ในหนังสือที่โด่งดังชือ The Race between Education and Technology ผุ้เขียนคือ Claudia Goldin และ Lawrence Katz กล่าวว่า ศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านพ้นไปแล้วอาจเรียกได้ว่าเป็น "ศตวรรษแห่งทรัพยากรมนุษย์" ในช่วงต้นศตวรรษนั้น การศึกษาในประเทศต่างๆ เป็นเรื่องสำหรับคนชั้นสูงที่มีฐานะเศรษฐกิจพอที่จะไปศึกษาในโรงเรียน แต่นับจากช่วงปลายๆ ศตวรรษท20 แม้แต่ประเทศที่ยากจนที่สุด รัฐก็ยังให้บริการด้านการศึกษาพื้นฐานแก่ประชาชนทัี่วไป ในบางประเทศที่ยากจีน รัฐบังให้บริการด้านการศึกษาแก่ประชาชนที่สูงกว่าระดับประถมศึกษา
การที่ประเทศต่างๆ ล้วนมีนดยบายจัดให้มีการศึกษาอย่างแพร่หลายแก่ประชาชนทั่วไป เพราะในปัจจุบัน การเติบโตทางเศราฐกิจจำเป็นต้องอาศัยประชากรที่มีการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นผุ้ใช้แรงงาน ผุ้ประถกอบการ ผู้จัดการธุรกิจ หรือพลเมือง แรงงานที่มีการศึกษาสูงขึ้นทำให้เกิดผลิตภาพแรงงานที่สูงตามไปด้วย การเปลี่ยนแปลงทางเทคโยดลยีที่รวดเร็วมากในปัจจุบันก็ย่ิงต้องการแรงงานที่มีการศึกษามากขึ้นในทุกๆ ระดับ ประเทศที่ต้องการมีรายได้สูง และประชากรมี
านทำเกือบทั้งหมดทุกคน จะต้องมีระบบการศึกษาที่สร้างทักษระแก่ประชากรทุกคน ไม่ใช้เฉพาะบางคน
ปัจจุบันนี้ ประเทศต่างๆ ล้วนตระกนักเป็นอย่งดีว่า ทุนมนุษยืที่มีอยุ่ในประชากรแต่ละคน คือปัจจัยพืท้นฐ,านที่สำคัญของการสร้างความมั่งคั่งทางเสณาฐกิจของประเทศ ปัจจับสร้างความมั่งคั่งอื่นๆ เช่น วัตถุดิบ เทคดนโลยี หรือเงินทุน สามารถหาได้ในตลาดดลก แต่ประเสิทะิภาพของแระงงานจนั้นแต่บะประเทศต้องกสร้างขึ้นมาเอง แรงงานที่มีการศึกษาสูงขั้นจะเป้นแรงงานที่มีประสทิะิภาพมากขึ้นเป้ฯแรงงานที่สามารถเรียนรุ้เทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆ และสำหรับคนบางคนแล้ว การศึกษาที่มากขึ้นยงทำให้สมารถสร้างเทคโนโลยีใหม่ ๆ ขึ้นมาอีกด้วย
โลกในปัจจุบันที่ประเทศต่างๆ เชื่อมโยงทางเสรษบกิจระหว่างกันมากขึ้น เพราะการค้าเสรี รวมทั้งงินทุนและความคิดเคลื่อนย้ายอย่างอิสระ การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศต่างๆ สามารถรักษาการเติบดตทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง แต่การสร้างความได้เปรียบทางเศรษฐกิจนั้นมีอยู่ 2 แนวทาง แนวทางหนึ่งคือการทำให้สินค้าของตัวเองมีราคาถูกในตลาดดลก ประเทศที่ใช้แนวทางนี้มักใช้วิะีการลดค่าเงินให้ถุกลง
