วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2561
The End of God "RagnaRok"
ฝ่ายโลกิ เมื่ออกมาจากห้งประชุมเทพ เขาก็รู้ว่าครั้งนี้คงหนีถูกไล่ล่า เขาพยายามป้องกันตัวเองทุกวิถีทางโลกิเลือกทำเลที่ซ่อนใหม่เขาขึ้นไปสร้างกระท่อมสี่เหลี่ยมบนยอดเขา ฝ่าทั้งสี่ด้านของกระท่อมหลังนี้มีประตูเปิดไว้ตลอดเวลา เพื่อจะไ้รู้หากมีใครสักคนมาถึง ต่อลงไปจากกระท่อมมีลำธารไหลแรง โลกิกะว่า ถ้าถูกต้อนจนมุมเขาจะแปลร่างเป็นปลาแซชมอนโดดเนีลงน้ำ ธอร์พยายามติดตามโลกิจนรู้ตำแหน่งแหล่งที่ซ่อน ด้วยความที่เขาเป็นคนรู้จักโลกิมากที่สุดจากการผจญภัยด้วยกันหลายครั้ง ธอร์พอจะเดาออกว่าโลกิดคิดอะไร เมื่อวิเครื่อห็ชัยถชภูมิที่โลกิซ่อน ธอร์เห็นจุดอ่อน เขารุ้ทันควมคิดของโลกิว่า ถ้าจวนตัวมีหลังเทพองค์นั้นจะแปลงตัวเป้นปลากระโดลงน้ำหนีไปแน่ ธอร์จึงไปปรึกษาโอดินเตรียมแหวิเศษไปด้วย คราวนี้โอดินและธอร์ตามไปถึงรัง จับตัวโลกิมาได้
เทวาอีเซอร์ช่วยกันคิดหาวิธีที่เหมาะสม แต่แน่ที่สุดคือโลกิต้องถูกจำไว้ที่มิดการ์ด พวกเขาไม่ต้องการให้สวรรค์ของพวกตนเปื้อนเลือดไปมากกว่านี้ เลือดของบาลเดอร์ที่นองพื้นสวรรค์น่ารจะพอแล้ว แต่ก่อนที่จะพาโลกิลงไป เขาต้องการสร้างความเจ็บปวดให้โลกิมากที่สุดจึงตามล่าลูกชายสองคนของโลกิ วาลีและนาวี สาปวาลีให้กลายเป็นหมาป่าที่กำลังอยุ่ในอารมณืโกรธรคคลุ้มลัง วาลีผุ้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรกับพ่อต้งอกลายร่างเป้ฯสัตคว์ร้าย สมองของเขาขณะนั้นไม่มีความเป้นคนเหลืออยุ่แถมยังตกอยู่ในความคลุ้มคลั่ง เหลียวซ้ายแลขวาเห้ฯนาวี ยืนตัวสั่นด้วยความตกใจก็เข้าทำร้าย หมาป่าแปลงกันพี่ชายของตนจนไส้ไหลถึงแก่ความตาย ก่อน
จะหนีเตลิดหายไปยังดินแดนโจตันไฮล์ม
เทพเก็บเอาไส้ของนนาวีมาทำโซ่มัดตรึงโลกิเข้ากับแผ่นหินใหญ่สามแผ่น สกาดียักษ์สาวที่ได้รับความอับอายเพราะโลกิอาสานำงูพิษมาสาปตรึ่งใว้เหนือหัว ให้งูนั้นพ่นพิษใส่หน้าตลอดเวลา แล้วเทพก็จะไไป โชคของโลกิที่เหลือเพียงสิ่งเดียวคือเวลานั้น ซียินเมีย ของโลกิ ผุ้จงรักภักดี หล่อนแอบตามมา เมื่อเห็นบรรดาเทพไปกันหมดแล้วก็ ออกจากที่ชซ่่อน นั่งเฝ้าสามาีคอยเอาถ้วยรองพิษงูไว้ไม่ให้ถุกใบหน้าดลกิ นางนั่งเคยยงข้างสามาีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนกระทั้งถึงเวลาแร็คนาร็อค ช่วยเดียวที่หล่อนไม่อยู่กบเขา ก็คือตอนที่เอาถ้วยรองพิษงูไปท้ิง เป้นตออนเดียวที่ดลกิเจ็บแสบกับน้ำพิษที่ร้อนเหมือนไฟ ความทุกข์ทรมานที่ถุกตรึงกับแผ่นหินด้วยไส้ของลุกตัวเอง กับความร้อน จากพิษทำให้ความฝังใจเจ็บกับเทพทวีขึ้นเรื่อยๆ
ช่วงเวลาที่ดลกิถูกพันธนาการอยู่ในมิดการ์ด โอดินแน่ใจว่าความชั่วร้ายของโลกิจะค่อยๆ ซึ่งลงไปในใจมนุษย์อย่างช้าๆ ไม่นานนักมันก็เร่ิมพ่นพิษ โอดินนั่งมองจากบัลลังก์ส "ฮลิดสเกียฟเห็นคนเร่ิมฆ่ากันอย่างไร้เหตุผล และไร้เกี่ยรติ หัวใจ ทุกดวงเต็ไปด้วยความชั่วและความพยายามและทุกสิ่งทุกอย่างเร่ิมสับสน...
