วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Nationalism : Vietnames Nationalist Movement

              การปกครองอาณานิคมของฝรั่งเศส ได้จำกัดชาวเวียดนามทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ, วัฒนธรรม และทำลายโครงสร้างทางสังคม โดยเฉพาะระบบความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้าหมู่บ้านกับลูกบ้านของชาวพื้นเมือง ประชาชนต้องถูกใช้แรงงาน และเสียภาษี ถ้าใครไม่เห็นด้วยก็จะถูกจับกุมท ทำให้ชาวนาเกลียดชังระบบการปกครองของฝรั่งเศสมาก ชนชั้นกลางเป็นพวกเดียวที่มีโอกาสส่งลูกหลานของตนให้มีการศึกษาแบบตะวันตก แต่พวกปัญญาชนเหล่านี้จบออกามาแล้วปฏิเสธที่จะทำงานกับฝรังเศส เพราะได้รับค่าจ้างต่ำกว่าชาวฝรั่งเศสในระดับเดียวกันพวกนี้เห็นอกเห็นใจชาวและเร่ิมก่อต้งขึ้นเป็นชวบนการชาตินิยมที่ต่อต้านระบบการปกครองของฝรั่งเศส
               แนวคิดชาตินิยมเป็นแนวคิดที่สืบทอดมาจากการกำเนิดของรัฐชาติแบบสมัยใหม่ ที่มีอาณาเขตพรมแดนของอำนาจการบริหารปกครองกลุ่มชนทุกเผ่าที่มีทั้งวัฒนธรรมตางกันและร่วมหัน โดยพลเมืองของรัฐอยู่ภายใต้รูปแบบการปกครองและระบบกฎหมายเดียวกัน แนวคิดการสถาปนารัฐชาติกำเนิดในภูมิภาคยุโรปในคริสต์ศตรวรรษที่ 18 ผลของการเกิดรัฐชาติก็ปรากฎเป็นแผนที่ที่นำมาสู่การรับรู้เขตแตนที่กำนหดเป็นประเทศต่อมาได้มีผลกระทบต่อแนวความคิดในการแบ่งแยกกลุ่มคนที่อยู่อีกฟากเขตแดนกลายเป็นพวกเขาที่มิใช่พวกเราทั้งๆ ที่ในอดีตคนเหล่านี้อยู่ร่วมวัฒนธรรมเดียวกัน อทาทิ การแบ่งแยกชาวโคชินจีนด้วยสัญชาติฝรั่งเศสออกจากชาวอันนัมสัญชาติเวียดนาม
             แนวคิดพื้นฐาน ในลัทธิชาตินิยมประกอบด้วย ธรรมชาติของมนุษย์ ที่ต้องอยู่ในชุมชนหรือชาติ ที่มีความเป็นอิสระในการสร้างสรรค์ความต้องการของมนุษย์โดยใช้เครื่องมือ เช่น เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ชีวประวัติและเพื่อการใช้ภาษในการสือสารและสร้างความรับรู้ร่วมกัน วัฒนธรรมโรแมนติกที่ทำหน้าทีแทนศาสนาที่ถูกลดบทบาทลงไปในยุคแห่งการรู้แจ้ง ภายหลังยุคกลางของยุโรป รัฐประชาชาติ ชุมชนทางการเมืองของมนุษย์ที่ถือตนเป็นสมาชิกของขาติหรือประชาคมเกียวกัน โดยมีเจตนาราย์ร่วมเห็นเครื่องมือในการพัฒนาศักยภาพ อำนาจอธิปไตยขอ
ปวงชน โดยให้อำนาจประชาชนในด้านการปกครองและการออกกฎหมายเพื่อความอิสระสูงสุด เศรษฐกิจแห่งชาติ ที่เน้นถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสิงสูงสุด และความเป็นอินทรียภาพ คือการมองว่าชาติเป็นหน่วยหนึ่งของสิ่งมีชีวิตที่ต้องพัฒนาตัวเองสู่ความเข้มแข็งเฉกเช่นเีดยวกับชีวิตมนุษย์
              ลัทธิชตินิยมแบ่งได้ 4 ประเภทคือ ชาิตนิยมแนนวเสรี ชาิตนิยมแนวอนุรักษ์ ชาตินิยมขชยายอำนาจและชาตินิยมต่อต้านการล่าอาณานิคม แนวคิดนี้เกิดขึ้นในประเทศที่ถูกจักรวรรดินิยมครอบครอง .โดยการต่อสู้มุ่งไปที่เอกราชและการพัฒนาระบบเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย ดังนั้นการปลกปล่อยชาติจึงดำเนินการเคลื่อนไหวทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ นักชาตินิยมที่ต่อต้านการล่าอาณานิคมจะได้รับการช่วยเหลือทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ นักชาตินิยมที่ต่อต้านการล่าอาณานิคมที่นำระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมาบริหารอาณานิคม
             ลัทธิชาตินิยมเวียดนามที่ตรงกับประวัติศาสตร์เวียดนามในช่วงฝรั่งเศสปกครองคือลัทธิชาตินิยมต่อต้านการล่าอาณานิคมดังจะเห็นจได้จากใน ค.ศ. 1883 เส้นเขตแดนเวียดนามเริ่มปรากฎชัดเจนขึ้นเมือถูกฝรั้่งเศสยึดครองและเข้าปกครองอย่างสมบูรณ์ การปรากฎของเส้นเขตแดนของแต่ละเคว้นเมื่อฝรั่งเศสนำรูปแบบการปกครองที่ต่างกันมราใช้ปกครองภูมิภาคทั้งสามของเวียดนาม อาทิ ตังเกี๋ย อันนัม และโคชินจีน ซึ่งแคว้นเหล่านี้เคยเป็นศูนย์อำนาจอิสระในการบริหารพลเมืองในอาณาจักร ของเวียดนามในสมัยจารีตเส้นเขตแดนของเวียดนามปรากฎชัดเจนเป็นหนึ่งเกียวเมื่อฝรั่งเศสยึดลาวจากสยามใน ค.ศ. 1893 สรุป่าเขตแดนทุกด้านขงเวียนามได้ถูกกำหนดลงอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้แล้ว และพื้นฐานของแนวคิดชาตินิยมก็ได้กำเนิดขึ้นในดินแดนเวียดนาม
           
 ลัทธิเสรีนิยมเกิดขึ้นครั้งแรกในยุโรป เกิดจากการท้าทายทางความคิดต่อแวคิดรัฐชาติสมัยใหม่ ที่เน้น "การอ้างเหตุผลของรัฐ" เพื่อต้องการแทรกแซงแนวทางปฏิบัติของพลเมืองและองค์กรต่างๆ ซึ่งมุ่งสร้างความมั่นคงและความมั่งคั่งของรัีฐ แต่ในทัศนะของนักคิดเสรีนิยมถือว่า รัฐเป็นสิ่งชั่วร้าย
             การรับแนวคิดเสีนิยมของชาวเวียดนามมีลักาณะพิเศษคือไม่ได้รับจากการศึกษาแนวคิดจากชาวตะวันตกโดยตรงแต่รับผ่านนักคิดจากจีนที่มีอิทธิพลต่อปัญาชนเวียดนามในยุคนั้น การรับแนวคิดชาตินิยมเวียดนามเกิดจากบริบททางประวัติศาสตร์ของเวียดนามในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 29 เป็นบริบทที่ใกล้เคียงกับชาวยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 18 กล่าวคือชาวยุโรปได้ตกอยู่ภายใต้การครอบครองผ่านกลไกต่างๆ ของรัฐชาติ สส่วนชาวเวียดนามถูกครอบครองโดยกองกำลังฝรั่งเศสโพ้นทะเล เมื่อทั้งสอรับแนวคิดเรื่องเสรีภาพ ความเท่าเทียม และความภราดรภาพที่จะนำไปสู่ความเสารีชน จากแนวคิดเหล่านนี้ทั้งชาวยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 18 กล่าวคือชาวยุโรปได้ตกอยู่ภายใต้การครอบครองผ่านกลไกต่างของรัฐชาติ ส่วนชาวเวียดนามถูกครอบครองโดยกองกำลังฝรังเศสโพ้นทะเล เมื่อทั้งสองรับแนวคิดเรื่องเสรภาพ ควาเท่าเทียม และควาภราดรภาพที่จะนำไปสู่ควาเป็นเสรีชน จากแนวคิดเหล่านี้ทั้งชาวยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และชาวเวียดนามในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 จึงยอมรับแนวความคิดแบบเสรีนิยม อย่างไรก็ตามการรับแนวควาิคิดเสรีนิยมและเรื่องราวที่นำไปสู่การต่อต้านอาณานิคมของชาวเวียดนามเป็นไปอย่างช้าๆ เพราะฝรั่งเศสพยายามปิดกั้นเพื่อป้องกันการต่อต้านที่เกิดตามา แต่อย่างไรก็ตามด้วยสภาพภูมิศาสตร์ที่มีอาณาเขตติดต่อกันระหว่างภาคเหนือของเวียดนามกับภูมิภาคจีนตอนใต้ การส่งผ่านทางวัฒนธรรมจึงสามารถข้ามผ่านเขตแดนการปกครองที่ปรากฎบนแผนที่ชาติรัฐ ที่รับการพัฒนาเทคโนโลยีการพิมพ์จากตะวันตกเข้ามารอบรับเส้นเขตแดนใหม่ ชนพื้ตเมืองที่ร่วมวัฒนธรรมเดีวกันมีชุมชนในจิตนาการที่ถูกสร้างขึ้นพร้อมๆ กับวัฒนธรรมของภูมิภาค ดังนั้นความสัมัพนธ์ทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของกลุ่มชนบริเวณชายแดนที่มีมานานนับศตงวรรษจึงอยู่เหนือเส้นเขตคแดนที่เพิ่งสร้างโดยเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส วัฒนธรรมร่วมระหว่างคนชายแดนจีนและเวียดนามเกิดจากกรสื่อสารแลกเปลี่ยนปรัชญาจากตะวันตก งานเขียนปรัชญาเมธีที่มีแนวความคิดทางการเมือง ชเ่น รุสโซ วอลแตร์ มองเตสกิเออร์ เฮอร์เบริต สเปนเซอร์ ได้แพร่เข้ามาใจนคนและมีการแปลออกเแ็นภาษาจีน เนื่องจากปัญญาชนเวียดนามสามารถอ่ารนภาษาจีนได้ ปัญญาชนเวียดนามจึงรับแนวความคิดทางการเมืองผ่านงานแปลของปัญญาชนชาวจีน
             แนวคิดสังคมนิยม ปรากฎครั้งแรกในารสารภาษาฝรั่งเศส ซึ่งมีรากฐานมาจากภาษาละติน แปลว่า "รวม"หรือ "ร่วมกัน" ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นคำว่า "สังคม" ที่มีความหมายว่าการ่วมกันทำกิจกรรมของมนุษย์ ส่วนอีกแนวความคิดเชื่อว่าเป็นภาษากฎหมายอขงยุโรปในยุคกลางโดยแปลว่า ควาเ็นเพื่อ หรือสหาย ซึ่งต่อมาพัมนามาเป็นคำว่า "สังคม" ที่หมายถึงการทำสัญญาด้วยความสัมัตรใของเสรีชน ซึ่งการให้ความหมายใหม่นี้ท้าทายความหมายของ "รัฐ" ที่หมายถึงการรวมโดยการใช้อำนาจบังคับ
            ความหมายของคำว่า "สังคมนิยม" ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถูกนำมาประยุกต์เข้ากับระบบการเมืองโดยเน้นถึงการปฏิวัติทางการเมือง และการปฏิวัติทางสังคมท เพื่อมุ่งสู่สงคมแห่งความเท่าเทียมทางชนช้้น โดยแนวคิดสังคมนิยมให้ความสำคัญต่อ ชุมชน ภราดรภาพ ความเสมอภาคทางสังคม ตความจำเป็น ชนชั้นทางสังคม กรรรมสิทธิ์ร่วมและความก้าวหน้าของสังคม
            แนวคิดสังคมนิยม เกิดจาการท้าทายทางความคิดต่อแนวคิดรัฐชาติสมัยใหม่ และแนวคิดเสรีนิยม นักคิดคนสำคัญของแนวคิดนี้ คือ เฮเกล และคาร์ล มาร์กซ์ มี่มุ่งโต้แย้งต่อแนวคิดรัฐชาติสมัยใหม่และแนวคิดเสรีนิยม มาร์กซ์ให้ความสำคัญกับจริยธรรมของนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์สังคม เขาเสนอว่ารัฐพยายามลดทอกความคิดของมนุษย์และเพ่ิ่มศักยภาพการทำงานของมนุาย์ มาร์กซ์วางกรอบพื้นฐานและตีความบริบทในสังคมมนุษย์ภายใต้การแข่งขันอย่างเสรี ว่าลัทธิเสรีนิยมเป็นปนวทางเศรษฐกิจทีที่จะนำไปสู่ความแตกต่างในสังคมระบบชนชั้นตามลัทธิดาร์วินนิสม์ทางสังคม ซึ่งมองว่าชาติพันะ์ที่แข็งแรงกว่างจะแผ่ขยายขึ้นครอบงำเหนือชาิตพันะ์ที่อ่นแอกว่า ดังนั้นการแข่งขันที่ไม่อยู่บนฐานของความเท่าเทียมจะทำให้ชนชั้นแรงงานและชนชั้นล่างพ่ายแพ้ต่อชนชั้นำ และเมือชนชั้นนำประสบความสำเร็จขเขาก็จะออกกฎหมายเพื่อควบคุมและจำกัดสิทธิของชนชั้นแรงงานนเช่นเดิม โดยมาร์กซ์เสนอทางงออกว่าโครงสร้างของสังคมมนุษย์ที่สองส่วนคือโครงสร้างส่วนบนซึ่งประกอบก้วยระบบกฎหมาย ระบบสังคม ระบบการเมือง ระบบภูมิปัญญาและความคิด และโครงสร้างพื้นฐานวึ่งประกอบด้วยความสัมพันะ์ทางกาผลิตและพลังการผลิต มาร์กซ์ชีวาโครงสร้างพื้นฐานมีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างส่วนบนด้วยวิธีการต่อสู้ทางชนชั้น โดยมีชนชั้นกรรมาชีพเป็ฯหลักในการปฏิวัติสังคม ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อชัยชนะของชนชั้นกรรรมาชีพ
              ชาวเวียดนามรับแนวความคิดสังคมนิยมในในทศวรรษ 1920 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากแนวความคิดชาตินิยมของขบวนการชาตินิยมถูกระบบอาณานิคมท้าทายและไม่สามารถหาทางออกให้กับนักชาตินิยมและชาวเวยดนามได้ แนวความคิดสังคมนิยมจึงถูกนำเข้าสู่เวียดนามโดย โฮจิมินห์ผู้มีประสบการณ์ในโลกตะวันตกและองค์การโคมินเทิร์นตลอดต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20
             ขบวนการชาตินิยมในเวียดนาม 