อีกแนวทางหนึ่งคือ การสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จาสกการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ โดยอาเศัยแรงงานที่มีทักษณะสูงแนวทางนี้จะทำให้ประทเศนั้นสามารถรักษาฐานะการเป็นประเทศรายได้สุงแบะมีการจ้างงานเต็มที่ ประเทศที่มีแนวทางนี้จะมีนโยบายว่า การที่คนในประเทศจะมีรายได้สูง คุณภาพทรัพยากรมนุษย์จะต้องมีคุณภาพ รัฐสนับสนุนนายจ้างให้ใช้แรงงานทมีคุณภาพในอุตสาหกรรมการผลิต ประเทศรายได้สุงอย่าง เยอรมัน สิงคโปร์ สวีเด และญี่ปุ่น ล้วนมีนโยบายแบบบูรณาการ ที่รวมการพัฒนาเศราบกิจ ตลาดแรงงาน และการศึกษามาเป็นนโยบายเดียวกัน
เยอรมันกับแรงงานคุณภาพ เมื่อ 70 ปีที่แล้ว เยอรมันเป้นประเทศพ่ายแพ้สงครา ประเทศถูกทำลายราบคาบเกินกว่าที่คนในปัจจุบันจะจินตนาการออกว่าเสียหายมากมายขนาดไหน บ้านเรือน 10 ล้านหลังถูกทำลาย เมืองสำคัญๆ ถูกทำลายจนหมด 90% ของโรงงานอุตสาหกรรมทางใต้ของเยอรมันเลิกกิจการ ผลผลิตทางอุตสาหกรรมมีเพียง 5 % ของกำลังการผลิตเดิม
ทุกวันนี้ เยอรมันเป้นประเทศที่มีเศณาฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโฃลก และใหญ่ที่สุดของยุโรป รายได้ต่อหัวของประชาชนอยู่ที่ 48,200 ดอลลาร์ (2016) ยอดส่งออกปีหนึ่งมีมุลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเทียบเท่ากับมุลค่าเศราบกิจของรัีสเซียทั้งประเทศ ค่าแรงขั้นต่ำตามกฎหมายอยุ่ที่ช่ั่วโมงละ 8.84 ยูโร กล่าวกันว่าหากรวมค่าสวัสดิการต่างๆ ค่าแรงคนงานเยอรมัีน 1 คน จ้างคนงานเวียดนามได้ 49 คน
ความเสียหายจากสงครามทำให้ภาคส่วนต่างของสังคมเยอรมันผนึกกำลังกันเพื่อกอบกุ้เศราฐกิจประเทศ ที่ต่อมากลายเป็นพันธะข้อผูกพันที่เรียกกันว่า "หุ้นส่วนทางสังคมไ ซึ่งประกอบด้วย นายจ้าง แรงงาน และรัฐบาล หุ้นส่่วนไตรภาคีนี้จะดำเนินการร่วมกันในการกำหนดนโยบายเสราฐกิจสำคัญๆ เช่น การกำหนดค่าจ้างที่สูงขึ้นเป็นระยะๆ ทำให้อุตสาหกรรมเยอรมันต้องมุ่งสู่การแข่งขันทีุ่ณภาพของผลิตตภัฒฑ์ไม่ใช่ที่ราคา นดยบายความมั่นคงในการจ้างงาน ทำให้นายจ้างต้องลงทุนในการฝึกฝนแรงงานตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เพราะนายจ้างรุ้ดีว่า แรงงานที่ทำงานกับองค์กรเป็นเวลายาวนาน ทำให้นายจ้างสามารถได้ผลตอบแทนกลับคือนมาจากการลงทุนด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน
แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นด้านการศึกษาเยอรมันคือ ระบบการพัฒนาทักษะฝีมือนนักเรียน ที่ใช้ังคับกับนักเรียนทั้งหมด ยกเว้นนักเรียนที่จะศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย ใน ปี 1869 เยอรมัีนมีแนวทางปฏิบัติให้นายจ้างส่งพนักงานให้ไปศึกษาต่อ เพื่อเรียนรุ้เพ่ิมเติมและฝึกงานมากขึ้น สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของระบบการศึกษาแบบคุ่ขนารน ที่ประกอบด้วยการเรียนกับการฝึกงาน ดดยรับบาลกับนายจ้างรับผิดชอบร่วมกนการดำเนินงาน