พ่อฆ่าลูกชาย เอาลูกสาวมาทำเมีย ลูกชายบอบฆ่าครอบรัวในตอนกลางคือ พี่น้องสมสู่กันเอง แระทั่งแม่ก็ยังเกิดความใคร่ใตัวลูกชาย มันเป็ฯยุคตาต่อตา ฟันต่อฟัน ดาบต่อดาบ ความโกรธความเกลียดแม้เพียงน้อยนิดก็ไม่มี การอดทนให้อภัย แผ่นดินมิดการ์ดเต็มไปด้วยเลือด มันเป็นเวลาที่มนุษย์ไร้ศีลธรรมและอารยธรรมของความเป้นคน กลับไปมีชีวิตเหมือนสัตว์ ฆ่ากันเยี่ยงสัตว์ ...https://writer.dek-d.com/tonkow12/story/viewlongc.php?id=226138&chapter=11
วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2561
THE DEATH OF HODUR
ครั้นเมื่อความโศกศร้าจางหายไปจากแอสการ์ เทพโอดินสมสู่กับรินด้า เมียคนที่สามให้กำเนิดวาลี Vali ขึ้น เทพองค์นี้ก็เป็นผุ้ถามหาความยุติธรรมแก่บาลเดอร์ หลังจากเขาเกิดไม่กี่วัน วาลีถือคันศรและแล่งบรรจุลูกธนูติดตัวตลอดเวลาจนวันหนึ่งสบโอกาศก็ยิ่งโฮเดอร์ตาย ความตายของโฮเดอร์เป็นการแก้แค้นที่สามสมในความเห็นของคนเหนือ ทั้งๆ ที่ต้นเหตุคือโลกิ..
แผนชั่วร้ายของโลกิทำชาวสวรรค์เศร้าโศรกเสียใจเกินกวาจะให้อภัยโลกิ..พวกเทพรวมตัวกันเนรเทศโลกิห้ามไม่ให้โลกิย่างหยี่ยบเข้ามาในแอสการ์ดไม่ว่าส่วนไหนๆ ทั้งสิ้น
โลกิกลับไม่สำนึกว่าสิงที่เขาได้กระทำลงไปเป็นความผิดร้ายแรง เขากลับย่ิงโกรธแค้นหาทางแก้เผ็ด เรื่องการที่ต้องถูกเนรเทศ
เช้าวันหนึ่งขณะที่มการเลี้ยงใหญ่ที่ทองพระโรง โอดินและธอร์ไม่อยู่ โลกิก็เดินเข้ามาในห้องเลี้ยง เร่ิมชี้หน้าด่าเทพแต่ละองค์ นำเรื่องความบกพร่องและน่าอับดายของเทพแต่ละองค์มาประจาน ทวยเทพต่างอ้าปากค้ง ไม่มีรใครห้ามโลกิได้ เขายังก่นด่าต่อไปเรื่อยๆ กระทั้งถึง ซิฟ โลกิพูดขึ้นว่า เสียงของเขาดังขึ้นๆ จึงไม่ทันสังเกตว่า ธอร์ไม่ได้อยุ่ในที่ประชุมเมื่อครู่ บันนี้ปรากฎตัวขึ้นด้านหลังของเขาอย่างเงียบๆ เขาย่อมต้องได้ยินคำพูดที่โลกิกำลังประจานเมียรักของตน ความโกรธพุ่งพล่านขึ้นในหัวของธรอร์ เทพสายฟ้าเหวี่ยงค้อนหมุนบนหัว คราวนี้กระว่าดลกิต้องตายคาห้องประชุม แต่เทพโลกิก็ไหวตัวทัน หันไปเห็นธอร์อยุ่เบื้งหลัง โลกิเผ่นออกไปจาห้องทันก่อนที่ค้อนจะปลิวมาถึงตัว
ความอดทนของเทพที่มีต่อโลกิขาดผึง แทนที่จะแค่เนรเทศแล้วเกลิกสนใจ แต่ทวยเทพต่างตกลงกันว่า เห็นท่าจะต้องลงโทษให้สาสม โอดินสั่งให้จับโลกิเอาตัวมาทรมาน
https://writer.dek-d.com/tonkow12/story/viewlongc.php?id=226138&chapter=10
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2561
THE DEATH OF BALDUR
ระหว่างที่เสียงร่ำไห้ระงมทั่วแอสการ์ด เฮอร์มอดก็เข้าใกล้นิฟส์ไฮล์มเข้าไปทุกที เขาขี้ม้าแปดขาข้ามสะพานจิอัลลา สะพานที่ทอดข้าม จิอัล แม่น้ำแห่งความตาย ม้าพาคนที่กระโดดไกลเข้าประตูนรกไปสู่วังของเฮลกลางใจแผ่นดินนิฟล์ไฮล์มอย่างรวดเร็ว
ในการเข้าถึงโลงเลี้ยงอาหารของเฮลนี้เอง เฮอร์มอดเห้นบาลเดอร์และนันนานั่งอยู่บนเก้าอี้ อาหารเบื้องหน้าไม่ได้รับการแตะต้อง เช่นเดียวกับเหล้าที่วางไว้เคียงกัน วิญาณของสองเทพดูจะตายเช่นเดียวกัยร่าง เฮอร์มอดพยายามให้กำลังใจผลักดันบาลเดอร์ว่าเขาควรกลับไปอยู่แดนของสิ่งมีชีวิต แต่วิญญาณของเทพตอบด้วยความเศณ้ษว่า มันเป็นไปไม่ได้อีแล้ว
