วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

international relations (Cold War)

  
  ภาวะ “สงครามเย็น”กับการดำเนินนโยบายของอภิมหาอำนาจสองประเทศคือ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต มีดังนี้
     การเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา แนวนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกานับจากภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบัน แบ่งศึกษาได้เป็น 2 ระยะได้แก่ช่วงก่อนทศวรรษที่ 1980 และหลัง
     - แนวนโยบายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 –1980 สหรัฐอเมริกามีประธานาธิบดีทั้งสิ้น 6 คน แต่แนวนโยบายต่างประเทศทีเป็นหลักมีเพียงเเนวทางเดียว คือ “การสกัดกั้นการแผ่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ซึ่งความแตกต่างในแต่ละสมัยจะเป็นเรื่องวิธีปฏิบัติ และความเข้มของนโยบาย
แฮรี เอส ทรูแมน ในสมัยนี้นโยบายสกัดกั้นการแผ่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์มีความเข้มสูง ทั้งนี้เพราะได้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองของในหลายพื้นที่ ที่สำคัญคือการที่กองทัพแดงของสหภาพโซเวียตบุกเข้าไปในโปแลนด์และฮังการี ในปี 1956 และเชโกสโลวะเกียในปี 1968 นอกจานั้น ตุรกี ยังถูกคุกคาม และดินแดนบางส่วนของอิหร่านถูกยึดครองโดยกองทัพของสหภาพโซเวียตผุ้นำของสหัฐอเมริกาจึงเริ่มมีความเชื่อมั่นว่าสหภาพโซเวียตจะขยายลัทะคอมมิวนิสต์ไปทั่วโลก เพื่อทำลายระบอบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นความจำเป็นที่สหรัฐอเมริกาจะต้องดำเนินการหยุดยั้งการดำเนินงานของสหภาพโซเวียต
     ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาในระบอบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยและด้วยความรู้สึกต่อต้านลัทะคอมมิวนิสต์ สหรัฐอเมริกาจึงเป็นผุ้นำในการดำเนินการสร้างระบบพันธมิตรที่มีกษณะเป็นแนวปิดล้อมคอมมิวนิสต์ขึ้น กล่าวคือ ภูมิภาคยุโรปจะมีองค์การนาโต เป็นฐานดำเนินการ ภูมิภาคตะวันออกกลางจะมีองค์การเซ็นโตเป็นฐานดำเนินการ ส่วนเอเซ๊ยตะวันออกเฉียงใต้จะมีองค์การซ๊โต เป็นฐานดำเนินการและนอกจากนั้น ยังมีฐานทัพเรือของสหรัฐอเมริกาอีกหลายแห่งเป็นหน่วยร่วมปฏิบัติ เพื่อเป็นการเสริ่มพลังในการสกัดกั้นคอมมิวนิสต์
    ดไวท์ ดี. ไอเซนเฮาร์ สหรัฐอเมริกาใช้หน่วยงานสืบราชการลับหรือ ซีไอเอ.CIA เป็นเครื่องมือในการเข้าแทรกแซงฝ่ายตรงกันข้าม และรักษาความมั่นคงของกลุ่มประเทศสรีประชาธิปไตย พร้อมกันนั้นก็มีการพัฒนาความรู้ทางเทคโนโลยีนิวเคลียนร์เพิ่มมากขขึ้น เพื่อจะนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการกดดันด้านนดยบายต่างประเทศต่อประเทศคอมมิวนิสต์
จอห์น เอฟ. เคเนดี้ ในระยะนี้มีการเพิ่มขีดความสามารถที่จะรักษาเสถียรภาพในดินแดนต่าง ๆ ทั่วโลกที่คาดว่าจะถูกคุกคามจากการขยายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ อาทิ สหรัฐอเมริกาได้ส่งกำลังทหารเข้าตรึงในประเทศลา เขมร และเวียดนาม การเผชิญหน้ากันระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตระหว่างปี 1961-1963 ที่สำคัญได้แก่ วิกฤตการณ์เบอร์ลิน จนนำไปสู่การสร้างกำแพงเบอร์ลิน วิกฤตการณ์คิวบาเป็นต้น
ลินคอม บี. จอห์สัน นโยบายหลักของสหรัฐอเมริกายังคงไม่เปลี่ยนแปลง สหรัฐอเมริกาจึงให้ความช่วยเหลือแก่รัฐบาลของประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย และให้การสนับสนุนแก่ฝ่ายที่ทำการต่อต้านลัทะคอมมิวนิสต์ เช่น ให้การสนับสนุนทงทหารอย่างเต็มที่ในสงครามแวเยดนามในสาธารณรัฐโดมินิกัน เป็นต้น อย่างไรก็ตา นธยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในช่วยนี้จะไมเสี่ยงต่อการทำสงครามโลก เพราะการทำสงครามโลกหมายถึงการทำสงครามนิวเคลียร์สหรัอฐอเมริกาหันมสใช้วิธีรณรงค์ทางการทูตควบคู่ไปกับการผ่อนคลายความกดดันทางทหารลงนับตั้งแต่ปี 1965 เป็นต้นมา
ริชาร์ด เอ็ม. นิกสัน และเจอรัล อาร์.ฟอร์ด เป็นช่วงที่ยุทธศาสตร์ทางการเมืองโลกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม กล่าวคือ เปลี่ยนจากรูปแบบ 2 ขั้วอำนาจอันได้แก่ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต มาเป็นรูปแบบ 3 ขั้วอำนาจ ซึ่งได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียตและจีนคอมมิวนิสต์การดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาจึงมีการปรับตัวตามยุทธศาสต์การเมืองโลกไปด้วย อย่างไรก็ตาม นโยบายหลักของสหรัฐอเมริกายังคงเดิม แต่ในระดับปฏิบัติการ สหรัฐอเมริกาจะไม่เข้าพัวพันกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยตนเองเต็มรูปแบบ ดังจะเห็นได้จากการประกาศหลักการนิกสัน เมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งมีสาระสำคัญคือ ให้มีการลดบทบาททางทหารของสหรัฐอเมริกา
รัฐบาลอเมริกาจะจัดหาทั้งอาวุธและกำลังทหารให้แก่ฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิต์ เช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนประเทศเกาหลีและเวียดนาม มาบัดนี้ สหรัฐอเมริกาจะให้ความ่วยเลหือเฉพาะด้านอาวุธและการเงินเท่านั้น และจะให้กับประเทศที่พร้อมจะหากำลังพลของตนเอง จึงกล่าวโดยทั่วไปได้ว่านโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริการะหว่าง เป็นนโยบายลดความตึงเครียด เหตุกาณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ เช่น ประธานาะบดีนกิสันเดินทางไปเยื่อนจีนคอมมิวนิสต์และสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกาถอยทัพออกจากเวียดนามในลักษณะของการพ่ายปพ้ และปล่อยให้สามประเทศอินโดจีนอันได้แก่ประเทศลาว เขมร และเวียดนาม ตกอยู่ในความยึดครองของฝ่ายคอมมิวนิสต์ เป็นต้น
     การดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหภาพโซเวีย นับจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2-1980 แนวนโยบายต่างประเทศของสหภาพโซเวียตในช่วงเวลาประมาณ 30 ปีนับจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 มีเพียงประการเดียว คือ “การสร้างความมั่นคงให้ระบอบคอมมิวนิสต์ทั้งภายในประเทศสหภาพโซเวียตและในหมู่ ประเทศบริวาร” ทั้งนี้โดยใช้นโยบายเผชิญหน้ากับสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศผู้นำค่ายเสรีประชาธิปไตย ทำให้เห็นลักษณะของการแข่ขันระหว่าง 2 ค่ายอย่างแท้จริง
โจเซฟ สตาลิน ดำเนินนโยบายเผชิญหน้ากับสหรัฐอเมริกาอย่างจริงจัง โดยใช้กลยุทธต่าง ๆ เช่น การเพิ่มกำลังทหา การสะสมอาวุธ การเร่งสร้างอาวุธนิวเคลียร์ การสร้างค่ายของกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ขึ้นอย่งมั่นคง เป็นต้น
สมัยผลัดเปลี่ยนผู้นำ ในช่วงเวลานี้สหภาพโซเวียตใช้วิธีการดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยวิธีลดการเผชิญหน้าลงบ้าง และยอมรับหลักการอยู่ร่วมกัน โดยสันติ แต่ในขณะเดียวกันก็เร่งคิดค้นและสร้างอาวุธยุทธศาสตร์ขึ้นมาอีก จึงเห็นได้ว่าความรู้ทางเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างชัดเจน
สมัยนิกิตา ครุสซอฟ มีวิธีการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่สำคัญยังคงสืบต่อจากสมัยผลัดเปลี่ยนผู้นำ คือ ใช้นโยบายเผชิญหน้าควบคู่กับการอยู่ร่วมกันและการแข่งขันกัยอย่างสันติ
สมัยผู้นำร่วมเบรซเนฟ-โคชิกิน ยุคนี้การเมืองโลกเปลียนเป็น 3 ขั้วอำนาจ ในขณะที่สหภาพโซเวียตมีปัญหากับจีนคอมมิวนิสต์วิธีการดำเนินนโยบายต่างประเทศต่อสหรัฐอเมริกาจึงปรับกระบวนการไปบ้าง กล่าวคือ จะไม่นิยมเสี่ยงต่อการเผชิญหน้า แต่จะถือหลักการอยู่ร่วมกันและการแข่งขันกันอย่างสันติ
การดำเนินนโยบายต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีน
แนวนโยบายต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีนนับจากปี 1949 เมื่อจีนแผ่นดินใหญ่ได้เปลี่ยนระบบการเมืองการปกครองเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ จนถึงปัจจุบัน  จะมีลักษณะคลอยตามการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในประเทศและผกผันตามการดำเนินนโยบายต่างประเทศจีนคอมมิวนิสต์จึงพอแบ่งได้เป็นช่วงเวลาดังนี้
    ค.ศ. 1949-1954 เป็นระยะเริ่มสร้างอำนาจของรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ จีนคอมมิวนิสต์ได้ดำเนินนโยบายกระชับมิตรกับสหภาพโซเวียต กล่าวคื อประธานเมา เจอตุง เดินทางไปเยือนสหภาพโซเวียตพร้อมกับมีการลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพสามสิบปี สาเหตุสำคัญที่ผลักดันให้จีนคอมมิวนิต์ต้องดำเนินนโยบายดังกล่าวเพราะ “รัฐบาลคอมมิวนิสต์”ยังไม่มีความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเมืองหรือเศรษฐกิจ กล่าวคือทางด้านการเมืองระยะดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่เพิ่งสิ้นสุดสงครามกลางเมืองกับฝ่ายจีนคณะชาติ กลุ่มผู้นิยมจีนคณะชาติอาจยังมีอยู่ นอกจากนั้นสหรัฐอเมริกายังสแดงจุดยืนที่จะสนับสนุนรัฐบาลประชาะไตยของนายเจียนไคเช็คหรือฝ่ายจีนคณะชาติ ความหวาดเกรงว่ารัฐบาลคอมมิวนิสต์จะถูกคุกคามจึงเกิดขึ้น ส่วนทางด้านเศรษฐกิจสาธารณรัฐประชาชนจีนมีสภาพทรุดโทรมทางเศรษฐกิจจนไม่สามารถช่วเหลือตังเองได้อันเป็นผลมาจากภาวะสงครามกลางเมืองและผลกระทบของสงครามโลกครั้งที่สองปัญหาต่างๆ เหล่านี้ สหภาพโซเวียตได้ให้การช่วยเหลือแก่รัฐบาลจีนอมมิวนิสต์เป็นอย่างมากอาทิ การให้เงินกู้ระยะยาวและมีระยะปลอดหนี้ ตลอดจนได้ส่งผู้เชียวชาญสาขาต่างๆ รวมทั้งที่ปรึกษาทางการทหารจำนวนหนึ่งมาให้รัฐบาลจีน ความผูกพันระหว่างจีนคอมมิวินสต์กับสหภาพโซเวียตจึงมีอย่างแน่นแฟ้นในช่วงนี้
