเป็นเจ้าของและทำให้ผลการปฏิบัติงานของสถานศึกาาเป็นที่ยอมรับได้
อินโดนีเซีย จัดการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐวัยด้วยเป้หายหลักของการศึกษาปฐมวัยคือ การพัฒนาด้านร่างกายและจิตใจของนักเรยน เมื่อเด็กต้องกออกมาจากบ้านจากครอบครัวมาเข้าสังคมที่โรงเรียน การจัดการศึกษาระดับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมของผุ้เรียนก่อนเข้าเรียนระดับประถมศึกษา เป็นการเตรียมการพัฒนาการขั้นพื้นฐาน พัฒนาทัศคติ ความรู้ ทักษะ และความคิดริเริ่มรูปแบบของการศึกษาปฐมวัยที่ได้ผลดี ได้แก่การจัดการศึกษาในโรงเรียนอนุบาล หรือสถานอบรมเด็กเล็ก และการเล่นเป้นกลุ่ม การเรียนในโรงเรยนอนุบาลถือเป้นสวนหนึ่งของการศึกษาในระบบ ขณะที่การเรียนรู้จากการเล่นเป็นกลุ่มนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษานอกระบบ การจัดการศึกษาปฐมวัยนี้เป็นการจัดการศึกษาให้กับเด็กอายุระหว่าง 4-6 ขวบ ระยะเวลาเรียน 1-2 ปี ขณะที่การเรียนรุ้โดย "การเล่ินเป็นกลุ่ม" จัดให้เด็กอายุ 3 ขวบ และต่ำกว่า 3 ขวบ
ถ้าตามพระราชบัญญัติการศึกษาปี 2003 จะแบ่งระดบการศึกษาในโรงเรียนออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ การศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาระดับเตรียมอุดมศึกษา การศึกาาระดับอุดมศึกษา
การศึกษาขั้นพ้นฐานเป็นการศึกษาภาคบังคัยมี 3 ระดับ ได้แก่ โรงเรียนประถมศึกษา ให้การศึกษาขั้นพื้นฐาน 6 ปี สำหรับนักเรียนอายุ 7-12 ปี, โรงเรียนมะธยมศึกษาตอนต้น จัดกาศึกษา 3 ปี สำหรับนักเรียนอายุ 13-15 ปี, โรงเรียนพิเศษจัดการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีปัญหาความผิดปกติทางด้น
ร่างกายและจิตใจ
การศึกษาขั้นพื้นฐานมีเป้าหมายเพื่อพัฒนานักรเียนให้มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเป็นสมาชิกของสังคม พลเมือง และมนุษยชาติโดยรวมทั้งสามาถศึกษาต่อได้ในระดับสุงต่อไป
เวียดนาม ประเทศเวียดนามต้องการจะพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวเวยดนามให้ดีขึ้นทัดเทียมอารยประเทศและเพื่อแก้ไข ปรับปรุงจุดอ่อนของระบบการบริหารจัดการประเทศเวียดนามที่ใช้รูปแบบ โซเวียต โมเดล จึงได้ประกาศใช้นโยบาย Doi Moi Policy ในปี ค.ศ. 1986 และเร่ิมปรับปรุงและพัฒนาระบบการบริหารจัดการต่างๆ ของเวียนดนามให้ดีขึ้น โดยในส่วนของระบบการจัดการศึกษา เวียดนามเร่ิมใช้กฎหมายการศึกษาฉบับแรก ในปี พ.ศ. 2533 เรียกว่า 1990 Law และปรับปรุงครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1998 (2551) ปัจจุบันเวียดนามใช้กฎหมาย การศึกษาฉบับ 2005 Law ซึ่งปรับปรุง เมื่อวันที่ กรกฎาคม 2553 (2010) อยู่ภายใต้หลัการและแนวคิด "Independent, Freedom and Happiness" แบ่งลักษณะของการจัดการศึกษาไว้ 4 ลักษณะ คือ
1. การศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา เป็นการเตรียมความพร้อมด้าน ร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา และศิลปะ ประกอบด้วยการเลี้ยงดูเด็ก สำหรับเด็กอายุ 3 เดือน- 6 ปี และอนุบาลสำหรับเด็กอายุ 3-5 ปี เป็นการศึกษาภาคลังคับที่เร่ิมต้น ตามกฎมหาย
2. การศึกาาสามัญ แบ่งเป็นระดับต่างๆ ดังนี้
- ระดับประถมศึกษาเป็นการศึกษาภาคลังคับ 5 ปี ชั้น 1-5 รับนักเรียนอายุ 6-11 ปี เพื่อพัฒนทักษะเพืนฐานของนักเรียน
- ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น คือ ชั้น 6-9 กลุ่มนี้จะเรียนวิชาพื้นฐาน 13 วิชา
- ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คือชั้น 10-12 เป็นการศึกษาต่อเนืองจากระดับมัธยมศึกษาตอนต้น แต่จะเจาะลึกและมีการสอบจบ ถ้าผ่านจะได้ใบประกาศ มีจุดประสค์เพื่อเตรียมนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย
3. การศึกษาด้านเทคนิคและอาชีพ มีเทียงเคยงทั้งระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย เป้นการศึกษาที่เน้นการประกอบอาชีพ แบ่งเป็น 2 ระดับ
4. การศึกษาระดับอุดมศึกา แบ่งเป็นระดับอนุปริญญา และระดับปริญญา โดยระดับปรญญา เรียน 4 ปี ระดับบัณฑิตศึกษา(ปริญญาโท) และระดับปริญญาเอก..
ทั้งนี้ในการศึกาาสามัญ 12 ปี ของเวียดนามนั้นเวียดนามมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้มีวิญญาณในกความเป็นสังคมนิยม มีเอกลักษณ์ประจำชาติ และมีความสามารถในด้านอาชีพ...
- บางส่วนจาก บทความ เรื่อง "การจัดการการศึกษาในประชาคมอาเวียน และคู่เจรจา : สิงคโปร์ บรูไน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม พม่า และลาว : จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์
ในปี พ.ศ. 2547 รัฐบาลนำโดยนายลี เชียน ลุง นายกรัฐมนตรีได้ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ด้านการศึกษาที่สอดคล้องไปกับวิสัยทัศน์ TSLN หรือที่รู้จักดันในวลี "Teach Less, Learn More"ที่เน้นการสอนให้น้อยลงแต่ให้นักเรียนเดิดการเรียนรู้มากขึ้น และนำไปสู่การปฏิบัติ นับเป้นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนการสอนจากที่เน้นปริมาณสู่การเรียนการสอนเป็นการเน้นคุณภาพการสอน โดยเชื่อว่า การสอนที่เน้นปริมาณไม่สามารถนำนักเรียนเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ได้อย่างเพียงพอ ไม่สามารถจุดประกายความอยากรู้อยากเห็น กระบวนการสอนดังกล่าวนี้ ช่วยให้โรงเรียนและครูสามารถเข้าไปถึงแก่นของการเรียนการสอนว่า การสอนนี้สอนเพื่ออะไร สอนอะไร และสอนอย่างไร ด้วยกระบวนการสอนแบบ ที่กล่าวมา จะไม่เหน้นการเรียนการสอนและการวัดผลแบบเดียวเพื่อที่ใช้กับคนหมุ่มาก แต่เป็นการออกแบบการสอนและการวัดผลที่มีความแตกต่างตามความพร้อมและความสนใจของผุ้เรียน เพื่อให้เกิดผลต่อการเรียนรู้ตลอดชีพ
สิงคโปร์มีการจัดโครงสร้างการบริหารสถานศึกษาออกเป็น 4 ระดับคือ
- ระดับรัฐ รัฐบาลสิงคโปร์โดยกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้กำหนดนโยบายและวางแผนสู่การปฏิบัติใน 3 หน่วยงาน คือ Profressinal Wings เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบทางด้านวิชาการ Policy Wings เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนโยบายการศึกษา และ Service Wings เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านงานบริการด้านการศึกษาต่างๆ โดยรัฐจะเป็นผุ้กำหนดหลักสูตรแกนกลาง ที่ใช้ในระดับการศึกษาขั้นพื้นบฐานแก่ทุกโรงเรียน รวมถึงการดุแลเรื่องการสอบและการประเมินผลระดับชาติทั้ง 3 ระดับ คือ เมือจบชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา และเตรียมอุดมศึกษาอีกด้วย
- ระดับเขตพื้นที่การศึกาา ได้รับการมอบอำนาจให้มีหน้าที่ควบคุมดุแลกลุ่มโรงเรียน ที่อยุ่ในเขตเพื่อให้เป้นไปตามวัตถุประสงค์ที่รัฐบาลได้ตั้งขึ้น ว่าได้เกิดการทำงานร่วมมือกันอย่างดี มีการช่วยเหลือกันในกลุ่มอย่างดีหรือไม่ หัวหน้ากลุ่มได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ควรจะเป็นหรือไม่
- ระดับกลุ่มโรงเรียน ที่เกิดจากการรวมกลุ่มหลายโรงเรรียนเข้าด้วยกัน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในด้านวิชาการและทิศทางในการพัฒนาบริหารจัดการโรงเรียนปัจจุบันมีการจัดตั้งกลุ่มทั้งสิ้น 28 กลุ่มครอบคลุมทุกโรงเรียนในประเทศ แต่ละกลุ่มมีโรงเรียนในเครือข่ายประมาณ 10-14 โรง บางกลุ่มก็ประกอบด้วยโรงเรียนระดับประถมศึกษาทั้งหมด บางกลุ่มก็ประกอบด้วยโรงเรียนหลายๆ ระดับมารวมกัน แต่ละกลุ่มจะมีการเลือกหัวหน้า จากผุ้บริหารโรงเรียนต่างๆ ที่มีประสบการณืทำหน้าที่ประสานงานและช่วยกำหนดทิศทงการบริหารจัดการให้แก่โรงเรยนในกุ่ม โดยรัฐได้จัดสรรงบประมาณรายปีโดยตรงให้แก่หัวหน้ากล่่มเพื่อใช้ในการบริหารจัดการ พัฒนา ดูแล ช่วยเหลือ และแนะนำโรงเรียนในกลุ่ม รัฐบาลจับตามองความสามารถของหัวหน้กลุ่มว่ามีสมรนรถภภาพเช่นไร ใช้วบประมาณได้อย่งมีประสิทธิภาพหรือไม่ หากเป็นไปด้วยดีรัฐก็จะมองอำนาจความรับผิดชอบให้หัวหน้ากลุ่มมากขึ้น พร้อมให้อำนาจในการปกครองดูแลโรงเรียนของหัวหน้ากลุ่มเองได้อย่างมีอิสระกว่าโรงเรียนอื่นๆ