ในปี 1938 เยอรมันมีกฎหมายฉบัยแรกเรื่อง ระบบการฝึกงานด้านอาชีวศึกษา ดดยกำหนดให้การศึกษาด้านอาชีวะต้องมีการฝึกงาน กฎหมายนี้ทำให้การศึกษาแบบคุ่ขนานเป้นแบบภาคบังคับที่ใช้กับนักเรียนสายอาชีวะทั้งหมด ในปี 1969 เยอรมันมีกฎหมายขือ การฝึกงานด้านอาชีวะ กำหนดให้นักเรียนที่จบชั้นมัะยมและไม่ศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยจะต้องเป็นนักเรียนฝึกงานในหลักสูตรวิชาชีพใดวิชาชีพหนึ่ง ที่มีทั้งหมด 480 หลักสูตร
นักศึกษาสายอาชีวะจะต้องสมัครดดยตรงกับบริษัทที่ต้องการจะฝึกงาน บริษัทต่างๆ จะรับนักศึกษาฝึกงาน ดดยดุจากผลการเรียนและจดหมายแนะนำจากอาจารย์ที่สอน สัญญาการฝึกงานมีระยะเวลา -3 ปี ช่วงการฝึกงาน ในสัปดาห์หนึ่ง นักศึกษาใช้เวลาเรนยน 1 วันที่สถาบันการศึกษา และอีก 4 วันที่ดรงงานของนายจ้าง ช่วงฝึกงาน นักศึกษาจะได้รับ "ค่าแรงฝึกงาน" หลังจากการฝึกงานสิ้นสุดลงจะมีการสอบข้อเขียนและประเมินผลงานการฝึกงาน นักศึกาาที่สอบผ่านจะได้รับใบรับรองการฝคกงานที่ทุกบริษัทในเยอรัมนในการยอมรับการศึกาาแบบฝึกงานของเยอรมัน เป็นระบบการดำเนินงานร่วมกันระหว่างหุ้นส่วนทางสังคม กฎหมายปี 1969 กำหนดหลักการต่างๆ เรื่องกาฝึกงาน หลักสูตรการฝึกงานกำหนดดดยรัฐบาลกลาง มาตรฐานการฝึกงานกำหนดโดยนายจ้าง สหภาพแรงงานเจ้าหน้าที่รัฐ และผุ้เชี่ยวชาญการฝึกอบรม การฝึกงานของนักศึกษาตามท้องถ่ินต่างๆ จะดำเนินการโดยสภาหอการต้าและอุตสาหกรรม เพราะบริษัทต่างๆ ล้วนเป้ฯสมาชิกของสภาอุตสาหกรรม
เพราะฉะนั้น การศึกษาแบบฝึกงานของเยอรมัน จึงเป้ฯระบบที่เป้นดำเนินงานของประเทศทั้งหมด การฝึกงานจะครอบคลุมทุกสาขาอาชีพเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและบิรการ ทำให้เยอรมันมีแรงงานที่มีทัีกษระมากที่สุดในดลก การว่างงงานของเยาวชนต่ำและคนที่เข้าสุ่ตลาดแรงงานครั้งแรกทมีความเชื่อมัี่นในความสามารถของตัวเอง การเตรียมการอย่งดีเลิศของเยอมันเพื่อผลิตแรรงงานที่มีคุณภาพดังกล่าวจึงเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จทงเศราฐกิจ
ญี่ปุ่นกับการสร้างแรงงานฝีมือ
ญี่ปุ่นก้มีาสภาพเดียกับเยอรมนี ในช่วงสงครามดลกครั้งที่ 2 เสณาฐกิจญี่ปุ่นถูกทำลาย แต่หลังสงคราม ปัจจัยที่สร้างความมหัศจรรย์ทางเสณาฐกิจของญี่ปุ่น ก้เป็นปัจจัยเดียวกันทีสร้างความสำเร็จให้กับเยอมนี การฟื้นฟูเศราฐกิจไม่ได้มราจากการสร้างดรงงานอุตสาหรรมขึ้นมาใหม่เท่านั้น แต่ญี่ปุ่นยังสร้างสถาบันสังคมที่จะมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้มุ่งสู่การผลิตสินค้ามีคุณภาพและมุลค่าูง สถาบันสังคมดังกล่าวมีความหมายแบบเดียวกับที่เยอมนีเรียกว่า "หุ้งส่วนทางสังคมไ