     เริ่มสร้างอำนาจ 1949-1954 เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ให้ความสนใจต่อความมั่นคงทางการเมืองภายในประเทศด้วยการเร่งกำจัดผู้ไม่เห็นด้วยกับลัทธิคอมมิวนิสต์ หรือที่เรียก ว่า “ผู้ไม่ภักดี” ส่วนด้านความมั่นคงทางการเมืองระหว่างประเทศ จะเป็นการเร่งแพร่ขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ไปสู่ประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะในเขตประเทศใกล้เคียงตามหลักการปฏิวัติคอมมิวนิสต์จึงทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองขึ้นในปะเทศเกาหลีและเขตอินโดจีน
     1955-1961 ในช่วงเวลานี้จีนคอมมิวนิสต์ มีความมั่นคงทางการเมืองภายในประเทศแล้ว รัฐบาลจึงให้ความสนใจในการพัฒนาเศรษฐกิจ ปรับปรุงด้านสังคมและวัฒนธรรม เป็นสำคัญ
     การดำเนินนโยบายต่างประเทศ ไม่เป็นแนวทางเดียวกันตลอดระยะ 6 ปี กล่าวคือ ในช่วง 2 ปีแรก รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ใช้นโยบายขยายความร่วมมือ อาทิ ยอมรับความเป็นกลางของประเทศโลกที่สาม ผู้นำโจวเอินไหลเข้าร่วมประชุมกับกลุ่มประเทศอาเซียนในการประชุมที่บันดุงประเทศอินโดนีเซียเมื่อปี 1956 เป็นต้นจึงจัดได้ว่าเป็นระยะที่รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ดำเนินนโยบายประนีประนอม ในปี 1957-1961 รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ได้ใช้นโยบายแข็งกร้าวอีกครั้งหนึ่งกลับมาให้ความสำคัญการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ จึงให้การสนับสนุนขบวนการคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ ต่าง ๆ ระยะนี้เองทำให้จีนมีปัญหากับประเทศเพื่อบ้าน ได้แก่ ธิเบต และอินเดีย กล่าวคือรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ได้ส่งทหาเข้าปราบกบฎในธิเบตอย่างรุนแรง องค์ดาไลลามะ ผุ้นำทางศาสนาและการเมืองของธิเบตลี้ภัยไปพำนักที่ประเทศอินเดียย การที่รัฐบาลอินเดียให้ที่พักพิงกับองค์ดาไลลามะครั้งนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์เป็ฯอย่งมาก ซึ่งความไม่พอใจของจีนคอมมิวนิสต์ที่มีต่อการที่อินเดียให้ความช่วยเลหือธิเบตจึงได้พัฒนากลายเป็นกรณีพิพาทพรมแดนในปี 1962 และต่อมาถึงแม้ว่าวิกฤตการณ์ทางการทหารจะยุติลงแต่กรณีครั้งนั้นก็ได้มีผลทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนคอมมิวนิสต์และอินเดียเสื่อมทรามลงเป็นอย่างมาก
     1961-1965 เป็นช่วงเวลาที่ลักษณะการเมืองระหว่างประเทศเป็น 3 รูปแบบ 3 ขั้วอำนาจอย่างเด่นชัด จีนคอมมิวนิสต์ดำเนินนโยบายเป็นอิสระจากสหภาพโซเวียต และนอกจากนั้นยังพร้อมที่จะแข่งขันด้วย ในการเสริมนโยบายดังกล่าวนี้ จีนคอมมิวนิสต์ใช้วิธีการหาความร่วมมือ หรือสร้างพันธมิตรกับกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายในเอเซีย แฟริกา และลาตินอเมริกา ทั้งนี้โดยสร้างกระแสความรู้สึกต่อต้านลัทะจักรวรรดินิยมไปพร้อม ๆ กับการให้ความช่วยเหลือประเทศต่างๆ อาทิ ปากีสภาน อัฟกานิสถาน พม่า ศรีลักา และให้ความช่วยเหลือทางการทหารแก่เวียดนามเหนือ
     นโยบายการแสวงหาแนวร่วมของจีนคอมมิวนิต์มีเป้าหมายไปสู่กลุ่มประเทศที่พัฒนาทางอุตสาหกรรมด้วย วิธีการที่ใช้กับกลุ่มปรเทศที่พัฒนาทางอุตสาหกรรมจะเป็นเรื่องของการติดต่อค้าขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมดังกล่าวจะขายอุปกรณ์ทางด้านอุตสาหกรรมให้แก่จีน การดำเนินนโยบายนสร้างมิตรประเทศเช่นนี้ นอกจากทำให้จีนคอมมิวนิสต์มีมิตรเพิ่มขึ้นแล้วยังได้รับเสียงสนับสนุนให้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติในปี 1965 โดยในที่ประชุมมีประเทศให้เสียงสนับสนุนถึง 47 เสียงคัดค้าน 49 เสียง และงดออกเสียง 3 ประเทศ
     ในการปฏิวัติวัฒนธรรมเกิดขึ้นในปะเทศสาธารณรัฐประชาชนจันกระแสทางสังคมเกิดความกดดันขึ้นอีกครั้งหนึ่ง อันได้เเก่ เรื่องการต่อสู้ระหว่างชนชั้น ความขัดแย้งอุดมการณ์ทางการเมือง และการใช้ความรุนแรง ระยะยนี้เองเมา เจอ ตุง และผู้สนับสนุนที่สำคัญ ได้ปลุกระดมนิสิตนักศึกษา ทำการก่อตั้งขบวนการเรดการ์ด ทำหน้าที่เป็นแนวหน้าในการปฏิวัติสังคมจีน มีการรณรงค์ต่อต้านและประณามผุ้ที่เมา เจอ ตุง เห็นว่ากำลังมุ่งแนวทางทุนนิยมและลัทธิแก้
     การดำเนินนโยบายในช่วงนี้ มีความแข็งกร้าว มีการเข้าแทรกแซง ให้ความช่วยเหลือขบวนการปฏิวัติในประเทศกำลังพัฒนาสนับสนุนการใช้สงครามกองโจร ในช่วงนี้เองที่สงครามเวียดนาม ตลอดจนการสู้รบในพื้นที่อินโดจีนเพิ่มความรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจีนคอมมิวนิสต์จะดำเนินนโยบายแข็งกร้าวในช่วงนี้ แต่รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ก็มิได้ให้ความช่วยเลหือในด้านอาวุธแก่ประเทศที่จีนคอมมิวนิสต์สนับสนุนมากนัก
     1965-1976 นโยบายการปฏิวัติวัฒนธรรมส่งผลเสียหายต่อประเทศจีนคอมมิวนิต์เองหลายประการทำให้เกิดความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศการถดถอยทางเศรษฐกิจและภาพพจน์ของประเทศในสายตาของชาวโลกก็ไม่ดีนัก นโยบายการปฏิวัติวัฒนธรรมจึงถูกละไป ผู้นำจีนคอมมิวนิสต์ก็ได้พยายามสร้างความสงบเรียบร้อย และฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่เสียหายในช่วงของการปฏิวัติวัฒนธรรมให้กลับคืนดีขึ้น
     เหตุกาณณ์หลายอย่างมีผลต่อการปรับนโยบายทางการเมืองและการต่างประเทศของจีนคอมมิวนิสต์ กล่าวคือ ในส่วนของค่ายคอมมิวนิสต์ จีนคอมมิวนิสต์เกิดปัญหาข้อพิพาทตามแนวชายแดนกับสหภาพโซเวียต การใช้นโยบายหลักการเบรสเนฟ ที่กล่าวถึงการมีสิทธิแทรกแซงของสหภาพโซเวียตต่อประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆ สำหรับการเปลี่ยนแปลงในค่ายเสรีประชาธิปไตย ได้แก่การเพ่มบทบาทของญี่ปุ่นและประเทศในภูมิภาคยุโรปตะวันตก การเมืองระหว่างประเทศได้ปลเยนจาก รุปแบบ 2 ขั้วอำนาจมาเป็นหลายขั้ยอำนาจ เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยผลักดันให้จีนคอมมิวนิสต์ปรับนโยบายต่างประเทศของตนเอง นโยบายต่างประเทศแบบแข็งกร้าวจึงถูกเลิกไปในที่สุด ดังนั้น ระยะต้นของทศวรรษที่ 1970 จีนคอมมิวนิสต์ได้กลับมาใช้นโยบายสร้างมิตรประเทศอีกครั้ง ได้เริ่มสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับแคนาดา ในปี 1970 ได้เชิญทีมปิงปองของสหรัฐอเมริกาไปเยือนจีน เป็นการเร่ม “การทูตปิงปอง” จนนำไปสู่การเจรจาลับกับนายคิสวิงเจอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ  และการเดินทางเยื่อนจีนอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีนิกสัน “แถลงการณ์เซี่ยงไฮ้”ซึ่งเป็นการปรับความสัมพันธ์ของสองประเทศ จีนคอมมิวนิสต์และสหรัฐอเมริกา ให้กลับคือสู่ระดับปกตอในเวลาต่อมา
    ปี 1971  จีนคอมมิวนิสต์ได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติหลังจากนั้นประเทศต่าง ๆ ได้เปิดความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับจีนคอมมิวนิสต์ส่วนประเทศไทยได้เปิดความสัมพันธ์กับจีนคอมมิวนิสต์ ในปี 1975
     1976-1979 เป็นเวลาของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในประเทศครั้งใหญ่ กล่าวคือ นายโจวเอินไหล และเมา เจอ ตุง ได้สิ้นชีวิตในปี 1976 การสูญเสียผุ้นำระดับสูงลงในเวลาไล่เลี่ยกันได้นำไปสู่การแย่งชิงอำนาจกันเองในพรรคคอมมิวนิสตื กลุ่มอำนาจที่ต่อสู้กันคือกลุ่มของนางเจียงชิง ภริยาหม้ายของ เมา เจอ ตุง กับพวก ที่ชื่อเรียกว่า “แก็งสี่คน” กับกลุ่มของนายหว่าโก๊ะฟง และเติ้งเสี่ยวฝิง
      กลุ่มนายหว่าโก๊ะฟงและเติ้งเสี่ยวผิงเป็นฝ่ายมีชัยในการต่อสู้ทางกาเมืองครั้งนี้รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ในยคุ “หว่า-เติ้ง” ได้ใช้นโยบายพัฒนาประเทศที่มีชื่อเรียกว่า “สี่ทันสมัยFour Modernzation” มุ่งพัฒนาด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม  วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระบวนการสนับสนุนนโยบายที่ทันสมัยให้บรรลุผล ผุ้นำยุค “หว่า-เติ้ง”ได้ดำนินการปฏิวัติโครงสร้างทางการปกครองของรัฐบาลกลางและองค์การจัดตั้งต่างๆ ของพรรค โดยมีเจตนาลดประมาณข้าราชการและผู้ปฏิบัติงานในระดับสูงลง 1 ใน 3 สร้างระบบเกษรียณอายุเพื่อให้คนรุ่นใหม่ให้ได้ขึ้นมารับช่วงงานาต่อไป ทำการปราบปรามคอรับชั่นอย่งจริงจัง ที่สำคัญได้ประกาศยกเลิกระบบคอมมูน และได้นำระบบสหกร์เข้ามาใช้แทน
       ด้านการเมืองต่างประเทศของยุคเปลี่ยนผู้นำจะเป็นไปในแนวความคิดของเติ้งเสี่ยงผิงกล่าวคือดดยภาพรวม จีนคอมมิวนิสต์ ดำเนินนโยบายผูกมิตรกับประเทศที่กำลังพัฒนา แต่ก็ยังรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งนี้เป็ฯผลจากความเชื่อในทฤษฎีสามโลก กล่าวคือ ผู้นำจีนคอมมิวนิสต์มีแนวความคิดว่า ประเทศในโลกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหรอือาจเรียกได้ว่า “สามโลก”