- ระดับสถานศึกษา สถานศึกษาเป็นหน่วยงานย่อยที่สุดในการจัดการศึกษาที่มีระดับอิสระในการจัดการต่างกัน หากเป็นโรงเรียนแบบอิสระ และ โรงเรียนปกครองตนเอง จะมีอิสระในการดูแลเรื่องการบริหารจัดการบุคลากร การเงิน และวิชาการบางส่วน เช่น การเลือกแบบเรียน และปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของผุ้เรียนมากกว่าโรงเรียนอื่นโดยโรงเรียนเหล่านี้จะต้องมีการจัดตั้งคณะกรรมกาบริหารโรงเรรียนขึ้นโดยได้รับการอนุมัติจากการะทรวงศึกษาธิการก่อน
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมาที่ได้มีการประกาศวิสัยทัศน์ทางการศึกษา รัฐบาลได้พยายามที่จะเปิดโอกาสให้โรงเรียนอื่นๆ มีความยืดหยุ่นในการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะกับความต้องการของนัเรียนมากยิ่งขึ้น
บรูไนได้กระจายอำนาจการจัดการการศึกษา โดยเปลี่ยนจากการแบ่งอำนาจ สุ่ การมอบอำนาจ โดยมอบอำนาจตามประเภทของงาน คือการให้อำนาจความรับผิดชอบของหน่วยงานส่วนกลางไปยังโรงเรียน แต่ความรับผิดชอบสูงสุดยังอยู่ที่หน่วยงานส่วนลางเช่นการเสริมสร้างกำลงคนขึ้นอยู่กับผุ้นำในโรงเรียนและครูกระทรวงศึกษาธิการได้ให้อำนาจบางบริหารแก่ผุ้นำในโรงเรียนและครูผู้สอน มีการพัฒนาระบบเขตพื้นที่การศึกษาสำหรับระดับประถมศึกษา และระบบกลุ่มดรงเรียนสำหรับระดับมัธยม ให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมกับดรงเรียนมากขึ้น รวมทั้งให้ผุ้นำโรงเรียนมีอำนาจในการจัดโครงสร้างสถานศึกษาการจัดโซนสำหรับระดับประถมศึกษาและจัดกลุ่มดรงเรียนระดับมัธยมศึกษาได้มีการแต่างตั้งผุ้นำและจัดต้้งเป็นคณะกรรมการทีมผุ้นำ เพื่อให้สาชิกได้ออกความคิดเห็น ข่าวสาร และวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด มีการอภิปรายประเด็นต่างๆ เพื่อนำไปสู่แผนผฏิบัติการ ผุ้มีส่วนได้เสียของโรงเรียนมีเวทีในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ระดมสมอง และลงมือปฏิบัติเกี่ยวกับปัญหาทางการศึกษา การปรับปรุงผลการดำเนินงานทั้งด้านวิชาการและไม่ใช่วิชาการ
ฟิลิปปินส์ พระราชบัญญัติฉบับที่ 9155 เป็นพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2544 ที่เกี่ยวกับการกำกับดูแลการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในประเทศฟิลิปปินส์กำหนด บทบาทและความรับผิดชอบ ของระดับการบริหาร ต่างๆ จากส่วนกลางไปถึงระดับโรงเรียน ด้วยพระราชบัญญัติฉบับนี้ชื่อของกรมวัฒนธรรมการศึกษาและกีฬา ถูกเปลี่ยเป็นกรมศึกษาธิการ และกำหนดบทบาทของสำนักงานในพื้นที่ต่างๆ
ตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ ฉบับดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าหน้าที่หลักของสำนักงานในพื้นที่ต่างๆ คือ การประกันคุณภาพ มีหน้าที่ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของทุกโรงเรียนภายใต้อำนาจของตนและให้การสนับสนุด้านอื่นๆ แก่หน่วยงานระดับอภเภอและโรงเรียน ตามที่พระราชบัญัติการศึกษาแห่งชาติระบุ ครอบคลุมการศึกษาในเด็กปฐมวัย ประถมศึกษาและมัธยมศึกษารวมทั้งระบบการเรียนรู้ทางเลือกสำหรับเด็กและเยาวชนที่ออกจากโรงเรียนและนักศึกษาผู้ใหญ่และรวมถึงการศึกษาสำหรับผู้ที่มีความต้องการพิเศษ
โดย พ.ร.บ. ดังกล่าว กำหนดรูปแบบเหตุการณ์ ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ในบริบทของการบริหารโดยใช้ดรงเรยนเป็นฐาน โดยกำหนด วัตถุประสงค์ "เพื่อสนับสนุนส่งเสริม ความคิดริเร่ม เพื่อการพัฒนาโรงเรียนและศูนย์การเรียนรูให้ประสบความสำเร็จ และยั่งยืน" โดยได้มีการกำหนดโครงสร้างของกรมศึกษาธิการกับหน้าที่ความรับผิดชอบที่กระจายอำนาจใน 4 ระดับ จากระดับรัฐ ไปสู่ระดับเขต ระดับอำเภอ และระดับโรงเรียนโดยเป้นการกระจายอำจไปยังโรงเนรียน แต่ไม่ได้กล่าวถึงคณะกรรมการสภาโรงเรียน
กรมศึกษาธิการ เป็นหน่วยงานภาครัฐพื้นฐานที่รับผิดชอบด้านการศึกษและการพัฒนาอัตรากำลังของชาติ ภารกิจของการพัฒนาหมายถึง การให้การศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพที่มีความเสมอภาคและทุกคนสามารถเข้ารับการศึกษาได้ มีการจัดตั้งมูลนิธิสำกรับการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อให้ทุกคนได้รับการบริการได้ทั่วไปอย่งดี ความรับผิดชอบเบื้องต้นของกรมนี้คือ ริเริ่ม การวางแผน การนำไปปฎิบัติ และประสานความร่วมมือในระดับนโยบาย ความช่วยเหลือในเบื้องต้น มาตรฐาน แผนงานจัดโปรแกรมและโครงการต่างๆ ในพื้นที่ที่เป้นการศึกษาในระบบและการศึกษานอกระบบ เป็นการบริหารสถาบันการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งที่เป็นการศึกษาของรัฐและเอกชน ดูแลการจัดตั้งและบริหารจัดการ บำรุงรักษาให้ดีและเพียงพอ บูรณาการระบบการศึกษาเชื่อมโยงกับเป้าหมายของการพัฒนาชาติ
การกระจายอำนาจบริหารการศึกษาสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ใช้รูปแบบ SBM ซึ่งถูกนำมาใช้ใน 23 หัวเมือง ที่เข้าร่วมในระดับปรถมศึกษา ตามโครงการการศึกาษที่ 3 ในระดับประถมศึกษา ได้รับการสนับสนุน จากธนาคารโลก โครงการจัดหาเงินทุน สำหรับโรงเรียนโครงสร้งพื้นฐานของ การฝึกอบรมการพัฒนาหลักสูตรและตำราเรียน SMB เป็นการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาจากกรมศึกษาธิการไปยังสถานศึกษา โดยให้สถานศึกษามีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ มีอิสระและความคล่องตัวในการตัดสินใจกรบริหารจัดการทั้งด้านวิชาการ งบประมาณ บุคลากรและการบิหารทั่วไป โดยมีคณะกรรมการสภาโรงเรียน ซึ่งประกอบด้วย ผุ้บริหาสถานศึกษ ตังแทนผุ้ปกครองและขุชน ตัวแทนครู ผุ้ทรงคุณวุฒิ มีส่วนร่วมกันบริหารสถานศึกษาให้เป็นไปตามความต้องการของผุ้รเียนและผุ้ปกครองให้มากที่สุด ทั้งนี้การบริหารจัการที่รับผิดชอบร่วมกันตามภาระงานของสถานศึกษานั้น จะทำให้เกิความเป็นเจ้าของและทำให้ผลการปฏิบัติงานของสถานศึกาาเป็นที่ยอมรับได้
อินโดนีเซีย จัดการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐวัยด้วยเป้หายหลักของการศึกษาปฐมวัยคือ การพัฒนาด้านร่างกายและจิตใจของนักเรยน เมื่อเด็กต้องกออกมาจากบ้านจากครอบครัวมาเข้าสังคมที่โรงเรียน การจัดการศึกษาระดับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมของผุ้เรียนก่อนเข้าเรียนระดับประถมศึกษา เป็นการเตรียมการพัฒนาการขั้นพื้นฐาน พัฒนาทัศคติ ความรู้ ทักษะ และความคิดริเริ่มรูปแบบของการศึกษาปฐมวัยที่ได้ผลดี ได้แก่การจัดการศึกษาในโรงเรียนอนุบาล หรือสถานอบรมเด็กเล็ก และการเล่นเป้นกลุ่ม การเรียนในโรงเรยนอนุบาลถือเป้นสวนหนึ่งของการศึกษาในระบบ ขณะที่การเรียนรู้จากการเล่นเป็นกลุ่มนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษานอกระบบ การจัดการศึกษาปฐมวัยนี้เป็นการจัดการศึกษาให้กับเด็กอายุระหว่าง 4-6 ขวบ ระยะเวลาเรียน 1-2 ปี ขณะที่การเรียนรุ้โดย "การเล่ินเป็นกลุ่ม" จัดให้เด็กอายุ 3 ขวบ และต่ำกว่า 3 ขวบ
ถ้าตามพระราชบัญญัติการศึกษาปี 2003 จะแบ่งระดบการศึกษาในโรงเรียนออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ การศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาระดับเตรียมอุดมศึกษา การศึกาาระดับอุดมศึกษา
การศึกษาขั้นพ้นฐานเป็นการศึกษาภาคบังคัยมี 3 ระดับ ได้แก่ โรงเรียนประถมศึกษา ให้การศึกษาขั้นพื้นฐาน 6 ปี สำหรับนักเรียนอายุ 7-12 ปี, โรงเรียนมะธยมศึกษาตอนต้น จัดกาศึกษา 3 ปี สำหรับนักเรียนอายุ 13-15 ปี, โรงเรียนพิเศษจัดการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีปัญหาความผิดปกติทางด้น
ร่างกายและจิตใจ
การศึกษาขั้นพื้นฐานมีเป้าหมายเพื่อพัฒนานักรเียนให้มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเป็นสมาชิกของสังคม พลเมือง และมนุษยชาติโดยรวมทั้งสามาถศึกษาต่อได้ในระดับสุงต่อไป