             ในระยะแรกมีนักชาตินิยมที่คิดจะปฏิรูปประเทศเวียดนามตามแบบสมัยใหม่ คือในปี ค.ศ. 1905 เมื่อญี่ปุ่นได้รับชัยชนะต่อรัสเซีย ปัญญาชนเวียดนามสองคนคือ พาน บอ เช๋า และ พาน เ๋า ติ๋น มีความเห็นว่า วิทยาการและความก้ายหน้าทางเทคนิคจากตะวันตกจะช่วยให้เวียดนามเจริญก้าวหน้าขึ้น หลุดพ้นจากการปกครองอันกดขี่ของฝรั่งเศส และพยายามของความช่วยเหลือจากญี่ปุ่น ในเวลานั้นมีนักชาตินิยมชาวเวียดนามหลายคนที่เดินทางไปญี่ปุ่น ในปี 1913 ได้ตั้งขบวนการชาตินิยร แรกขึ้นมา คือ สมาคมฟื้นฟูเวียดนาม โดยกระตุ้นให้ชาวเวียดนามเกิดความรู้สึกชาตินิยม ต่อต้านฝรั่งเศสและก่อกวนฝรั่งเศส เบ๋า ช๊วน ถูกฝรั่งเศสจับและจำคุก
           ในขณะเดียวกันนี้เอง บรรดาปัญญาชนเวียดนามซึ่งได้รับการศึกษาจากฝรั่งเศส ได้รับอิททธิพลจากข้อเขียน ของ รุสโซ มองเตสกิเออ และวอลแตร์ พวกเขาเหลานี้มีความค้นเคยกับคำว่า เสรีภาพ, ภราดรภาพ และเสมอภาค คำขวัญของการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1789 แต่สิ่งเหล่านี้หาไม่พบในการปกครองเวียดนามของฝรั่งเศส ชาวเวียดนามไม่มีเสรีภาพแม้แต่การจะจัดตั้งพรรคการเมือง
            สงครามโลกครั้งที่ 1 ฝรั่งเศสเกณฑ์ชาวเวียนาม 100,000 คน ไปใช้งานในกองทัพฝรั่งเศสในยุโรป คนงานเหล่านีั้ได้ไปเห็นระบบการปกครองในยุโรปและพรรคการเมืองและนำกลับมาเผยแพร่ในเววียดนาม นอกจานั้นพวกนี้ยังได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคออมูนสิต์ของฝรั่งเเศส และรรคคอมมูนิสต์ในฝรั่งเศสสัญญาว่าจะช่วยต่อสู้เรียกร้องเอกราชให้กับเวียดนาม อุดมการ์ของพวกพรรคคอมมูนิสต์เป็นที่ถูกใจคนเวียดนามในเลานั้น
            นอกจากขบวนการชาตินิยมในเวียดนามจะรับอุดมกาณณ์ของพวกคอมมูนิสต์แล้ว ยังมีอิทธิพลจากองค์การทางพุทธศาสนาทำให้เกิดขบวนการปฏิรูปทางพุทธศาสราขึ้น เช่น องค์การเกาได๋ เป็นชบวนการทางพุทธศาสนา ซึ่งมีจุดมุ่งหมายทางการเมืองและต่อต้านฝรั่งเศสโดยใช้วิะีการรุนแรง เพพื่อที่จะฟื้นฟูระบบกษัตริย์ของเวียดนาม โดยไม่ได้ที่จะมุ่งปฏิรูปประเทศเหมือนขบวนการอื่นๆ
            พรรคชาตินิยมเวียดนาม นำโดย เหงียน ไทย ฮอค ในปี 1927  จุดประสงค์คือล้มล้างฝรั่งเศสและตั้งรัฐบาลสาธารณรัฐแบบจน ดดยได้รับการสนับสนุจากพรรก๋กมินตั๋งของจีน เพื่อทำการขับลไล่ฝรั่งเศสออกจากเวียดนาม พรรคนี้มีศูนย์กลางดำเนินงาอู่บริเวณตอนเหนือของเวยดนามมีขอบเขตการดำเนินงานกว้างขวง มีสมาชิกเป็นจำนวนมากได้เตรียมที่จะทำการปฏิวัติต่ิต้านฝรั่งเศสก่อการจลาจล แต่ถูกฝรั่งเศสปราบได้ในระยะเวลาสั้น ฝรั่งเศสทำการกวาดล้างอย่างรุนแรงทำให้พรรคที่เป็นขวยการชาตินิยที่ใหญ่และเป็นพรรคที่ไม่นิยมคอมมูนิสต์ต้องสลายตัวลง ชาวเวยดนามหลายพันคนต้องเสียชีวิต และคนที่รอดตายหลบหนีไปได้ก็หันไปเข้าร่วมจัดตั้งพรรคคิมมิวนิสต์อินโดจีนขึ้น
              พรรคคอมมูนิสต์อินโดจีน เนื่องจากอุดมการ์ของมาร์กซิส และเลนินได้เข้าเผยแพร่ในเวยดนามดังกล่าวแลว และจากการที่พรรคชาตินิยมเวียดนามถูกฝรั่งเศสปราบอย่างรุนแรง ทำให้พวกชาตินิยมยิ่งแสดงความเคลื่อนไหวรุนแรงมากขึ้น และต่อต้านฝรั่งเศสอย่างเปิดเผยภายใต้การนำของ โอ จิ มินต์ เขาได้รับอทธิพลของลัทธิมาร์คและเลนินในระหว่างที่เขาอยุ่ในฝรั่งเศสใรระยะสงครามโลกครั้งที่ 1 และได้ไปอบรมที่เกี่ยวกับปัญหาอาณานิคมในฐานะที่เขาเป็นสมาชิกพรรคออมูนิสต์ของฝรั่งเศส โฮจิมินห์ได้กลับมาจัดตั้งพรรคอมมูนิสต์เวียดนามขึ้นในฮ่องกง มีชื่อว่า พรรคคอมมูลนิสต์อินโดจีน โดยวางเป้าหมายเพื่อเกอราชของเวียดนามเป็น 2 ขั้นคือ
             - เพื่อให้เวยดนามเป็นรัฐประชาธิปไตยของชชั้นกลาง
             - ทำการปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพ
              พรรคคอมมูนิสต์อินโดจีนดำเนิงานได้ผลดีและมั่นคงกว่าพรรคชาตินิยมเวียดนาม เพราะได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การคอมมูนิสต์สากล ได้รับความช่วยเหลือจากรัศเซีย และพรรคคอมูนิสต์จีน จนสามารถจัดตั้งองค์กรชาวนาขึ้นทั่วประเทศได้ โดยเฉพาะในอันนัม และตังเกี๋ย ได้ชักชวยให้ชาวนาและกรรมกรก่อความวุ่นวายขัดขวางการปกครองของฝรั่งเศส ฝรั่งเศสปราบปรามอย่างรุนแรง พรรคคอมมูนิสต์จึงซบเซาลงไปชั่วระยะหนึ่ง โอจิมินห์หนีไปอยู่ฮ่องกง ถูกดังกฤษจับได้แลต่อมาเขาก็หนีไปมอสโคว์ พรรคคอมมูนิสต์ก็ยุติบทบาทของตนเองลง กระทั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ยี่ปุ่นเข้ายึดครองเวียดนาม พรรรคอมมูนิสต์จึงได้รื้อฟื้นอำนาจขึ้นใหม่
            ในระยะนี้เกิดคอมมูนิสต์กลุ่มใหม่ทางตอนใต้ของเวียดนาม จักรวรรดิเบาได๋ซึ่งเป็นจัพรรดิที่ฝรัง่เศสตั้งให้เป็นผุ้นำเวียดนามได้กลับจากศึกษาต่อต่างประเทศ ก็มีผุ้ติดตามเข้ามาสองคนเป็นปัญญาชนทึ้งคู่ คือ ทราน แวน กิอัว ซึ่งจบการศึกษาได้จัดตั้งกลุ่มทรอตสกี้ขึ้น พวกคอมมูนิสต์มีเสรภาพในการดำเนินการได้อย่างเปิผยใรระยะนี้ เนื่องจากรัฐบาลใหม่ของฝรั่งเศสเป็นพรรคแนวร่วมประชาชน ซึ่งมีกลุ่มสังคมนิยม และคอมมูนิสต์รวมอู่ด้วย ทำให้ลัทธิคอมมูนิสต์แพร่หลายไปทั่วประเทศ พรรคแนวร่วมประชาชนซึ่งเป็นรัฐบาลของฝรั่งเศสสลายตัลว พรรคคอมมูนิสต์ในฝรั่งเสสถูกกำจัด เป็นผลต่อพรรคอมมูนิสต์ในเวียดนามด้วย กลุ่มคอมมูนิสต์ของ กิอั ได้ก่อการจลาจล ทำให้ฝรังเศสปราบอย่งรุนแรง พวกคอมมูนิสต์จึงต้องไปดำเนินการใต้ดินต่อต้านฝรั่งเสส
           ญี่ปุ่นเข้ายึดครองอินโดจ โดยต้องการมีชัยชนะเหนือจีแนและมหาอำนาจตะวันตำ โดยต้องการหาแหล่งทรัพยากรเป็นปัจจัยที่จะใช้ในกาองทัพของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นได้ล้มล้างรัฐบาลฝรั่งเศสในอเนโดจีนลง และตั้งรับบาลขึ้น ดดยมีจักรพรรดิเบาได๋เป็นประมุขภายใต้การควบคุมของญี่ปุ่น และหใ้ แตาน ตรง คิม เป็นายกรัฐมนตรี คณะรัฐบาลนี้เ่ากับเป็นรัฐบาหุ่น ของญี่ปุ่นนั่นเอง ญี่ปุ่นได้มีอไนาจค่บคุมอยู่ในบริเวณโคลินไชน่า ซึ่งเป็นอู้ข้าวุโน้ำสำคัญ ่วนเขตอื่นญีปุ่นไม่่อยควบคุม จึงเปิดโอกาสให้พวกคอมมูนิสต์ เข้ายึดครองทางตอนเหนือของเวียดนาม รัฐบาลก๊กมินตั๋งของจีนได้ใไ้ความช่วยเหลือโฮจิมินห์ จัดตั้งสันนิบาตเพื่อเอกราชของเวียดนามขึ้น หรือ เวียดมินต์ ระหว่างปลายปี 1942 31945 ได้ยึดครองดินแดนในลุ่มแม่น้ำแดงจากญี่ปุ่น และประกาศเขตปลดปล่อยขึ้นในเดวียดนามเหนือและเมือ่ญี่ปุ่นประกาศให้เอกราชจอมปลอมแก่เวียดนาม ในปี ค.ศ. 1945 โดยมีจักพรรดิเบาได๋ เป็นผุ้นำรัฐบาลหุ่น ดังนั้น เวียดมินห์จึงประกาศไม่ยอาบรัฐบาลของจักพรรดิเาได๋ และจัดตั้งรัฐบาลขึ้นในเวยดนามเนหือ ในวันที่ 2
กันยายน  1945 และลงมายึดเขตแดนทางใต้ในเขตยึดครองของญี่ปุ่นได้ในขณะที่ญี่ปุ่นกำลังจะแพ้สงครามโดยคาดว่าเมื่อสิ้นสุดสงคราสโลกครั้งสองแลงวมหาอไนาจางๆ ต้องปล่อยเลยจตคามเลย ให้โฮจิมินห์ปกครองประเทศในช่วงที่มีช่วงว่าทางการเมือง แต่โฮจิมินห์คากการ์ผิด ภายหลังสงครามโลกครั้ง
ที่สอง อังฏฟษเข้าปลดอาวุธญี่ปุ่นทางใต้และจนปลดอาวุธที่ญี่ปุ่นทางเหนือ พวกเวียดนามยังคงเป็นที่ยอมรับของจีนและประชชนในเวยดนามเหนือ แต่กอังกฤษกลับปล่อยให้ฝรั่งเศสกลับเข้าปกครองทางใต้ตามเดิม ขณะที่เวียดมินห์กำลังปราบพวกกุล่มชาตินิยมดทีที่ไม่ยอมเข้าร่วมกับพวกตน ฝรั่งเศสเลยฉวย
โอกาสเข้ายึดเวียดนามทางใต้และเกิดจลาจลขึ้นในหมู่ชาวเวียดนามที่ไม่ชอบฝรั่งเศส เวียดมินห์คุมสถานการณ์ไม่อยู่ใรเดอืนตุลาคา 194 ฝรั่งเศสก็สามาถยึดดินแดนใต้เส้นขนานที่ 16 คือนมา และประกาศไม่ยอรับรัฐบาลของพวกเวียดมินห์ เวียดมินห์ได้จัดการบริหารในเวียดนามตอนเหนือได้เรียบร้อยดี แต่มีปัญหาเรื่อขุนศึกจีนที่อยู่ในเวียดนามเหนือ เวียดมินห์จึงยอมเจรจากับฝรั่งเศสเพื่อหใ้ฝรังเศสรับรองรัฐบาลของพวกเวียดมินห์ในเวียดนามเหนือ แต่การเจรจาทางการทูตระหว่งเหวียดมินห์กับฝรั่งเศสล้มเหลว ทำให้เกิดสงครามขึ้นระหว่างฝรั่งเศสกับเวียดมินต์ คือสงครามอินโดจีน


                  - "ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยสังเขป" ผศ.ศิวพร ชัยประสิทธิกุล.
                  -  "ขบวนการชาตินิยมเวียดนาม กรณีศึกษาขบวนการชาตินิยมซุยเติน ค.ศ.1904-1925", สารนิพนธ์ ของ กฤษณะ ทองแก้ว, 2550.

           