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

The Helsinki Accord off 1975

    เจอรัล อาร์.ฟอร์ด ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาลำดับที่ 38 จากพรรครีพับลิกัน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนแรกและคนเดียวที่ไม่เคยผ่านการเลือกตั้งทั้งในตำแหน่งประธาธิบดีหรือรองประธานาธิบดี โดยเข้ารับตำแหน่างรองประธานาธิบดีได้เพราะอดีตรองประธานาธิบี สปิโร ที. แอกนิว หลังการถูกสอบสวนให้การยอมรับการถูกกล่าวหาว่าโกงภาษีเงินได้และรับสินบนขณะเป็นผู้ว่าการรัฐแมรี่แลนด์ และยอมลงนามลาออกจากการเป็นรองประธานาธิบดี ประธานาธิบดีนิกสันเลือกเจอรัล อาร์. ผอร์ด เป็นรองประธานาธิบดี ซึ่งได้รับรองจากวุฒิสภาด้วยคะแนนสนับสนุน 387 เสียง คัดค้าน 35 เสียง มีผลให้เจอรัล อาร์. ฟอร์ด เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่างรองประธานาธิบดีลำดับที่ 40 เป็นรองประธานาธิบดีคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้ง

     เจอรัล อาร์. ฟอร์ด เป็นรองประธานาธิบดีได้แปดเดือน ก็เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีหลังจากประธานาธิบดีนิกสันประกาศลาออกจากการเป็นประธานาธิบดีเนื่องจากมีส่วสนพัวพันในคดีวอเตอร์เกท ด้วยเหตุดังกล่าวจึงกล่าวได้ว่าเจอรัล อาร์. ฟอร์ด เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเพียงคนเดียวที่ไม่เคยผ่านการับเลือกตั้งทั้งในตำแหน่งรองประธานาธิบดี และตำแหน่งประธานาธิบดี
     ประธานาธิบดี เจอรัล อาร์ ฟอร์ด คงคณะรัฐมนตรีสมัยปรธานาธิบดีนิกสันร่วมบริหารสหรัฐอเมริกาในสมัยประธานาธิบดีฟอร์ด โดยประกาศเลือกเนลสัน เอ.รอคกีเฟลเฟอร์ ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์คเป็นรองปรธานาธิบดี หลังจากวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรมีมติให้การยอมับเนลสัน เอ.รอคกีเฟลเลอร์ในตำแหน่างรองประธานาธิบดี มีผลให้ รอคกีเฟลเลอร์เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่างรองประธานาธิบดี และนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐอเมริกาที่ทั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีที่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้ง
     ประธานาธิบดีฟอร์ดประกาศอภัยโทษอดีตประธานาธิบดีนิกสัน และการกระทำผิดอื่นๆ ขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี รวมั้งอนุญาตให้อดคตประธานาธิบดีนิกสันเก็บรักษาม้วนเทปและเอกสารที่มีส่วนเกี่ยวพันในคดีวอเตอร์เกท ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากแก่คนอเมริกันด้วยเหตุผลประการแรกคือไม่เป็นธรรม แก่ผู้กระทำความผิดอี่ก 20 คนที่ต้องคำพิพากษารับโทษจำคุก หรือทั้งจำคุกและปรับเงินหรือถูกสั่งพักงาน ประการที่สองควรนำอดีตประธานาธิบดีนิกสันมาดำเนินคดีเพราะมีหลักฐานบ่งชี้ชัดว่าอดคตประธานาธิบดีนิกสันร่วมกระทำผิดในคดีวอเตอร์เกทปี 1972 ประการที่สี่มีคนอเมริกันบางกลุ่มมองว่าการประกาศอภัยโทษปี 1974 เกิดขึ้นได้เพราะมีการทำข้อตกลงลับแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันระหว่งประธานาธิบดีฟอร์ดและอดีตประธานาธิบดีนกสัน ประการที่ห้า มีคนอเมริกันจำนวนไม่น้อยคิดว่าหน่วนงานของรัฐบาลกลางในสมัยประธานาธิบดีนิกสันและการดำเนินงานของพรรครับพับลิกันมีความซับซ้อน ยุ่งเหยิง และมีกาแอบแฝงบางสิ่งบางอย่างไม่ให้คนอเมริกันรู้ คนอเมริกันเหล่านี้มีส่วนอย่างมากในการหันมาให้การสนับสนุนพรรคเดโมเครติกในการเลือกตั้งปี 1976 โดยคาร์เตอร์กล่าวประโยคสั้น ๆ ว่า “ข้าพเจ้าจะไม่โกหกท่าน I will never lie to you”มีผลให้คาร์เตอร์ชนะการเลือกตั้งในครั้งสมัยนั้น
     ข้อตกลงเฮลซินกิปี 1975 เป็นผลของการประชุมเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือกันของกลุ่มประเทศในยุโรป ในเดือนกรกฎาคม ที่เฮลซินกิ เมืองหลวงของฟินแลนด์มีผู้เข้าร่วมประชุมจาก 34 ประเทศ ผลของการประชุมคือเกิดข้อตกลงเฮลซินกิปี 1975 กำหนดให้
      - รุสเซียและกลุ่มชาติยุโรปตกลงยอมรับให้เส้นกั้นพรมแดนระหว่างประเทศของทุกประเทศที่มี่กำหนดไว้นับจากสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2
    - รุสเซียให้การยอมรับในเสรีภาพด้านข่าวสรข้อมูลและเสรีภาพในการอพยพโยกย้ายของพลเมืองระหว่างโลกเสรี และธลกคอมมิวนิสต์ รวมถึงจะให้การปกป้องสิทธิมนุษยชน หมายถึงลดเลิกการกดขี่ข่มเหงประชาชนในรุสเซีย รุสเซียให้การยอมรับในข้อตกลงที่สอง เพราะต้องการตอบแทนกลุ่มชาติยุโรปที่ให้การยอมรับในเส้นกั้นพรมแดนระหว่างโลกเสรีกับโลกคอมมิวนิสต์ในยุโรปและต้องการลดความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ
     ด้วยนโยบายสร้างความสัมพันธ์อันดีกับโลกเสรีภายใต้การนำของ ลิโอนิค ไอ. เบรสเนฟ รุสเซียมุ่งใช้นโยบายนี้เพือให้ได้มาซึงผลิตผลเกษตรกรรม และความช่วยเหลือด้านวิชาการและเทคโนโลยีจากโลกเสรี ผลปรากฎว่าอกจากจะมีสินค้าและทเคโนโลนีหลั่งไหลเข้าสู่รุสเซียแล้ว อุดการณ์ในระบอบประชาธิปไตยยังหลั่งไหลเข้าสู่โลกคอมมิวนิสต์อีกด้วย ผลคือกลุ่มผู้นำของรัฐในคาบสมุทรบอลข่านตลอดจนยูเครน และจอร์เจีย เรียกร้องการมีบทบาทเพ่มในเศรษฐกิจในพื้นที่ของตน คนเชื้อสายยิวและเยอรมันภายใต้การปกครองของรุสเซียเรียกร้องสิทธิในกาอพยพออกจากรุสเซีย นักเขียนและผู้มีการศึกษาชาวรุสเซียเขียนบทความโจมตีต่อต้านรัฐบาลรุสเซียเข้าจับกุมกลุ่มต่อต้าน การพิจารณาลงโทษที่ทั้งสั่งจำคุกหรือทำทารุณกรรมจนต้องส่งเข้าโรงพยาบาลโรคจิตหรือส่งไปอยู่ไซบีเรียซึ่งเป็นดินแดนที่เย็นเยือก หรือเนรเทศ

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Communist and The Third World

      แนวคิดนี้ถือกำเนิดระหว่างสงครามเย็น เป็นคำซึ่งใช้เพื่อธิบาถึงประเทศที่เข้าฝ่ายเดียวกับสหรัฐอเมริกา ประเทศเหล่านี้มักมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และมีระบบเศรษฐกิจทุนนิยม หลังยุคสงครามเย็นความหมายของ “โลกที่หนึ่ง”ได้เปลี่ยนไปให้สามารถปรับใช้ได้กับยุคสมัย จากการจำกัดความดั้งเดิม คำว่า “โลกที่หนั้ง”ได้มามีความหมายในทำนองเดยวกับประทเศพัฒนาแล้ว
      หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติแล้ว โลกแบ่งออกเป็นองขั้วทางภูมิรัฐศาสตร์ อันนำมาสู่สงครามเย็น ในระหว่างสงครามเย็นมีการใช้คำว่า “โลกที่หนึ่ง”โดยองค์การสหประชาชาติ”