เวียดนาม ประเทศเวียดนามต้องการจะพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวเวยดนามให้ดีขึ้นทัดเทียมอารยประเทศและเพื่อแก้ไข ปรับปรุงจุดอ่อนของระบบการบริหารจัดการประเทศเวียดนามที่ใช้รูปแบบ โซเวียต โมเดล จึงได้ประกาศใช้นโยบาย Doi Moi Policy ในปี ค.ศ. 1986 และเร่ิมปรับปรุงและพัฒนาระบบการบริหารจัดการต่างๆ ของเวียนดนามให้ดีขึ้น โดยในส่วนของระบบการจัดการศึกษา เวียดนามเร่ิมใช้กฎหมายการศึกษาฉบับแรก ในปี พ.ศ. 2533 เรียกว่า 1990 Law และปรับปรุงครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1998 (2551) ปัจจุบันเวียดนามใช้กฎหมาย การศึกษาฉบับ 2005 Law ซึ่งปรับปรุง เมื่อวันที่ กรกฎาคม 2553 (2010) อยู่ภายใต้หลัการและแนวคิด "Independent, Freedom and Happiness" แบ่งลักษณะของการจัดการศึกษาไว้ 4 ลักษณะ คือ
1. การศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา เป็นการเตรียมความพร้อมด้าน ร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา และศิลปะ ประกอบด้วยการเลี้ยงดูเด็ก สำหรับเด็กอายุ 3 เดือน- 6 ปี และอนุบาลสำหรับเด็กอายุ 3-5 ปี เป็นการศึกษาภาคลังคับที่เร่ิมต้น ตามกฎมหาย
2. การศึกาาสามัญ แบ่งเป็นระดับต่างๆ ดังนี้
- ระดับประถมศึกษาเป็นการศึกษาภาคลังคับ 5 ปี ชั้น 1-5 รับนักเรียนอายุ 6-11 ปี เพื่อพัฒนทักษะเพืนฐานของนักเรียน
- ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น คือ ชั้น 6-9 กลุ่มนี้จะเรียนวิชาพื้นฐาน 13 วิชา
- ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คือชั้น 10-12 เป็นการศึกษาต่อเนืองจากระดับมัธยมศึกษาตอนต้น แต่จะเจาะลึกและมีการสอบจบ ถ้าผ่านจะได้ใบประกาศ มีจุดประสค์เพื่อเตรียมนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย
3. การศึกษาด้านเทคนิคและอาชีพ มีเทียงเคยงทั้งระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย เป้นการศึกษาที่เน้นการประกอบอาชีพ แบ่งเป็น 2 ระดับ
4. การศึกษาระดับอุดมศึกา แบ่งเป็นระดับอนุปริญญา และระดับปริญญา โดยระดับปรญญา เรียน 4 ปี ระดับบัณฑิตศึกษา(ปริญญาโท) และระดับปริญญาเอก..
ทั้งนี้ในการศึกาาสามัญ 12 ปี ของเวียดนามนั้นเวียดนามมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้มีวิญญาณในกความเป็นสังคมนิยม มีเอกลักษณ์ประจำชาติ และมีความสามารถในด้านอาชีพ...
- บางส่วนจาก บทความ เรื่อง "การจัดการการศึกษาในประชาคมอาเวียน และคู่เจรจา : สิงคโปร์ บรูไน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม พม่า และลาว : จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์
วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2560
ASEAN Education development : Part 3
..การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษานโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียน โดยใช้วิธีเปรียบเทียบเชิงสหวิยาการของจอร์ช เบอร์เรเดย์ ซึ่งแบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ ตอนที่ 1 การศึกษาเฉพาะที่ มี 2 ขั้นตอน คือ การขั้นตอนการบรรยายหรือพรรณนา และขั้นตอนการตีความ และ ตอนที่มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนการบรรยาย ขั้นตอนการแปลความ ขั้นตอนการเทียบเคียง และขั้นตอนการเปรียบเทียบ...
.. ตอนที่ 2 กรศึกาาเชิงเปรีบเทียบ การรวบรวมข้อมุลที่เกียวกับจุดเด่นของนธยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียน มีผลการวิจัน 4 ขั้นตอนดังนี้
- นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเวียนมีจุดเด่นทีคล้ายกันคือ การขยายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง การยกระดับคุณภาพมาตรฐานการศึกษาและการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้สอดรับกับความก้าวหน้าทางวิทยาศสตร์และเทคโนโลยี
- องค์ประกอบต่างๆ มีผลต่อระบบการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียนที่ส่งผลทำให้ระบบการศึกษามีความแตกต่างกันคือ การเคยเป้ฯประเทศในอาณานิคมของต่างชาติ ศาสนาประจำชาติ จำนวนประชากร ผลิตภัฒฑ์มวลรวมในประทเศ และอันดับอัตราเฉพลี่ยการรุ้หนังสือของประชากร
2.1 ขั้นตอนการเปรียบเทียบ
2.1.1 การจัดระบบข้อมูลที่จะเปรยบเทียบกัน ผู้วิจัยได้ดำเนินการจัดระบบข้อมูลเพื่อใช้สำหรับการเปรียบเทียบ ซึ่งได้กำหนดประเด็นไว้ในขั้นตอนที่ 1 และขั้นตอนที่ 2 ซึ่งได้แก่ ประเด็นจุดเด่นข้อมูลนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียน และประเด็นองค์ประกอบต่างๆ ทีมีผลต่อระบบการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเวียน
2.1.2. การวางหลักเกณฑ์ที่จะนำมาเปรียบเทียบ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวางหลักเกฑณ์ที่จะนำมาเปรียบเทียบ โดยได้ดำเนินการศึกษาเปรียบเทียบข้อมูบนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกาาของประเทศในประชาคมอาเซียน
2.1.3 การตั้งสมมติฐาน ผู้วิจัยได้ดำเนินการตั้งสมมติฐานเพื่อใช้สำหรับเป้นแนวทางในการศึกษาเปรียบเทียบนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียนดังนี้
2.1.3.1 ปรเทศในประชาคมอาเซียนที่มีระบบการเมืองการปกครองต่างกันส่งผลให้นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษามีความต่างกัน
2.1.3.2 ประเทศในประชาคมอาเซีนทีมีสภาพทางภูมิศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรม จำนวนประชากร และสภาพการณ์ทางเศรษบกิจต่างกัน ส่งผลให้นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษามีความแตกต่างกัน
2.2 ขั้นตอนการเปรียบเทียบ
2.2.1 ประเทศในประชาคมอาเวียนที่มีระบอบการเมืองการปกครองต่างกัน สงผลให้นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกาามีความต่างกันซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า ประเทศในประชาคมอาเซียนส่วนใหย๋มีระบอบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยคิดเป็นร้อยละ 60 ของประเทศในประชาคมอาเซียนทั้งหมด ซึ่งประเทศที่มีระบอบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะกำหนดนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่เน้นในเรื่องการยกระดับมาตรฐานคุณภาพทางการศึกาาแลการปฏฺิรูปโครงกสร้างและการบริหารจัดการการศึกษา ส่วนประเทศที่มีระบอบการปกครองในระบอบอื่นๆ จะเน้นการกำหนดนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่เน้นการกำหนดนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่เน้นในเรื่องความเสมอภาคการขยายโอกาศทางการศึกษาให้ทั่วถึง การเติมเต็มความต้องการแห่งชาติ รวมทั้งการกำหนดนโยบรายการศึกษาให้เป็นยุทธศาสตร์สำคัญส่วนหนึ่งของประเทศเป็นหลัก
2.2.2 ประเทศในประชาคมอาเซียนที่มีสภาพทางภมูิศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรมจำนวนประชากร และสภาพการณ์ทางเศณาฐกิจต่างกัน ส่งผลให้นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษามีความแตกต่างกัน ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า ประเทศในประชาคมอาเซียนส่วนใหญ่มีสภาพทางภุมิศาสตร์ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาตจิ สภาพภูมิอากาศอยู่ในเขตร้อยชื้น ฝนตกชุก ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทางด้านเกษตรกรรมประชากรในภูมิภาคส่วนใหญ่นับถือศษสนาอิสบามพัฒนการทางด้านเศรษฐกิจอยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา ประชากรในภุมิภาคยังมีความยากจน อัตราเฉลี่ยการรู้หนังสือของประชากรยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำส่งผลให้นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาจะเน้นในเรื่องเสรีภาพในการเข้ารับการศึกษโดยเสรีอย่งทั่วถึงโดยไม่เสียค่าใช้
จ่าย แต่ในขณะเดียวกันนโยบายการพันาคุณภาพการศึกษาจะแตกต่างกันในเรื่องความพร้อมและศักยภาพทางด้านการระดมทุนทั้งวบประมาณและทรัพยากรสนับสนุนอื่นๆ นอกจากนี้ ประเทศในประชาคมอาเซียนส่วนใหญ่ได้รับอทธิพลการปกครองที่เคยเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกมาก่อนอย่งยาวนาน ดังนั้น จึงทำให้ยังคงมีรูปแบบวัฒนธรรมความเป้ฯอยุ่ที่มีลักษณะเฉพาะของตนเองส่งผลทำให้การกำหนดนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษายังคงยึดแบบอย่างตามรูปแบบประเทศตะวันตก เ่น ระบบการศึกษา การรวมศูนย์อำนาจทางการศึกาาอยู่ที่ส่วนกลาง และหลักอุดมกาณ์แห่งชาติ เป็นต้น..