เฮอร์มอดพบเฮล บอกคำอ้อนวอนของพระนางฟริกก้า เฮลจ้องหน้าเทพด้วยดวงตาเย็นชา นางตอบว่า หากทุกสิ่งทุกอย่างในโลกทั้ง ต ไม่ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ร้องไห้ให้กับการจากไปของบาลเดอร์ นางจะยอมปล่อยให้เทพกลับไปมีชีิวิตอีกครั้ง แค่เพียงนี้ก็เป็นการต่อรองที่ดูจะมีหวัง เฮอร์มอดรีบกลับแอสการ์ด แจ้งเรื่องที่เฮลบอกให้โอดินทราบ
ข่าวของเทพบุตรหนุ่มสร้างความหวังริบหรี่ให้โอดิน เขาส่งทูตทั้งสี่ออกไปบอกข่าวแก่สิ่งต่างๆ ในโลกชนิดปูพรมแน่ใจว่า บาลเดอร์เป็นที่รักของทุกคนและทุกสิ่ง ไม่ยากเลยที่คนเหล่านั้นหรือสิ่งเหล่านั้นจะร่ำไห้ และทูตก็ทำงาน ได้ดี กระทั้งฝุ่นและหินก็ยังหลั่งน้ำตาของมันแก่เทพผุ้ล้มลงตาย ทูตทั้งสี่กลับแอสการ์ ระว่างทางกลับนั้น พวกเขาบังเอญเห็นถ้ำแห่งหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทูตสวรรค์ก็เลยลองเดินไปข้างใน พบนางยักษ์ธรอค
จึงแจ้งข่าวการตายของบาลเดอร์แก่นาง แต่นางยักษ์ฟังแล้วก็นิ่งเฉย ทูตถามย้ำว่าไม่เสียใจเรื่องความตายของเทพแห่งแสงสว่างบ้างเลยเชียวหรือ ยักษ์"ธรอค"มองหน้าทูตแล้วว่า นางไม่รุ้สึกอะไรเลย คำตอบของยักษ์ตนนี้คนเดียวเท่าน้น ทำให้บาลเดอร์ตกอยู่ในเงื้อมมือของเฮลตลอดไป
ทูตสวรรค์กลับแอสการ์ดพร้อมกับข่าวร้าย แจ้งแก่เทพว่าทุกสิ่งทุกอย่างร่ำไห้แก่บาลเดอร์ ยาเหว้นสิ่งเดียวคือยักษ์ธรอค ยักษ์ที่ไม่เคยมีใครได้ยินชื่อมาก่อน ความน่ิงเฉยของยักษ์ตนนี้ทำให้
บาสเดอร์ไม่มีทางฟ้นกลับมาสู่สวรรค์อีกแล้ว ท้องพระโรงแอสการ์ดเต็มไปด้วยความเศ็าอีกครั้ง ไม่มีใครทันสังเกตแววตาสะใจวะวับของโลกิ ที่ยัะงคงแกล้งทำเป็นเสียใจ มันเป็นแววตาเดียวกับนางยัษ์ผุ้ม่ร่ำไห้...ยักษ์คิณีตนนั้นก็คือโลกินั้นเอง
ความตายของบาลเดอร์นับเป็นต้นเหตุแห่งความเกลียดชังสำคัญระหวางเทพและโลก แต่คนที่น่าสงสารที่สุดในเรื่องนี้ คงเป็นโฮเดอร์ ผุ้ซึ่งถูกโลกิยืมมือให้ฆ่าแฝดผู้น้องโดยไม่รู้เรื่องรุ้ราว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็กลายเป็นเทพผุ้ถูกชังมากเข้าไปอีก...writer.dek-d.com/tonkow12/story/viewlongc.php?id=226138&chapter=10
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2561
Baldur and Hodur II
..... โลกิมองหาคนที่จะยืมมือได้ ทันที่เขาเห็นโฮเดอร์เทพตาบอดซึ่งถูกกีดกันจากเทพด้วยกันเองเสมอๆ ซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง กำลังคลำงุ่มง่ามเปะปะไปตามผนัง เขาไม่ได้มีส่วนร่วมในเกมส์ ขว้างปาบาลเดอร์เพราะมองไม่เห็น โลกิ เกินเข้าไปโอบไหลโฮเดอร์ ทำเป็นมีเมตตา แล้วเร่ิมกล่อม
" ทำไมเจ้าไม่หาอะไรมาข้างปาร่วมงานฉลองกับเขาบ้างเล่า" โลกิเอ่ย "ก็ข้า..ข้ามองไม่เห็น แล้วก็ไม่รู้จะเอาของอะไรที่ไหนด้วย" โฮเดอร์ว่า โลกิเอาลูกศรไม้มิสเซิบโทใส่มือบาลเดอร์ และกล่าวว่า "เอาของข้าก่อนก็ได้ " โฮเดอร์จึงตอบว่า "แต่ข้าก็ม่เห็นอยุ่ดี" โลกิจึงตอบว่า "ไม่เป็นไร ข้าช่วย" โลกิจูงโฮเดอร์มาต่อแถว จับมือเทพตาบอดให้ถือศรเล็งตรงทาง "เอาละ ขว้าง"
ไม้มิสเซิลโทวิ่งตรงแทงเข้าไปในอกบาลเดอร์ เขาชะงักค้าง ตาเหลือก ส่งเสียงกรนยาวออกมาแค่ครั้งเดียวก็ล้มลงกับพื้นสิ้นใจ..