     คำว่า “โลกที่หนึ่ง” “โลกที่สอง” โลกที่สามถูกใช้เป็นครั้งแรกเพื่อแบ่งประเทศนโลกออกเป็นสามหมวดหมู่ ความเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ของฐานะเดิมหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หรือที่รู้จักกันว่าสงครามเย็นซึ่งประเทศสองอภิมหาอำนาจแข่งขันกันเพื่อความยิ่งใหญ่ในระดับโลกท้ายที่สุดด ทั้งสองประเทศได้สร้างกลุ่มประเทศสองกลุ่ม โดยพื้นฐานความคิดของโลกที่หนึ่ง และโลกที่สอง
     อัลเฟรอ โซวี นักประชากรศาสตร์ได้ประดิษฐ์คำว่าโลกที่สามเพื่อใช้อ้างอิงถึงญานันดรทั้งสมในฝรั่งเศสก่อนการปฏิวัติ ฐานันดรสองอย่างแรกคือ ชนชั้นสูงและพรสอนศาสนา ส่วนฐานันดรที่สามประกอบด้วยประชากรอื่นๆ ทั้งบหมดนอกเหนือจากสองฐานันดรแรก เขาได้เปรียบเทียบโลกทุนนิมกับชนชั้นสูง และโลกคอมมิวนิสต์กับพระสอนศาสนา โซวีเรียกประเทศที่เหลือซึ่งไม่รวมอยู่ในการแบ่งแบบสงครามเย็นังนี้ว่าโลกที่สาม ซึ่งก็คือ ประเทศซึ่งไม่เข้ากับฝ่ายใดแลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใน “ความขัดแย้งตะวันออก-ตะวันตก” ด้วยกาประดิษฐ์คำว่า “โลกที่สาม”โดยตรง ทำให้สองกลุ่มแรกกลายเป็น “โลกที่หนึ่ง”และ “โลกที่สอง”ตามลำดับ
   “โคฟี่ อันนัน” อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ให้คำจำกัดความกับประเทศพัฒนาแล้ว “ประเทศพัฒนาแล้ว คือ ประเทศที่ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนทุกคนให้มีอิทสระเสรีและมีสุขอนามัยดี อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และยังมองค์กรอื่น ๆ พยายามให้คำจำกัดความสำหรับความหมายของประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาแล้ว ดังนี้
      การจัดกลุ่มหรือกำหนดกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนานั้น เพื่อประโยชน์ในทางสถิติและไม่จำเป็นที่จะมาใช้ในการตัดสินใสถานะของประเทศ หรือขอบเขตในกระบวนการพัฒนา
      สหประชาชาติ ให้ความเห็นดังนี้
“จากตัวอย่างที่เห็นได้ทั่วไป คือ ประเทศญี่ปุ่นใน เอเชีย แคนาดาและสหรัฐอเมริกาในอเมริกาเหนือ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในโอเซียเนีย และประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป กลุ่มประเทศเหล่านี้ถูกพิจารณาให้เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ในเชิงสถิติทางกาต้า สหภาพศุลกากร แอฟริการใต้ยังถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และปรเทศอิสราเอลก็อยู่ในกลุ่มปรเทศพัฒนาแล้ว ส่วนในยุโรปกลุ่มประเทศที่กำเนิดขึ้นจกประเทศยูโกสลาเวียเก่าถือเป็นประเทศกำลังพัฒนา ประเทศในกลุ่มของยุโรปตะวันออก และกลุ่มที่เป็นประเทศเครือรัฐเอกราช ในยุโรป จึงไม่ถูกเรียกรวมอยู่ในกลุ่มใด ๆ ของพัฒนาแล้วหรือกำลังพัฒนา”

  การแสวงหารมิตรและความนิยมในโลกที่สาม ย่อมทำให้จีนกับรุสเซียยามที่จะมีความสัมพันธ์ต่อกันดีขึ้นได้ ผลประโยชน์ในโลกที่สามมีแต่จะทำให้เกิดความตรึงเครียดขึ้นอย่างหลีกเลื่ยงไม่ได้
      ความตึงเครียดได้บังเกิดขึ้นอีกเนื่องจากผู้นำของรุสเซียเองมิได้มีทีท่ายินยอมปรองดองกับจีนแต่อย่างใด ต่างแข่งขันกันแสวงหาอำนาจอิทธพลทั้งในเอเวียและแอฟริกาทั้ง ๆ ที่แต่เดิมรุสเซียเองมิได้ให้ความสนใจแก่เอเชียเท่าใดนักนองเหนือจากอินโดนิเซียและอินเดีย ครั้งครุสเชอฟหมดอำนาจแล้ว โลกที่สามเร่มเคลื่อนไกวคึกคักจะมีการประชุมดังที่เคยประชุม ณ บันดุง ท่ามกลางสปิริตบันุงครั้งที่สองนี้ จีนมุ่งโจมตีลัทธิจักวรรดินิยมแบบอเมริก และส่งเสริมบทบาทของตนในการนำโลกที่สามโดยตั้งแนวร่วมต่อต้านสหรัฐอเมริกา จีนเมแผ่ขยายอำนาจอิทธพลเข้าไปในโลกที่สามโดยผ่านที่ประชุมนั้นเต็มที่ ครั้งนั้นการประชุมกำหนดสถานที่คื อเมืองแอลเจียร์ ในเดื่อนมิถนายนก่อนหน้านั้นนายผงเจิน นายกเทศมนตรีปักก่งไปเยื่อนอินโดนีเซียแล้วกล่าวสุนทรพจน์โจมตีรุสเซียอย่างหน้าตาเฉย และถือความแตกต่างเรื่องผิวเป็นเครื่องแยกรุสเซียออกจากกลุ่มโลกที่สาม เผงเจินได้กล่าวเกริ่นถึงนโยบายกีดกันผิว ต่อต้านรุสเซียไว้ว่า “โดยถือตนเหนือกว่าทางด้านเผ่าพันธุ์ เคียงข้างพวกอเมริกาชั้นกลางและบรรดาจัรวรรดินิยม บรรดานักแก้ไขปรับปรุงลัทธิแบบครุสเชฟ ร้องตะโกนพร้อมกับพวกจัรวรรดินิยมด้วยเรื่องพวกผิวอื่น ๆ เป็นปฏิปักษ์ต่อพวกผิวขาวจีนเรียกร้องให้กลุ่มประเทศในโลกที่สามงดรับความช่วยเหลือจากรัฐใดก็ตามที่มิได้เป็นรัฐในทวีปแอฟริกาและเอเซียในที่นี้ ย่อมหมายถึง สหรัฐอเมริกาและรุสเซีย รุสเซียตอบโต้โดยแสดงความปรารถนาอย่างเปิดเผยว่าต้องการร่วมประชุมที่แอลเนียร์ด้วย นับเป็นคร้งแรกที่รุสเซียได้ดำเนินนโยบายต่างประเทศต่อโลกที่สามในแนวที่ต้องกการร่วมกิจการทุกประเภทถ้าเป็นไปได้กับโลกที่สาม โดยที่ฐานะที่เป็นผู้นำหรือมีบทบาทสำคัญเช่นจีนได้ก็ยิ่งดี การประชุมที่แอลเนียร์จึงจัดเป็นเวทีการเมือง ที่ประคารมของสองฝ่ายนอกขอบเขตโลกคอมมิวนิสต์อย่างชนิดตัวต่อตัวเลยที่เดียว และเป็นเวทีสำหรับจีนและรุสเซียในการแสวงหาอำนาจอิทธพลและแรงสนับสนุนจากโลกที่สาม แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การประชุมครั้งนั้นต้องล้มเลิกเพราะเกิดรัฐประหารในแอลจีเรีย ก่อนการประชุม 10 วัน
     ในการแข่งขันการสร้างอำนาจอิทธพลในโลกที่สาม จีนนับว่าเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำทางการทูตมากและผุ้ที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แทนจีนคือ รุสเซีย ในทุกหนแห่ง จีได้ประกาศนโยบายปฏิวัติโลกแนวใหฒ่จากการใช้กำลังควารรุนแรงมาเป็นการปฏิวัติตามแบบอย่างของเมา จีนได้ทดลองวิธีปฏิวัตินั้นในกรณีเวียดนาม และในโลกที่สาม แต่ประสบความล้มเหลว เพราะจีนส่งสริมการปฏิวัติและเจริญสัมพันธไมตรีกับรัฐบาลประเทศนั้นด้วย แหล่งล้มเหลวมากคือใน อังโกลา โมซัมบิก โรดีเซีย แอฟริกาใต้ คองโก ในเอเชียเอง จีนทุ่มเทให้ความช่วยเหลือแก่อินโดนีเซียมาก แต่การปฏิวัติล้มเหลวในเดือนสิงหาคม ผลร้ายแรงที่จีได้รับจากการส่งเสริมการปฏิวัติโลกแบบเมาทุกหนแห่งดังกล่าวคื อการที่ประเทศเหล่สน้นตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนและมีความสัมพันะอันดีงามกับรุสเซีย ที่นับว่า เป็นสงครามที่ทั่วโลกสนใจคือ สงครามระหว่างอินเดียกับปากีสถานด้วยเกตุกรณีพิพาทดินแดนแคชเมียร์ในเดื่อสิงหารคม มหาอำนาจผู้เกี่ยงวขช้อง คือ สหรัฐอเมริกาได้ให้ความช่วยเหลือแก่ปากีสถานและอินเดีย จีน และรุสเซีย ได้ประท้วงอย่างแข็งขัน จนสหรัฐอเมริกาต้องงดให้ความช่วยเหลือแก่อินเดีย ภาวการณ์ส่อชัดว่า อินเดียเป็นฝ่ายที่ชัยในการรบ ปากีสถานขอร้องให้สหรัฐอเมริกาไกล่เหลี่ยยุติสงคราม แต่นีนยังคงส่งเสริมให้ปากีสถาน ลงนามในข้อตกลงหยุดยิงและรุสเซียไกล่เกลี่ยให้เปิดการเจรจาเรื่องความขัดแย้งนั้น จีนพอจะกู้ชื่อได้บ้าง แม้จะไม่ใหญ่หลวงนักถ้าเทียบกับรุสเซียผู้มีบทบาทสำคัญในการยุติความขัดแย้ง
     นอกจากจะแสดงความช่วยเหลือพรรคคอมมิวนิสต์พ้นเมืองก่อการร้ายแล้ว โรคระบาดปฏิวัติแบบจีนโดยสื่อการทูตเรดการ์ดยังแผ่ขายลุกลามไปสู่ประเทศเพื่อบ้านด้วยก่อเกิดความไม่สงบทำให้ประเทศเพื่อบ้านมิใคร่พอใจจีนเท่าใดนัก กล่าวโดยสรุปแล้ว พฤติกรรมของจีนได้สร้างศัตรูมากกว่ามิตรในโลกเพิ่มขึ้น โลกที่สามหมดความเลื่อใสศรัทธาจีนความเป็นผู้นำที่จีนปรารถนาค่อย  ๆจางหายไป สัมพันธภาพกับรัฐต่าง ๆ เสื่อมทรามลง บทบาทจีนตั้งแต่ 1966 จึงเป็นไปในด้านที่จีนแยกตัวเองอยู่โดดเดี่ยวสมความปรารถนาของรุสเซีย
      ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ดึงทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาให้ต้องเกี่ยวข้องด้วยนั้นรุสเซียได้ประเมินสถานการณ์และทบทวนนโยบายต่างประเทศ และได้กำหนดแบบอย่างนโยบายต่างประเทศโดยคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้
- วิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสืบต่อเนื่อง
- เอกภาพในโลกคอมมิวนิสต์
- พัฒนาการของประเทศรุสเซียเอง สังคมอุตสาหกรรมบีบบังคับให้รุสเซียต้องใช้วิธีการกระจายอำนาจในการปกครอง นโยบายต่างประเทศย่อมจะถูกแปรเปลี่ยนรูปโดยยังคงลักษณะเดิม
     ความวิตกกังวลของรุสเซียนั้นอยู่ที่การธำรงไว้ซึ่งเอกภาพของโลกคอมมิวนิสต์และความเป็นผุ้นำบรรดาพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลก การสร้างเขตอิทธิพลให้สำเร็จผลในตะวันออกกลางและปัญหาการอยู่ร่วมกันโดยสันติกับสหรัฐอเมริกาโดยมิให้ผิดพ้องหมองใจกับจีนสถานการณ์โลกมีส่วนเสริมสร้างรุสเซียให้ดูโดดเด่นว่าเป็นอภิมหาอำนาจฝ่ายเดียวที่ใฝ่สันติโอกาสที่รุสเซียจะแสวงหามิตรไมตรีกับโลกตะวันตกนับว่าสูงมากนับแต่ ปี 1965 เป็นต้นมา