...บางส่วนจาก งานวิจัย "นโยบายการพัฒนคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียนโดยใช้วิธีการศึกษาเปรียบเทียบเชิงสหวิทยาการของจอร์ช เบอร์เรเดย์" โดย จุมพล ยงศร, จาก วารสารสุโขทัยธรรมาธิราช ปีที่ 24 ฉบับที่ 1 (ม.ค.-มิ.ย. 2554) , หน้า43-58.
.. ตอนที่ 2 กรศึกาาเชิงเปรีบเทียบ การรวบรวมข้อมุลที่เกียวกับจุดเด่นของนธยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียน มีผลการวิจัน 4 ขั้นตอนดังนี้
- นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเวียนมีจุดเด่นทีคล้ายกันคือ การขยายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง การยกระดับคุณภาพมาตรฐานการศึกษาและการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้สอดรับกับความก้าวหน้าทางวิทยาศสตร์และเทคโนโลยี
- องค์ประกอบต่างๆ มีผลต่อระบบการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียนที่ส่งผลทำให้ระบบการศึกษามีความแตกต่างกันคือ การเคยเป้ฯประเทศในอาณานิคมของต่างชาติ ศาสนาประจำชาติ จำนวนประชากร ผลิตภัฒฑ์มวลรวมในประทเศ และอันดับอัตราเฉพลี่ยการรุ้หนังสือของประชากร
2.1 ขั้นตอนการเปรียบเทียบ
2.1.1 การจัดระบบข้อมูลที่จะเปรยบเทียบกัน ผู้วิจัยได้ดำเนินการจัดระบบข้อมูลเพื่อใช้สำหรับการเปรียบเทียบ ซึ่งได้กำหนดประเด็นไว้ในขั้นตอนที่ 1 และขั้นตอนที่ 2 ซึ่งได้แก่ ประเด็นจุดเด่นข้อมูลนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียน และประเด็นองค์ประกอบต่างๆ ทีมีผลต่อระบบการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเวียน
2.1.2. การวางหลักเกณฑ์ที่จะนำมาเปรียบเทียบ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวางหลักเกฑณ์ที่จะนำมาเปรียบเทียบ โดยได้ดำเนินการศึกษาเปรียบเทียบข้อมูบนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกาาของประเทศในประชาคมอาเซียน
2.1.3 การตั้งสมมติฐาน ผู้วิจัยได้ดำเนินการตั้งสมมติฐานเพื่อใช้สำหรับเป้นแนวทางในการศึกษาเปรียบเทียบนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียนดังนี้
2.1.3.1 ปรเทศในประชาคมอาเซียนที่มีระบบการเมืองการปกครองต่างกันส่งผลให้นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษามีความต่างกัน
2.1.3.2 ประเทศในประชาคมอาเซีนทีมีสภาพทางภูมิศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรม จำนวนประชากร และสภาพการณ์ทางเศรษบกิจต่างกัน ส่งผลให้นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษามีความแตกต่างกัน
2.2 ขั้นตอนการเปรียบเทียบ
2.2.1 ประเทศในประชาคมอาเวียนที่มีระบอบการเมืองการปกครองต่างกัน สงผลให้นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกาามีความต่างกันซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า ประเทศในประชาคมอาเซียนส่วนใหย๋มีระบอบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยคิดเป็นร้อยละ 60 ของประเทศในประชาคมอาเซียนทั้งหมด ซึ่งประเทศที่มีระบอบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะกำหนดนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่เน้นในเรื่องการยกระดับมาตรฐานคุณภาพทางการศึกาาแลการปฏฺิรูปโครงกสร้างและการบริหารจัดการการศึกษา ส่วนประเทศที่มีระบอบการปกครองในระบอบอื่นๆ จะเน้นการกำหนดนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่เน้นการกำหนดนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่เน้นในเรื่องความเสมอภาคการขยายโอกาศทางการศึกษาให้ทั่วถึง การเติมเต็มความต้องการแห่งชาติ รวมทั้งการกำหนดนโยบรายการศึกษาให้เป็นยุทธศาสตร์สำคัญส่วนหนึ่งของประเทศเป็นหลัก
2.2.2 ประเทศในประชาคมอาเซียนที่มีสภาพทางภมูิศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรมจำนวนประชากร และสภาพการณ์ทางเศณาฐกิจต่างกัน ส่งผลให้นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษามีความแตกต่างกัน ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า ประเทศในประชาคมอาเซียนส่วนใหญ่มีสภาพทางภุมิศาสตร์ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาตจิ สภาพภูมิอากาศอยู่ในเขตร้อยชื้น ฝนตกชุก ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทางด้านเกษตรกรรมประชากรในภูมิภาคส่วนใหญ่นับถือศษสนาอิสบามพัฒนการทางด้านเศรษฐกิจอยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา ประชากรในภุมิภาคยังมีความยากจน อัตราเฉลี่ยการรู้หนังสือของประชากรยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำส่งผลให้นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาจะเน้นในเรื่องเสรีภาพในการเข้ารับการศึกษโดยเสรีอย่งทั่วถึงโดยไม่เสียค่าใช้
จ่าย แต่ในขณะเดียวกันนโยบายการพันาคุณภาพการศึกษาจะแตกต่างกันในเรื่องความพร้อมและศักยภาพทางด้านการระดมทุนทั้งวบประมาณและทรัพยากรสนับสนุนอื่นๆ นอกจากนี้ ประเทศในประชาคมอาเซียนส่วนใหญ่ได้รับอทธิพลการปกครองที่เคยเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกมาก่อนอย่งยาวนาน ดังนั้น จึงทำให้ยังคงมีรูปแบบวัฒนธรรมความเป้ฯอยุ่ที่มีลักษณะเฉพาะของตนเองส่งผลทำให้การกำหนดนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษายังคงยึดแบบอย่างตามรูปแบบประเทศตะวันตก เ่น ระบบการศึกษา การรวมศูนย์อำนาจทางการศึกาาอยู่ที่ส่วนกลาง และหลักอุดมกาณ์แห่งชาติ เป็นต้น..
...บางส่วนจาก งานวิจัย "นโยบายการพัฒนคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียนโดยใช้วิธีการศึกษาเปรียบเทียบเชิงสหวิทยาการของจอร์ช เบอร์เรเดย์" โดย จุมพล ยงศร, จาก วารสารสุโขทัยธรรมาธิราช ปีที่ 24 ฉบับที่ 1 (ม.ค.-มิ.ย. 2554) , หน้า43-58.
วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2560
ASEAN Education development : Part 2
1. ศึกษาเอกสาร ตำรางานวิจัยและเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียน รวมทั้งสิ้น 10 ประเทศ
2. ดำเนินการศึกษานโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียนรวมทั้งสิ้น 10 ประเทศ แบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ตอน ดังนี้
2.1 การศึกษาเฉพาะที่ เป็นการบรรยายถึงสภาวะทางการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซยน .โดยยังมิได้มีการนำไปศึกษาเปรียบเทียบกับประเทศใด ๆ โดยมีขั้นตอนการศึกษาดังนี้
2.1.1 ขั้นตอนที่ 1 การบรรยายหรือพรรณนา เป็นขั้นตอนการบรรยายเพื่อรวบรวมข้อมุลททางการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียน โดยไม่ได้พิจารณาสภาพแวดล้อมอื่นๆ ซึ่งจะพิจารณารวบรวมข้อมูลจากงานวิจัย รายงานของหน่วยราชการ รายงานการประชุม หนังสือ วารสาร และเว็บไซต์ ฯลฯ
2.1.2 ขั้ตอนที่ 2 การตีความ เป็นขั้นตอนการตีความข้อมุลต่างๆ ที่บรรยายไว้ในขั้นตอนที่ 1 มาอธิบายโดยอาศัยความรุ้จากศาสตร์ แขนงอื่นๆ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลทางการศึกษาในแว่ประวัติศาสตร์ การเมืองาการปกครอง เศรษฐศาสตร์หรือในแง่สังคมและวัฒนธรรม เป็นต้น
2.2 การศึกษาเชิงเปรียบเทียบ เป้นการนำข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวกับนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเวยนรวมทั้งสิ้น 10 ประเทศ มาเปรียบเทียบและวิเคราะห์สรุปให้เห็นว่า นโยบาย การพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศต่างๆ มีลักษณะคล้ายคลึงกัน หรือแตกต่างกันอย่างไร และสิ่งใดเป็นปัจจัยทีให้นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษามีความคล้ายคลึงกัน จากนั้นนำข้อมูลที่ได้จากข้อ 2.1.1 และ 2.1.2 มาเทียบเคียง เพื่อตรียมการวิเคราะห์เปรียบเทียบในขั้นตอนต่อไปซึงมีกระบวนการ 4 ขั้นตอน ดังนี้
2.2.1 ขั้นตอนการบรรยาย เป้นขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียน รวมทั้งสิ้น 10 ประเทศมาเปรียบเทียบกัน
2.2.2 ขั้นตอนการแปลความ เป้นขั้นตอนการอธิบายข้อมูลต่างๆ ที่ได้มาจากข้อที่ 2.2.1 โดยวิธีเชิงสหวิทยาการมาอธิบายองค์ประกอบที่มีผลกระทบต่อระบบการศึกษาของประเทศนั้นๆ
2.2.3 ขั้นตอนการเทียบเคียง เป็นขั้นตอนการจัดระบบข้อมูล กำหนดหลักเกณฑ์ และการตั้งสมมติฐานเพื่อวิเคราะห์ในเชิงเปรียบเทียบ
2.2.4 ขั้นตอนการเปรียบเทียบ เป็นขั้นตอนการวิเคราะห์เปรียบเทียบ โดยนำประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเวียน รวมทั่งสิ้น 10 ประเทศมาเปรียบเทียบพร้อมๆ กัน เพื่อพิสูจน์สมมติฐานและทำการสรุปผลการศึกษา
1 การศึกษาเฉพาะที่ ขั้นตอนที่ 2 การตีความ อธิบายโดยกาศัยความรู้จากศาสตร์แขนงอื่นๆ มีการตีความข้อมูลต่างๆ ที่บรรยายไว้ในขั้นตอนที่ 1
การตีความข้อมูลทางการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียน
- ประเทศไทย การจัดการศึกษามีวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัยโบราณ ด้วยความเชื่อที่ว่าการศึกาาช่วยกำหนดทิศทางของชาติ เพื่อพัฒนาคนไทยและประเทศให้เจริญก้าวหน้า การจัดการศึกษาของไยมีวิวัฒนาการมาโดยตลอด โดยมีปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศทำให้สังคมมีการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ปัจจัยภายในเกิดจากความต้องการพัฒนาสังคมให้มีความเจริญและทันสมัย ส่วนปัจจัยภายนอกเกิดจากกระแสความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ทั้งด้านเศรษบกิจและการเมือง ตลอดจนการติดต่อสื่อสารกันทำให้ประเทศไทยต้องปรับตัวให้ทันสมัย เพื่อความอยู่รอดและประเทศได้เกิดการพัฒนาให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทำให้การจัดการศึกษาของไทยมีวิวัมฯาการเรื่อยมา ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมความเจริญก้าวหน้าทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจและการเมืองของชาติให้มั่นคงและเจริญก้าวหน้า
- สาธารณรัฐอินโดนีเซีย การศึกษามีรากฐานจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2488 เมื่อได้ประกาศอิสรภาพจัดตั้งสาธารณรับ เพ่อให้บรรลุเป้าหมายของรัฐดังที่ปรากฎในหลักปัญจศีล ในการรวมศูนย์อำนาจ กับการคงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมตามความต้องการของกลุ่มชนที่หลากหฃลายในสังคมและความต้องการร่วมกัน ในการพัฒนาเศราบกิจและสังคมด้านต่างๆ ซึ่งปฏิสัมพันธ์ระหว่าศาสนากับการจัดการศึกาานั้นเป้นลักษระเด่นเฉพาะของอิโดนีเซีย ในการักษาปฏิสัมพันะ์ระหว่างการศึกษากับศาสนาแบบดั้งเดิมของศาสนาอิสลามซึ่งกลายมาเป็นศาสนาอิสลามซึ่งกลายมาเป็นศาสนาของชนส่วนใหญ่ในประเทศ หลังจากสิ้นอาณาจักรมัชปาหิตในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ที่มีต่อรัฐชาติที่เกิดจากการปลดปล่อยตนเองจากลัทธิล่าอาณานิคม และเป้นรัฐชาติที่มีลักษระเป็น "พหุสังคมขนาดใหญ่" ด้านอาณาบริเวณทางภุมิศาสตร์ที่กระจายอย่างกวางขวาง ซึ่งพยายามปรับตัวอยุ่ในโลกยุปัจจุบัน
- สหพันธรัฐมาเลเซีย อยู่ภายใต้การปกครองของประเทศอังกฤษมาตั้งแต่ พ.ศ. 2485-2500 เป็นเวลานานถึง 15 ปี ถึงแม้ว่าในปัจุบันมีการปกครองแบบระบอบประชาธิปไตยโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผุ้นำด้านการบริหารของประเทศและมีสุลต่านต่างๆ ปกครองดูแลรัฐต่างๆ ยกเว้นเกาะปีนัง มะละก ซาบาร์ และซาราวัค โดยมีพระราชธิบดีเป็นประมุขของประเทศ แต่การอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศอังกฤษนานถึง 15 ปี ย่อมมีผลต่อความคิดเห็นการศึกษาและวิถีการดำเนินชีวิตของชาวมาเลเซีย ตังนั้นการจัดการศึกษาและการปฏิรูปการศึกษาจึงยังใช้ระเบียบแบบแผนของประเทศอังกฤษ อย่างไรก็ตาม มาเลเซยเป้นประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่ในสถาบันการศึกษาจึงได้รับอิทธิพลของศาสนาอิสลาม
- สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ การจัดการศึกาาในอดีตเน้นการศึกษาในลักาณะไม่เป้นทางการแบบประเทศสเปนโดยปราศจากโครงสร้างที่ชัดเจนรองรับและขาดแคนระเบียบวิธีการต่างๆ ในการเรียนการสอน ตรอบจนมีการตรากฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาใน พ.ศ. 2406 ซึ่งอนุญาตให้มีการจัดตั้งโรงเรียนประถมศึกษาสำหรับเด็กชายและหญิงในเมืองต่างๆ ภายใต้การรับผิดชอบของรัฐบาลท้องถ่ิน กฎหมายดังกล่าวกำหนดให้ชาวฟิลิปปินส์ทุกคนไ้รับเสรีภาพในการเข้ารับการศึกษาโดยเสรีไม่เสียต่าใช้จ่ายใดๆ การสานตอแนวคิดและหลัการ่าด้วยเสรีภาพในการเข้ารับการศึกษาโดยเสรีไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ นี้ยังคงสานต่อมาจนถึงปัจจุบัน
- สาธารณรัฐสิงคโปร์ เป้ฯประเทศที่เล็กที่สุดประเทศหนึ่ง ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมากเหมือนประเทศอื่นแต่มีฐนะทางเศรษฐกิจดี เพราะมีพัฒนาเศรษฐกิจด้านการค้า โดยเป็นประเทศกลางในการขายสินค้ามีท่าเรือขส่งสินค้าปลอดภาษี ทำให้สินค้าที่ผ่านทางสิงคโปร์มีราคาถูก ที่ท่าเรื่อน้ำลึกขนาดใหญ่ และทันสมัยที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง มีประชากรน้อยจึงต้องพึ่งพาเรงงานจากต่างชาติในทุกระดับ เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการศึกาามาตั้งแต่เร่ิมได้ับอิสรภาพจากระบอบการปกครองแบบอาณานิคมของอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2508 ทุ่มเทการลงทุนในการจัดระบบการศึกาาและระดับประสิทธิภาพทางการศึกษาในทุกระดับในลักษณะที่พยายามสร้างความเป็นธรรมและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองเพื่อป้องกันความแตกแยกในสังคม เพื่อให้สิงโปร์เป็นศูนย์กลางอุดมศึกษาระดับสากลแห่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก
- รัฐบรูไนดารุสซาลาม เป็นประเทศซึงมีขนาดเล็กที่สุดทั้งในด้านขอบเขตทางภุมิศาสตร์และจำนวนประชากรแต่มีความมั่งคั่งด้วยระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีภายใต้การกำกับดูแลของรัฐและเป็นประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียนที่อยู่ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างเต็มรูปแบบ ในพ.ศ. 2449 บรูไนได้ลงนามในสนธิสัญญายินยอมอยู่เป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษอย่างเต็มรูปแบบ เร่ิมมีระบบการศึกษาอย่างเป็ทางการใน พ.ศ. 2459 ด้วยการเปิดโรงเรียนภาษาพื้นเมืองมาเลย์ในเมืองหลวงคือ กรุงบันดาเสรีเบกาวัน ด้วยข้อจำกัดในลักณะของการับเฉพาะเด็กนักเรียนชาย อายุระหว่าง 7-14 ปี บรูไนไม่มีการจัดทำแผนการพัฒนการศึกษาแห่งชาติ หากแต่ให้เป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนาประเทศระยะ 5 ปี ซึ่งในแผนพัฒนาประเทศฉบับแรกเมื่อ พ.ศ. 2497 นั้น สาระที่เกี่ยวข้องเป็นการมุ่งเน้นสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ จนเป็นที่มาของการจัดตั้งกระทรวงการศึกษาของประเทศ ต่อมาใน พ.ศ. 2528 ได้มีการพัฒนานโยบายและระบบการศึกษาแห่งชาติในลักษณะที่อำนวยให้ประชาชนและผุ้ทีพำนักอาศัยอยู่ในประเทศบรูไนอย่างถาวรสามารถเข้าศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนระดับประถมของรัฐโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
- สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เป้นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ของการต่อสุ้อันยาวนานเคยอยู่ายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ทำให้ได้ับวัฒนธรรมของฝรังเศสไว้หลายประการ จากการเป็นประเทศที่มีประชากรอยุ่กันอย่างหนาแน่น ผ่านการทำสงครามภายในประเทศเป็นเวลานาน ด้วยความแข็งตัวของระบบเศรษฐกิจแบบควบคุมอยู่ที่ศูนย์กลาง ทำให้เวียดนามต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวและเปลี่ยนจากระบบเศรษฐฏิจแบบควบคุมเข้มงวด มาเป็นระบบตลาดเพื่อก้าวพ้นจากปัญหาความยากจนและเพรือเพิ่มศักยภาพทางเศราฐกิจโดยมีการศึกษาเป็นยุทธศาสตร์สำคัญส่วนหนึ่งของประเทศ
- สาะารณรับประชาธิปไตยประชาชนลาว บริบททางการศึกษาไม่ว่าจะเป้ฯลักษระที่ตั้ง และสภาพภูมิศาสตร์ องค์ประกอบของประชากร สภาพทางเศราฐกิจและสังคมมีผลกระทบต่อการจัดการศึกษาของประเทศเป้นอย่างมาก นับตั้งแต่ที่ได้สถาปนาเป้นประเทศเอกราชใน พ.ศ. 2518 จากการปกครองของฝรั่งเศส ได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาเรื่อยมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประถมศึกษา เทคนิคศึกาา และการรู้หนังสือของประชาชน ประชาชนมีอาชีพจำกัดและยากจน ประชากรประกอบดวยชนเผ่าต่างๆ มากกว่า 50 ชนเผ่า และมีความแตกต่างในเรื่องจารีตประเพณีและควมเชื่อถืออยู่อย่งกรจัดกระจายเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ดังนั้น จึงทำให้การจัดการศึกษายากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นการเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจใหม่เป้ฯเศรษฐกิจการตลาด ทำให้เกิดความจำเป้นในการปฏิรูปหรือปรับเปลี่ยนแนวการจัดการศึกษาในทุกๆ ด้านเพราะจะต้องให้สอดคล้องกับระบบเศราฐกิจและสังคมของประเทศ
- สหภาพเมียนม่า ตั้งแต่ในสมยโบราณสังคมให้ความสำคัญกับการศึกษาอย่างมาก โดยเฉพาะในสมัยก่อนการศึกษาในวัดเป็นส่ิงที่นิยมและทำให้อัตราการรู้หนังสือของประชาชนอยุ่ในระดับดี แต่เมื่อเข้าถึงสมัยการปกครองโดยอังดฤ อัตราการรู้หนังสือลดต่ำลงเนื่องจากผุ้ปกครองไม่ให้ความสใจมากนัก แต่ยังมีความพยายามในหมูผุ้รู้หนังสือโดยเฉพาะหลังจาก พ.ศ. 2491 ในแนวทางการส่งเสริมด้านการศึกษา เด็กต้องเข้าโรงเรียนซึ่งเป็นบริการที่รัฐมีให้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายทั้งนี้ เป้นไปตามกฎหมายกาศึกษาพื้นฐานและกฎหมายการศึกษาของสหภาพเมียนม่า ทั้งนี้ ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การเรียนการสอนในวัดยังเป็นแหล่งความรู้สำคัญสำหรับประชาชนในพื้นที่ห่างไกล
- ราชอาณาจักรกัมพุชา ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษาตั้งแต่ได้รับเอกรชจากประเทศฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2496 ซึ่งจากการเปลียนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจสังคม จึงนำไปสู่การปฏฺรูปการศึกษา รัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปใน พงศ. 2536 ตามข้อตกลงปารีสได้ให้ความสำคัญแก่การพัฒนาการศึกษามากขึ้น โดยมีความพยายามในการส่งเสริมการศึกาานอกระบบและการศึกษาภาคเอกชนในต่างจังหวัดเสมือนประเทศเสรีนิยมทั่วไป โดยกำหนดให้การศึกษาเป้นสวนหนึ่งของเป้าหายในการลดปัญหาความยากจนของประเทศเพื่อยกระดับศักยภาพการแข่งขันทางเศราฐกิจของประเทศสู่ระดับสากลซึ่งมีทรัพยากรมนุษย์เป็นฐาน..
บทความ "นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียนโดยการใช้วธีกาศึกษาเปรียบเทียบเชิงสหวิทยาการของจอร์ช เบอร์เดย์", จุมพล ยงศร, วารสารสุโขทัยธรรมาธิราช ปีที่ 24 , ฉบับที่ 1 ( ม.ค.-มิ.ย. 2554), หน้า43-58.
วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2560
ASEAN Education development
นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียน กล่าวคือ
- ประเทศไทย ปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ โดยปฏิรูปโครงสร้างและการบริการจัดการระดมทรัพยากรเพื่อการปปรับปรุงการบริหารจัดการศึกษา ส่งเสริมให้ภาคเออกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาพัฒนาครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา จัดให้ทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาฟรี 15 ปี ยกระดับคุณภาพมาตรฐานการศึกาษ ระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาไปสู่ความเป็นเลิศ ปรับปรงระบบการบริหารจัดการกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และประชานใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศเชิงสร้างสรรค์อย่างชาญฉลาด เร่งรัดการลงทุนด้านการศึกษาและการเรียนรู้อย่างบูรณาการในทุกระดับการศึกษาและในชุมชน
- ประเทศสามะารณรัฐอินโดนีเซีย ความเสมอภาคโอกาศทางการศึกษา การตอบสนองความจำเป้ฯทางการศึกษาคุณภาพของการศึกษา และประสิทธิภาพของการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบของการศึกษา มุ่งเน้นการสร้างบุคลิกภาพและองค์ประกอบของความสามารถในด้านต่างๆ ของทรัพยากรฒนุษย์ สร้างความเสมอภาคทางการศึกษา และเพื่อสร้างความมั่นใจทุกคนไม่ว่่าจะเป็นเพศใด จะมีฐานะยากจนอยู่ห่างไกลความเจริญหรือเป็นผู้อ้อยโอกาสทางสังคม ต้องได้รับการศึกษาขันพื้นฐานภาคบังคับ