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Nationalism

           ชาตินิยม Nationalism คืออุดมการณ์ที่สร้างและบำรุงรักษาชาติในลักษณะที่เป็นมโนทัศน์ แสดงอัตลักษณ์ ของกลุ่มของมนุษย์ ตามบางทฤษฎี การรักษาลักษณะพิเศษของอัตลักษณ์ การเป็นอิสระในทุกๆ เรื่อง การกินดีอยู่ดี และการชื่นชมควมยิ่งใหญ่ของชาติตนเอง ล้วนจัดว่าเป็นคุณค่าพื้นฐานของความเป็นชาตินิยม
           นักชาตินิยมวางพื้นฐานของความเป็นชาติอยู่บนแนวคิดเกี่ยวกับความชอบธรรมทางการเมืองหลายๆ ประการโดยความชอบธรรมนั้นอาจสร้างขึ้นผ่านทางทฤษฎีโรแมนตกิของ "ดัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม" การให้เกตุผลเชิงเสรีนิยมที่กล่าวว่า ความชอบธรรมทางการเมืองนั้น เกิดจากการยอมรับของประชากรในท้องถ่ินนั้นๆ หรืออาจจะเป็ฯการผสมผสานระหว่างสองสิ่งนี้ การใช้คำว่า ชาติดนิยม ในสมัยใหม่ มักหมายถึงการใช้อำนาจทางการเมือง(และทหาร) ของกลุ่มชาตินิยมเชิงชาติพันธุ์ หรือเชิงศาสนา นักรัฐศาสตร์โดยทั่วไปแล้วมีแนวโน้มที่จะวิจัยและมุ่งเป้าไปที่รูปแบบสุดขั้วของชาตินิยมซึ่งมักเกี่ยวข้องกับสังคมนิยมเชิงชาตินิยม การแบ่งแยกดินแดน และอื่นๆ
           เสรีนิยม Liberalism เป็นปรัชญาการเมืองหรือมุมมองทางดลกซึ่งตั้งอยู่บนความคิดเสรีภาพและความเสมอภาค นักเสรีนิยมยอมรับมุมมองหลากหลายขึ้นอยู่กับความเข้าใจหลักการเหล่ารนั้น แต่โดยทั่วไปสนับสนุนความคิดอย่างเสรภาพในการพูดเสรีภาพสื่อ เสรีภาพทางศาสนา ตลาดเสรี สิทธิพลเมือง สังคมประชาธิปไตย รัฐบาล ฆราวาส ความเสมอภาคทางเพศและการร่วมือระหว่างประเทศ
          เสรีนิยม เป็นขบวนการทางการเมืองต่างหากระหว่งยุคเรืองปัญญา เมื่อได้รับความิยมในหมู่นักปรัญาและนักเศรษฐศาสตร์ในโลกตะวันตก เสรีนิยมปฏิเสธความคิดซึ่งสามัญในเวลานั้น เช่น เอกสิทธิ์แบบสืบเชื้อสาย ศาสนาประจำชาติ สมบูรณาญาสิทธิราชและเทวสิทธิ์ของกษัตริย์ มักยกย่อง จอห์น ล็อก นักปรัชญาสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 ว่าเป็นผู้ก่อตั้งเสรีนิยมเป็นพระเพณีและมุ่งเปลี่ยนสมบูรณาญาสิทธิ์ในการปกครองเป็นประชาธิปไตยแบบมีผุ้แทน และหลักนิติธรรม
           นักปฏิวัติผู้โด่งดังในการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ การปฏิวัติอเมริกา และการปฏิวัติฝรั่งเศสใช้ปรชญาเสรีนิยมเพื่ออ้างความชอบธรรมการโค่นสิ่งที่มองว่าเป็นการปกครองทรราชด้วยอาวุธ เสรีนิยมเริ่มลามอย่างรวดเร็วโยเฉพาะหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีการตั้งรัฐบาลเสรีนิยมในประเทศต่างๆ ทั้งในทวีปยุโรป อเมริกาใต้และอเมริกาเหนือในช่วงนี้คู่แข่งอุดมการณ์หลัก คือ อนุรักษนิยม แตะภายหลังเสรีนิยมรอดการท้าทายทางอุดมการณ์สำคัญจากคู่แข่งใหม่อย่างฟาสซิสต์และลัทธิคอมมิวนิสต์ ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 20 ความคิดเสรีนิยมยิ่งลามอีกเมื่อประชาธิปไตยเสรีนิยมเป็นฝ่ายชนะสงครามโลกทั้งสองครั้ง ในทวีปยุโรปและอเมริกาการสถาปนาเสรีนิยมสังคม เป็ฯองค์ประกอบสำคัญของการขยายรัฐสวัสดิการ ปัจจุบันพรรคการเมืองเสรีนิยมยังครองอำนาจและอิทธิพลทั่วโลก
           รัฐชาติ Nation state หรือเรียกว่ารัฐประชาชาติ เป็นรูปแบบหนึ่งอันแน่นอนของหน่วยการปกครองระดับประเทศในปัจจุบัน เปนมโนทัศน์ทางรัฐศาสตร์ที่กำหนดว่าประเทศนั้นมีองค์ประกอบสามประการ คือ มีประชากรแน่นอน มีดินแดนแน่นอน และมีรัฐบาลหรืออำนาจอธิปัตย์แน่นอนเป็นของตนเอง ซึ่งเป็นมโนทัศน์ที่จำแนกประเทศในอดีตออกจากประเทศในปัจจุบัน เนื่องจากในอดีตนันมโนทัศน์ เช่นนี้หามีความแน่นอนไม่ อาทิ สยามเดิมมิได้มีอาณาเขตแน่นอน ขยายออกหรือหดเข้าได้ตามอำนาจของพระมหากษัตริย์แต่ละรัชกาล กับทั้งประชากรก็ไม่แน่นอน ในยามชนะสงครามมักมีการอพยพเทครัวชนชาติอื่นเข้ามาในแว่นแคว้นของตน เป็นต้น เนื่องจากความหลากความหมายของคำ "รัฐ" เช่นรัฐในสหรัฐอเมริกาที่มีระดับเป็นหน่วยการปกครองย่อยๆ จึงมีการประดิษฐ์คำ "รัฐชาติ" ขึ้นในห้หมายถึงประเทศที่เป็หน่วยการปกครองใหญ่ดังมีองค์ประกอบข้าต้นเท่านั้น
         สงครามโลกครั้งที่ 2 ... ความสำเร็จของเยอมนีในทวีปยุโรปได้กระตุ้นให้ญี่ปุ่นพิ่มการกดดันต่อรัฐบาลยุโรปเอเชียตะวันออกเฉียงใตจ้ รัฐบาลดัตช์ยินยิมที่จะส่งมอบทรัพยากร้ำมันจากหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์ แต่ปฏิเสธที่จะยินยิมให้ญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงทางการเมืองภายในอาณานิคม ตรงกนข้ามกับฝรั่งเศสเขตวีซี ซึ่งยินยอมให้ญี่ปุ่นยึดครองอินโดจีนฝรั่งเศส รัฐบาลสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและประเทศตะวันตกตอบโต้การยึดครองดังกล่าวด้วยการอายัดทรัพย์สินของญี่ปุ่น ในขณะที่สหรัฐอเมริกา (ซึ่งญี่ปุ่นอาศัยนำเข้าน้ำมันเป็ฯปริมาณกว่า 80 ) ตอบสนองโดยการห้ามขนส่งน้ำมันไปยังญี่ปุ่นอย่างสมบูรณ์ ญี่ปุ่นถูกบีบให้เลือกว่าจะล้มเลิกความทะเยอะทะยานในการจึดครองทวีปเอเซียและหันกลับไปดำเนินการรบในจีนต่อไป หรือเข้ายึดแหล่งทรัพยากรที่ต้องการด้วยกำลังทหาร กองทัพญี่ปุ่นไม่พิจารณาถึงทางเลือกแรก และนายทหารระดับสูงจำนวนมากพิจารณราว่าการห้ามขนสงน้ำมันไปยังญี่ปุ่นเป็นการประกาศสงครามโดยนัย
         ญี่ปุ่นได้วางแผนในการยึดครองอาณานิคมของชาติยุโรปในทวีปเอเชียอย่างรวดเร็ซเพื่อที่จะสร้างแนวป้องกันขนาดใหญ่ซึงลากยาวฝ่านมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง เพื่ออำนวยความสะดวกในการแสวงหาทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างอิสระขณะทำสงครามป้องกันตนเองจนทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรที่ต้องสู้รบเป็นอาณาบริเวณกว้างเหนื่อยล้า และเพื่อการป้องกันการเข้าแทรกแซงของภายนอก ญี่ปุ่นจึงพยายามวางแผนที่จะทำลายกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาเป็นอันอับแรก ญี่ปุ่นโจมตีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางในเวลาเดียวกัน รวมไปถึง โจมีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล และยกพลขึ้นบกในไทยและมาลายา ทำให้สหรัฐอเมริกา สหรราชอาณาจักร ออสเตรเลีย จีน และฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกประกาศสงครามกับฐี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ
          วงไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพา The Greater East Asia-Prosperity Sphere เป็นความพยายามของญี่ปุ่นที่จะรวบรวมและสร้างแนวป้องกันแห่งชาติเอเชียเพื่อหลุดพ้นจากอิทธิพลของชาติตะวันตก โดยเป็นความคิดริเริ่มของนายพล ฮะชิโร อะริตะ ซึ่งในขชณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเ?สและมีอุดมการณ์ทางการทหารอย่างแรงกล้าที่จะสร้างมหาเอเชียตะวันออก "Greater East Asia"
          ในระหว่างที่สงครามกลังดำเนินอยู่นั้น ญี่ปุ่นได้พยายามโฆษณาชวนเชื่อ โดยมีประโยคที่ว่า "เอเชียเพื่อชาวเอเชีย" โดยเนื้อหานั้นจะพูดถึงเกี่ยวกับการปลกปล่อยชาติในเอเชียให้หลุ่มพ้นจากลัทธิจักรวรรดินิยม โดยการบุกประเทศเพื่อนบ้านและขัยไล่ทหาร อังกฤษ ฝรั่งเศสและอเมริกา ออกไปจากภูมิภาคนี้
         ... ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถูกกองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดครอง ญี่ปุ่นเข้ามาพร้อมกับแนวคิดในการปลดปล่อยชาติในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ให้เป็ฯเอกราชจากชาติตะวันตก เพื่อให้เข้ามาอยู่ใน ไวงศ์ร่วมพไบูลย์มหาเอเบียบูรพา" ขบวนการชาตินเยมเพื่อต่อต้านตะวันตกจึงได้รับกสนับสนุนจากกองทัพญี่ปุ่นในขณะเดียวกันก็เกิดชยงนการชาตินิยมที่ต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นพร้อมๆ กับการต่อต้านจักรวรรดินิยม ขบวนการคอมมิวนิสต์ได้ใช้เรื่องชาตินิยมสร้างแรงสนับสนุนจากชาวพื้นเมือง..

The Wars

          สงครามโลกครั้งที่ 1 หากพิเคราะห์เหตุความขัดแย้งที่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดสงครามนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ความขัดแย้งโดยแท้จริงนั้นเกิดเฉพาะประเทศในยุโรป  อันเกิดจากลัทธิชาตินิยมและการสิ้นสุด หลังจากที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้แก่ปรัสเซีย ในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย นำมาซึ่งการสถาปนาอาณาจักรเยอรมันในเวลาต่อมา เกิดลัทธิชาตินิยมในหมู่ชาวฝรั่งเศส รวมไปถึง ชาวเยอรมัน ชาวอิตาลี ที่มีการรวมชาติหลังจบสงครามฝรั่งเศสปรัชเซีย รวมถึงชาวสลาฟในคาบสมุทรบอลข่าน การแข่งขันกันทางด้านการค้าเสรี การสแวงหาอาณานิคมเจริญถึงที่สุดในตอนต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ทำให้ ทวีปเอเชยและทวีปแอฟริกาตกเป็นอาณานิคมของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด แบ่งเป็นอินแดนในอแฟริกาตกเป็นอาณานิคมของ อังกฤษ ฝรั่เศส  ดัตช์ (เนเธอร์แลนด์) เยอรมนี อิตาลี เบลเยียม และโปรตุเกส ทวีปเอเชียอังกฤษครอบครอง อินเดีย พม่า มลายู บอร์เนียว ออกสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ฝรั่งเศสปกครองลาว เขมรญวน รวมเป็นอินโดจีนฝรั่งเศส ตะวันออกกลางเป็นดินแดนแข่งขันอิทธิพลระหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต และตุรกี การแข่งขันกันทางด้านนี้จึงทำให้การมีอาณานิคมเป็นเครื่องมือความยิ่งหใญ่ ของชาติ ชาวยุโรป จึงได้มีการตกลงแบ่งเขตอิทธิพลในที่ต่างๆ เืพ่อไม่ใหมีปัญหาขัดแย้งกัน ภายหลัง
              มหาอำนาจแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย แบ่งเป็น เยอรมนี ออสเตรีย- ฮังการีผเป็นจักรวรรดิที่มี ระบอบการปกครองแบบควบคู่ และอิตาลี ได้ทำสนธิสัญญาพันธไมตรีไตรภาคี ฝรั่งเศส รัศเซีย และอังกฤษ เกิดเป็นกลุ่ม ประเทศความตกลงไตรภาคี มหาอำนาจทั้ง 2 กลุ่มมีการโน้มน้าวประเทศ อื่นๆ มาเป็นพันธ์มิตร เมื่อเกิดข้อขัดแย้งต่างๆ ประเทศในกลุ่มพันธมิตรก็จะมาช่วยกันในการทำสงคราม ความไม่มั่นคงทางการเมืองในคาบสมุทรบอลข่าน การเกิดสงครามระหว่างบัลแกเรีย-เซอร์เบีย กรีซ  หลังจากสงครามทำให้เซอร์เบียเป็นแค้วนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในกลุ่มชาวสลาฟ
             เมื่อรัชของออสเตรีย-ฮังการีและพระชายถูกลอบปลงพระชนม์ ดดยชาวบอสเนย ซึ่งมีเชื่อสายเซอร์เบีย เหตุเพราะโกรธแค้นที่จักรวรรดิ์ออสเตรีย-ฮังการีเข้ายึดครองบอสเนย และขัดขวางการรวมตัวของชาวสลาฟกับเซอร์เบีย มือสังหารถูกจับกุมทันที่หลังลอบปลงพระชน
 ออสเตรีย-ฮังการี ประกาศสงครามกับเซอร์เบีย เยอรมนีเข้าร่วมกับออสเตรีย-ฮังการี รัสเซียเข้าร่วมกับเซอร์เบีย อังกฤษและฝรั่งเศสเข้ามาช่วยจากการทำพันธะสัญญากับรัสเซีย
             สงครามโลกครั้งที่ 1 หรือมักเรียกว่า "สงครามโลก" หรือ "มหาสงคราม" ก่อน ค.ศ. 1914 เป็นสงครามใหญ่มีศูนย์กลางในยุโรประหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ.1914-11 พฤศจิการยน ค.ศ. 1918
              ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อเกิดสงคราม ไทยังคงยึดมั่นอยู่ในความเป็นกลาง แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสัเกตุความเคลื่อนไหวของคู่สงครามอย่างำกล้ชิดการสงครามได้รุนแรงขึนเป็นลำดั ทรงเห็นว่าฝ่ายเยอรมนีเป็นฝ่ายรุกราน จึงทรงตัดสินพระทัยประกาศสงครามกับเยอมนี และออสเตรีย-ฮังการี แล้วประกาศเรียพลทหารอาสา สำหรับกองบินและกองยานยนต์ทหารบก เพื่อส่งไปช่วยสงครามยุดรป การส่งทหาไปรบครั้งนี้ นับว่าเป็นประโยชน์ เพราะเท่ากับได้เรียรู้วิชาการทางเทคนิคการรบ และการช่างในสมรภูมิ
            หลังจบสิ้นสงคราม สัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะ ประเทศไทยได้ส่งผุ้แทนเข้ประชุม ณ พระราชวังแวร์ซาย ด้วยผลพลอยได้จากการเข้าสงครามนี้ ก็คือ สัญญา ต่างๆ ที่ไทยทำ กับเยอรมนี และออสเตรีย - ฮังการี ย่อมสิ้นสุดลง ตั้งแต่ไทยประกาศสงครามกับประเทศ นั้น และไทยก็ได้พยายามของเจรจา ข้อแก้ไขสนธิสัญญาฉบับเก่า ซึ่งทำไว้กับอังกฤษฝรั่งเศส และชาติอื่นๆ แต่ก็ประสบควายากลำบากอย่างมาก อาศัยที่ไทยได้ความช่วย เหลือ จากดร. ฟราน ซิส บีแซยร์ ชาวอเมริกา ซึ่ง เคยเป็นที่ปรึกษา ต่างประเทศ จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็นพระยากลัยา ณไมตรี ในที่สุ ประเทศต่างๆ 13 ประเทศ รวมทั้งอังกฤษ ตามสนธิ สัญญา พ.ศ. 2468 และ ฝรั่งเศส ตามสนธิสัญญ พงศ. 2467 ตกลงยอมแก้ไขสัญญา โดยมีเงื่อนไขบางประการ เช่น จะยอมยกเลิกอำนาจศาลกงสุล เมื่อ ไทยมีประมวลก
ำหมายครอบถ้อย และยอมให้อิสรภาพ ในการเก็บภาษีอากร ยกเว้น บางอย่างที่อังกฤษขอลดอย่นตอไ ปอี 10 ปี เช่น ภาษี สินค้า ฝ้าย เหล็ก ไทยพยายามเร่งชำระประมวลกฎหมายต่างๆ ต่มาจนแล้วเสร็จ และเปิดการเจรจาอีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดประเทศต่างๆ ก็ยอมทำสัญญาใหม่ กับไทย ไทยจึงได้อิสรภาพทางอำนาจศาลและภาษีอากร คือมาโดยสมบูรณ์
           สงครามโลกครัั้งที่ 1 นำมาซึ่งกาเปลี่ยนแปลงดินแดนอย่างใหญ่หลวงในยุโรป ด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายมหาอำนาจกลาง รวมทั้งการล่มสลายของรัฐจักรวรรดิที่สำคัญ ได้แก่ จักรวรรดิเยอรมัน จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และจักวรรดิออกตโตมัน ตลอดจนจักรวรรดิรัสเซีย ขณะเดียวกัน ความสำเร็จของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งประกอบด้วยสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา อิตาลี เซอร์เบียและโรมาเนีย รวมถึงการก่อตั้งรัฐใหม่หลังจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี รัสเซียและออตโตมันล่มสลาย หลังสงคราม ชาตินิยม อุดมการณ์เรียกร้องดินแดน และลัทธิแก้แค้น กลายมามีความสำคัญในหลายประเทศยุโรป อุดมการณ์เรียกร้องดินแดนและลัทธิแก้แค้นแรงกล้ามากในเยอรมนี เพราะเยอมนีถูกบังคับตามสนธิสัญญาแวร์ซาย เป็นผลให้เอยรมนีเสียดินแดนของประเทศไปร้อยละ 13 รวมทังอาณานิคมโพ้นทะเลทั้งหมด การรวมเยอมนีเข้ากับประเทศอื่นถูกห้าม ซึ้งต้องแบกภาระชำระค่าปฏิกรรมสงครามมหาศาล และถูกจำกัดขนาดและขีดความสามารถของกองทัพอย่างมาก ขณะเดียวกัน สงครามกลางเมืองรัสเซีย ได้นำปสู่การก่อตั้งสหภาพโซเวียต นำโดยพรรคบอลเซวิค ภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์
         สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นความขัดแย้งทางทหารระดับโลก ตั้งแต่ปี ค.ศ.1939-1945 ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเทศส่วนใหญ่ในโลก รวมทั้งรัฐมหาอำนาจทั้งหมด ประเทศผุ้ร่วมสงครามรวมตัวกันเป็ฯพันธมิตรทางทหารคู่สงครามสองฝ่าย คือ ฝ่ายสัมพันธ์มิตรทางทหารคู่สงคามสองฝ่าย คือฝ่ายสัมพันธมิตร และ ฝ่ายอักษะ ระหว่างสงครามมีการระดมทหารกว่า 100 ล้านนาย ด้วยลักษณะของสงคราม "สงครามเบ็ดเสร็จ" ประเทศผุ้ร่วมสงครามหลักได้ทุ่มเอทขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์เพื่อความพยายามของสงครามทั้งหมด โดยลยเส้นขีดแบ่งระหว่งทรัพยากรของพลเรือนหรือทหาร ประเมินกันว่าสงครามมีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยประการทั้งปวง สงครามโลกครั้งที่่สองจึงนับว่าเป็นสงครามขนาใหญ่ที่สุด ใช้เงินทุนมากที่่สุด และนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ประเมินกันว่ามีผุ้เสียชีวิตระหว่าง 40-มากกว่า 70 ล้านคน
         ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้เกิดสงครามในระดับโลกถึงสองครั้ง โดยสงครามโลกคร้งแรกเป็นสงครามที่เกิดขี้นเฉพาะในยุโรปเ็นสำคัญเท่านั้น แต่ในสงครามดลกครั้งที่สองนับได้ว่าเป็นสงครามที่ลุกลามไปทั่วโลกอย่างแท้จริง และพบว่าสงครามโลกทั้งสองครั้งมีความแตกต่างกันอยู่หลายประการที่เดียว
         สงครามโลกครั้งที่สองกลายเป็นการรบซึ่งตั้งอยุ่บนแนวคิดพื้นฐานสองประการซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ฝ่ายหนึ่ง คือ ฝ่ายหนึ่งต้องการจะเปลี่ยนแปลงโลกใหม่ (ฝ่ายอักษะ)และอีกฝ่ายี่พยายามจะรักษาแนวทางเดิมของโลกเอาไว้ (ฝ่ายสัมพันธมิตร) หรือกาจแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มตามอาณานิคมและทรัพยากรธรรมชาติในครอบครองของตน ได้แก่ "กลุ่มประเทศมี" (Have Countries) กับ "กลุ่มประเ้ทศไม่มี" (Have not Countries) อย่างไรก็ตาม พันธมิตรทางทหารทั้งสองฝ่ายก็มิได้ให้ควารวมมือกันอย่างแน่นแฟ้นมากนัก เพราะทั้งสองฝ่ายเพียงร่วมมือกันระหว่างประเทศคู่สงครามเพื่อทำลายอีกคู่สงครามฝ่ายลงอย่างรอบคาบเท่านั้น
         การรบในสงครามโลกครั้งที่สองนั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งยุทธศาสตร์ ยุทโธปกรณ์และยุทธวิธี จนมีนักประวัติศาาสตร์ผุ้หนึ่งกล่าวไว้ว่า สงครามโลกครั้งที่สอง "เป็นการรบที่กระทำอย่างกะทันหันโดยปราศจากการวางแผนอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะไม่อาจกำหนดได้อย่างชัดเจนวว่าที่ใดคือจุแตกหักของสงคราม อาวุธใดโดดเด่นที่สุดในสงครามและข้อสรุปทางประวัติศาสตร์อื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก
          หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง ทวีปยุโรปไม่เหลือพลังอำนาจที่จะดำเนินนโยบายของตนในภูมิภาคอื่นๆ ของโลกได้อีกต่อไป ดังที่เห็นได้จากสถานการณ์ของฝ่ายสัมพันธมิตรกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบฝ่ายอักษะหลังสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตเข้าสู่สงคราม ดังนั้น สหรัฐอเมริกาและสภาพโซเวียตจึงก้าวขึ้นเป็นสองประเทศอภิมหาอำนาจที่ดำเนินนโยบายของโลกในเวลาต่อมา
         