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Yom Kippur 1973 War

สงครามยิว-อาหรัฐในสงครามหกวันเป็นครั้งที่ 3 การรบกัน โดยฝ่ายิสราเอลได้รับชัยชนะพร้อมทั้งเข้ายึดพื้นที่บริเวณปาเลสไตน์ไว้อีกเป็นจำนวนหลายพันตารางกิโลเมตร รุสเซียได้แสดงตัวเคียงข้าอาหรับ โดยคาดว่าโลกเสรีและอิสราเอลจะยับยั้งชั่งใจ รุสเซียมีความเชื่อว่า อำนาจอิทธพลตลอดจนกำลังทางทะเลของตนในเมดิเตอร์เรเนียนมีกำลังอำนาจมากพอที่จะทำให้
โลกเสรีต้องยินยิมถอนตัวหลีกเลี่ยงเข้าสู่สงครามกับอียิปต์ที่มีรุสเว๊ยอยู่เบื่องหลัง วิกฤติการณ์จะสลายตัวโดยรุสเซียจะมีหน้ามีตา มีอิทธิพลมากขึ้นในตะวันออกกลาง อีกทั้งสามารถแสดงให้โลกเห็นว่า สันติภาพโลกขึ้นอยู่ที่รุสเซียว่าต้องการหรือไม่ต้องการมากกว่าอน ไม่มีอภิมหาอำนาจใดจะมัฐานะอำนาจเช่นรุสเซีย แม้แต่สหรัฐอเมริกายังต้องยอมถอยออกห่างเพื่อเลี่ยงสงครามเผชิญหน้ารุสเซีย รุสเซียคาดว่าจะใช้เชิงการทูตเช่นนั้นบีบบังคับอีกฝ่ายให้ยอมจำนน ถ้าแนวคิดคาการณ์ของรุสเซียนี้เปรียบเสมือนเกมพนัน ก็เท่ากับว่ารุสเซียได้เอาเกียรติยศเงินทองมาวางเป็นเดิมพันกมดสิ้นโดยคาดว่าจะเป็นฝ่ายชนะเต็มประตู แต่เกมการเมืองมิได้เดินไปในแนวที่รุสเซียหวัง นโยบายขู่คุกคามโดยแสดงกำลังไม่อาจทำให้อิสราเอลยอมงิมืองอเท้าให้ถูกปิดล้อม
     เมื่อถูกปิดล้อม อิสราเอลได้เป็นฝ่ายปฏิบัติการโจมตีอียิปต์อย่างรวดเร็ว รุสเซียคาดไม่ถึง สถานการณ์ตะวันออกกลางมิได้ถูกจำกัดขอบเขตความตึงเครียด หากแต่ได้ลุกลามขยายตัวเป็นสงครามล่อแหลมต่อการที่รุสเซียต้องแสดงพลังเข้าเกี่ยวข้อง ซึ่งหมายถึงการเผชิญหน้าโลกเสี ผิดความคาดหมายของรุสเซียโดยสิ้นเชิง รุสเซียจึงเดินแต้มดูเชิงการทูตใหม่เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายคู่กรณีสงครามสงบศึกและต่างฝ่ายต่างคืนสูสถานะเดิมทางพรมแดนในยามยาก รุสเซียได้แสดลตนให้โลกอาหรับได้ประจักษ์ว่า รุสเซียไม่เต็มใจที่จะทุ่มตัวเสี่ยงช่วยอาหรับดังที่ค่ดกัน รุสเซียจะช่วยอาหรับได้อย่างมากที่สุดไม่เกินขีดขั้นการให้ขวัญกำลังใจและใช้เชิงการทูตเจรจายุติศึกสงครามและโจมตีอิสราเอลว่าเป็นฝ่ายก้าวร้าวรุกราน
     ทั้งสหรัฐอเมริกา และรุสเซียแสดงตนไม่เข้าเกี่ยวข้องแทรกแซงทางทหารในสงครามครั้งนั้น ต่างเผ้าจับตาดูผลของสงคราม สงครามสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วภายใน 6 วัน ตามมาด้วยความปราชัยอย่างย่อยยับของฝ่ายโลกอาหรับ รุสเซียผู้ให้ความช่วยเหลือทางทหารต้องพลอยได้รับความอัปยสด้วย รุสเซียต้องเสียหน้าและเกียรติภูมิ ความช่วยเหลือที่ได้ทุ่มเทแก่อาหรับไร้คว่มหมาย เป็นทหารลงทุนที่สูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง
     สงครามยิว-อาหรับครั้งที่ 4 ปี 1973 ฝ่ายอาหรับเป็นฝ่ายเปิดฉากการรบก่อน สากเหตุของสงครามเป็นผลสืบเนื่องมาจาก การพ่ายแพ้สงคราในครั้งก่อน ๆ กลับคืน มา,ต้องการได้เปรียบในโตะประชุมเมือมีการเจรจากัน,ด้วยความกลัวอิสราเอลจะแก้แค้น เช่น กรณีของซีเรียทำการสนับสนุนให้กองโจรปาเลสไตน์ทำการจับชาวยิวเป็นตัวประกัน เป็นต้น,ความต้องการล้างอายที่ทำสงครามประสบกับความพ่ายปแพ้เสมอมา สงครามครั้งใหม่จึงเสมือนเป็ฯสงครามกอบกู้ชื่อเสียง
    ในสงครามครั้งนี้ อิสราเอลเป็นฝ่ายได้เปรียบในการรบ แต่มีสิ่งที่ต่างไปจากการสงครามในครั้งก่อนๆ สหรัฐและสหภาพโซเวียตต่างส่งอาวุธทันสมัยทุกรูปแบบเข้าช่วยในการสงครามครั้งนี้อย่างเต็มที่ โดยสหรัฐอเมริกาช่วยฝ่ายยิว ส่วนสหภาพโซเวียตช่วยฝ่ายอาหรับสงครามได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะถึงขีดที่ประเทศอภิมหาอำนาจเองเกรงสงครามจะหลายสภาพเป็นสงครามนิวเคลียร์ ดังนั้นจึงมีการดำเนินการเพื่อให้สงครามครั้งนี้ยุติลงในวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ.1973 สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตได้เสนอญัตติร่วมกันต่อองค์การสหประชาชาติ เรียกร้องให้มีการหยุดยิงภายใน 12 ชั่วโมง
     ถึงแม้ว่าสหประชาชาติจะมีมติให้หยุดยิง แต่ปรากฎว่า ไม่ใคร่มีใครปฏิบัติตามมติดังกล่าว เพราะต่างกังวลกับเรื่องเชลยศึกของฝ่ายตน ในที่สุดประธานาธิบดีซาดัตของอียิปต์จึงเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมสภานการ์ การประจันหน้ากันจึงเกิดขึ้นอีก ด้วยเหตุนี้ สหประชาชาติ จึงมีการเรียกประชุมด่วน และได้ลงมติจัดส่งทหารขององค์การสหประชาชาติเข้าไประงับเหตุการณ์
      วันที่ 12 พฤศจิกายน 1973 อียิปต์และอิสราเอลทำการลงนามในข้อตกลงมีดังนี้ คือ
- จะยอมปฏิบัติตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติเรื่องการหยุดยิง
- จะเริ่มการเจรจาเรื่องกลับเช้าตั้งในแนวหยุดยิง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 1967
- เมืองสุเอชจะได้รับอุปกรณ์ตลอดจนเครื่องอุปโภคต่าง ๆ และชาวเมืองที่บาดเจ็บจากการต่อสู้ของสงครามจะได้รับอนุญาต ให้ออกจากเมืองได้
- อียิปต์มีสิทธิจะส่งอุปกรณ์ต่าง ๆ ยกเว้นยุทธโธปกรณ์ไปให้แก่กองทัพที่ 3 ที่ถูกกองทัพอิสราเอลปิดล้อมอยู่บนฝั่งตะวันออกของคลองสุเอชได้
- เจ้าหน้าที่สหประชาชาติจะเข้าแทนที่ทหารของอิสราเอลตามด่านต่าง ๆ ระหว่างถนนสายไคโร-สุเอช
- เมื่อเจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติเข้าประจำด่านต่าง ๆ ตามถนนสายต่าง ๆ แล้วจะมีการแลกเปลี่ยนเชลยศึกระหว่างยิว-อาหรับ
- เมื่อเจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติเข้าประจำด่านต่าง ๆ ตามถนนสายต่าง ๆ แล้วจะมีการแลกเปลี่ยนเชลยศึกระหว่างยิว-อาหรับ
ถึงแม้จะมีการเจรจาสงบศึก ตลอดจนมีข้อตกลงเพื่อใช้ปฏิบัติหลายประการดังกล่าว แต่ยังคงมีปัญหาอื่น ๆ อีกหลายประการที่จะต้องเจรจากัน