- สหพันธรัฐมาเลเซีย ระบบการศึกษาแห่งชาติเป็นระบบการศึกษาที่มีคุณภาพระดับสากล ึดถือนโยบายการศึกษาแห่งชาติเป็นนโยบายพื้นฐานสำหรับพัฒนาการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษาระดับประถมศึกษาคือ 5-7 ปี ให้การศึกษาก่อนวัยเรียนบรรจุอยุ่ในการศึกษาสายสามัญแห่งชาติ มุ่งเน้นการพัฒนากำลังคนให้มีควารู้ความสามารถ มีทัพษะเพียงพอตอความต้องกรของประเทศซึ่งกำลังเติบโตทางเศราฐกิจอย่างรวดเร็วการขยายโอากาสทางการศึกษาให้เท่าเทียมกันทั่วประเทศ ทั้งนี้กระบวนการที่จำนำไปสู่ความสำเร็จ จะต้องยึดหลักอุดมกาณ์แห่งชาติ "rukunegara" 5 ประการได้แก่ เชื่อมั่นในพระผุ้เป็นเจ้า, จงรักภักดีต่อกษัตริย์และชาติ, ยึดมั่นในรัฐธรรมนูย, ปฏิบัติตามหลักกฎหมาย และประพฤติตนอย่างมีศีลธรรมและคุณธรรม
- สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ การสร้างความแข็งแกร่งในด้านการศึกษาให้เป็นภาระผูกพันต่อรัฐบาล กำหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐในการจัดวบประมาณด้านการศึกษา จัดการศึกษาตั้งแต่ระดับขั้นพื้นฐานไปจนถึงระดับอุดมศึกษาให้แก่ประชาชนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ย ให้ความสำคัญต่อการเพ่ิมทุนทั้งหมดไปที่มนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกาา สนับสนุนให้การศึกษาขั้นพื้นฐานมีคุณภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ การศร้างทักษระความเชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร พร้อมทั้งขวายช่องทางให้กับผุ้มีรายได้น้อยในเรื่องการศึกษานอกระบบและการฝึกอบรมด้านเทคนิคและวิชาชีพเ้นหลักการเรียนตลอดชีวิตให้เข้าถึงประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ตลอดจนผุ้พิการและผุ้ที่เสียเปรียบในสังคม เน้นการยกระดับหลักสูตรและเทคนิคในการฝึดอบรมครูผู้สอน ทักษะและกระบวนการบริหารจัดการวางแผนและกำกับดูแลโครงการต่างๆ โดยอาซัยการมีส่วนร่วมจากชุมชน
- สาธารณรัฐสิงคโปร์ ยกระดบมาตรฐานการศึกษาของคนในชาติสู่ระดับสากลโดยใช้กระบวนการเรียนการสอนควบคุ่ไปกับผลลัพธ์ทางการศึกษาทั้งด้านคุณภาพ และสมรรถภาพ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความสามารถอันหลากหลายของผุ้เรียนมากยิ่งขึ้น เน้นจิตสำนึกและแรงจูงใจในการใฝ่เรียนรู้ด้วยสัมฤทธิผลหรือความสำเร็จทางการษึกษาของผุ้เรียนแต่ละคน การทุ่มทรัพยากรด้านเงินทุนทางการศึกษามากขึ้น การเน้นการบริหารจัดการแบบรวมศุนย์ การมีหลักสูตรการเรียนการสอนที่เข้มข้น การเปลี่ยนจากการประเมินจากภายนอกสู่การเน้นประเมินจากภายในแต่ละโรงเรียนและสถาบันการศึกษาด้วยความถี่มากขั้นเพื่อให้สาถนศึกษารูจักตนเองมากขึน การส่งเสริมแรงสนับสนุนอย่างแข็งขันจากครอบครัวของผุ้เรียนการพัฒนากำลังคนด้านบุคลากรทางการสอนโดยเน้นการฝึกอบรม เพื่อให้พัฒการทางการศึกษาก้าวไปอย่างมั่นคงมากขึ้น
- รัฐบรูไนดารุสซาลาม มุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญในเรื่อง อีเลินนิ่ง โดยได้ดึงเข้ามาเป้นส่วนหนึ่ของยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ ดำเนินการให้ระบบการศึกษาทุ่งให้ความสำคัญต่อากรใช้ภาษามาเลย์เปนภาษาทางการประจำชาติ ควบคู่ไปกับการใช้ภาษาสำคัญอื่น ๆ เช่น ภาษาอังกฤษ และภาษาอาหรับเป้นภาษาที่สอง เป็นต้น จัดการศึกษาให้กับนักรเียนทุกคนเป็นระยะเวลา 12 ปี จัดหาหลักสูตรบูรณาการจัดการศึกษาศาสนาอิสลามในหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับหลัก Ahli
Sannah Wal-Jamaah จังหวัดวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ สำหรบการเรียนการสอน เพื่อให้เด็กนักรียนได้รับความรุ้และความชำนาญ จัดหาโปรแกรมการเรียนรู้ที่หลากลายผ่านกิจกรรมและหลักสูตรร่วมต่างๆ ให้สอดคล้องกับหลักปรชญาแห่งชาติ สร้างโอกาศในการศึกษาด้วยคุณวุฒิและประสบการณ์ที่เหมาะสม จัดหาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทางการศึกาาให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อเติมเต็มความต้องการแห่งชาติ
- สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม การปรับปรุงคุณภาพของการศึกษาไปในทิสทางระดับสูงของโลก การให้ความสำคัญกับการอบรมบุคลากรทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีชั้นสูง การจัดทำเป้าหมายวิธีการ และหลักสูตรในทุกระดับ พัฒนาครูให้ตอบสนองกับการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน ริเริ่มการจัดการทางการศึกษานอกระบบให้เป็นการขับเคลื่อนชุมชนไปสู่สังคมการเรียนรุ้ การลดอัตราการไมรุ้หนังสือในกลุ่มผุ้ใหญ่โดยเฉพาะในท้องถ่ินที่ห่างไกล การเปิดโอกาศให้ผุ้ทีทำงานแล้วได้รับการอบรมเรียนรุ้จากหลักสุตรสั้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เพิ่มรายได้ และโอากสในการเปลี่ยนงาน เด็กนัอเรียนได้รับกาศึกาาโดยไ่ต้องเสียค่าใช้จ่ายตามมาตรฐาการศึกษาระดับนานาชาติ และการบริหารจัดการทางการศึกษาจะมีโครงสร้างและกระบวนการกระจายอำนาจที่ทันสมัย
- สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว การเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน การยกระดับคุณภาพทางการศึกาาการปรับปรุงความเชื่อมโยงส่วนต่างๆ ในระบบการศึกษาให้สอดคล้องกัน การบริหาร จัดการและการวางแผนทางการศึกษาให้เเข็งแแร่งมากขึ้น การขยายจำนวนโรงเรียนระดบประถมศึกษาในพื้นที่ชนกลุ่มน้อยและพื้นที่ชนลบท การเพ่ิมอัตราการสรุ้หนังสือ การพัฒนาในแนวทางที่เรียกว่า การศึกษาสำหรับทุกคน การยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างจริงจังและการสร้างความร่วมมือระหว่าการึกษาในระบบโรงเรียนกับการศึกษาในสังคมและครอบครัว การปรับปรุงและพัฒนาการศึกษาให้ทันสมัยในทุกระดบทั้งสามัญศึกษาและอาชีวศึกษาทั้งในส่วนของภาครัฐและในส่วนของภาคเอกชน ทั้งในและนอกระบบโรงเรียน ในลักษณะที่สอดรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
- สหภาพเมียนม่า การกำหนดแผนระยะยาว 30 ปี การทำระบบการศึกษาให้เอื้อต่อการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ในการพัฒนาชาติให้ทันสมัยสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วด้วยการเน้นสาระสำคัญ 6 ด้านได้แก่ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การใช้เทคโนโลยีการขยายขอบเขตด้านการวิจัย การพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต การส่วเสริมการศึกษาคุณภาพ และการรักษาเอกลักษณ์และค่านิยมแห่งชาติให้คงอยู่
- ราชอาณาจักรกัมพูชา การกำหนดแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติในการขยายโอากศางการศึกาษาคุณภาพอย่างทั่วถึงประกอบด้วยแผนระยะสั้น แผนระยะกลาง และแผนระยะยาว เช่นการเปิดโอกาสศึกษาขั้นพื้นฐานให้เพิ่มสูงขึ้น การเพ่ิมขั่วโมงการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกาาการเพิ่มห้องเรียนและสถานที่เรียนในพื้นที่ขาดแคลน การเพ่ิมปริมาณและคุณภาพครูและการฝึกหัดครู เป้าหมายระยะยาวในการทำให้เด็กและเยาชนชาวกัมพุชาทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกาาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง ทุกระดับสถานะทางเศรษฐกิจ ทุกเพศ ทุกพื้นที่ ทุกเชื้อชาติ แม้ผุ้พิการทางร่างกาย...
ที่กล่าวมานี้คือตอน ที่ 1 ของการทำวิจัย "นโยการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียน โดยใช้วิธีการศึกษาเปรียบเทียบเชิงสหวิทยาการของจอร์ช เบอร์เรเดย์" โดยตอนนี้เป็นการศึกษาเฉพาะที่ โดยมี 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนการบรรยายหรือพรรณนา และขั้นตอนการตีความ...