ทั่วทั้งท้องพระโรงงงงัน เงียบเสียงในทันใด ต่างคตนต่างช็อกกับภาพตรงหน้า แต่วินาที่น้นหลายคนหันไปทางตำแหน่งที่โฮเดอร์ยืน ทันได้เห็นโลกิยือนอยู่เบื้องหลังเทพตาบอด มือของเขาที่จับมือโฮเดอร์ช่วยเล็งยังค้างอยู่ เทพอีเซอร์รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น สายตาของพวกเขาเปลี่ยนเป็นความแค้น รุมเข้ามาที่โลกิราวกับจะฉีกเนื้อ โลกิปลอ่ยเทพตาบอดแล้วหนีไปด้วยความกลัว
ตอนนั้นคึวามโทมนัสแผ่เข้าแทนที่ความรื่นเริง ไม่ว่าเทวาองค์ไนก็ไม่สามารถเก็บความเศร้าไว้ได้ เสียงแห่งการเฉลิมฉลองเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นเสียงระงมแห่งความโศกเศร้า แต่ความเศร้าใดๆ ของใคร ก็ไม่อาจเปรียบเที่ยบได้กับความเศร้าของ โอดิน นอกจากบาลเดอร์จะจากไปเ ขาเป็นคนเดียวที่รุ้ล่วงหน้าแล้วว่ เมื่อไร ก็ตามที่แสงส่วงและสัจจธรรมหายไปจากโลก เวลาแร็กนาร็อคก็ใกล้เข้ามา ต่อแต่นี้ ความชั่วและความตายจะมีพลังมากจนสั่นสะเื่อนความมั่นคงของจักรวาล โลกทั้งเก้าจะถูกทำลายราบเหลือเพียงกอเถ้าถ่าน
ท่ามกลาวความโศรกเศร้านั้น ฟริกก้าพยายามหาทางแก้ไข พระนางถามหาผุ้กล้าที่สุดที่จะลงไปยังนรกไปนำวิญญาณบาลเดอร์กลับขึ้นมาสู่โลกแห่งชีวิต ปรากฎว่าเฮอร์มอด ลูกของนางอีกคนอาสา โอดินจึงให้นำม้าแปดขาของพระองค์ไปใช้
ทันที่ที่เสียงฝีเท้าม้าจากไ โอดินสั่งให้เตรียมงานศพ ร่างของบาลเดอร์ถูกนำไปชำระล้างยังเบรดดาลิควังของตนขณะเดียวกันต้นไม้จำนวนมากถูกโค่นสำหรับเผาบาลเดอร์ ไม้ฝืนเหล่านี้เอาไปกองเรียงกันไว้บนดาคฟ้าเรื่องริงฮอร์น เรือหัวมังกรของเขาเอง จากนั้นร่างของเทพแห่งแสงส่างก็ไดรับการแต่งตัวในชุดสงคราม ถูกนำไปวางไว้บนกองฟืนกองนั้นเทพต่างๆ ช่วยกันนำของมีค่าและสิ่งสวยงามของตน วางไว้ข้างศพบาลเดอร์ในเรื่อเพื่อเป็นการเคารพครั้งสุดท้าย..โอดินวางแหวนเดราป์เนียร์ แหวนแห่งพิภพไว้บนอกบูกชาย (แหวนวงนี้กลับมาอีกครั้งเมื่อบาลเดอร์ฟื้นหลังช่วงแร็กนาล็อก) ก้มลงกระซิบบางอย่างข้างหูศพ กระทั่งทุกวันนี้ไม่มีใครรุ้ว่าจอมเทพกระซิบอะไร..แต่คาดว่าเป็นคำศักดิ์สิทธิสั่งในห้บาลเดอร์คืนชีพ โอดินเป็นเดียวที่รุ้ว่าลูกชายของตนจะกลับมาอีกคร้งหลังแร็คนาล็อก
นันนาเป็นคนสุดท้ายที่มาจูบลาสามีของหล่อน ความโศกศร้าแล่นขึ้นมาจับหัวใจเธออีกครั้งหลังจากที่ร้องไห้คร่ำครวญจนเป็นมไปหลายครั้ง แต่คราวนี้ความเสียงใจที่พลุ่งขึ้นมาทำให้หัวใจของเธอแตกสลาย นันนาล้มลงขาดใจตายข้าศพสามี ร่างของเธอจึงถูกยกวางไ้ข้างเขาเพื่อจะทำพิธีเผาไปด้วยกัน
เมื่อทุกอย่างตระเกรียมเสร็จสิ้น ขั้นตอนที่เศร้าที่สุดคือปล่อยเรือลงน้ำ แต่ว่าในขณะนั้นน้ำหนักของฟืนและน้ำหนักของสมบัติหนักจนเรือขยับไม่ได้ โอดินสั่งคนสื่สารไปโจตัสไฮล์มขอความช่วยเหลือจาก ยักษ๊ภเขา นาม https://writer.dek-d.com/tonkow12/story/viewlongc.php?id=226138&chapter=10
เฮอร์โรคิน มาช่ยนำเรือลงน้ำ เมื่อปรากฎตัวของนางทำเอาชาวแอสการ์ขวัญหนี้ดีฝ่อ เนื่องจากควาใหญ่โตมโหฬารของนางยักษ์แล้ว นางยังขี้หลังหมาป่ายักยักษ์เดินทางสมาด้วย สายบังเหนียนเป็นงูพันกันดูน่ากลัว..เฮอร์โรคินใช้มือดันเรืองออกจาท่า เสียงเรืองริงฮอร์นลั่นเอี๊ยดอ๊าดเสียดประสาทหูไปทั่วทั้ง 9 ภิภพ กองไฟถูกจดขึ้น ธอร์กระโดดขันบนดานฟ้ายกค้อนจอลเนียร์ขึ้นสูงแล้ว ร่ายเวทนย์ป้องกันให้บาลเดอร์เดินทางสู่นิฟล์ไฮล์ม เรื่องริงฮอร์นลอยไปสู่ขอบฟ้า เพลิงที่จุดกลางลำเรือเผาทั้งศพของบาลเดอร์และนันนาไปกับตัวเรือ ซากที่เหลือไมามากจมลงใต้ท้องทะเลเวลาเดียวกัยที่อาทิตย์ตก การจากไปของเทพทั้งสองทำให้ภาพตะวันตกดินเป็นภาพงามที่เศร้าที่สุดที่ชาวแอสการ์ดเคยเห็น...