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Six day War

      การปะทะระหว่างอาหรับกับยิวที่โลกรับรู้อย่างเป็นทางการมีขึ้นครั้งแรกในปี 1948 เมื่อยิวประกาศจัดตั้ง
ประเทศอิสราเอลในดินแดนปาเลสไตน์ในวันที่ 14 พฤษภาคม 1948 กองกำลังอาหรับประกอบด้วยกองทหารจากอียิปต์ อิรัก ซีเรีย เลบานอน และจอร์แดน ได้บุกโจมตีอิสราเอลในวันที่ 15 พฤษภาคม 1948 เพื่อทำลายล้างอิสราเอล ผลการสู้รบยิวสามารถรักษาความเป็นชาตอิสราเอลไว้ได้ การปะทะระหว่างอาหรับกับยิวครั้งที่สองมีขึ้นในปี 1956 ในปัญหาวิกฤติการณ์คอลองสุเอช โดยในวันที่ 29 ตุลาคม 1956 กองกำลังอิสราเอลรุกรานอียิปต์ ยึดได้ดินแดนในปกครองของอียิปต์คือฉนวนกาซา และคาบสมุทรไซนาย กองกำลังอังกฤษและฝรั่งเศสสามารถเข้าควบคุมปากทางตอนเหนือของคลองสุเอชของอียิปต์ได้ สหรัฐอเมริกาและรุสเซียให้การหนุนหลังองค์การสหประชาชาติเข้าระงับเหตุ สหประชาชาติมีมติให้อิสราเอล อังกฤษ และฝรั่งเศสถอนกองกำลังออกจากเขตยึดครองของอียิปต์ และกำหนดจัดตั้งกองกำลังรักษาสันติภาพประจำในฉนวนกาซาและคาบสมุทรไซนาย เพื่อป้องกันกรณ๊พิพาทพรมแดนอันอาจจะเกิดได้ระหว่างอียิปต์กับอิสราเอลในอนาคต การปะทะระหว่างอาหรับกับยิวครั้งที่สามมีขึ้นในปี 1967 ในสงครามหกวันปี 1967 เหตุแห่งสงครามคือปัญหา สามประการ ปัญหาประการที่หนึ่งคือปัญหาพรมแดน กล่าวคือ อิสราเอลมีพรมแดนทางตะวันตกติดกับคาบสมุทรไซนายของอียิปต์ พรมแดนทางตะวันออกติดกับจอร์แดน และพรมแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับซีเรีย นับจากปี 1956 ทั้งซีเรียและจอร์แดน และพรมแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับซีเรีย นับจากปี 1956 ทั้งซีเรียและจอร์แอนให้การสนับสนุนชนชาวอาหรับแอบข้ามพรมแดนเข้ามารุกรานโจมตีชนชาวยิวสร้างความขมขื่นไม่พอใจอิสราเอล ปัญหาประการที่สองคือ อียิปต์ ภายใต้การนำของนัสเซอร์ ในวันที่ 18 พฤษภาคม 1967 ประกาศเรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติถอนกองกำลังทหารรักษาสันติภาพออกจากฉนวนกาซาและคาบสมุทรไซนาย ซึ่งมีพรมแดนอียิปต์ อิสราเอล อูถั่น เลขาธิการสหประชาชาติขณะนั้นไม่ปฏิบัติตามคำเรียกร้องอย่างเร่งด่วนของอียิปต์ เป็นผลให้นัสเซอร์ปฏิบัติการสร้างปัญหาที่สามคือในวันที่ 22 พฤษภาคม 1967 อียิปต์ประกาศปิดช่อแคบทีราน ช่องแคบทีรานอยู่ระหว่างทะเลแดง กับอ่าวอะคาบา อันมีผลสกัดกั้นเรื่อสินค้าอิสราเอลจากทะเลแดงไม่อาจเข้าสู่อ่าวอะคาบามุ่งสู่เมืองท่าอีลาท เมื่องท่าทางใต้ของอิสราเอลได้ ด้วยปัญหาทั้งสามประการสหรัฐอเมริกาและอังกฤษไม่เห็นด้วยกับการก้าวร้าวรุกรานของซีเรียกและจอร์แดนและคัดค้านการกระทำของอียิปต์ รุสเซียให้การสนับสนุนท่าทีกลุ่มชาติอาหรับ อิสราเอลไม่พอใจ ขมขื่น มั่นใจว่าไม่อาจเกิดข้อตกลงสันติภาพได้ อิสราเอลหวาดกลัวการถูกกองกำลังอาหรับโจมรี ได้เตรียมพร้อมด้านกองกำลังอาวุธ และปฏิบัติการบุกโจมตีอียิปต์ จอร์แดนแบบสายฟ้าแลบในช่วงวันที่ 5-10 มิถุนายน 1967 เรียกสงครามหกวันปี 1967 ผูงบินอิสราเอลทำลายกองกำลังทางอากาศของสามชาติอาหรับย่อยยับและกองกำลังทางบกของอิสราเอลมีชัยชนะเหนือกองกำลังทางบกของสามชาติอาหรับ ผลอย่งเป็นทางการของสงครามหกวันปี 1967 คืออิสราเอลสามารถยึดคาบสมุทรไซนาย และฉนวนกาซา จากอียิปต์ ยึดที่ราบสูงโกลาน จากซีเรีย ยึดดินแดนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน รวมทั้งดินแดนฝั่งตะวันตกของแมน้ำจอร์แดน รวมั่งดินแดนซีกตะวันออกของกรุงยะรูซาเล็ม จากจอร์แดน ทั้งนี้

อิสราเอลประกาศทันที่อย่งเป็นทางการรวมดินแดนซึกตะวันออกของกรถงยะรูซาเล็มเป็นส่วนหนึ่งของอิสราเอล สงครามหกวันปี 1967 อิสราเอลขนะกลุ่มชาติอาหรับ แสนยานุภาพกองกำลังอิสราเอลเหนือกลุ่มชาติอาหรับ กลุ่มชาติอาหรับเพิ่มความโกรธแค้นอิสราเอล สหรัฐอเมริกาและอังกฤษสนับสนุนอิสราเอล รุสเซียสนับสนุนกลุ่มชาติอาหรับ ในวันที่ 11 มถุนายน 1967 องค์การสหประชาชาติยื่นมติกำหนดให้อิสราเอลถอนทหารออกจากดินแดนที่ยึดครองได้ในสงครามหกวัน ด้วยเกรงกลุ่มชาติอาหรับอาจใช้ดินแดนเหล่านี้เป็นเส้นทางคุกคามเอกราชอิสราเอลในอนาคต การถอนทหารอาจเกิดได้ในอนาคตต่อเมือกลุ่มชาติอาหรับยอมรับในเอกราชของอิสราเอลเท่านั้น และจากการที่อิสราเอลได้ยึดครองฉนวนกาซาและดินแดนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน มีผลให้ชาวปาเลสไตน์เชื้อสายอาหรับ ส่วนหนึ่งลี้ภัยออกจากปาเลสไตน์เข้าอาศัยในอียิปต์ ซีเนีย จอร์แดน และเลบานอน และปาเลสไตน์เชื้อสายอาหรับมีความคิดใฝ่ฝันจัดตั้งรัฐอาหรับในดินแดนปาเลสไตน์บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน เร่มการรวมตัวทางการเมืองเป็นสมพันธ์ในปี 1964 ภายใต้ชื่องค์การปลดแอกปาเลสไตน์ กระบวนการต่อสู้นิยมการต่อสู้แบบกองโจรปฏิบัติการก่อการร้าย ปละปฏิบัติการจู่โจม ผู้นำกลุ่มชาติอาหรับให้การสนับสนุนกองกำลังองค์การปลดแอกปาเลสไตน์ปฏิบัติการต่อต้านอิสราเอล ในปี 1969 ยาเซอ อาราฟัด ก้าวขึ้นเป็นผู้นำองค์การปลดแอกปาเลสไตน์ อิสราเอลไม่เกรงกลัวการปฏิบัติการใด ๆ ขององค์การปลดแอกปาเลสไตน์ ทั้งมั่นใจในแสนยานุภาพกองกำลังอิสราเอล และไม่เกรงคำขู่ใด ๆ ของกลุ่มชาติอาหรับ

Impeachment (Richard M.Nixon Part 2)