บทความการพัฒนการศึกษา จุมพล ยงศร, "นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียนโดยใช้วิธีการศึกษาเปรียบเทียบเชิงสหวิทยาการของจอร์ช เบอร์เรเดย์", วารสานสุโขทัยธรรมาธิราช ปีที่ 24, ฉบับที่ 1 ( ม.ค.-มิ.ย. 2554) หน้า 43-58,
- ประเทศไทย ปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ โดยปฏิรูปโครงสร้างและการบริการจัดการระดมทรัพยากรเพื่อการปปรับปรุงการบริหารจัดการศึกษา ส่งเสริมให้ภาคเออกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาพัฒนาครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา จัดให้ทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาฟรี 15 ปี ยกระดับคุณภาพมาตรฐานการศึกาษ ระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาไปสู่ความเป็นเลิศ ปรับปรงระบบการบริหารจัดการกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และประชานใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศเชิงสร้างสรรค์อย่างชาญฉลาด เร่งรัดการลงทุนด้านการศึกษาและการเรียนรู้อย่างบูรณาการในทุกระดับการศึกษาและในชุมชน
- ประเทศสามะารณรัฐอินโดนีเซีย ความเสมอภาคโอกาศทางการศึกษา การตอบสนองความจำเป้ฯทางการศึกษาคุณภาพของการศึกษา และประสิทธิภาพของการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบของการศึกษา มุ่งเน้นการสร้างบุคลิกภาพและองค์ประกอบของความสามารถในด้านต่างๆ ของทรัพยากรฒนุษย์ สร้างความเสมอภาคทางการศึกษา และเพื่อสร้างความมั่นใจทุกคนไม่ว่่าจะเป็นเพศใด จะมีฐานะยากจนอยู่ห่างไกลความเจริญหรือเป็นผู้อ้อยโอกาสทางสังคม ต้องได้รับการศึกษาขันพื้นฐานภาคบังคับ
- สหพันธรัฐมาเลเซีย ระบบการศึกษาแห่งชาติเป็นระบบการศึกษาที่มีคุณภาพระดับสากล ึดถือนโยบายการศึกษาแห่งชาติเป็นนโยบายพื้นฐานสำหรับพัฒนาการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษาระดับประถมศึกษาคือ 5-7 ปี ให้การศึกษาก่อนวัยเรียนบรรจุอยุ่ในการศึกษาสายสามัญแห่งชาติ มุ่งเน้นการพัฒนากำลังคนให้มีควารู้ความสามารถ มีทัพษะเพียงพอตอความต้องกรของประเทศซึ่งกำลังเติบโตทางเศราฐกิจอย่างรวดเร็วการขยายโอากาสทางการศึกษาให้เท่าเทียมกันทั่วประเทศ ทั้งนี้กระบวนการที่จำนำไปสู่ความสำเร็จ จะต้องยึดหลักอุดมกาณ์แห่งชาติ "rukunegara" 5 ประการได้แก่ เชื่อมั่นในพระผุ้เป็นเจ้า, จงรักภักดีต่อกษัตริย์และชาติ, ยึดมั่นในรัฐธรรมนูย, ปฏิบัติตามหลักกฎหมาย และประพฤติตนอย่างมีศีลธรรมและคุณธรรม
- สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ การสร้างความแข็งแกร่งในด้านการศึกษาให้เป็นภาระผูกพันต่อรัฐบาล กำหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐในการจัดวบประมาณด้านการศึกษา จัดการศึกษาตั้งแต่ระดับขั้นพื้นฐานไปจนถึงระดับอุดมศึกษาให้แก่ประชาชนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ย ให้ความสำคัญต่อการเพ่ิมทุนทั้งหมดไปที่มนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกาา สนับสนุนให้การศึกษาขั้นพื้นฐานมีคุณภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ การศร้างทักษระความเชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร พร้อมทั้งขวายช่องทางให้กับผุ้มีรายได้น้อยในเรื่องการศึกษานอกระบบและการฝึกอบรมด้านเทคนิคและวิชาชีพเ้นหลักการเรียนตลอดชีวิตให้เข้าถึงประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ตลอดจนผุ้พิการและผุ้ที่เสียเปรียบในสังคม เน้นการยกระดับหลักสูตรและเทคนิคในการฝึดอบรมครูผู้สอน ทักษะและกระบวนการบริหารจัดการวางแผนและกำกับดูแลโครงการต่างๆ โดยอาซัยการมีส่วนร่วมจากชุมชน
- สาธารณรัฐสิงคโปร์ ยกระดบมาตรฐานการศึกษาของคนในชาติสู่ระดับสากลโดยใช้กระบวนการเรียนการสอนควบคุ่ไปกับผลลัพธ์ทางการศึกษาทั้งด้านคุณภาพ และสมรรถภาพ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความสามารถอันหลากหลายของผุ้เรียนมากยิ่งขึ้น เน้นจิตสำนึกและแรงจูงใจในการใฝ่เรียนรู้ด้วยสัมฤทธิผลหรือความสำเร็จทางการษึกษาของผุ้เรียนแต่ละคน การทุ่มทรัพยากรด้านเงินทุนทางการศึกษามากขึ้น การเน้นการบริหารจัดการแบบรวมศุนย์ การมีหลักสูตรการเรียนการสอนที่เข้มข้น การเปลี่ยนจากการประเมินจากภายนอกสู่การเน้นประเมินจากภายในแต่ละโรงเรียนและสถาบันการศึกษาด้วยความถี่มากขั้นเพื่อให้สาถนศึกษารูจักตนเองมากขึน การส่งเสริมแรงสนับสนุนอย่างแข็งขันจากครอบครัวของผุ้เรียนการพัฒนากำลังคนด้านบุคลากรทางการสอนโดยเน้นการฝึกอบรม เพื่อให้พัฒการทางการศึกษาก้าวไปอย่างมั่นคงมากขึ้น
- รัฐบรูไนดารุสซาลาม มุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญในเรื่อง อีเลินนิ่ง โดยได้ดึงเข้ามาเป้นส่วนหนึ่ของยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ ดำเนินการให้ระบบการศึกษาทุ่งให้ความสำคัญต่อากรใช้ภาษามาเลย์เปนภาษาทางการประจำชาติ ควบคู่ไปกับการใช้ภาษาสำคัญอื่น ๆ เช่น ภาษาอังกฤษ และภาษาอาหรับเป้นภาษาที่สอง เป็นต้น จัดการศึกษาให้กับนักรเียนทุกคนเป็นระยะเวลา 12 ปี จัดหาหลักสูตรบูรณาการจัดการศึกษาศาสนาอิสลามในหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับหลัก Ahli
Sannah Wal-Jamaah จังหวัดวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ สำหรบการเรียนการสอน เพื่อให้เด็กนักรียนได้รับความรุ้และความชำนาญ จัดหาโปรแกรมการเรียนรู้ที่หลากลายผ่านกิจกรรมและหลักสูตรร่วมต่างๆ ให้สอดคล้องกับหลักปรชญาแห่งชาติ สร้างโอกาศในการศึกษาด้วยคุณวุฒิและประสบการณ์ที่เหมาะสม จัดหาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทางการศึกาาให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อเติมเต็มความต้องการแห่งชาติ
- สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม การปรับปรุงคุณภาพของการศึกษาไปในทิสทางระดับสูงของโลก การให้ความสำคัญกับการอบรมบุคลากรทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีชั้นสูง การจัดทำเป้าหมายวิธีการ และหลักสูตรในทุกระดับ พัฒนาครูให้ตอบสนองกับการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน ริเริ่มการจัดการทางการศึกษานอกระบบให้เป็นการขับเคลื่อนชุมชนไปสู่สังคมการเรียนรุ้ การลดอัตราการไมรุ้หนังสือในกลุ่มผุ้ใหญ่โดยเฉพาะในท้องถ่ินที่ห่างไกล การเปิดโอกาศให้ผุ้ทีทำงานแล้วได้รับการอบรมเรียนรุ้จากหลักสุตรสั้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เพิ่มรายได้ และโอากสในการเปลี่ยนงาน เด็กนัอเรียนได้รับกาศึกาาโดยไ่ต้องเสียค่าใช้จ่ายตามมาตรฐาการศึกษาระดับนานาชาติ และการบริหารจัดการทางการศึกษาจะมีโครงสร้างและกระบวนการกระจายอำนาจที่ทันสมัย
- สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว การเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน การยกระดับคุณภาพทางการศึกาาการปรับปรุงความเชื่อมโยงส่วนต่างๆ ในระบบการศึกษาให้สอดคล้องกัน การบริหาร จัดการและการวางแผนทางการศึกษาให้เเข็งแแร่งมากขึ้น การขยายจำนวนโรงเรียนระดบประถมศึกษาในพื้นที่ชนกลุ่มน้อยและพื้นที่ชนลบท การเพ่ิมอัตราการสรุ้หนังสือ การพัฒนาในแนวทางที่เรียกว่า การศึกษาสำหรับทุกคน การยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างจริงจังและการสร้างความร่วมมือระหว่าการึกษาในระบบโรงเรียนกับการศึกษาในสังคมและครอบครัว การปรับปรุงและพัฒนาการศึกษาให้ทันสมัยในทุกระดบทั้งสามัญศึกษาและอาชีวศึกษาทั้งในส่วนของภาครัฐและในส่วนของภาคเอกชน ทั้งในและนอกระบบโรงเรียน ในลักษณะที่สอดรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
- สหภาพเมียนม่า การกำหนดแผนระยะยาว 30 ปี การทำระบบการศึกษาให้เอื้อต่อการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ในการพัฒนาชาติให้ทันสมัยสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วด้วยการเน้นสาระสำคัญ 6 ด้านได้แก่ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การใช้เทคโนโลยีการขยายขอบเขตด้านการวิจัย การพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต การส่วเสริมการศึกษาคุณภาพ และการรักษาเอกลักษณ์และค่านิยมแห่งชาติให้คงอยู่
- ราชอาณาจักรกัมพูชา การกำหนดแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติในการขยายโอากศางการศึกาษาคุณภาพอย่างทั่วถึงประกอบด้วยแผนระยะสั้น แผนระยะกลาง และแผนระยะยาว เช่นการเปิดโอกาสศึกษาขั้นพื้นฐานให้เพิ่มสูงขึ้น การเพ่ิมขั่วโมงการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกาาการเพิ่มห้องเรียนและสถานที่เรียนในพื้นที่ขาดแคลน การเพ่ิมปริมาณและคุณภาพครูและการฝึกหัดครู เป้าหมายระยะยาวในการทำให้เด็กและเยาชนชาวกัมพุชาทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกาาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง ทุกระดับสถานะทางเศรษฐกิจ ทุกเพศ ทุกพื้นที่ ทุกเชื้อชาติ แม้ผุ้พิการทางร่างกาย...
ที่กล่าวมานี้คือตอน ที่ 1 ของการทำวิจัย "นโยการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียน โดยใช้วิธีการศึกษาเปรียบเทียบเชิงสหวิทยาการของจอร์ช เบอร์เรเดย์" โดยตอนนี้เป็นการศึกษาเฉพาะที่ โดยมี 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนการบรรยายหรือพรรณนา และขั้นตอนการตีความ...
บทความการพัฒนการศึกษา จุมพล ยงศร, "นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในประชาคมอาเซียนโดยใช้วิธีการศึกษาเปรียบเทียบเชิงสหวิทยาการของจอร์ช เบอร์เรเดย์", วารสานสุโขทัยธรรมาธิราช ปีที่ 24, ฉบับที่ 1 ( ม.ค.-มิ.ย. 2554) หน้า 43-58,
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...