" ทำไมเจ้าไม่หาอะไรมาข้างปาร่วมงานฉลองกับเขาบ้างเล่า" โลกิเอ่ย "ก็ข้า..ข้ามองไม่เห็น แล้วก็ไม่รู้จะเอาของอะไรที่ไหนด้วย" โฮเดอร์ว่า โลกิเอาลูกศรไม้มิสเซิบโทใส่มือบาลเดอร์ และกล่าวว่า "เอาของข้าก่อนก็ได้ " โฮเดอร์จึงตอบว่า "แต่ข้าก็ม่เห็นอยุ่ดี" โลกิจึงตอบว่า "ไม่เป็นไร ข้าช่วย" โลกิจูงโฮเดอร์มาต่อแถว จับมือเทพตาบอดให้ถือศรเล็งตรงทาง "เอาละ ขว้าง"
ไม้มิสเซิลโทวิ่งตรงแทงเข้าไปในอกบาลเดอร์ เขาชะงักค้าง ตาเหลือก ส่งเสียงกรนยาวออกมาแค่ครั้งเดียวก็ล้มลงกับพื้นสิ้นใจ..
ทั่วทั้งท้องพระโรงงงงัน เงียบเสียงในทันใด ต่างคตนต่างช็อกกับภาพตรงหน้า แต่วินาที่น้นหลายคนหันไปทางตำแหน่งที่โฮเดอร์ยืน ทันได้เห็นโลกิยือนอยู่เบื้องหลังเทพตาบอด มือของเขาที่จับมือโฮเดอร์ช่วยเล็งยังค้างอยู่ เทพอีเซอร์รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น สายตาของพวกเขาเปลี่ยนเป็นความแค้น รุมเข้ามาที่โลกิราวกับจะฉีกเนื้อ โลกิปลอ่ยเทพตาบอดแล้วหนีไปด้วยความกลัว
ตอนนั้นคึวามโทมนัสแผ่เข้าแทนที่ความรื่นเริง ไม่ว่าเทวาองค์ไนก็ไม่สามารถเก็บความเศร้าไว้ได้ เสียงแห่งการเฉลิมฉลองเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นเสียงระงมแห่งความโศกเศร้า แต่ความเศร้าใดๆ ของใคร ก็ไม่อาจเปรียบเที่ยบได้กับความเศร้าของ โอดิน นอกจากบาลเดอร์จะจากไปเ ขาเป็นคนเดียวที่รุ้ล่วงหน้าแล้วว่ เมื่อไร ก็ตามที่แสงส่วงและสัจจธรรมหายไปจากโลก เวลาแร็กนาร็อคก็ใกล้เข้ามา ต่อแต่นี้ ความชั่วและความตายจะมีพลังมากจนสั่นสะเื่อนความมั่นคงของจักรวาล โลกทั้งเก้าจะถูกทำลายราบเหลือเพียงกอเถ้าถ่าน
ท่ามกลาวความโศรกเศร้านั้น ฟริกก้าพยายามหาทางแก้ไข พระนางถามหาผุ้กล้าที่สุดที่จะลงไปยังนรกไปนำวิญญาณบาลเดอร์กลับขึ้นมาสู่โลกแห่งชีวิต ปรากฎว่าเฮอร์มอด ลูกของนางอีกคนอาสา โอดินจึงให้นำม้าแปดขาของพระองค์ไปใช้
ทันที่ที่เสียงฝีเท้าม้าจากไ โอดินสั่งให้เตรียมงานศพ ร่างของบาลเดอร์ถูกนำไปชำระล้างยังเบรดดาลิควังของตนขณะเดียวกันต้นไม้จำนวนมากถูกโค่นสำหรับเผาบาลเดอร์ ไม้ฝืนเหล่านี้เอาไปกองเรียงกันไว้บนดาคฟ้าเรื่องริงฮอร์น เรือหัวมังกรของเขาเอง จากนั้นร่างของเทพแห่งแสงส่างก็ไดรับการแต่งตัวในชุดสงคราม ถูกนำไปวางไว้บนกองฟืนกองนั้นเทพต่างๆ ช่วยกันนำของมีค่าและสิ่งสวยงามของตน วางไว้ข้างศพบาลเดอร์ในเรื่อเพื่อเป็นการเคารพครั้งสุดท้าย..โอดินวางแหวนเดราป์เนียร์ แหวนแห่งพิภพไว้บนอกบูกชาย (แหวนวงนี้กลับมาอีกครั้งเมื่อบาลเดอร์ฟื้นหลังช่วงแร็กนาล็อก) ก้มลงกระซิบบางอย่างข้างหูศพ กระทั่งทุกวันนี้ไม่มีใครรุ้ว่าจอมเทพกระซิบอะไร..แต่คาดว่าเป็นคำศักดิ์สิทธิสั่งในห้บาลเดอร์คืนชีพ โอดินเป็นเดียวที่รุ้ว่าลูกชายของตนจะกลับมาอีกคร้งหลังแร็คนาล็อก
นันนาเป็นคนสุดท้ายที่มาจูบลาสามีของหล่อน ความโศกศร้าแล่นขึ้นมาจับหัวใจเธออีกครั้งหลังจากที่ร้องไห้คร่ำครวญจนเป็นมไปหลายครั้ง แต่คราวนี้ความเสียงใจที่พลุ่งขึ้นมาทำให้หัวใจของเธอแตกสลาย นันนาล้มลงขาดใจตายข้าศพสามี ร่างของเธอจึงถูกยกวางไ้ข้างเขาเพื่อจะทำพิธีเผาไปด้วยกัน