เดิมนั้น นักธุรกิจนายทุนของญี่ปุ่นก็มุ่งแสวงหากำไรสูงสุดแบบเดียวกับนายทุนที่มุ่งกำไรสูงสุดในสหัฐฯ หลังสงคราม ระบบความร่วมมือระหว่างฝ่ายบริหารับแรงงานของญี่ป่นุ ไม่ไ้เกิดขั้นทันที่ทันใด แต่การแพ้สงครามทำให้ประเทศเกิดวิกฤติ ภาคธุรกิจจึงตระหนักว่า จะต้องรวมกับภาคส่วนเศราฐกิจอื่นๆ เพื่อสร้างชาติขึ้นมา และยอมรับว่าเป้าหมายของภาคธุรกิจเอกชนจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของผลประโยชน์ประเทศที่ใหญ่กว่า จึงเป็นที่มาของความร่วมมือระหว่าง ภาครัฐ-ภาคเอกชน-แรงงาน
ความร่วมมือและฉันทานุมัติระหว่งหุ้นส่วนทางสังคมดังกล่าว ทำให้ญี่ปุ่นมีเป้าหมายการแข่งขันทางธุรกิจที่ไม่ได้อยุ่ที่ค่าแรงถูกญี่ปุ่่นไม่มีระบบการกำหนดค่าแรงระดับชาติแบบเดียวกับเยอรมนี แต่ญี่ปุ่่นมีเป้าหมายต้องการให้ค่าแรงในประทเศสูงขึ้น ทำให้ธุรกิจอุตสาหกรรมต้องหันไปใช้กลยุทธ์การผลิตสินค้าคุณภาพสูง และหาทางให้ธุรกิจสามารถมีผลกำหรจากสภาพที่ต่าแรงในประเทศสูง
หน่วยงานรัฐของฐี่ปุ่น คือ กระทรวงการต้าและอุสาหกรรมระหว่างประเทศ หรือ MITI จะเป็นผุ้กำหนดวิสัยทัศน์ของอนาคตญี่ป่นุ โดยผ่านการปรึกษาหารือกับภาคธุรกิจและแรงงาน MITI ตั้งขึ้นใาเมือปี 1927 แต่ภายหลังจากสงครามเข้ามามีบทบาทโดดเด่นในการกำหนดนโยบายอุตสาหกรรมของญีปุ่่น เยอรมนนั้นแตกต่างจากญี่ปุ่่น คือ รัฐไม่มีแนวทางการพัฒนาเศราฐกิจแบบเป็นทางการแต่กระบวนการทางการเมืองแผนกลยุทธ์ธุรกิจของรัฐท้องถ่ินต่างๆ และความรวมมือของหุ้นสวนทางสังคมทำให้เยอรมนีมีเป้าหมายการพัฒนาเศราฐกิจ แบบเดียวกับญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นและเยอรมนรีมีวิธีที่แตกต่างกันในการสร้างแรงงานที่มีคุณภาพ แต่ทั้งสองประเทศก็สามารถบรรลุเป้หมายนี้เหมือนกันความแตกต่างอยู่ที่ความสัมพันะ์ระหว่างแรงงานกับอุตสาหกรรมที่จ้างงาน เยอรมนีมีธรรมเนียมมาตั้งแต่โบราณในเรื่องระบบการฝึกงาน หากถามว่าทำงานอะไร คนเยอรมันจะตอบว่าเป้นช่างเทคนิค เพราะเคยฝึกงานสาขานี้มาก่อน แต่คนญี่ป่นุจะตอบว่าทำงานกับมิตซูบิชิหรือโตโยต้า บริษัทเยอรมันคาดหมาย่ว่าแรงงานใหม่ๆ จะมีทักษะในงานที่จ้างและมอบหมายให้ทำส่วนนายจ้างญี่ปุ่่นคาดหมายว่า ลูกจ้างใหม่จะสามารถเรียนรู้และทำงานใหม่ได้ดี รวมทั้งเมื่อย้ายไปทำงาฝ่ายอื่นๆ ของบริษัท