           
                          (www.th.wikipedia.org/.., สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง)
                          (www.th.wikipedia.org/..,สงครามโลกครั้งที่สอง)
                          (knowleadge.eduzone.com/.."ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 1)
                          (www.slidesshare.net/.."ความขัดแย้ง (สงครามโลกครั้งที่ 1/ สงครามโลกครั้งที่ 2/ สงครามเย็น)

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Thai_Tai

             "There are only four countries that escaped European colonialism, completely. Japan and Korea successfully staved off European domination, in part due to their strength and diplomacy, their isolationist policies, and perhaps their distance. Thailand was spared their distance.Thailand was spared when the British and French Empires decided to let it remained independent as a buffer between British-controlled Burma and French Indochina.Japan, However, colonized both Korea and Thailand itself during its early-20th-century  imperial period.
             "มีเพียง 4 ประเทศเท่านั้นที่ไม่ถูกยึดครองไม่ว่าในรูปแบบใดเลย ได้แก่ ญี่ปุน และเกาหลี(เหนือ-ใต้) นั้นรอดพ้นจากการถูกยึดครองโดยชาติยุโรปด้วยนโยบายโดเดียวตนเอง ส่วนหนึ่งก็ต้องยกเครดิตให้กับความเข้มแข็งและนโยบายทางการทูต..บางที่อาจจะรวมไปถึงข้อได้เปรีบบทางภูมิศาสตร์
              ไทยแลนด์นั้นถูกยกเว้นเอาไว้ไม่ถูกยึดครอง เนื่องจากเป็นการตกลงร่วมกันระหว่าง 2 มหาอำนาจได้แก่อังกฤษและฝรั่งเศส อังกฤษนั้นยึดครองพม่าไว้ทั้งหมด ส่วนฝรั่งเศสยึดครองอินโดจีนไว้ทั้งหมด
              แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งไทยและเกาหลี ก็ล้วนแล้วแต่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่น ในสมัยที่ญี่ปุ่นปกครองโดยระบอบจักรพรรพิ์ช่วงศตวรรษที่ 20"
             "Entente cordiale 8 April 1904. The final declaration  concerned Siam (Thailand), Madaascar and the New Hebrides (vanuatu).In Siam, the British recognised a French sphere of influennce to the east of the River Menam's basin;in turn, the French recognised British influence over the territory to the west of the Menam basin. Both parties disclaimed any idea of annexing Siamese territory.
             อังกฤษยอมรับอิทธิพลของฝรั่งเศสในพื้ที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา และฝรั่งเศสก็ยอมรับอิทธิพลของกฤษที่ฝั่งตะวันตก(ฝั่งซ้าย) และทั้งคู่ตกลงจะไม่สนใจที่จะนำสยามเป็นเมืองขึ้น..(http//pantip.com "โลกนี้มีเพียง 5 ประเทศที่ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของชาติยุโรปและไทยเป็น 1 ในนั้น)
         
              การสูญเสียแผ่นดินครั้งทั้ง 14 ครั้งของไทย

           
                  การเสียดินแดนในสมัยกรุงรัตนโกสินต์ ในครั้งแรกเสียดินแดน (ปีนัง)ให้กับอังกฤษในสมัยรัชกาลที่ 1 ครั้งที่ 2 มะริด ทวาย ตะนาวศรี ให้กับพม่า ในสมัยเดียวกัน 3 บันทายมาส (ฮาเตียน) ให้กับฝรั่งเศส สมัยรัชกาลที่ 2, 4) แสนหวี เมืองพง เชียงตุง ให้กับพม่า เป็นดินแดนที่ตีได้จาพม่ามนสมัยรัชกาลที่ 1, 5) รัฐเปรัค เสียให้กับอังกฤษ ในรัชสมัยเดียวกันในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี 6) สิบสองปันนา ในกับจีน เมืองเชียงรุ้งเป็นเมือง หลวงของไทยสมัยรัชกาลที่ 1 ต่อมาเกิดการแย่งชิงราชสมบัติกันเอง แสนหวีฟ้า มหาอุปราชหนีลงมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้เกณฑ์ทัพเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ไปตีเมืองเชียงตุง(เมืองหน้าด่านเชียงรุ้ง) แต่ไม่สำเร็จ และในสมัยรัชกาลที่ 4 ยกไปตีอีกครั้งแต่ไม่สำเร็จจึงต้องเสียให้จีนไป ครั้งที่ 6 เสียเขมรและเกาะ 6 เกาะให้กับฝรั่งเศส ในสมัยรัชกาลที่ 4 ฝรั่งเศสบังคับให้เขมรทำสัญญารับความคุ้มครองจากฝรั่งเศส หลังจากนั้นได้ดำเนินการทางการทูตกับไทย ขอให้มีการปักปันเขตแดน เขมรกับญวน แต่กลับตกลงกนไม่ได้ ขณะนั้นพระปิ่นเหล้า แม่ทัพเรือสวรรคต ไทยจึงอ่อนแอฝรั่งเศสจึงฉวยโอกาสบังคัยทำสัญญารับรองความอารักขอจาก ฝรั่งเศสต่อเขมร ในช่วงนี้ อังกฤษกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญกันเมื่อ 15 มกราคม 2438 โดยตกลงกันให้ไทยเป็นรัฐกันชน ประกอบกับ การดำเนินนโยบายของ รัชการลที่ 5 และการเสด็จประพาศยุโรปถึง 2 ครั้ง เยื่อนรัสเซียและเยอรมัน
                ครั้งที่ 8 สิบสองจุไทย (เมืองไล เมืองเชียงค้อ) ให้กับฝรั่งเศส ในรัชสมัยเดียวกัน ฮ่อก่อกบฎ ทางทางฝ่ายไทยจัดกำลังไปปราบ 2 กองทัพ แต่แม่ทัพทั้งสองไม่ถูกกัน ปฏิบัติเป็นอิสระแก่กัน ฝรั่งเศสส่งทหารเข้าเมืองไล อ้างว่า มาช่วยไทยทราบฮ่อ แต่หลังจากปราบได้แล้วไม่ยอมยกทัพกลับ อีกทั้งไทยก็ไม่ได้จักกำลังไว้ยึดครองอีกด้วย ในที่สุด ไทยกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันที่เมืองแถง (เบียนฟู) ยอมให้ฝรั่งเศสรักษา เมืองไลและเมืองเชียงค้อ
                ครั้งที่ 9 เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ทางด้านรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจและทรัพยากร อันอุดม ด้วยดินแดผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ยิ่ง คือการเสียดินแดนฝั่งซ้ายลุ่มน้ำสาละวิน ( 5 เมืองเงี้ยว และ 13 เมื่องกะเหรี่ยง) ให้แก่อังกฤษ
                ครั้งที่ 10 เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่นำ้โขง (อาณาจักรล้านชาง หรือประเทศลาว)ให้กับฝรั่งเศสในสมัยเดียวกัน ซึ่งเป็นของไทยมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวร และฝรั่งเศสเรียเงินจาไทย 1 ล้านบาท เป็นค่าเสียหายที่ต้องรบกับไทย ค่าประกันว่าไทยต้องปฏิบัติตามสัญญาอีก 3 ล้านบาท และยึดเมืองจันทบุรีและตราด ไว้ถึง 15 ปี
              ครั้งที่ 11 ดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง (ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง ดินแดนในทิศตะวันออกของน่านคือ จำปาสัก และไชยะบุลี) ให้กับฝรั่งเศส ในสมัยเดียวกัน  ไทยได้ทำสัญญากับฝรั่งเศส เพื่อขอให้ฝรั่งเศสคืน จันทบุรีให้ไทย แต่ฝรั่งเศสถอนไปจากจันทบุรีแล้วไปยึด เมืองตราดแทนอีก 5 ปี และเมือฝรั่งเศสได้หลวงพระบางแล้วยังล้ำย่านนาดี,ด่านซ้าย จ.เลย
              ครั้งที่ 12 มลฑลบูรพา (พระตระบอง, เสียมราฐ,ศรีโสภณ) ใหกับฝรั่งเศส ไทยทำสัญญาเพื่อแลกกับตราด, เกาะกง, ด่านซ้าย ตลอดจนอำนาจศาลไทยที่จะบังคับต่อคนในบังคับ ของฝรั่งเศส ในประเทศไทย เพราะขณะนั้นมีคนจีนญวนไปพังธงฝรังเศสกันมากเพื่อสิทธิการค้าขายฝรั่งเศสก็เพียงแต่ถอนทหาออกจากตราด กับด่านซ้าย คงเลหือแต่เกาะกงที่ไม่คืนให้ไทย
                 ครั้งที่ 13 เสียรัฐกลันตัน, ตรังกานู, ไทรบุรี,ปริส ให้กับอังกฤษ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ศาลไทยที่จะบังคับคดีความผิดของคนอังกฤษในไทย
                ครั้งที่ 14 เสียเขาพระวิหารให้กับเขมรเมื่อ 15 มิถุนายน 2505 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 9 ตามคำพิพากษาของศาลโลกให้เขาพระวิหารตกเป็นของเขมร เนื่องมาจาก หลักฐานสำคัญของเขมร ในสมัยที่เป็นของฝรั่งเศส (www.rungnapa-astro.com/.., ประวัติศาสตร์ไทยการเสียดินแดนไทย 14 ครั้งเด็กรุ่นใหม่ควรศึกษาไว้เป็นบทเรียน)

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Colonialism : Filipino

            จักรวรรดิสเปนเป็นหนึ่งในจักรวรรดิโลกและเป้ฯหนึ่งในจักรวรรดิแรกที่มีอินแดนและอาณานิมในยุโรป อเมริกา, เอเชียและโอเชียเนีย มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ส่วนอาณรนิคมในแอฟริกาเป็ฯดินแดนที่ได้มาในตอนปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 20 สเปนก่อตัวขึ้นเป็นสหอาณาจักรในปี ค.ศ. 1492 หลังจาก "การพิชิตดินแดนคืน"ในคาบสมุทรไอบีเียน ในปีเดียวกันคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสก็นำกองเรือสำตวจกองแรกของสเปนในการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นการเริ่มต้นของของการแสวงหา
อาณานิคมในอเมริกาของยุโรป ซึกโลกตะวันตก จึงเป็นจุดหมายทางอำนาจใหม่ของจักรวรรดิสเปน  
            ระหว่างยุคแห่งการสำรวจสเปนก็เร่ิมไปตั้งหลักแหล่งอยู่ในหมู่เกาะแคริบเบียนและผุ้พิชิต ก็เริ่มโค่นจักรวรรดิท้องถิ่นที่พบเช่น จักรวรรดิแอซเท็คและจักรวรรดิอินคา ต่อมาคณะสำรวจก็ขยายดินแดนของจักรวรรดิสเปนตั้งแต่บริเวณที่เป็นแคนาดาปัจจุบันในทวีปอเมริกาเหนือไปจนจรดเดียร์ราเดลฟวยโกทางตอนใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ การเดินทางสำรวจของสเปนเป็นการเดินทางรอบโลกที่เร่ิมโดยเฟอร์ดินันด์ มาเจลลน ในปี ค.ศ. 1519 และจบลงด้วย ยวน เซบาสเตียน เอลคาโน ในปี ค.ศ. 1522 ซึ่งเป็นกานรสำรวจสมตามความตั้งใจของโคลัมบัสในการพยายามหาเส้นทางไปยังเอเชียโดยการเดินทางไปทางตะวันตก ซึ่งทำให้สเปนหันมาสนใจในตะวันออกไกล โดยการก่อตั้งอาณานิคมในเกาะกวม, ฟิลิปปินส์ และเกาะใกล็เคียง
         ยุคก่อนการเข้ามาของสเปนเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนจากภายนอกเข้ามปักหลัอยู่ในหมู่เกาะฟิลิปินส์ตั้งแต่ครั้งก่อนปะวัติศาสตร์ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ตั้งแต่ครั้งก่อนปะวัติศาสตร์ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามปากแม่น้ำใช้ชีวิตเรียบง่าย ยังชีพด้วยการทำนาและหาปลา ไม่ค่อยติดต่อกับโลกภายนอกมากนัก จากสถานที่ตั้งของหมู่เกาะฟิลิปปินส์ทำให้มีพ่อค้าและนักเดินเรือเข้ามาติดต่อค้าขายกับผู้คนบนเกาะตั้งแต่ครั้งโบราณ พ่อค้าชาวจีน อินเดีย อาหรับ ปละอินโดนีเซียที่เดินทางมายังหมู่เกาะได้นำสินค้า ตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 10 เป็นอย่งน้อยที่ผู้คนบนหมู่เกาะทำการค้ากับราชวงศ์ซ่งของจีน และมีบัฯทึกการส่งทูตไปเจรญสัมพันธ์ไมตรีจีน การค้าขายกับจีนทำให้มีชาวจีนมาตั้งรกรากถ่ินฐานอยู่ในหมู่เกาะเป็นจำนวนมาก แต่วัตถุประสงค์ของการเข้ามานั้นเพื่อทำการค้าเพียงอย่างเดียว  ซึ่งต่่างจากพ่อค้าที่เข้ามาในภายหลัง คือผู้นับถือศาสนาอิสลามและสเปน ที่เมื่อเข้ามาแล้วต้องการแผ่อิทธิพลไปทั่วหมู่เกาะ
         ลักษณะการเมืองกาปกครองก่อนที่สเปนจะเข้าครอบครองนั้นเป็นการปกครองในรูปชนเผ่า มีลักษณะการปกครองแบบหมู่บ้าน หรือ บารังไก มี ดาตู เป็นผุ้ปกครอง ในแต่ละบารังไกจะมีการแบ่งประชาชนเป็นชนชั้น ปกครอง เสรีชน ชาวนา และทาส การปกครองของดาตูเป็นการปกครองแบบเผด็จการ ทำให้ประชาชนไม่พอใจ จึงขาดพลังในการวบรวมประชาชนต่อต้านการรุกรานของสเปน
เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน มาถึงหมู่เกาะฟิลิปปินส์ ในปี ค.ศ. 1521 มิเกล โลเปซ เด เลกัซปี มถึงฟิลิปปินส์ในปี 1565 และตั้งชุมชนชาวสเปนขึ้น ซึ่งนำไปสู่การตั้งอาณานิคมในเวลาต่อมาหลังจากนั้น นักบวชศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกได้แปรศาสนาของชาวเกาะทั้งหมดให้หันมานับถือศาสนาคริสต์ ในช่วง 300 ปีนับจากนั้น กองทัพสเปนได้ต่อสู้กับเหตุการณ์กบฎต่างๆ มากมายทั้งจากชนพื้เมืองและจากชาติอื่นที่พยายามแข้ามาครอบครองอาณานิคม ซึ่งได้แก่ อังกฤษ จีน ฮอลันดา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และโปรตุเกส สเปนสูญเสียไปมากที่สุดในช่วงที่อังกฤษเข้าครอบครองเมืองหลวงเป็นการชั่วคราวในช่วยสงครามเจ็ดปี หมู่เกาะฟิลิปปินส์อยู่ได้การปกครองของสเปนในฐานะอาณานิคมของสเปนใหม่ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1565 ถึงปี ค.ศ. 1821 และนับจากนั้นฟิลิปปินส์ก็อยู่ใต้การปกครองของสเปนโดยตรง การเดินเรือมะนิลาแกลเลียน จากฟิลิปปินส์ไปเม็กซิโก เร่ิมต้นขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 และหมู่เกาะฟิลิปปินส์เปิดตัวเองเข้าสู่การค้าโลกในปี ค.ศ. 1834
          สเปนปกครองฟิลิปปินส์อยู่นานถึง 335 ปี การปกครองของสเปนทำให้ฟิลิปปินส์มีโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองการปกครองแตกต่างไปจากที่เคยเป็นมา ชาวสเปนพยายามแสงหาผลประโยชน์จากชาวพืนเมืองอย่างมาก เมื่อชาวสเปนเข้ามาปกครองมีการจัดโครงสร้างทางสังคมที่แตกต่างไปจากเดิม โดยแบ่งเป็น ชนชั้นสูง ชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง ชาวสเปนนำ ระบบโปโล ซึ่งระบบเกณฑ์แรงงานมาใช้ในการแสวงหาผลประโยชน์จากชาวพื้นเมืองได้อย่างสะดวก คนพื้นเมืองทุกคนยกเว้นหัวหน้าเผ่าและลูกชายคนแรกของหัวหน้าเผ่าต้องอุทิศแรงงานให้ทางราชการ นอกจากนี้ยังมีระบบผูกขาดการค้าหรือระบบบันดาลา ที่ใช้บังคับซื้อสินค้าจากชาวพื้นเมืองในระคาต่ำ
          ในด้านการศึกษา สเปนจัดการศึกษให้ชาวพื้นเมืองโดยผ่านโรงเรียนคาทอลิกซึ่งสอนโดยบาทหลวง วัตถุประสงค์สำคัญคือการเผยแผ่คริสต์สาสนานิกายโรมันคาทอลิก และใช้ภาษาสเเปนเป็นหลัก ทำให้อิทธิพลของศาสนาคือการมีพ่อแม่อุปถัมภ์ทำให้สังคมของฟิลิปปินส์กลายเเป็นสังคมภายใต้ระบบอุปถัมภ์จนถึงทุกวันนี้
          ด้านเศรษฐกิจ สเปนเข้ามาครอบครองที่ดินทำให้ชาวพื้นเมือง พระจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ทรงให้เปิดการค้าโดยตรงและจัดตั้งบริษัทหลวงขึ้นที่ฟิลิปปินส์ ให้ส่งสินค้าที่ผลิตได้จากที่ฟิลิปินส์ไปสเปนโดยไม่เสียภาษีขาเข้า ทำให้การค้ามีกำไรดี เกิดเป็ฯอุตสาหกรรมโรงานทอผ้า การผลิตพริกไทย เครื่องเทศ ครา น้ำตาล และไหมขึ้น ต่อมามีการสั่งยุบบริษัทหลวง และเปิดทาเรือมะนิลาสู่ตลาดโลก อันเนืองจากการประกาศเอกราชของเม็กซิโก
            ความเจริญทางการค้าที่เกิขึ้นส่งผลให้เกิดชนชั้นกลางขึ้นในฟิลิปปินส์ ส่วนใหญ่เป็นลูกครึงจีนหรือสเปนซึ่งมั่งคั่ง สมบูรณ์พูนสุข มีการศึกษาดี นิยมส่งลูกหลานไปรับการศึกษาในต่างประเทศ คนกลุ่มนี้ช่วยทำลายประเพณีดั้งเดิมที่ปิดฟิลิปปินส์จากโลกภายนอก และตื่นตัวเรื่องลัทธิชาตินิยมและลัทธิเสรีนิยมในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ขบวนการชาตินิยมทีเกิดขึ้นในฟิลิปปินส์ได้หยั่งรากลึกในสังคมโดยมีผุ้นำศาสนาหัวเสรี กลุ่มวิชาชีพ และกลุ่มนักศึกษาฟิลิปปินส์ในสเปนเข้าร่วม
           ประชากรฟิลิปปินส์นับถือศาสนาคริสต์นิการโรมันคาทอริกมากที่สุด รัฐบาลสเปนใช้ศาสนบังหน้าเพื่อปกครองชาวฟิลิปปินส์อย่างกดขี่ขูดรีด จนนำมาซึ่งการต่อต้านของปัญญาชนและการต่อสู้เพื่อเรียกร้องอิสรภาพ แต่เมื่อได้อิสรภาพแล้วศาสนคริสต์นิกายโรมันคออลักก็ยังคงมีบทบาทในวิถีชีวิตของผุ้คน ผู้นำศาสนานิกายนี้มีอิทธิพลมากจนกระทั่งสามารถขับไล่ผู้นำรัฐบาลที่คอร์รับชันและล้มเหลวในการปกครองประเทศไทยถึงสองคน
            เอมีลีโอ ฟามี อากีนัลโด เป็นนักปฏิวัติในการเรียกร้องเอกตาชของฟิลิปปินส์จากสเปน รุ่นเดียวกับ โฮเซ รีซัล และอันเดรส โบนฟาซีโอ เขาเป็นผู้นำในการลุฮือขั้นต่อสู้กับสเปนด้วยอาวุธหลังการถูกประหารชีวิต ของรีซัล ซึ่งเป็นนักปฏิวัติชาวฟิลิปปินส์ที่มีบทบาทในการจัดตั้งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่ 1 แยกออกมาจากการเป็นอาณานิคมของสเปนในครั้งแรก ในชื่อสาธารณรัฐบีอักนาบาโต และได้ประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ก่อนจะกลายเป็นอาณานิคมของสหรัฐ เขาถูกจับกุมเมื่อสหรัฐอเมริกาเข้ามายึดครองฟิลิปปินส์ต่อจากสเปน และถูกบังคับให้สาบานตนว่าจะซื่อสัตย์ต่อสหรัฐอเมริกา
            อากีนัลโดเป็นชาวฟิลิปปินส์เชื้อสายจีนประสบความสำเร็จในการนำกองกำลังชาวพื้นเมืองเข้าปล้นคลังอาวุธของสเปน ทำให้กาวีเต กลายเป็นศูนย์กลางของกลุ่มกบฎ อากีนัลโด มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับสเปนอย่างเข้มแข็ง สนับสนุนให้ชาวพื้นเมืองเรียกตัวเองว่ฟิลิปิโนแทนชื่อที่ชาวสเปนใช้ว่าอินดิโอสที่หมายถึงคนชั้นต่ำ เขาจัดตั้งคณะกรรมการกลางปฏิวัติและจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ การปฏิวัติตามแผนการของอากีนัลโดทำให้เขากลายเป็นคู่แข่งของ อันเดรส โบนีฟาซิโอ ผู้ก่อตั้งขบวนกาตีปูนัน
         