เมื่อทุกอย่างตระเกรียมเสร็จสิ้น ขั้นตอนที่เศร้าที่สุดคือปล่อยเรือลงน้ำ แต่ว่าในขณะนั้นน้ำหนักของฟืนและน้ำหนักของสมบัติหนักจนเรือขยับไม่ได้ โอดินสั่งคนสื่สารไปโจตัสไฮล์มขอความช่วยเหลือจาก ยักษ๊ภเขา นาม https://writer.dek-d.com/tonkow12/story/viewlongc.php?id=226138&chapter=10
เฮอร์โรคิน มาช่ยนำเรือลงน้ำ เมื่อปรากฎตัวของนางทำเอาชาวแอสการ์ขวัญหนี้ดีฝ่อ เนื่องจากควาใหญ่โตมโหฬารของนางยักษ์แล้ว นางยังขี้หลังหมาป่ายักยักษ์เดินทางสมาด้วย สายบังเหนียนเป็นงูพันกันดูน่ากลัว..เฮอร์โรคินใช้มือดันเรืองออกจาท่า เสียงเรืองริงฮอร์นลั่นเอี๊ยดอ๊าดเสียดประสาทหูไปทั่วทั้ง 9 ภิภพ กองไฟถูกจดขึ้น ธอร์กระโดดขันบนดานฟ้ายกค้อนจอลเนียร์ขึ้นสูงแล้ว ร่ายเวทนย์ป้องกันให้บาลเดอร์เดินทางสู่นิฟล์ไฮล์ม เรื่องริงฮอร์นลอยไปสู่ขอบฟ้า เพลิงที่จุดกลางลำเรือเผาทั้งศพของบาลเดอร์และนันนาไปกับตัวเรือ ซากที่เหลือไมามากจมลงใต้ท้องทะเลเวลาเดียวกัยที่อาทิตย์ตก การจากไปของเทพทั้งสองทำให้ภาพตะวันตกดินเป็นภาพงามที่เศร้าที่สุดที่ชาวแอสการ์ดเคยเห็น...
วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561
Baldur and Hodur
บัลเดอร์ เทพแห่งรุ่งอรุณผู้มีรูปโฉมงดงามกว่าใคร เชียวชาญการใช้สมุนไพร เป็นลูกของโอดินกับปรกก้า เขาเป็นผุ้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพรูปงามที่สุดในบรรดาทวยเทพทั้งหมดของแอสการ์ด บาลเดอร์มีผมสีบรอนด์ทอง ซึ่งเปรียบได้ดั้งรังสีแห่งดวงอาทิตย์ เป็นผู้ทรงภูมิความรุ้มากองค์หนึ่ง เขารุ้เรื่องอังษรรูนและเรื่องสมุนไพรเยียวยาความป่วยไข้ ทำให้เขากลายเป็นเทพหลักของมนุษย์ในช่วงที่มีโรคภัยเบียดเบียนมิการ์ด..บาเดอร์เป็นเทพที่เป็นที่รักของเหล่าเทพในมิการ์ดยกเว้นเพียง..โลกิ
โอเดอร์ คือน้องชายฝาแฝด ซึ่งเป็นเช่นด้านตรงข้ามของบัลเดอร์ หากบาลเดอร์เป็นเทพแห่งแสงสว่าง โฮเดอร์ก็คือเทพแห่งความมืด หากบาลเดอร์เป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ โฮเดอร์ ก็คือ ตัวแทนของบาป บาบเดอร์สามารถมองเห็นส่ิงต่าง ๆ อย่างชัดเจน โอเดอร์ก็ตาบอดสนิท
วันหนึ่งบาลเดอร์ฝันร้ายเห็นตัวเองเดินอยุ่ในความมืด รอบข้างทางเดินเป็นศพคนตายและวิญญาณคนตายในรูปร่างน่าสยดสยองนับพันนับหมื่นที่ต่างชูมือยื้อแย่งตัวเขา มันเป็นฝันที่ทำให้เบาลเดอร์ตกใจตื่นทุกครั้ง บาลเดอร์เร่ิมฝันแบบเดียวกันอย่างเดียวกันซ้ำๆ บ่อยๆ ขึ้นกระทั่่งเป็นโรคหวาดกลัวการนอน เทวาที่ได้ชื่อว่าร่าเริงมากที่สุดและสง่างามที่สุดกลับกลายเป็นผู้ที่มีแต่ความทุกข์ ใบหน้าของเขาอิดโรย ไม่พูดไม่จากับใคร ซึ่งเหล่าทวยเทพก็สังเกตเห็นสิ่งนี้ เมื่อถามเข้าก็รุ้ว่าบาลเดอร์ฝันร้าย
ความฝันที่บาลเดอร์เล่าให้ทวยเทพฟังทำให้เกิดความวิตกในหมู่ทวยเทพ ความฝันของบาลเดอร์ทำท่าจะเป็นเรื่องร้ายแรง บรรดาเทพตระหนักว่า ชีวติของบาลเดอร์น่าจะตกอยู่ในอันตราย เห็นที่จะต้องหาทางรุ้ใ้ห้ได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นกันแน่เทพเทวาต่างไปรวมตัวกันที่แกลดสไฮล์ม ทูลปรึกษาโอดิน
เมื่อจอมเทพทราบข่าวทำให้เขาตกใจมาก และรีบขึ้นม้าไปหาเทพี นอร์น ยังโลกบาดาล คำตอบที่ได้รับทำให้โอดินเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ท่านรู้ว่าบาลเดอร์กำลังจะตาย โอดินกลับสวรรค์ บอกกว่าวคำทำนายของเทพีนอร์น แต่ฟริกก้าผู้เป็นแม่ไม่ยอมเชื่อ หล่อนนำความไปปรึกษาเหล่าทวยเทพอีกครั้ง