     คดีอื้อฉาววอเตอร์เกท ปี่ 1972 มีผลให้ประธานาธิบดีนิกสันต้องประกาศลาออกจากการเป็นประธานาธิบดี วอเตอร์เกท เป็นชื่ออาคารอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ถูกใช้เป็นสำรักงานใหญ่ศูนย์บัญชาการเลือกตั้งของพรรคเดโมเครติกเพื่อการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 1972 ในเดื่อนมิถุนายปี  1972 ตำรวจเข้าจับกุมชายฉกรรจ์ 5 คน ขณะกำลังรับโทรศัพท์บนชั้นหกของอาคารวอเตอร์เกท ทุกคนมีกล้องถ่ายรูปและเพิ่งหยุดการรื้อค้นเอกสาร หนึ่งในกลุ่มจารชนคือ เจมส์ ดับเบิลยู แมคคอร์ด เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองกลาง CIA รับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานด้านความมั่นคงของคณะกรรมการเพื่อการเลือกตั้ง
ประธานาธิบดีของพรรครีพลับบลิกันจารชนอี 4 คนเป็นชาวคิวบากลุ่มต่อต้านคัสโตรจากไมอามี่ ฟลอริดา ตำรวจไม่รู้ว่ามีอีกสองคนหลบอยู่ในอาคารวอเตอร์เกท อดีตเจ้าหน้าที่หน่วย่าวกรองกลาง CIA รับงานเป็นหัวหน้าด้านความมั่นคงของคณะกรรมการเพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน และจี. กอร์ดอน ลิคดี เจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับภายในประเทศ รับงานเป็นสมาชิกในคณะกรรมการจัดการกิจการภายในประเทศของทำเนียบขาว สามในเจ็ดจารชนล้วนใกล้ชิดประธานาธิบดีนกสัและเป็นคนในทำเนียบขาว มีการตั้งคำถามกันว่า จารชนเหล่านี้พยายามค้นหาอะไรในอาคารวอเตอร์เกท ซึ่งเป็นสำนักงานของพรรคเดโมแครต..จารชนได้ยินอะไรจากโทรศัพย์..และใครเป็นผู้สั่งดำเนินการ..
     การสอบสวนเบื้องต้นรู้ว่าจารชนทั้งเจ็ดคนเป็นคนของพรรครีพลับบลิกันส่งมาทำการจารกรรม เพื่อความคืบหน้าในคดี ศาลชั้นต้น คนของประธานาธิบดีนิกสันเข้าทำการสอบสวน ให้ความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการแห่งวุฒิสภาเพื่อตรวจสอบปฏิบัจิการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
     ผลการสอบสวนช่วงพฤษภา-พฤศจิกายน 1973 รุกหน้ามาก ผู้ต้องหาคนแรกให้การเปิดเผยความจริงว่าได้รับเงินจากทำเนียบขาวให้ทำจารกรรม หากถูกจับได้จะได้รับการอภัยถ้าไม่ให้การใด ๆ แก่คณะผู้สอบสวน และซัดทอดว่าจอห์น ดีนที่ปรึกษาของประธานาธิบดีนกสันและ เจบ แมกรูเอร์ หนึ่งในคณะกรรมการเพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีของพรรครัพับบลิกันว่ามีส่วนร่วมในคดีวอ
เตอร์เกท ทั้งสองเข้าให้การคล้ายกันว่าประธานาธิบดีนิกสันมีส่นร่วมรู้เห็นและปกปิดรายชื่อผู้วางแผนสั่งการในคดีวอเตอร์เกทประธานาธิบดีนกสันชอบใช้เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐบาลข่มขู่รังควาญคู่แข่งและชื่นชอบการรณรงค์กาเสียงด้วยวิธีการผิดกฏหมายทั้งได้มอบรายชื่อศัตรูของทำเนียบขาว จอห์น อีร์ลิชแมน หัวหน้าคณะที่ปรึกษางานกิจการภายในประเทศของทำเนียบขาวและจอห์น มิทเชล อดีตอธิบดีกรมอับการช่วงปี 1969-1971 และริชาร์ด จี.คลินเดนส์ อธิบดีกรมอัยการขณะนั้น ร่วมพยายามปกปิดรายชื่อผู้วางแผนสั่งการในคดีวอเตอร์เกท การสอบสวนถูกเปิดเผยเข้าใกล้ตัวประธานาธิบดี นิกสัน คณะกรรมาธิการแห่งวุฒิสภาฯเชื่อในคำให้การของผู้ใกล้ชิดประธานาธิบดีนิกสันแต่ขาดหลักฐานสนับสนุนว่าประธานาธิบดี นิกสัน ร่วมกระทำความผิดจริง
     30 เมษายน 1973 ประธานาธิบดีนิกสันปฏิบัติการสองเรื่อง คือ ประกาศรับการลาออกของเอช อาร์. เฮลเดแมน และจอห์น อีร์ลิชแมน สองหัวหน้าคณะผู้ทำงานของทำเนียบขาว และจอห์น มิทเชล อดีตอธิบดีกรมอัยการ และริชาร์ด จี. คลินเดนส์ อธิบดีกรมอัยการและแต่งตั้งอัยการพิเศษ คุมคดีวอเตอร์เกท
    อเล็กซานเดอร์ บัตเตอร์ฟิล หนึ่งในเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเข้าเปิดเผยให้การต่อคณะกรรมาธิการแห่งวุฒิสภาฯว่าตั้งแต่ปี 1971 ประธานาธิบดีนิกสันกำหนดให้มีการติดตั้งระบบการบันทึกเสียง การสนทนาในห้องรูปไข่ และการ
สนทนาเกี่ยวกับคดีวอเตอร์เกทตั้งมีการบันทึกเสียงเก็บไว้แน่นอนในม้วนเทป เพราะในเดือนกรกฎาคม จากการได้รู้ว่ามีม้วนเทปบันทึกจากสนทนาของประธานาธิบดีนิกสันที่ทำเนียบขาวเป็นผลให้อาร์ชิบอล คอดซ์ซึ่งเป็นอัยการพิเศษ และคณะกรรมาธิการแห่งวุฒิสภาฯร้องขอให้ประธานาธิบดีนิกสันมอบม้วนเทปดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการสอบสวน ประธานาธิบดีนิกสันปฏิเสธการมอบม้วยเทปโดยให้เหตุผลว่า การบันทักเสียงในห้องทำงานประธานาธิบดีทำไปเพื่อผลงานเป็ฯการส่วนตัว และรัฐธรรมนูญให้ประธานาธิบดีมีสิทธิคงรักษาการสนทนาที่เป็นการส่วนตัวของประธานาธิบดีเป็นความลับได้
    เพราะประธานาธิบดีนิกสันไม่ยอมมอบม้วนเทปเป็นผลให้ในเดือนสิงหาคม 1973 อาร์ชิบอล คอดซ์ และคณะกรรมาธิการแห่งวุฒิสภาฯ ร้องขอต่อศาลในการสั่งให้ประธานาธิบดีนิกสันมอบม้วนเทป ผู้พิพากษาจอห์น เจ.ซิริกา ตัดสินใจจะเป็นผู้ตวจสอบฟังม้วนเทปด้วยตนเอง และสังให้ประธานาธิบดีมอบม้วนเทปแก่ตน ประธานาธิบดีนิกสันไม่ยอมมอบม้วนเทปและอุทธรร์คำสั่ง แต่คณะผูพิพากษาสนับสนุนคำสั่งของผู้พิพากษาจอห์น เจ.ซิริกา
      ในวันที่ 19 ตุลาคม 1973 ประธานาธิบดีนิกสันเสนอจะมอบม้วนเทปสรุปย่อการสนทนาแก่ อาร์ชิบอล คอตซ์ และคณะกรรมการธิการแห่งวุฒิสภาฯ อาร์ซิบอล คอดซ์ ปฏิเสธไม่รับม้วนเทปสรุปย่อด้วยเหตุผลใช้เป็นหลักฐานในศาลไม่ได้ต้องใช้ม้วนเทปดังเดิม ประธานาธิบดีนิกสันไม่พอใจในความเคร่งครัดจริงจังของอาร์ซิบอล คอตซ์ และใอนาจบริหารก้าวก่ายอำนาจตุลาการทันที โดยสังการในคืนต่อมา ในสามเรื่องคือ หนึงให้เอลไลออท ริชาร์ดสันออกจากการเป็นอธิบดีกรมอัยการ สองสั่งให้รองอธิบดีกรมอัยการปลดอร์ชิบอล คอดซ์ออกจากการเป็ฯอัยการพิเศษ และส่งอาร์ชิบอล คอตซ์ กลับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สามแต่งตั้งลี
ออง  จาโวร์สกี้ คนของประธานาธิบดีนิกสันเป็ฯอัยการพิเศษแทนอาร์ชิบอล คอดซ์ คนอเมริกันเรียกคือวันที่ 20 ตุลาคม 1973 ว่าการฆาตกรรมหมู่คืนวันเสาร์ปี 1973 “The Saturday Night Massacre of 1973” คนอเมริกันประท้วงคัดค้านการกระทำที่ไม่ถูกต้องของประธานาธิบดีนิกสัน หนังสือพิมพ์และผู้สื่อข่าวกลาวโจมตีการก้าวก่ายอำนาจบริหารในอำนาจตุลาการ  เปิดเผยรายละเอียดในประเด็นจำนวนเงินมหาศาลที่ใช้เพื่อการรณรงค์หาเสียงเพื่อการทำลายล้างคู่แข่งขันและปิดปากพยานถึงอ้างชื่อกลุ่มบุคคลที่มีส่วนร่วมในคดีวอเตอร์เกท สำหรับลีออง จาโวร์สกี มีความสำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบรีบทวงม้วนเทปทันทีจากทำเนียบขาวเมื่อเขารับตำแหน่งอัยการพิเศษ สร้างความผิดหวังอย่างมากแก่ประธานาธิบดีนิกสัน
      24 กรกฎาคม 1974 ศาลฎีกามีคำสั่งให้ประธานาธิบดีนิกสันมอบม้วนเทปแก่ผู้พิพากษาจอห์น เจ. ซิริกา ประธานาธิบดีนิกสันคงเพิกเฉย ปฏิเสธ นับจากเดื่อนตุลาคม 1973 คณะกรรมาธิการตุลาการแห่งสภาผู้แทนราษฎรร่วมพยายามเรียกร้องอย่างเป็นทางการเพื่อให้ประธานาธิบดีนิกสันมอบม้วนเทป แต่ประธานาธิบดีคงเพิกเฉยและปฏิเสธเช่นที่ผ่านมา เป็นผลให้ปลายเดือน กรกฎาคม 1974 คณะกรรมาธิการตุลาการแห่งสภาผู้แทนราษฎร มีมติยื่นฟ้องเพื่อการถอดถอน Impeachment ประธานาธิบดีนิกสันต่อวุฒิสภา ในข้อหาสามประการคือ หนึ่ง ขัดขวางขบวนการยุติธรรม ด้วยกาการปกปิดชื่อผู้วางแผนสั่งการและใช้เงินปิดปากพยานทำให้การสอบสวนเป็นไปอย่างล้าช้า สองใช้อำนาจประธานาธิบดี เกินขอบเขตด้วยการใช้อำนาจบริหารก้าวก่ายอำนาจตุลาการ สามไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ที่สั่งให้มอบม้วนเทป
     ประธานาธิบดีนิกสันมอบม้วนเทปในวันที่ 5 สิงหาคม 1974 สาเหตุจากการทวงม้วนเทปของคณะกรรมาธิการแห่งวุฒิสภา ในเดือนกรกฎาคม ผู้พิพากษาศาลจอห์น เจ. ซิริกา สั่งมอบม้วนเทปในเดื่อน
สิงหาคม อัยการพิเศษลีออง จาโวร์สกียืนยันทวงม้วนเทปในเดือน ตุลาคม 1973 ศาลฎีกาสั่งมอบม้วนเทปในเดือนกรกฎาคม 1974 , คนอเมริกันโจมตีประธานาธิบดีนิกสันที่ก้าวก่ายอำนาจตุลาการและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล และปรธานาธิบดีนิกสันรู้มติในเดือน กรกฎาคม 1974 ของคณะกรรมาธิการตุลาการแห่งสภาผู้แทนราษฎร เป็นผลให้ในวันที่  5 สิงหาคม 1974 ประธานาธิบดียอมมอบม้วนเทปแก่คณะผู้สอบสวน การสนทนาจากม้วนเทปยืนยันว่าประการแรกประธานาธิบดีนิกสันรู้เรื่องทุกอย่างของคดีวอเตอร์เกท เมื่อรู้เรื่องคดีวอเตอร์เกทเป็นเป็นอย่างดีแล้วประธานาธิบดีนิกสันปกป้องพรรคพวกไม่เปิดเผยชื่อ และปกปิดเรื่องเสแสร้งว่าไม่รู้ (ออกโทรทัศน์ในวันที่ 30 เมษายน 1973 บอกคนอเมริกันว่าจะพยายามหาข้อเท็จจริงและจะนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ) เป็นการหลอกลวงคนอเมริกัน ประการที่สองไม่มีข้อความการสนทนาตอนใดบ่งชี้ว่าประธานาธิบดีนิกสันร่วมวางแผนคดีวอเตอร์เกทในคือวันที่ 17 มิถุนายน 1972
      ผลจากการฟังม้วนเทปต่อสถานภาพความเป็นประธานาธิดี ประการแรกคือวุฒิสมาชิกในวุฒิสภาเลิกให้การสนับสนุนประธานาธิบดีนิกสัน ประการที่สองบรรดาผู้นำรีพลับบลิกันทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรเตือนประธานาธิบดีนิกสันว่า ประธานาธิบดีต้องเผชิญกับการถูกฟ้องเพื่อการถอดถอน จากสภาผุ้แทนราษฎรและถูกถอดถอน จากวุฒิสภา ควรลาออกจากการเป็นประธานาธิบดีก่อนมีการฟ้องร้อง เพราะจะเป็นคดีอาณาต้องโทษจำคุกและจะไม่ได้รับเงินตอบแทนและสวัสดิการหลังการพ้นตำแหน่งประธานาธิบดี
   
ในวันที่ 7 สิงหาคม 1974 ประธานาธิบดีนิกสันบอกสมาชิกในครอบครัวถึงการจะลาออกจากการเป็นประธานาธิบดี ในวันที่ 8 สิงหาคม 1974 ประธานาธิบดีนิกสันออกโทรทัศน์บอกคนอเมริกันถึงความจำเป็นต้องลาออกจากการเป็นประธานาธิบดีเพราะขาดเสียงสนับสนุนทางการเมืองจากรัฐสภา และในเช้าวันที่ 9 สิงหาคม 1974 ประธานาธิบดีนิกสันลงนามลาออกจากการเป็นประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ และในเวลาเที่ยงของวันที่ 9 สิงหาคม 1974 รองประธานาธิบดีเจอรัล อาร์.ฟอร์ด เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีลำดับที่ 38 ของสหรัฐอเมริกา