 ในช่วงแรก ทั้งอากีนัลโดและโบนีฟัสซิโอร่วมมือกันในการจักตั้งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ จัดตั้งสภาปฏิวัติใหญ่ที่ตำบลเตเฮโรสที่เป็นที่มันของรัฐบาลกาตีปูนัน อากีนังโด ได้รับเลือกเป็ฯประธานาธิบดี ในการประชุมกลุ่มผุ้นำนักปฏิวัติพื้นเมืองในตำบลเตเฮโรสเมื่อ 22 มีนาคม พ.ศ. 2439 แต่กลับเป็นชนวนให้เขากับโบนีฟัสซิโอต้องต่อสู้กันเอง หลังจากที่โบนีฟัสซิโอถูกประหารชีวิต อากีนัลโดเป็นผุ้นำการปฏิวัติแต่เพียงผู้เดียว และประกาศจัดตั้งสาธารณรับบีอักนาบาโต
          รัฐบาลอาณานิคมที่มะนิลาไม่ยอมรับรัฐบาลที่ตั้งขึ้นใหม่ และเข้าปราบปรามด้วยกำลังอาวุะในเดือนสิงหาคม ชาวพื้นเมืองในที่ต่างๆ เข้าร่วมกับกลุ่มของอากีนัโดเป็นจำนวนมาก ต่อมา อาซาเบโล อาร์ตาโช และเฟลิกซ์ เฟร์เรร์ ได้ร่างรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐบีอักนาบาโตโดยเลียนแบบรัฐธรรมนูญของคิวบา อากีนัลโดยนั้น ประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐบีอักนาบาโตอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พฤศจิการยน พ.ศ. 2440 โดยใช้ภาษาตากาล็อกเป็นภาษาราชการ
          ขณะนั้น สเปนเผชิญปัญหาการแข็งข้อของอาณานิคมทั้งในฟิลิปปินส์และคิวบา สเปนจึงตัดสินใจเจรจากับกลุ่มของอากีนัลโด ผลของการเจรจาทำให้มีการลงนาในสนธิสัญญาบีอักนาบาโดที่จะให้สทิธิแก่ชาวฟิลิปปินส์ สเปนจะจ่ายเงินชดเชยให้อากีนัลโดและขอให้กลุ่มของเขาออกไปจากฟิลิปปินส์ อากีนัลโด ตกลงและออกเดินทางไปฮ่องกง สาธารณรับบีอักนาบาโตจึงสิ้นสุดลง แต่รัฐบาลสเปนจ่ายเงินชดเชยไม่ครบ และพยายามจับกุมขาวพื้นเมืองในข้อหากบฎ ชาวพื้นเมืองจึงก่อกบฎต่อต้านสเปนอีก ส่วนกลุ่มของอากีนัลโด ไปขอความช่วยเลหือจากสหรัฐอเมริกา
          เมื่อสงครามสหรัฐอเมริกา-สเปนขยายตัวมาถึงมหาสมุทรแปซิฟิก จอร์จ ดิอีย์ ได้ทำลายกองทัพเรือสเปนที่มะนิลา อากีนัลโดเดินทางกลับสู่เมืองกาวีเตพร้มเรือรบสหรัฐ อากีนัลโดประกาศตั้งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์โดยมีเมืองหลวงที่มาโลส แต่สหรัฐฯไม่ยอมรับ อากีนัลโดได้ประกาศจัดตั้งรัฐบาเผด็จการ มีการชักธงชาติฟิลิปปินส์ขึ้นสู่ยอดเสา กองกำลังฝ่ายชาวพืนเมืองล้อมกรุงมะนิลาไว้ได้
         สเปนได้ทำสัญญาลับกับสหรัฐ โดยยกฟิลิปปินส์ ให้สหรัฐ และกับเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อสเปนถอนกองกำลังออกไป สหรัฐฯเข้ายึดมะนิลา ห้ามกองกำลังชาวพื้นเมืองเข้าสู่มะนิลา อากีนัลโดจึงประกาศยืนยันความเป็นรัฐอิสระของฟิลิปปินส์และสาบานตนเป็นประธานาธิบดี จากนั้นจึงต่อสู้กับสหรัฐฯต่อไป การต่อสู้กับสหรัฐใช้เวลาถึง 2 ปี โดยไม่ยอมแพ้ จนกรทั่งถูกจับตัวได้และถูกบังคับให้สาบานตนยอมแพ้ต่อสหรัฐ รวมท้งให้เขาออกประกาศให้ชาวพื้นเมืองยอมวางอาวุธ ซึ่งหลังจากนั้นต้องใช้เวลาออีก 2 ปี การสู้รบจึงยุติลง อากีนับโดถูกเนรเทศไปยังเกาะกวม ..
           สืบเนื่องจากการทำสงครามระหว่างสเปนกับสหรัฐอเมริกา ในปัญหาคิวบา การรบได้ขยายอาณาบริเวณจากทะเลแคริเบียนมาสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ในฐานะที่ฟิลิปปินส์เป็ฯกำลังสำคัญในสเปน ทำให้อเมริกามุงโจมตีกองทัพเรือของสเปนในฟิลิปปินส์ อเมริกามีคำสั่งให้นายเรือจัตวา ดิวอี้ เข้าโจมตี และสามารถทำลายกองทัีพเรือของสเปนได้ทั้งหมด ผลจากความสำเร็จของอเมริกานั้น ส่วนหนึ่งได้รับการช่วยเหลือจากชบวนการชาตินิยมในฟิลิปปินส์ที่ต้องการจะต่อต้านสเปน ชาวฟิลิปปินส์ต้องการที่ตั้งรัฐบาลของตนเองขึ้น แต่ไม่เป็นผลดังที่ตั้งใจไว้ อเมริกาฯ ประกาศเข้าครอบครองฟิลิปปินส์ตามข้อตกลงในสนธิสัญญาปารีส ทำให้ขบวนการชาตินิยมในฟิลิปปินส์เข้าต่อต้านสหรัฐอเมริกา แต่อเมริกาสามารถปราบขบวนการชาตินิยมได้ใน ค.ศ. 1901 สหรัฐฯเข้าครอบครองหมู่เกาะฟิลิปินส์เพราะเห็นประโยชน์ของหมู่เกาะฟิลิปปินส์ทางด้านการค้าและการคมนาคมเพือเป็นฐานสู่เอเซียตะวันออก สหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องปกครองฟิลิปปินส์อย่างไม่เป็นการถาวร ทั้งที่รู้ดีว่าหมู่เกาะฟิลิปปินส์เป็ฯที่ต้องการของ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ญี่ปุ่น และไม่อาจมอบปมู่เกาะฟิลิปปินส์ให้แก่ชาวฟิลิปปินส์ได้ปกครองตนเอง เพราะดอ้ยพัฒนาในทุกด้าน เป็นเหตุให้ประธานาธิบดีแมคคิลเลย์แห่งสหรัฐอเมริกาตัดสินใจเข้าปกครองหมู่เกาะฟิลิปปินส์ในระยะเวลาหนึ่ง และทำการปลดปล่อยในอนาคตเมื่อ ฟิลิปปินส์มีความมั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจ
          ฟิลิปปินส์ภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริก อเมริกาได้ให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนชาวพื้นเมืองมากว่ารัฐบาลสเปน ยกฐานะของสตรีให้สูงขึ้น จัดระบบการศึกษาที่ทันสมัยให้แก่ฟิลิปปินส์ จัดให้มีสวัสดิการแก่ชนชั้นกรรมกร สงเสริมความยุติธรรมทางสังคมคุ้มครองแรงงานสตรีและเด็ก การทำงานมีค่าจ้าง ที่ดิน ผู้เช่าต้องทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อังษร โอนคริตสจักรสเปนให้พระพื้นเมือง
            สหรัฐอเมริกาปรับปรุงแผนเศรษฐกิจ ควบคุมการค้าและภาษีของฟิลิปปินส์ ปรับปรุงธนาคารทางการเกษตรและอุตสาหกรรม มีการตั้งองค์กรมากมาย เช่น องค์กรผลิตอาหารแห่งชาติองค์กรข้าวโพดและข้าวองค์กรการทำน้ำตาลเป็นต้น
            สหรัฐอเมริกา ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง ฝึกให้ประชาชนรู้จักการปกครองในรูปแบบประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกา ได้ออก ฟิลิปปินส์ แอคส์ กำหนดให้สภาฟิลิปปินส์มีสภาผุ้แทน ตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติ

                            (www.th.wikipedia.org/..,เอมิลีโอ_อากีนัลโด)
                            (www.th.wikipedia.org/..,ประเทศฟิลิปปินส์)
                            (www.th.wikipedia.org/..,จักรวรรดิสเปน)
                           - ฟิลิปินส์ประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้-หนังสือชุด "อาเซียน"ในมิติประวัติศาสตร์, 30 ตุลาคม 2015.