ทวยเทพต่างช่วยกันคิดว่าสิ่งใด ทางใด ที่จะทำร้ายบาลเดอร์ได้บ้าง ต่างคนต่างช่วยกันสมมุติสถานการ์ อาวุธ เชื้อโรค หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่จะสามารถฆ่าเทพอันเป็นที่รักได้ เมื่อหารือกันเสร็จสรุปเนื้อความแล้ว ฟรกก้าก็ถือเป็นหน้าที่ของเธอทีจะต้องออกเดินทางไปยังเก้าดลกขอคำสาบานจากทุกส่ิงทุกอย่างไม่ว่า ก้อนหิน กรวด ทราย คมหอก คมดาบ นุ่น ใบไม้ จากส่ิงที่แข็.ที่สุดถึงส่ิงที่อ่อนที่สุดว่า จำไม่ทำร้ายลูกชายของนตาง
ฟริกก้าจบภารกิจด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่นางก็เบาใจที่ไม่มีสิ่งใดทำร้ายลูกของนางได้ การกลับมาของราชินีสวรรค์ทำให้ทวยเทพในแอสการ์ดมีความสุขขึ้นมาบ้าง ก็เลยจัดงานฉลองสามวันสามคืนไม่เลิกรา ยิ่งบาลเดอร์มีสีหน้าดีขึ้นเทพแอสการ์ดก็ยิ่งพากันยินดี เหล้าถูกเสริฟ์กันทั่วๆ ดื่มไปคุยไป ลืมความทุกข์ไปชั่วขณะ
แต่พอเวลาผ่านไปพักใหญ่ เทพเริ่มเมา เริ่มอยากทดลองว่าคำสาบานที่ฟริกก้าออกเดินทางไปขอมาจากส่ิงต่างๆ นั้นได้ผลจริงหรือไม่ เขาให้บาลเดอร์ยืนอยู่ตรงกลางแล้วบรรดาเทพก็ทยอยเอาอะไรต่อมิอะไรมาปาใส่ เร่ิมด้วยหินก้อนเล็กๆ ปาไปถูกหน้าผาก แต่บาลเดอร์ไม่เป็นอะไร จึงเริ่มทดลองด้วยอาวุธประเภทต่างๆ แม้กระทั่งธอร์เองก็เล่นกับเขาด้วย ซึ่งแม้จะใช้อาวุธเทพก็ไม่สามารถทำอันตรายได้แม้แต่น้อย ทั่วทั้งห้องประชุมต่างเต็มไปด้วยความยินดี
ยกเว้นที่ซอกมุมหนึ่ง ของห้องพระโรงที่ดลกิหลบเร้นอยุ่ ความยินดีของเทพเป็นเหตุให้ดลกิหมั่นไส้ กลายเป็นความหงุดหงิดตามประสาโลกิ แบบนี้ต้องมีการแกล้ง เทพจอมโกงพยายามนึกๆ นึกว่ามันน่าจะต้องมีอะไรสักอย่างที่เล็ดรอดสายตาของฟริกก้า อะไรสักอย่างที่ไม่ได้กล่าวคำสาบาน ดวงตาของโลกิลุกโพลงด้วยความชั่วร้าย เขาหายตัวไปจากแกลดสไฮล์ม หาหนทางที่จะเป็นไปได้สองสามวันต่อมา โลกิคิดแผนออก เขาแปลงตัว
จึงตอบยายเฒ่าว่า "นั่นเป็นงานฉลองสวัสดภาพของบาลเดอร์เทพแห่งสัจจะ" ยายเฒ่าทำท่าฉงนก่อนเอ่ยว่า"เช่นนั้น เหตุใดเขาต้องทรมานด้วยการถูกอาวุธทำร้าย" ยายเฒ่าแสดงท่าฉงนควีนฟรกก้าอธิบายว่า เธอได้เดินทางไปทั่วทั้ง 9 โลก ขอคำสาบานจากสิ่งต่างๆ ว่าจะไม่ทำร้ายลูกขายของนาง โลกิแผลงจี้ตรงจุด ถามว่าแน่ใจแล้วหรือว่าได้ถามมาแล้วทุกอย่างจริง เสียงของนางเฒ่า ตอลดจนความจู้จี้ จุกจิก ยิ่งทำให้พระนางฟริกก้ารำคาญมากขึ้น อยากให้ยายแก่ไปพ้นหูพ้นตา จึงตอบโดยไม่ทันคิดว่า "ยังมีอีกอย่างหนึ่งคือ ต้นมิสเซิลโท ตอนที่ข้าไปถึงมันยังเป็นไม้อ่อนเกินไป ข้าว่านอกจากมันจากมันจะฟังข้าไม่เข้าใจ มันคงไม่รุ้จะทำอันตรายบาลเดอร์ได้ยังไงด้วย"
โลกิมองเห็นลู่ทาง แต่ยังทำแสร้งถามโน่นถามนี่จนนางรำคาญสุดขีดออกปากไล่ยายแก่โลกิเดินออกมาจากวังเฟนซาเลียร์ด้วยความลิงโลดที่เก็บไว้แทบไม่มิด เมื่อถึงราวป่าโลกิคืนร่าง เขามุ่งหน้าไปยังต้นมิสเซิลโท หักกิ่งของมันขนาดพอเหมาะแล้วเสี้ยมปลาย เดินถือเข้าไปในห้งอท้องพระโรงแกลสไฮล์มที่ยังเต็มไปด้วยความรื่นเริ่ง...