ญี่ปุ่นไม่มีระบบการศึกษาแบบอาชีวะที่โดดเด่นแบบเยอรมนี บริษัทต่างๆ รับคนงานให่จากนักเรียนที่จบมัธยมศึกษาตอนปลายโดยดูจากคุณสมบัติที่เป็นความสามารถทั่วไป การที่ธุรกิจรับพนักงานจากคุณสมบัติทั่วไปดังกล่าว ทำให้ญี่ปุ่นต้องวางหลักสูตรการศึกษาระดับโรงเรียนให้มีมาตรฐานสูงมาก ส่วนริษัทใหญ่ๆ จะมีหลักสูตรการฝึกฝนอบรมแก่พนักงานใหม่ใด้านจ่างๆ เช่น โตโยต้าจะให้พนักงานใหม่เข้ารับการอบรมเป็นเวลา 2 ปี ในเรื่องอิจิตอล อิเล็กทรอนิกส์ กอนที่จะเข้าไปทำงนในโรงงานเป็นต้น
ระบบการจ้างงานจนเกษีณของริษัทยักษ์ใหญ่ และวิธีทำงานที่ให้พนักงานย้ายไปทำงานฝ่ายต่างๆ ของบริษัท ทำให้นายจ้างเต็มใจที่จะลงทุนเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน เพราะเห็นว่าเป็ฯการลงทุนที่สามารถคืนผลตอบแทนกลับมาได้ คนงานญี่ปุ่นเองก็มีทัศนคติที่กระตือรอือร้นต่อการเข้ารับการอบรมอย่างต่อเนื่อง เพราะเห็นว่าการร่วมงานกับบริษัทขนาดใหญ่ เหมือนกับตัวเองเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว กาทำงานในองค์การเหมือนกับตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานเป็นทีม ทักษระความสามารถของกลุ่มคณะทำงาน จึงเป็นรากบานที่สร้างควาสำเร็จของบริษัทญี่ป่่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการควบคุมคุณภาพหรือการปรับปรุงคุณภาพผลิตภัฒฑ์อย่างต่อเนื่อง
กล่าวโดยสรุป ความสำเร็จของญี่ปุ่นเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ห้น่วนทางสังคมเห็นพื้องที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมจากการแข่งขันด้านคุณภาพ ระบบการจ้างงานจนเกษียณ ผลประโยชนืของคนงานเป้นอันหนึ่งอันเดียวกัผลประโยชน์องค์กร ระบบการศึกาาที่มีคุณภาพสูง การลงทุนอย่างต่อเนื่องของธุรกิจเพื่อพัฒนาทักษะคนงาน และความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายแรงงานกับฝ่ายบริหารที่อาศัยการปรึกาาหารือ เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนสะท้อนอยู่ในเนื้อหาและการทำหน้าที่ของคนี่ปุ่นในองค์กรต่างๆ
ระบบการศึกษาจะสะท้อนรูปแบบระบบเศรษฐกิจแบบกลไกตลาดของแต่ละประเทศ สหรัฐเมริกาที่มีเศราฐกิจกลไกตลาดเสรีการศึกษาจะเป็นระบบการเรียนรู้เพื่อสร้างความสาารถเฉพาะตัวของนักเรียน ส่วนเยอรมนีและญี่ปุ่นที่มีเศรษฐกิจกลไกตลาดเพื่อสังคม การศึกาาจะมุ่งสร้างทักษะวิชาชีพแก่นักเรียนทุกคน เพื่อให้คุณภาพของประชากรเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสร้างความมั่งคั่งทางเศรา,กจิอของประเทศ...thaipublica.org/2017/07/pridi56/
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น