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Colonialism : "East India Company, British"and South east Asia II

          หลังจากอังกฤษเข้าครอบครองอินเดียอันเป็นเสมือนเพชรเม็ดที่สุกใสที่สุดบนมงกุฎจักรพรรดิอังกฤษ อินเดียได้กลายเป็นแหล่งป้อนทรัพยากรมนุษย์และวัตถุดิบให้แก่อังกฤษเพื่อการขยายอำนาจไปยังส่วนต่างๆ ของทวีปเอเชีย อังกฤษเริ่มให้ความสนใจพม่าเพราะอังกฤษต้องเผ้าระวัผลประโยชน์ของตนในแค้วนเบงกอลที่มีเขตแดนติดกันกับพม่าโดยอังกฤษมองว่าการเมืองภายในของพม่าที่มักจะเกิดสงครามระวห่างเชื้อชาตินั้น จะส่งผลกระทบกระเทือนต่อการค้าของอังกฤษในบริเวณที่มีชายแดอนติดต่อ


กัน นอกจากนี้อังกฤษยังต้องคอยระวังรัสเซียที่ขยายอิทธิพลลงมาสู่ตะวันออกกลางผ่านอัฟกานิสถานและฝรั่งเศสที่ได้สถาปนาอำนาจอยู่ในอินโดจีนและพยายามที่จะเข้ามามีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในพม่า ฝรั่งเศสและพม่าได้มีการลงนามในสัญญาทางการค้าทำให้อังกฤษเริ่มมีความหวาดระแวงว่าหากฝรั่งเศสสามารถแสวงหาผลประโยชน์จากการลงทุนในพม่าได้ก็จะคุกคมผลประโยชน์ของอังกฤษในอินเดียได้เช่นกันรัฐบาลอังกฤษในอินเดียจึงได้ตัดสินใจแสวงหาทางสถาปนาอำนาจทางการเมืองเหนือพม่า
        ความขัดแย้งระหว่างอังกฤษและพม่า มีสาเหตุสำคัญมาจากเรื่องเขตแดนในปี ค.ศ. 1784 พระเจ้าโพเทาพญาของพม่าได้ทำการผนวกแคว้นอาระกันเข้ากับพม่ามีผลให้พรมแดนของพม่ามีอาณาเขตติดกันกับแคว้นเบงกอลของอังกฤษ พม่าเมื่อปกครอง"ยะไข่"แล้วได้ทำการปกครองอย่างกดขี่ ยะไข่หมดความเกรงกลัวพม่าและก่อกบฎขึึ้น แม้พม่าจะสามารถทำการปราบปรามกบฎลงได้แต่มีพวกกบฎจำนวนหนึ่งหนีข้ามไปในเขตจิตตะกอง อันเป็นเขตอิทธิพลของอังกฤษอยู่เป็นประจำทัพของพม่าก็มักที่จะยกตามพวกกบฎเหล่านี้เข้าไปจนเป็นเหตุให้มีการปะทะกับทหารของอังกฤษกองทัพของอังกฤษได้ยื่นคำขาดให้พท่าถอยตามหลักกฎหมายนานาชาติยุโรป และเหตุการจึงยุติลง
             การที่เกิดเหตุการณ์ไม่สงบตาม
พรมแดนสร้างความไม่สบายใจให้กับอังกฤษเป็นอย่างยิ่ง อังกฤษได้พยายามหาหนทางที่จะยุติปัญหาความยุ่งยากจึงส่ง ทูตไปยังพท่าเพื่อเจรจาเรื่องความขัดแย้งเกี่ยวกับพรมแดนและการค้ากับพม่า โดยสรุปให้กีดกันทางการค้ากับฝรั่งเศสและหันมาค้าขายกับอังกฤษแทน การเจรจาไม่ราบรื่นนัก แต่ตกลงกันว่าพม่าจะยอมปิดเมืองท่าที่ค้าขายกับฝรั่งเศสโดยอังกฤษจะส่งกบฎขาวยะไข่ในเมืองจิตตะกองคืนแก่พม่า 
           กบฎยะไข่ได้ทำการกบฎและหนีเข้าจิตตะกองของอังกฤษอีกหลายครั้งทำให้เกิดความตรึงเครียดระหว่างอังกฤษกับพม่า
           ปี ค.ศ. 1811 เกิดการกบฎขึ้นอีกครั้งในแคว้นอาระกัน ความสัมพันธ์ของอังกฤษและพม่าเริ่มเลวร้ายลงทุกขณะ โดยที่ทำการเจรจากันอยู่นั้นทัพพม่าสามารถทำการตีกองทัพของกบฎได้ ชิน เมียน หลบหนีไปในเขตแดนของอังกฤษอีกครั้งแต่ทางอังฤษกลับไม่สามารถจับตัวได้ สร้างความไม่พอใจให้กับพม่าเป็นอย่างยิ่งพม่ามองว่าอังกฤษไม่มีความจริงใจที่จะช่วยเหลือพม่าในการจับตัวชินเมียน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษและพม่าตรึงเครียดและสุดท้ายความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศได้ล่มสลายลง
    จากเหตุการดังกล่าวทำให้ราชสำนักพม่าหมดความเชื่อถือและมองว่าอังกฤษไม่มีความเข้มแข็งทางการทหาร กษัตรย์พม่ามีนโยบายที่จะขยายอิทธิพลของตนเข้าไป มณีปุระและอัสสัม อันเป็นเขตอิทธิพลของอังกฤษโดยพยายามเข้าแทรกแซงทางการมือง ซึงสร้างความวุ่นวาย และการกบฎขึ้น ทำให้มีผู้ลี้ภัยเข้าไปในเขตแดนอังกฤษมากขึ้นทุกที อังกฤษมองดุการกระทำดังกล่าวด้วยความแคลงใจเช่นกัน เมื่อพระเจ้าโพเทาพญาสวรรคต กษัตริย์องค์ใหม่ของพม่าคือพระเจ้า บาณีดอได้ขึ้นครองราชย์พระองค์เป็นผุ้มีความสามารถและมีความทะเยอทะยานพระองค์มีนโยบายที่จะขยายอำนาจเข้าไปในแคว้นเบงกอลเพื่อทำการแข่งขันกับอังกฤษ
           สงครามระหว่างอังกฤษและพม่าครั้งที่ 1 หลังจากที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ของพม่าขึ้นครองราชย์ได้ทำพิธีพระบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณีแต่ประากฎว่าเจ้าผุ้ครองแคว้นมณีปุระไม่ได้เดินทางมาร่วมในพระาชพิธีในครั้งนี้ด้วยพร้อมไม่ยอมส่งเครื่องบรรณาการไปถวายตามที่เมืองประเทศราชพึงจะปฏิบัติการกระทำดังกล่าวของเมืองมณีปุระสร้างความไม่พอพระทัยให้กับกษัตริย์พม่าพระองค์ใหม่เป็นอย่างยิ่ง พระเจ้าบาณีดอทรงมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นหารประกาศตัวเป็นเอกราชของเมืองมณีปุระ
           พระเจ้าบาณีดอ ทรงดำริว่าควรจะแสดงพระราชอำนาจให้ปรากฎก่อนที่อังกฤษจะได้เข้ามทำการแทรกแซง ความคิดดังกล่าวได้รับความสนับสนุนจากบรรดาแม่ทัพนายกองของพระองค์ดังนั้นพระองค์จึงได้ส่งกองทัพไปทำการปราบปรามเมืองมณีปุระ ความวุ่นวายในเมืองมณีปุระได้ขยายตัวเข้าไปในแคว้น  คชา และ เจนเตีย ที่เป็นแค้วนเล็กๆ แต่อังกฤษมองว่าแคว้นทั้งสองนั้นเปรียบเสมือนแคว้นกันชนระหว่างอระกันของพม่ากับเบงกอลของอังกฤษ เพื่อปิดกั้นความวุ่นวายตามแนวชายแดนที่อาจจะขวายตัวเข้ามาในแคว้นเบงกอลอังกฤษได้ดำเนินการประกาศให้แคว้นทั้งสองเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ แต่การประกาศดังกล่าวไม่เป้ฯที่สนใจของพม่าปฏิบัตตนโดยปราศจากความเกรงกลัวต่ออังกฤษและพร้อมที่จะทำสงครามกับอังกฤษอีกด้วยเหตุความวุ่นวายตามชายแดนที่มีมาตลอดและความก้าวร้าวของพม่าทำให้อังกฤษเองก็ได้หมดความอดทนแล้วเช่นกันอังกฤษได้ประกาศสงครามกับพม่า
          พม่าเชื่อมั่นว่าพวกตนคงจะได้รับชัยชนะ ได้อย่างไม่ยากเย็นนักในการทำการรบในครั้งนนี้ เมื่อได้ทำการรบกันนั้นปรากฎว่าอังกฤษได้รับชัยชนะแม้ว่ากองทัพของพม่าจะมีจำนวนที่มากกว่าถึงสองต่อหนึ่งแต่อาวุธของอังกฤษมีความทันสมัยกว่ามากแม่ทัพพม่าเสียชีวิตในสนามรบ อังกฤษสามารถยึดเมืองร่างกุ้ง หัวเมืองมอญต่างๆ ที่อยู่ทางใต้และมีอาณาเขตติดทะเล เช่น ตะนาวศรี ทวาย และมะริด เมื่อกองทัพอังกฤษสามารถยึดได้เมืองแปรและเตรียมที่จะบุกเข้าโจมตีอมรปุระ เมืองหลวงของพม่าจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้พม่าหมดทางเลือกต้องยอมเจรจาสงบศึก
       
 อังกฤษและพม่าได้ลงนามในสนธิสัญญาสงบศึก ยันดาโป พม่าเสียดินแดนอาระกัน ทวาย มะริด ให้กับอังกฤษพม่าจะต้องไม่เข้ามาแทรกแซงทางการเมืองในเขตอิทธิพลของอังกฤษและจะต้องเปิดความสัมพันะ์ทางการทูตขึ้นใหม่และพม่าจะต้องจ่ายค่าชดเชยจากการทำสงคราม เป้นจำนวนเงินถึง 1 ล้านปอนด์ พร้อมทั้งทำสัญญาการค้ากับอังกฤษให้เป็นเรื่องเป็นราว
         ผลจากการพ่ายแพ้สงครามและการทำสนธิสัญญายันดาโบซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคนี้สรางความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศพม่าเป็นอย่างยิ่ง ผลจากสงครามครั้งนี้ทำให้พม่าเสียหน้าและศักดิ์ศรีของชาติความเข้มแข็งทางการทหารของพม่าล่มสลายและไม่สามารถที่จะรื้อฟื้นกลับมาได้อีก
          พม่าเคยเป็นที่เกรงขามของประเทศเพื่อบ้านแต่สภาพดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงไปหลังจากการทำสัญญาในครั้งนี้
           แม้ว่าอังกฤษและพม่าจะมีการเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตตามสนธิสัญญายันดาโบอังกฤษคิดว่าการใช้สัมพันธไมตรีทางการทูตจะช่วยให้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นผ่อนคลายลงแต่ทางราชสำนักพม่ายังคงถือตัวว่ามีความสุงส่งและไม่ต้องการที่จะลดตัวลงไปทำการใดๆ กับผู้สำเร็จราชการที่อินเดีย แม้พท่าจะพ่ายแพ้และรับรู้ถึงแสนยานุภาพทางการรบของอังกฤษแต่พม่าก็ยังยึดติดอยุ่ในทัศนคติแบบเก่าและค่านิยมแบบดั้งเดิม จากแนวความคิดแบบนี้ของพม่าแม้อังกฤษพยายามจะใช้การทูตในการแก้ไขปัญหาก็ไม่ได้ทำอะไรใหดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีและการปฏิบัติคนของข้าราชการพม่าที่มีต่อพ่อค้าและข้าราชการอังกฤษทางอังกฤษก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันนักทูตที่ทางอังกฤษส่งไปประจำในพม่า ทำตัวดูถูกและเหยียดหยามคนพม่าอย่างยิ่ง เมื่อเกิดการก่อกบฎขึ้นในพม่าโดยมีเจ้าชายทราวดีเป็นผู้นำผุ้เป็ฯอนุชาของพระเจ้าบาณีดอ อังกฤษมองเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่าเป็ฯโอกาสดีที่อังกฤษจะเข้าแทรกแซงโดยการให้ความสนับสนุนเจ้าชายทราวดีในการก่อกบฎแต่เมื่อเจ้าชายทราวดีขึ้นครองราชย์พระองค์กลับกระทำสิ่งที่อังกฤษเองก็ไม่คาดคิด
           พระองค์ได้ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงในสนธิสัญญายันดาโบโดยอ้างว่าสนธิสัญญาที่ทำนั้นเป็นข้อตกลงในสมัยรัชกาลก่อนไม่มีข้อผูกมัดในรัชสมัยของพระองค์ ความสัมพันธ์ระหว่งพม่าและอังกฤษเลวร้ายลงเรื่อยๆ จนในที่สุดอังกฤษได้ถอนทูตออกจากพม่าจนหมดความสัมพันะ์ทางการทูตระหว่างอังกฤษและพม่าจึงสิ้นสุดลงโดยปริยาย การที่ทูตอังกฤษที่ผู้สำเร็จราชการที่อินเดียส่งมาได้ถอนตัวออกไปนั้นสร้างความพอพระทัยให้พระเจ้าทราวดีเป็นอย่างยิ่ง
       
 พระองค์ถือว่าการที่มีทูตอยู่ในเมืองหลวงถือเป็นความน่าอับอายเพราะ ทูตเหล่านี้ไม่ใช่ผู้แทนจากกษัตริย์อังกฤษ พระเจ้าทราวดีเกิดสติวิปลาสและสวรรคตลง พระเจ้าพุกามแมง กษัตริย์องค์ใหม่ของพม่า มีนโยบายต่อ้านอังกฤษทำให้บรรดาขุนนางต้องการที่จะเอาใจและทำตามนโยบายของกษัตริย์พระองค์ใหม่ด้วยการทำการกดขี่บรรดาพ่อค้าอังกฤษให้ได้รับความเดือดร้อน เป็นเหตุให้พ่อค้าอังกฤษเรียกร้องการคุ้มตีองและควบคุมอินแดนทางตอนในของพม่าจากรัฐบาลอังกฤษที่อินเดียเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ขุนนางพม่าที่เป็นเจ้าเมืองพะ โคจับเรืออังกฤษจำนวนสองลำและทำการกักขังกัปตันเรือไว้โดยกล่าวหาว่าเรืออังกฤษไม่ยอมจ่ายค่าธรรมเนียมทางอังกฤษตอบโต้การกระทำของพม่าโดยการเรียกร้องค่าเสียหายแต่ทางพม่าได้ปฏิเสธสงครามระหว่างอังกฤษและพม่าจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง
          ในสงครามครั้งที่ 2 นี้ไม่มีอะไรแปลกใหม่อังกฤษได้รับชัยชนะ ในสงครามกับพม่าอีกคร้งการพ่ายแพ้ต่ออังกฤษแสดงให้เก็นถึงความล้มเหลวทางการทหารของพม่าเมืออังกฤษได้ผนวกพะ โค เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอังกฤษเช่นเดียวกับอาระกันและตะนาวศรีที่ได้มาในสงครามครั้งก่อทำให้พม่าโดนตัดขาดจากภายใอกอังกฤษได้เมืองที่ติดชายทะเลไปจนหมดประเทศพม่ากลายเป็นดินแดนที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล พม่ากลายเป็นประเทศที่ยึดติดกับขนบของตนเองมากขึ้นและไม่พยายามที่ผูกไมตรีหรือสนใจโลกภายนอก ขณะเดียวกันอังกฤษก็ได้แสดงให้เห็ว่าหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น โดยสันติวิธีได้อังกฤษก็พร้อมที่จะใช้กำลังทหารเข้าบังคับ ผลของสงครามได้สร้างคาามเปล่ยนแปลงในราชสำนักพม่าเมื่อบรรดาขุนนางได้ทำการถอดถอนพระเจ้าพุกามแมงและสถาปนาพระราชอนุชาของพระองค์คือเจ้าชาย มินดง ขึ้นเป้นกษัตริย์ทรงพระนามว่า พระเจ้ามินดงมิน
           พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่รับรู้ถึงความอันตรายของการต่อต้านอังกฤษเป็นอย่างดีทรางเสิรมสร้างให้พม่าเข้มแข็งโดยการปรับปรุงประเทศในด้านต่างๆ และพยายามที่จะสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตขึ้นมาใหม่พระองค์ทรงตระหนักดีว่าเสรีภาพของพม่าจะดำรงอยู่ได้โดยการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับอังกฤษแต่พระองค์พทรงได้พยายามถ่วงดุลอำนาจของอังกฤษในพม่าด้วยการดึงฝรั่งเศสให้เข้ามามีบทบาทในพม่าด้วยเช่นกัน
 ในสมัยนี้เป็นสมัยที่พม่าตกอยู่ในยุคความหวาดกลัวเป็นสมัยของความทารุณโหดร้ายเป็นผลให้พม่าอ่อนแอ เกิดกบฎขึ้นทั่วไปข้าราชการอังกฤษในอินเดียเสนอให้รัฐบาลอังกฤษเข้าทำการแทรกแซงแต่รัฐบาลอังกฤษไม่เห็นด้วย แต่การปกครองที่ไม่เป็นธรรมและคดโกงของราชสำนักพม่าภายใต้การนำของพระมเหสีและพรรคพวกสร้างความไม่พอใจให้กบพ่อค้าชาวอังกฤษเพราะการค้าได้รับความกระทบกระเทือนจนพยายามที่จะบับบังคับรัฐบาลอังกฤษในอินเดียเข้าแทรกแซง ความขัดแย้ของพม่าและอังกฤษถึงขั้นแตกหัก เมื่อทางพม่ากล่าวหาว่าบริษัทบอมเบย์เอบมาที่มีอิทธิพทางการเมืองว่าได้ทำการตัดไม้สักเกินกว่าที่ได้ทำการตกลงกันไว้และทางพม่าได้เรยกร้องค่าเสียหายแต่ทางบริษัทอบมเบย์เบอมาได้ปฏิเสธทางพม่าคิดว่าฝรั่งเศสจะเข้ามาให้คามช่วยเหลือแต่ต้องประสบกับความผิดหวัง
           สงครามครั้งที่ 3 ระหว่างอังกฤษและพม่าจึงเกิดขึ้นพม่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามเหนมอนสองคร้งก่อนหน้านี้กษัตริย์พม่ายอมจำนนและโดนเนรเทศไปอยู่อินเดียอังกฤษได้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ของพม่าและประกาศรวมพม่าเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย


            "การเข้ายึดพม่าของอังกฤษ" พินธกร นามดี

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Colonialism : "East India Company, British"and South east Asia