- https://writer.dek-d.com/tonkow12/story/viewlongc.php?id=226138&chapter=10
- https://sites.google.com/a/nareerat.ac.th/dear-gods/page-6
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2561
Ragnarok
ในเทพปกรฌัมนอร์ส ธอร์ แรกนะร็อก เป็นชุดเหตุการณ์ในอนาคต ประกอบด้วย การยุทธครั้งใหญ่ตามคำทำนายซึ่งนำไปสู่การสิ้นชีพของเหล่าเทพที่สำคัญ (ประกอบด้วย โอดิน, ทอร์, เทียร์, เฟรย์, เฉมคาลล์ และโลกิ) ในท้ายที่สุด,
การเกิดภัยพิบัติทางธรรมชติต่างและการที่แผ่นดินจมลวใต้สมุทรตาลำดับ ต่อจากนันแผ่นดินจะผุดขึ้นจากทะเลอีกครั้ง และกลับมาอุดมสมบูรณ์ เทพที่รอดชีวิตและเทพผู้กลับมาจากความตายจะม่พบกัน โลกจะกลับมามีพลเมืองด้วยมนุษย์สองคนที่เหลือรอด แรกนะร็อกเป็นเหตุการณ์สำคัญในทางความเชื่อและศาสนาของนอร์ส และเป็นหัวข้อของวจนิพนธ์ทางวิชาการและทฤษฎี
ตามที่มีหลักฐานยืนยัน เหตุกาณณ์นี้ได้รับการบันทึกครั้งแรกใน บทกวีเอ็ดดา ซึ่งแปลในคริสต์ศตวรรษที่ 13 จากบันทึกโบราณ และบทร้อยแก้วเอ็ดดา ที่เขียนขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13 โดยสนอรรี สเทอร์ลิวซัน ในมหากาพย์เอ็ดดา และกลอนบทหนึ่งใน บทกวีเอ็ดดา เหตุการณ์นี้เรียกว่า แรกนาร็อก (ภาษานอร์สโบราณ แปลว่า "ชะตากรรมของเหล่าทวยเทพ" หรือ "สนธยาของเหล่าทวยเทพ" ตามลำดับ) การนำไปใข้งานที่มีชื่อเสียงกระทำโดยนักแต่งเพลงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ริชาร์ด วากเนอร์ ใช้เป็นหัวเรื่องตนตรีปรากร ปกรณัมแหวนแห่งนิเบลุงเกน องค์สุดท้ายของเขาเกิทเทอร์เดมอมรอ์รุง(ค.ศ. 1876)
คำว่า "แร็กนาร็อก" ในภาษานอร์โบราณ เป็นคำผสมจากคำสองคำ คำแรกคือ แรกน่า คำแสดงความเป็จเจ้าของในรูปพหูพจของคำ รีจิน (แปลว่า "เทพเจ้า" หรือ "พลังอำนาจ") มีรากคำมาจากคำในภาษาโปรโต- เจอร์แมนิก ที่สร้างขึ้นใหม่ ราเจโน่ คำที่สอง "ร็อก" มีหลายความหมาย เช่น การพัฒนา แหล่งกำเนิด, สาเหตุ, ความสัมพันธ์, ชะตากรรม, สิ้นสุด," การตีความแบบเดิมก่อนความรวม และ ในภาษาไอซ์แลนด์ คำ ว่า "ร็อก" มีรากคำมาจากคำในภาษาโปรโต-เจอร์แมนิก เมื่อรวมคำแล้ว มักตีความเป็น "ชะตากรรมสุดท้ายของเทพเจ้า "...https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%81
วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2561
Valkyrie
วาลคีรี เป็นเทพธิดาที่รังใช้ฮดินโดยมีหน้าที่นำนักรบที่ตรายในสงครามไปที่ วัลฮัลลาเพื่อพบกับโอดิน และมาเป็น Einherjar สู้ศึกในสงครามแร็กนาร็อก สงครามสิ้นโลกระหว่งเพทเจ้าและปีศาจ
ในทางศิลปะ วาลคีรีมักจะถูกกล่าวถึงในสัญลักษณ์ขงความสวยงาม โดยจะม่ลักษระนางฟ้าหญิง สวมหลมกนักรบถือหอกและขี่บนหลังม้าที่มีปีก วาลคีรีนั้นสามารถแปลงร่างเป็น หงส์ได้ วาลครีนั้นสามารถแต่งงานกับมนุุษย์ได้ แต่นั่นจะทำให้เสียอำนาจวิเศษของเทพธิดาไป
ในทางศิลปะ วาลคีรีมักจะถูกกล่าวถึงในสัญลักษณ์ขงความสวยงาม โดยจะม่ลักษระนางฟ้าหญิง สวมหลมกนักรบถือหอกและขี่บนหลังม้าที่มีปีก วาลคีรีนั้นสามารถแปลงร่างเป็น หงส์ได้ วาลครีนั้นสามารถแต่งงานกับมนุุษย์ได้ แต่นั่นจะทำให้เสียอำนาจวิเศษของเทพธิดาไป
คำว่า วาลคีรี มาจากภาษานอร์สโบราณ ประกอบด้วยคำสองคำ คือ วาล (หมายถึงผุ้ตายในสนามรบ) และ คลอซ่า (แปลว่าเลือก) เมื่อนำมารวมกันแปลว่า "ผุ้คัดเลบื่อกผปุ้ตาย๐ คำ วาลคีรี ในภาษานอร์สโบราณเป็นากศัพท์ของของคำ wælcyrge ในภาษาอังกฤษเก่า ชื่ออื่นของวาลคีรีประกอบด้วย óskmey (เด็กสาวแห่งคำอวยพร ในภาษานอร์สโบราณ) และ Óðins meyjar (เด็กสาวของโอดิน ภาษานอร์สโบราณ) อาจเกี่ยวข้องกับกับชื่อเทพโอดิน Óski (ภาษานอร์สโบราณ, แหลว่า "ผู้เติมเต็มความหวัง" ) ซึงเกี่ยวโยงถึงโอดินรับเอานักรบผุ้ถุกสังหารสู่วลฮัลลา..https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B5
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...