           จักรวรรดิบริติช หรือ จักรวรรดิอังกฤษ ประกอบด้วยประเทศในเครือจักรภพ คราวน์โคโลนี รัฐในอารักขา รัฐในอาณัติ และดินแดนอื่นซึ่งสหราชอาณาจักรปกครองหรือบริหาร จักรวรรดิกำเนิดจากดินแดนอาณานิคมโพ้นทะเลและสถานีการค้าที่ราชอาณาจักรอังกฤษก่อตั้งระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 ในช่วงที่เจริญถึงขีดสุด จักรวรรดิบริติชเป็นจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์และเป็นมหาอำนาจ โลกชั้นแนวหน้านานกว่าหนึงศตวรรษ จักวรรดิบริติชปกครองประชการประมาณ 458 ล้านค้น หรือกว่หนึ่งในห้าของประชากรโลกในเวลานั้นครอบคลุมพื้ที่มากกว่า 33,000,000
ตารางกิโลเมตร เกือบหนึ่งในสี่ของพื้นดินทั้งหมดของโลก เป็นผลให้มรดกทางการเมือง, กฎหมาย, ภาษาและวัฒนธรรมของอังกฤษแผ่ขยาย ในยุคที่จักรวรรดิบริติชรุ่งเรื่องที่สุด มักใช้คำวลี "ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดินในจักรวรรดิบริติช" เพราะดินแดนที่มีอยู่ทั่วโลกทำให้ดวงอาทิตย์ยังส่องแสงอยู่ในดินแดนใต้ปกครองอย่างย้อนที่สุดหนึ่งแห่งตลอดเวลา
           อังกฤษ เริ่มสนใจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายหลังจากการเดินทางรอบโลก ของ เซอร์ ฟรานซิส เดรก และได้จักตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของตนแข่งกับฮอลันดา เพื่อ ผลประโยชน์ทางการค้าในหมู่เกาะอิสดีสตะวันออก แต่การลงทุน และระยะเวลาที่เข้ามามีน้อยกว่าฮอลันดา อังกฤษได้เข้ามา
ตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของตน เพื่อทำการค้าระหว่างจีนกับอินเดีย เมื่อการค้าก้วรหน้าขึ้น อังกฤษจึงต้องการดินแดนริมฝั่งทะเล เพื่อเป็นสถานีการค้าและเป็นฐานทัพ เรือของตน อังกฤษจึงสนใจมลายู และได้ดำเนินการเป็นขึ้นตอนเพื่อเข้าครอบครองมลายู ใน พ.ศ. 2329 อังกฟษ ได้ดำเนินการขอเช่าเกาะปีนังจากเจ้าเทืองไทนบุรี ซึ่งเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของไทยเวลานั้น ต่อมาได้ขอเช่าไทรบุรี และให้ชื่อว่ โพรวินส์ เวสลีย์ และได้เจรจาของเข่าเกาะสิงคโปร์ จากสุลต่านรัฐยะโฮร์ ซึ่งดินแดนดังกล่าวอยู่ภายใต้การดูแลของฮอลันดามาก่อน อังกฤษจึงต้องเจรจากับฮอลันดา ตกลงทะสนธิสัญญาลอนดอน สนธิสัญญาดังกล่าวเป็นการแบ่งอิทะิพล ระหว่างอังกฤษกับฮอลันดา คือ ฮอลันดาได้ครอบครองหมู่เกาะอินเดียตะวัน
ออก ในขณะที่อังกฤษครอบครองมะละกา ซึ่งเป็นของฮอลันดามาก่อน และอังกฤษต้องถอนตนออกจากเกาะสุมาตรา หลังจากนั้น อังกฤษได้รวม ปีนัง สิงคโปร์ และมะละกาเข้าด้วยกัน เรียกว่ สเตรทส์ เซทเทิลเมนส์ อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ หลังจากที่อังกฤษเข้ายึดอินเดียย เป็นอาณานิคมแล้ว อังกฤษก็ให้ความสนใจดินแนในแหลมมลายูมาขึ้น โดยเข้าไปรักษาความสงบและข้าแทรกแซงกิจการภายในของรัฐต่างๆ จนเป็นอาณานิคมได้สำเร็จ รวมทั้งการเจรจาทำสนธิสัญญากับไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเหล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขอไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิส ซึ่งเป็นของไทย โดยอังกฤษจะยอมเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต และให้รัฐบาลไทยกู้เงิน 4 ล้านปอนด์ เพื่อสร้างทางรถไฟสายใต้ หลังจากอังกฤษ ได้ครอบครองดินแดนในแหลมมลายูแล้ว อังกฤษได้ครอบครองดินแดนอื่นๆ คือ บอร์เนียว บรูไนส์ และพม่า โดยที่อังกฤไษด้ทำสงครามกับพม่าถึง 3 ครั้ง และได้ชัยชนะตลอด จนพม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ
              สหภาพมาลายา เป็นสหพันธ์ของกลุ่มรัฐมลายูและอาณานิคมช่องแคบ รวมทั้งสิงคโปร์ ซึ่งสืบทอดมาจากลุ่มอาณานิคมบริติชมาลายาสหภาพแห่งนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อรวมสูนย์การปกครองของรัฐต่างๆ ที่อยู่บนคาบสมุทรมลายูให้อยู่ใต้รัฐบาลเดียวกัน เพื่อให้เกิดความสะดวกในการบริหารจัดการ สหภาพมลายาเป็นรูปแบบการปกครองที่อังกฤษเสนอขึ้นเพื่อใช้ปกครองอินแดนมลายู่เป็นอาณานิคม
            ปลายศตวรรษที่ 15 และต้นศตวรรษที่ 16 มะละกาได้ขยายเป็นจักรวรรดิครอบครองพื้นที่ทั้งหมดของคาบสมุทรมาลายูและบ่างส่วนของเกาะสุมาตรา มะละกาได้เปลี่ยนสภานภาพจากเมืองท่าเล็กๆ เป็นชุมทางการค้าการขนส่งทางทะเลและโมลุกกะ กับตลาดทังใยุโรปและเอเชีย ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มะละกาประสบความสำเร็จ คือ มะละกาตังอยู่ในแนวลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และตะวัออกเฉียงเหนือซึ่ง
ช่วยให้เรือสำเภาทั้งจากตะวันตกและตะวันออกสามารถแล่นถึงกันได้ตลอดทั้งปี เมื่อมหาอำนาจตะวันตกยึดเมืองมะละกา สุลต่านอาห์เหม็ด ชาห์ สุลต่านองค์ุดท้ายของมะละกาได้หนีไปยะโอร์และใช้ยะโฮร์เป็นฐานที่มั่นในการต่อสู้เพื่อชิงมะละกาคืมาแต่ไม่เป็นผลจึงหนีไปเปรัคและสวรรคต พระโอรสองค์โต สุลต่าน มุซาฟาร์ ชาห์ ได้ก่อตั้งเมืองใหม่ในปีเดียวกันที่เปรัคซึ่งเป็นเมืองที่อุดมด้วยดีบุก และพระโอรสองค์รอบสุลต่านอัลเลาะด์ดิน ไรยัท ชาห์ ตั้งมั่นอยู่ที่ยะโฮร์และสถาปนาอาณาจักรใหม่ขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำยะโฮร์ ได้ขยายอำนาจขึ้นเป็นจักรวรรดิครอบครองยะโฮร์ สิงคโปร์และหมู่เกาะรีเยา และเป็นศูนย์กลางการค้าแห่งใหม่แทนมะละกา การล่มสลายของจักรวรรดิมะละกาและยะโฮร์ทำให้มหาอำนาจทั้งในและนอกภูมิภาคผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาครอบครองคาบสมุทรมลายู
           อังกฤษเป็นมหาอำนาจตะวันตกชาติสุดท้าย ต่อจาก โปรตุเกศและเนเธอร์แลนด์ที่เข้าครอบครองคาบสมุทรมลายู การครอบครองรัฐต่างๆ ของอังกฤษแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ อาณษนิคมช่องแคบ สหพันธ์รัฐมลาย และรัฐนอกสหพันธ์มลาย ซึ่งแต่ละแบบมีวิธีการที่แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่อาศัยการแทรกแซงทางการเมืองซึ่งมีความขัดแย้งกันอยู่เป็นทุนเดมและแสวงหาแนวร่วมด้านผลประโยชน์ กล่าวคื อคาบสมุทรมลายูประกอบด้วยรัฐน้อยใหญ่มากมาย อาทิ ยะโฮร์ เซลังงอร์ เปรัค ปาหัง ตรังกานู แแต่ละรัฐมีผู้ปกครองของตน ทำให้คาบสมุทรมลายูไม่มีความเป็นเอกภาคในการปกครองและขาดเสถียรภาพทางการเมือง อังกฤษอาศัยจุดอ่อนนี้ในการครอบครองรัฐต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไปแม้จะใช้เวลาที่ยาวนานแต่ก็สามารถครอบครองคาบสมุทรมลายูได้อย่างเบ็ดเสร็จ
              อาณานิคมช่องแคบ คืออาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยดินแดนที่เป็นรัฐปีนัง ดินดิง รัฐมะละกา สิงคโปร์ และบาบวนในปัจจุบัน อาณานิคมแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2369 โดยในตอนแรกเป็นเพียงส่วนหนึงของอินแดนที่อยู่ในความควบคุมของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ต่อมาได้กลายเป็นอาณานิคมอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลสหราชอาณาจักรอย่างเต็มตัว และได้รับเอกราชภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
              อาณานิคมแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นตามสนธิสัญญาระหว่างอังกฤษกับเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นข้อตกลงในการแบ่งเขตอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้สมุทรระหว่างทั้งสองประเทศ ซึ่งเจตของอังกฤษจะอยู่ทางเหนือ และเขตของเนเธอร์แลนด์จะอยู่ทางใต้โดยมีการและเปลี่ยนดินแดนระหว่างกัน คืออังกฤษจะต้องยกนิคมในเบงคูเลนทางภาคตะวันตกของเกาะสุมาตราให้กับเนเธอร์แลนด์โดยและกกับมะละกาและสิงคโปร์ ทำให้เมืองหลวงของอาณานิคมย้ายจากเากะปีนังมาสิงคโปร์
             ในปี พ.ศ.2410 นิคมดังกล่าวำด้กลายเป็นอาณานิคมอย่างเต็มตัว โดยอยู่ภายใต้การปกครองของสำนักงานอาณานิคมในกรุงลอนดอนแทนที่จะขึ้นตรงกับรัฐบาลประจำอินเดียในกัลกัตตา เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ รัฐบาลอังกฤษได้ตราธรรมนูญประจำอาณานิคม โดยให้อำนาจแก่ข้าหลวงแห่งนิคม ซึ่งบริหารกิจการของอาณานิคมโดยได้รับคามช่วยเหลือจากสภบริหารและสภานิติบัญญัติ
             ดินดิงซึ่งเป็นดินแดนที่ประกอบด้วยพื้นที่ชายฝั่งและหมู่เกาะทางตะวันตกของรัฐเประก์ ได้กลายเป็นของอังกฤษตามสนธิสัญญาปังโกร์ แต่ดินแดนดังกล่าวก็ไม่ทำประโยชน์ให้แก่อังกฤษมากนัก
             พรอวินซ์เลส์ลีย์ซึ่งเป็นพื้นทางชายฝั่งตะวันตกของรัฐเกดะห์ที่อยู่ตรงกันข้ามกับเกาะปีนังและมีอาณาเขตทางใต้ติดต่อกับรัฐเประก์ ได้กลายเป็นของอังกฤษ โดยเขตแดนทางเหนือและทางตะวันออกที่ติดต่อกับรัฐเกดะห์นั้นได้กำหนดตามข้อตกลงที่ทำกับสยาม ดินแดนแห่งนี้ถูกปกครองโดยเจ้าหน้าที่ซึ่งขึ้นตรงต่อหน่วยงานในเกาะปีนัง พื้นที่ส่วนใหญ่ของพรอวินซ์เลลส์ลีย์เป็นที่ราบที่อุดมสมบูรณ์ โดยมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมลายู โดยมีชาวจีนและชาวทมิฆซึ่งเป็นแรงงาน รวมทั้งผู้คนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมการเกษตรอื่นๆ อาศัยอยู่จำนวนหนึ่ง พื้ประมาณหนึ่งในสิบเป็นเนินเตี้ยๆ ซึ่งเต็มไปด้วยป่าทึบ พื้นที่นี้ผลิตข้าวเป็นจำนวนมากในแต่ละปี
             อาณานิคมช่องแคบประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ปีนัง ดินดิงส์ และโพรวินซ์ เวลเลสลีย์ พื้นที่ีชายฝั่งตะวันตกของรัฐเกดะห์ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเกาะปีนัง มะละกา และสิงค์โปร์ต่อมาเมืองจึงรวมลาบวน บนเกาะบอร์เนียวไว้ในอาณานิคมช่องแคบในท้ายที่สุดอาณานิคมช่องแคบอยู่ในสังกัดสำนักงานอาณานิคมในกรุงลอนดอนและเรียกดินแดนเหล่านี้ว่า คราวน์ โคโลนีย์ โดยอังกฤษส่งข้าหลวง มาปกคอรงบริหารรัฐเหล่านี้โดยขึ้ตรงกับกษัตรย์อังกฤษ
            ปีนัง เป็นเกาะอยู่ทางฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรมลายู มีชื่อเรียกหลากหลาย เช่น เกาะหมาก(ในภาษาไทย) ปูเลา ปีนัง (ภาษามาลายู) และพรินซ์ออฟเวลล์(ในภาษาอังกฤษ) ปีนังเป็นอาณานิคมแห่งแรกของอังกฤษในคาบสมุทรมลายู อังกฤษเริ่มแข้ามาเกาะปีนังในปี ค.ศ. 1771 ขณะนั้นปีนังเป็นส่วนหนึ่งของเกดะห์ บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ เจรจากับสุลต่านมูฮัมหมัด จีวาแห่งเกดะห์เพื่อของการจัดตั้งสภานีการค้าแห่งในปีนัง ในช่วงนั้นเกดะห์ หรือไทรบุรีเป็นเมืองขึ้นของสยามและต้องส่งบรรณาการแก่สยามทุกปี สุลต่านจึงยอมให้อังกฤษจัดตั้งสถานีการต้าเพื่อแลกกับการคุ้มครองจากอังกฤษ ปีนังจึงเป็นรัฐแรกที่ถูกอังกฤษครอบครองและจัดตั้งเป็นสภานีการค้าแห่งแรกของอังกฤษในคาบสมุทรมลายู
             สิงคโปร์ ข้าหลวงอังกฤษคิดหาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อจัดตั้งสถนีการค้าแห่งใหม่และเพื่อคานอำนาจของฮอลันดา จึงออกสำรวจและเดินทางถึงสิงคโปร์ และมีความเห็นว่าสิงคโปร์มีทำเลที่ตั้งเหมาะสมจะเป็นสูนย์กลางการค้าของอังกฤษในภูมิภาคนี้ ขณะนั้นเกาะสิงคโปร์เป็นเพียงหมู่บ้าชาวประมงเล็กๆ ตั้งอยู่บนปากแม่น้ำสิงคโปร์ และเป็นส่วนหนึ่งของยะโฮร์ อังกฤษเจรจากับสุลต่าน อับดุล ราห์มาน มอสแซน แห่งยะโฮร์เพื่อจัดตั้งสถานีการค้าบนเกาะสิงคโปร์แต่ถูกปฏิเสธ ทั้งนี้เพรราะยะโฮร์อยู่ภายใต้อำนาจของฮอลันดาและยูกส ต่อมาอังกฤษได้สืบทราบว่าการที่สุลต่าน อับดุล ราห์มาน มอสแซน ได้ครองราชย์เป็นเพราะพระเชษฐา ตนกูฮุสเซน ชาห์ หรือตนกูลอง ซึ่งมีสิทธิ์ในการครอบครองราชย์ไม่ประทับอยู่ที่ยะโฮร์ในขณะที่อดีตสุลต่านสวรรคต จึงเสียสิทธิ์ในการครองบัลลังก์ เซอร์แรฟเผิลจึงได้สมคบกับตนกูฮุสเซน ชาห์ ซึ่งถูกเนรเทศไปยู่ที่รีเยาให้กลับมาเป็นสุลต่านแห่งยะโฮร์ ช่วยให้อังกฤษสามารถครอบครองสิงคโปร์ บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษและสุลต่านฮุสเซน ซาห์ ได้ลงนามอย่างเป็นทางการเพื่อขอใช้เกาะสิงคโปร์ เมื่ออังกฤษได้จัดตั้งอาณานิคมช่องแคบซึ่งประกอบด้วย ปีนัง ดินดิงส์ มะละกา และสิงคโปร์ ได้กำหนดให้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการต้าและการปกครองของอาณานิคมช่องแคบ
            มะละกา อังกฤษและฮอลันดาตกลงที่จะแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในคาบสมุทรมลาู โดยอังกฤษยกเบนคูเลน ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะสุมาตราให้กับฮอลันดาและฮอลันดามอบมะละกาให้แก่อังกฤษเป็นการตอบแทน
            รัฐในอารักขาของอังกฤษ รัฐในอารักขาคือ รัฐซึ่งมีเอกราชและอิสรภาพในการปกครองตนเอง มีผู้ปกครองเป็นคนในท้องที่ แต่ยอมอยู่ภายใต้การคุ้มครองของประเทศอื่นซึ่งเข้ามแข็งกว่าทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการป้องกันภัยจากประเทศที่สาม รัฐในอารักขามักจะมอบสิทธิพิเศษทางการค้าและอนุญาตให้ผู้คุ้มครองเข้าใช้อินแดนบางส่วนในรัฐของตนเพื่อเป็นการตอบแทนความคุ้มครอง
            สหพันธรัฐมาลายา เป็นสหพันธรัฐที่จัดตั้งขึ้นจากรัฐมลายูและดินแดนต่างรวม 11 รัฐ ซึ่งดำรงอยู่ประกอบด้วยรัฐมลายู 9 รัฐ และดินแดนในอาณานิคมช่องแคบที่ปีนังและมะลกา รวม 2 แห่ง สหพันธรัฐแห่งนี้มีฐานะเป็นรัฐในอารักขาของสหราชอาณาจักร แต่ต่อมาก็ได้มีการประกาศเอกราช และจัดตั้งเป็นประเทศมาเลเซียในเวลาต่อมา สหพันธ์รัฐมลายาประกอบด้วยรัฐเซลังงอร์ เปรัค ปาหัง และเนกรี แซมบิลัม ก่อนที่จะมีการจัดตั้งสหพันธรัฐมลายา แต่ละรัฐมีสุลต่านเป็นผู้ปกครอง และอังกฤษส่งข้าหลวงประจำ เพื่อดูแลการต้าและผลประโยชน์ของอังกฤษในรัฐต่างๆ รวมทั้งให้คำปรึกษาสุลต่านใด้านการเก็บภาษีอากร เมื่อมีการรวมรัฐทั้งสี่และจัดตั้งเป็นสหพันธรัฐมลายาในปี ค.ศ. 1895 จึงได้แต่งตั้ง ข้าหลวงใหญ่ เป็นผู้ปกครองสูงสุดของสหพันธรัฐมาลายูรวมถึงอาณานิคมช่องแคบ การได้มาซึ่งรัฐในสหรัพธ์รัฐมลายามีดังนี้
            เซลังงอร์  ในศตวรรษที่ 19 เซลังงอร์มีความสำคัญทางเศรษฐกิจเนื่องจากได้สำรวจพบแหล่งแร่ดีบุกอีกท้้งยังเป็นแผล่งผลิตยางพาราที่สำคัญ ในช่วงนี้เองมีชาวจีนอพยพเข้ามาอยู่เข้ามาขายแรงงานในเซลังงอร์เป็นจำนวนมาก ชาวจีนเหล่านี้ได้รวมตัวกันอย่างลับๆ และร่วมมือกับชนชั้นผู้นำเพื่อควบคุมเหมืองดีบุก ในระหว่างความขัดแย้งได้ลุกลามเป็นสงครามกลางเมืองซ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้ปกครองเซลังงอร์และผู้ปกครองเมืองแคลงเพื่อยึดครองผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการปกครอง ซึ่งรู้จักกันในนาม สงครามกลางเมืองเซลังงอร์หรือสงครามแคลง เหตุการณ์นี้เปิดช่องให้อังกฤษซึ่งในขณะนันมีบทบาทในเศรษฐกิจของเซลังงอร์ยื่นข้อเสนอให้สุลต่านแห่งเชลังงอร์ยอมรับให้มีข้าหลวงอังกฤษประจำเซลังงอร์เพื่อให้ความช่วยเหลือในการยุติความขัแย้งและสงครามแลางเมือง หลังจากที่เซลังงอร์กลับข้าหวงอังกฤษประจำเซลังงอร์ เพื่อให้ความช่วยเหลือในการยุติความขัดแย้งและสงครตามกลางเมือง หลังจากที่เซลังงอร์กลับเข้าสู่สภาวะปกติข้อหลวงประจำของอังกฤษเซอร์แฟรง สเวทเทนแฮม ได้ประสานให้มีการรวมเซลังงอร์ เนเกรี เซมบิแลน เปรัค และปาหัง เพื่อจัดตั้งเป็นสหพันธรัฐมาเลย์ โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองกัวลาลัมเปอร์ในเซลงงอร์
                เปรัค เปรัคก่อตั้งหลังจากที่อาณาจักรมะละกาล่มสลาย โดยาชบุตองค์โตของสุลต่าน อาห์เหม็ด ชาห์ สุลต่านองค์สุดท้ายแห่งมะละกา คือ สุลต่าน มุซาฟาร์ ชาห์ เนื่องจากเปรัคอุดมด้วยแร่ดีบุก จึงเป็นที่หมายปองของรัฐต่างๆ ทั้งในและนอกภูมิภาค ในศตควรรษที่ 19 บูกิส อาเจะห์และสยสมต่างพยายามที่จะครอบครองเปรัค ในขณะนั้นอังกฤษได้เข้ามามีอิทธิพลในคาบสมุทรมลายู โดยได้ครอบครองปีนัง มะละกา และสิงคโปร์ และหมายที่จะครอบครองเปรัคเช่นกัน อังกฤษจึงเข้ามาแทรกแซงการรุกรานดังกล่าวทำให้เปรัคสามารถรอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของสยาม
                ต่อมาเกิดการแย่งชิงสัมปทานเหมืองแร่ระวห่างชาวจีน 2 กลุ่มในเปรัค สุลต่านแห่งเปรัคไม่สามารถปราบปรามได้ เนื่องจากเกิดการแย่งชิงบัลลังก์ในราชสำนักสุลต่าน ราชามุดา อับดุลลาห์ ได้มีสาสน์ถึงข้าหลวงใหญ่ของนิคมช่องแคบแสดงความจำนงค์ยินยอมให้เปรัคอยู่ในอาณัติของอังกฤษหากช่วยให้เขาได้ครองบัลลังก์ ทั้งสองได้พบกันที่เกาะปังกอร์ เพื่อลงามในสนธิสัญญาเพื่อให้อังกฤษช่วยรักษาความสงในรัฐเปรัค และสนับสนุนให้ราชามุดา อับดุลลาห์เป็นสุลต่านอับดุลลาห์ มูห์หมัด ชาห์ ที่ 2 แทนสุลต่าน อิสเมล มอบิดดิน ไรยัท ชาห์ โดยเปรัคยอมให้อังกฤษส่งข้าหลวงมาประจำ อีกทั้งมอบสิทธิในการครอบครองอินดิงส์ และเกาะปังกอร์ ให้แก่อังกฤษ
              ปาหัง เป็นรัฐที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดบนคาบสมุทรมลายูเป็ฯรัฐเก่าแก่ของไทย เคยมีคนไทยเป็ฯเจ้าอมืองมาแต่โบราณ ก่อนหน้านี้ปาหังเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรศรีวิชัย แต่หลังจากอาณาจักรศรีวิชัยได้ล่มสลายในปี ค.ศ. 1000 ปาหังถูกครอบครองโดยอาณาจักรมัชปาหิต ต่อมาโดยสยาม และสุดท้ายโดยจักรวรรดิมะละกา
            เนเกรี เชมบิลัน อยู่ในสภาวะความขัดแย้งทางการเมืองมาตลอด สาเหตุเนื่องจากเนเกรี เซมบิลันเป็นรัฐที่ก่อตั้งโดยชาวมินังคาเบาจากเกาะสุมาตราในศตวรรษที่ 15 ในช่วงแรกเนเกรี เซมบิลันอยู่ภายใต้การปกครองของสุลต่านแห่งยะโฮร์ ต่อมายะโฮร์อ่อนกำลังลงเนื่องจากถูกบูกิสโจมตี เนเกรี เซมบิลันจึงหันพึ่งสุมาตราซึ่งเป็นเชื้อสายเดียวกัน สุมาตราได้ส่ง ราชาเมเลวาร์ มาครองเนเกรี เซมบิลัน แต่เมื่อมาถึงปรากฎว่าราชาคาทิบ ได้ตั้งตนเป็นผู้ปกครองเนเกรี เซมบิลันเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดราชาเมเลวอร์ได้ขึ้นครองรชย์ในปี 1773 โดยการรับรองของสุลต่านแห่งยะโฮร์โดยแต่งตั้งให้เป็น ยังดีปอตวนอากงแห่งเนเกรี เซมบิลัน และเมื่อราชาเมลาวาร์สิ้นพระชนม์ทายาทของราชาเมเลวาร์และราชาคาทิบก็ต่อสุ่เพื่ออ้างสิทธิ์ในบัลลังก์ การต่อสู้ลุกลามเป็นสงครามกลางเมืองอังกฤษจึงถือเป็นข้ออ้างในการส่งกองกำลังเพื่อรักษาผลประโยชน์ของอังกฤษในเมืองซันไกอูจง และส่งข้าหลวงมาประจำต่อมา ยึดเมือง เจเลบู และยึดเมืองที่เหลือได้ทั้งหมด
              บอร์เนียวเหนือ เป็นรัฐในอารักขาในการดูแลของบริษัทบอร์เนียวเหนือของอังกฤษ และเปลี่ยนชื่อเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักรโดยใช้ชื่อว่าบอร์เนียวเหนือของอังกฤษ จนถึงปี ค.ศ.1963 บอร์เนียวเหนือตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะบอร์เนียว ซึ่งก็คือรัฐซาบะฮ์ในปัจจุบัน
              บรูไน  เป็นที่รู้จักและมีอำนาจมากในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 -คริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยมีอาณาเขตครอบครองส่วนใหญ่ของเกาะบอเนียวและส่วนหนึ่งของหมู่เกาะซูลู มีชื่อเสียงทางการค้า สินค้าส่งออกที่สำคัญในสมัยนั้นคือ การบูร พริกไทยและทองคำ หลังจากนั้นบรูไนเสียดินแดนและเสื่อมอำนาจลงเนื่องจากสเปนและฮอลันดาได้แผ่อำนาจเข้ามา กระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 ด้วยความวิตกว่าจะต้องเสียดินแดนต่อไปอีก บรูไนจึงได้ยินยิมเข้าอยู่ภายใต้อารักขาของอังกฤษ และต่อมายอมลงนามในสนธิสัญญายินยิมอยู่เป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษอย่างเต็มรูปแบบ
               รัฐนอกสหรัพธรัฐมลายา ประกอบด้วย รัฐยะโฮร์ และรัฐที่เป็นเมืองขึ้นของสยาม การครอบครองรัฐเหล่านี้อาศัยวิธีการดังนี้
              ยะโฮร์ เป็นหนึ่งในสองรัฐที่สามารถขยายอำนาจเป็นจักรวรรดิในช่วงที่ฮอลันดาเริ่มแผ่อิทธิพลเข้ามาในคาบสมุทรมลายูจักรวรรดิยะโฮร์-รีเยา-ลิงกะ ประกอบด้วยดินแดนในอาณัติ 4 ส่วน คือ มัวร์ ปาหัง รีเยา และยะโฮร์ซึ่งรวมถึงสิงคโปร์ แต่ละส่วนมีผู้ปกครองที่ได้รับการแต่งตั้งจากสุลต่านซึ่งประทับอยู่ในลิงกะ จักรวรรดิยะโฮร์เรื่องอำนาจในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ถึงศตวรรษที่ 17 แต่เมืองขึ้นต้นศตวรรษที่ 18 ก็เริ่มเสือมอำนาจลงเนื่องจากถูกรุกรานโดยบูกิสและมินังกาเบา นอกจากนี้ความเสื่อมถอยของราชสำนักสุลต่านยังเป็นผลมาจากการแทรกแซงของอังกฤษโดยเริ่มต้นจากเซอร์แรฟเฟิล สแตมฟอร์ด ในการสนับสนุนให้ตนกูฮุสเซน ชาห์ ครองราชย์แทนสุลต่าน อับดุล ราห์์มาน มอสแซน โดยมุ่งหวังที่จะขอเช่าเกาะสิงคโปร์จากยะโฮร์เพื่อจัดตั้งเป็นสถานีการค้าในปี 1819 ในปีนี้เองจักวรรดิแยกเป็น 2 ส่วน คือ อาณาจักยะโฮร์ ซึ่งปกครองโดยชาวเตเมงกองและรัฐสุลต่านรีเยา-ลิงกะซึ่งปกครองโดยบูกิส การแทรกแซงของอังกฤษมากขึ้นตามลำดับจนกระทั่งราชสำนักอ่อนกำลัง ประจวบกับในปลายศตวรรษที่ 19 มีการก่อสร้างเส้นทางรถไฟเพื่อเชื่อมต่อยะโฮร์กับสหพันธรัฐมลายาทำให้ยะโฮร์ต้องยอมอังกฤษ โดยอังกฤษส่งข้าหลวงมาประจำและกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมอังกฤษในที่สุด
             รัฐที่เป็นเมืองขึ้นของสยาม ได้แก่
                          - เกดะห์ ซึ่งไทยเรียกว่า ไทรบุรี มีพรมแดนติดต่อจังหวัดสงขลาของไทย ไทรบุรีอยู่ภายใต้อิทะิพลของอาณาจักรศรีวิชัย และต่อมาเป็นเมืองขึ้นของไทย ดังที่กล่าวมาแล้ว ไทรบุรียอมให้อังกฤษเช่าเกาะปีนัง เพื่อแลกกับการคุ้มครองจากอังกฤษเพื่อให้หลุดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของสยาม
                           - กลันตัน เป็นรัฐที่มีพรมแดนติดต่อกับจังหวัดนราธิวาสของไทย เป็นเมืองขึ้นเก่าแก่ของไทย กลันตันหลุดจากการเป็นเมืองขึ้นของไทย และต่อมาเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิมะละกา แต่เมื่อโปรตุเกสครอบครองมะละกากลันตันอยูาภายใต้อาณัติของปัตตานี และกลับมาอยู่ในอาณัติของประเทศไทย
                            - ตรังกานู เป็นรัฐอิสระที่มีสุลต่านซึ่งสืบเชื้อสายจากยะโฮร์เป็ฯผู้ปกครอง ในช่วงนี้การเมืองในตรังกานูถูกครอบงำโดยยะโฮร์ และตกเป็ฯประเทศราชของสยามและส่งเครื่องราชบยรรณาการมาถวายทุกปี
                             - เปอร์ลิส ซึ่งไทยเรียกว่า ปะลิส เป็นรัฐที่มีพรมแดนติดต่อกับจังหวัดสตูลและสงขลาของไทย ในอดีตเปอร์ลิสเป็นส่วนหนึ่งของรัฐเกดะห์ซึ่งผลัดกันปกครองโดยอาเจะห์และสยาม หลังจากที่เคดาห์กลับมาเป็นของไทย เนื่องจากอังกฤษเกรงว่าผลประโยชน์ของตนในเปรัคจะถูกคุกคาม มีการลงนามในสนธิสัญญเบอร์นีย์ โดยอังกฤษยมอรับว่ารัฐทั้งสี่ในภาคเหนือของคาบสมุทรมลายู เป็นส่วนหนึ่งราชอาณาจักรสยาม และสยามยอมรับว่าอังกฤษเป็ฯเจ้าของเกาะปีนัง อีกทั้งให้สิทธิ์อังกฤษในการค้าขายในกลันตันและตรังกานู ผลของสนธิสัญญานี้ทำให้ สุลต่าน อาห์เหม็ด แห่งเกดะห์ ซึ่งถูกเนรเทศและต่อต้านสยามถึง 12 ปี จำยอมรับเง่อนไขและกลับมาครองบัลลังก์ หลังจากนั้นสยามได้แยกเปอร์ลิสออกจากเกดะห์
                              สนธิสัญญาเบอร์นีย์สิ้นสุดลงเมื่ออังกฤษและไทยได้ลงนามในสนธิสัญญาแองโกล-สยาม หรือสนธิสัญญากรุงเทพ ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนดินแดนระหว่างกัน โดยอังกฤษยกเมืองสงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาสให้เป็นของสยาม และอังฏฟษได้เมืองเกดะห์ กลันตัน และตรังกานู ส่วนเปอร์ลิสและสตูลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐเกดะห์ ให้เปอร์ลิสเป็นของอังกฤษ ส่วนสตูลเป็นของสยาม รัฐเหล่านี้ก่อนได้รับเอกราชแม้จะมีสุลต่านเป็นผู้ปกครองแต่มีข้อหลวงอังกฤษทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้แก่สุลต่าน
             


                 (www.tri.chula.ac.th/.. "การครอบครองคาบสมุทรมลายูของมหาอำนาจตะวันตก")
                 (www.th.wikipedia.org/..,ประเทศบรูไน.., รัฐในอารักขา.., เบอร์เนียว.., สหพันธรัฐมลายา.., นิคมช่องแคบ.., จักรวรรดิบริติช.)
                 (http//site.google.com/.., "เอเชียใต้)
               

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...