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Japan(Cold war)

     ตั้งแต่ปี 1960-1970 ในประเทศญี่ปุ่นเองมีเสียงเรียกร้องให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนนโยบายใหม่ คือ เลิกระบบพันธมิตรกับอเมริกา และดำเนินนโยบายเป็นกลาง ไม่แทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับสงครามเย็นอีกฝ่ายหนึ่งก็เห็นด้วยเพราะสำนึกผิดที่ญี่ปุ่นได้กระทำทารุณกรรมต่อจีนอย่างสาหัสสากรรจ์ กระนั้นประชาชนส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนพรรคเสรีประชาธิปไตย ซึ่งถือนโยบายพันธมิตรและรัฐบาลก็ยังยึดมั่นในพันธกรณีต่อโลกเสรีไม่เปลี่ยนแปลง ญี่ปุ่นได้แถลงการณ์ร่วมกับอเมริกาว่า “การธำรงรักษาสันติภาพละเสถียรภาพในบริเวณเกาะไต้หวันเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญยิ่งของการธำรงรักษาเสถียรภาพความมั่นคงของญี่ปุ่น” ความดังกล่าว โดยเนื้อแท้แล้ว จีนคอมมิวนิสต์ไม่อาจรวมไต้หวันได้เพราะมีมหาอำนาจอเมริกาขัดขวงาอยู่การที่ญี่ปุ่นร่วมแถลงการณ์ว่าจะช่ยรักษาเอกราชยองไต้หวันย่อมจะทำให้จีนคอมมิวนิสต์ไม่พอใจทั้งนี่ญี่ปุ่นยังได้รับยอมรับโดยประยายว่า รัฐบาลจีนที่ไต้หวันเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายของจีนอยู่
     โดยเหตุดังกล่าวดังนี้ จะเห็นได้ว่า ญี่ปุ่นจะเปิดสัมพันธภาพทางการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์ได้ยาก จีนคอมมิวนิสต์ยังคงตราหน้าญี่ปุ่นว่า เป็นชาตินิยมลัทธิทหาร ชอบตามหลังอเมริกา และเริ่มไม่สบายใจที่ญี่ปุ่นมีทีท่าว่าจะมัสัมพันธ์ภาพอันดีกับรัสเซียศัตรูหมายเลขหนึ่งของตน ส่วนญี่ปุ่นเองก็มองเห็นอุปสรรคมากมายที่จะเปิดการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์

      เสียงเรียกร้องในญี่ปุ่นให้เปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศต่อจีนและอเมริกาเร่มหนาหูขึ้นเนื่องจากความบาดหมางกันทางการค้าระหว่างญี่ปุ่นและอเมริกาตั้งแต่ปี 1970 รัฐบาลทั้งสองพยายามหาหนทางแก้ปัญหาดุลการค้า แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะต่างฝ่ายต่างยืนกรานในหลักการทีอีกฝ่ายปฏิบัติไม่ได้ ความบาดหมางนี้ในวงการเศรษฐกิจทั่วโลกมองไปในแง่ที่ว่าทังสองมหาอำนาจได้เปิดฉากสงครามเศรษฐกิจ กันแล้ว การเจรจาเรื่องค้าผ้าหยุดชงักหลายครั้ง อเมริกาเรียกร้องให้ญี่ปุ่นหยุดส่งผ้าเป็ฯสินค้าออกไปอเมริกา 5 ปี ญี่ปุ่นทำตามไม่ได้ เลยต้องต่อรองเรื่องกำหนดเวลา แม้ว่าจะเจรจาไม่สำเร็จและวงการอุตสาหกรรมผ้าในญี่ปุ่นจะพออกพอใจนัก ความล้มเหลวในการเจรจานี้ส่งผลไปถึงความบาดหมางระหว่างประเทศ ความบาดหมางนี้ยังทวีขึ้นอีกเมื่อเกี่ยวพันไปถึงปัญหาเรื้อรังของญี่ปุ่นคือเรื่องเกะโอกินาวา ญี่ปุ่นเรียกร้องให้อเมริกาถอนทัพและคืนเกาะนี้ให้ญี่ปุ่น แต่อเมริกาหน่วงเหนี่ยวไว้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับอเมริกานี้ทำให้ฐานะของรัฐบาลโดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น นายซาโตะ ทรุดหนักและสั่นคลอนไปด้วย
     นอกจากปัญหาการค้าขายแล้ว ญี่ปุ่นยังต้องประสบปัญานโยบายจีนในปี 1970 ญี่ปุ่นมีทีท่ามากพอใช้ที่จะพิจารณาเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์ ทางฝ่ายกระทรวงต่างประเทศของญี่ปุ่นได้กล่าวเป็นนัยหลายครั้งว่า ญี่ปุ่นพร้อมที่จะเปิดการเจรจาอย่างเป็นทางการกับจีนคอมมิวนิสต์ นายซาโตะ เคยปราระว่า อยากเปิดการทูตกับจีนที่ปักกิ่งและที่ไต้หวัน ญี่ปุ่นรู้ตัวดีว่า การเจรจากับจีนแดงนั้นคงยาก  เพราะญี่ปุ่นต้องคำนึงถึงสัมพันธภาพระหว่างญี่ปุ่นกับไต้หวันและกับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นยังต้องยืนกรานในนโยบายเดิมของตน และยังได้พูดถึงสัจิภาพและเสถียรภาพของเอเซียตะวันออกว่า ถ้าองค์การสหประชาชาติพิจารณากับจีนคอมมิวนิสต์เป็นสมาชิก ควรใช้ระบบสองในสามในการลงคะแนนตัดสินวินิจฉัย ซึ่งจีนคอมมิวนิสต์ไม่พอใจมาก
     ปัญหาจีนทำให้วงการเมืองญี่ปุ่นสั่นคลอนมากขึ้น ในปี 1971 มีการถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์มากว่า ญีปุ่นจะยอมเป็นชาติสุดท้ายในโลกที่จะมีการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์หรือ..ญี่ปุ่นควรเลือกนดยบายและวิถีทางใดในการติดต่อกับจีนคอมมิวนิสต์ จะรับรองทั้งจีนคอมมิวนิสต์และจีนที่ไต้หวัน ที่เรียกว่านโยบายสองจีน หรือจะรับรองเพียงชาติเดียว คือ ไม่จีนคอมมิวนิสต์ ก็ จีนไต้หวัน และหรือ จะติดต่อกับจีนคอมมิวนิสต์วิธีใดโดยมิให้จีนไต้หวันโกรธเคือง ที่เป็นปัญหาเช่นนี้เพราะทั้งจีนคอมมิวนิสต์และจีนไต้หวัน ต่างก็อ้างว่าตนเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎกมายของจีนญี่ปุ่นเองก็รับรองจีนที่ไต้หวัน ปัญหายังยุ่งยากซับซ้อนขึ้นอีก เนืองจากญี่ปุ่นมีผลประโยชน์ทางการค้ากับจีนคอมมิวนิสต์และจีนที่ไต้หวัน ญี่ปุ่นไม่อาจจะตัดสินใจอะไรได้มากนักในปัญหาจีน ดังที่นาย ซาโตะ ได้ยอมรับว่า “ญี่ปุ่นไม่มีการทูต(กับจีนคอมมิวนิสต์)จนกว่าเราจะแก้ปัญหาจีนได้ก่อน”
     ต้นปี 1971 ญี่ป่นต้องการให้สหรประชาชาติพิจารณาเรื่องการลงคะแนนตัดสินขับไล่ไต้หวัยอออกจากการเป็นสมาชิก และเรื่องรับจีนคอมมิวนิสต์เป็นสมาชิกเป็นประเด็นสำคัญญี่ปุ่นจะถือหลักไม่เข้าแทรกแซงในกรณีทั้งสองนี้ โดยไม่ออกเสียงลงคะแนน แสดงว่าญี่ปุนถือนโยบาย 2 จีน ต้องการให้จีนคอมมิวนิสต์และจีนชาติเป็นสมาชิกสหประชาชาติ ในขณะที่ญี่ปุ่นออกความเห็นเป็ฯทางการไว้เช่นนี้ ญี่ปุ่นก็เริ่มทาบทามจีนคอมมิวนิสต์ รัฐมนตรีต่างชาติญี่ปุ่น นายเอชิ กิชิ เปิดเผยว่า ญี่ปุ่นเต็มใจที่จะพูดกับจีนคอมมิวนิสต์แต่จะทำได้อย่างไร ญี่ปุ่นเองต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวพันไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีนที่ไต้หวัน รวมทั้งการที่ญี่ปุ่นต้องคำนึงถึงการเมืองระหว่างประเทศ กล่าวคือ ญี่ปุ่นต้องปรึกษาพันธมิตรของตนก่อนได้แก่อเมริกาและเอเซียอาคเนย์
      เมื่อมีเสียงเรียกร้องให้ญี่ปุ่นปรับปรุงหรือเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศ นายซาโตะ จึงได้แต่กล่าวเตือนผู้เรียกร้องเช่นนั้นให้พิจารณาใคร่ครวญถึงผลประโยชน์ของชาติและความผูกพันที่ญี่ป่นมีต่อชาติอื่น รัฐบาลขอร้องให้ญี่ปุ่นใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการแก้ปัญหาจีนมิให้กระทบกระเทือนถึงเกียรติภูมิญี่ป่น การเมืองระหว่างประเทศและผลประโยชน์ของชาติ ความค้องการที่จะแก้ปัญหาจีนนี้มีผู้วิจารณ์ไว้ว่า การกระทำของรัฐบาลนายซาโตะนี้ได้ถูกบั่นทอนไประหว่างการตัดสินใจต้องการจะเปิดการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์ และการที่ต้องยอมรับความจริงคือสถานการณ์โดยสิ่งแวดล้อม
     ทางจีนคอมมิวนิสต์เองได้สร้างอุปสรรคด้วยการเรียกร้องให้ญี่ปุ่นทำตามกติกาเบื้องตนของตนก่อน กติกาเหล่านี้ล้วนเป็นข้อเรียกร้องที่ญี่ปุ่นทำตามได้ยากเต็มที กติกาเหล่านี้ได้เพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ที่สำคัญคือ ญี่ปุ่นต้องยอมรับว่าตนกำลังฟื้นฟูลัทธนิยมทหารคือสร้างกำลังแสนยานุภาพ และจีนต้องการให้ญี่ปุ่นยกเลิกสัญญาสันติภาพกับไต้หวัน
    ถึงกระนั้น ความเคลื่อนไหวเพื่อเปิดการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์ก็ปรากฎขึ้นในปี 1971 รัฐบาลญี่ปุ่นตัวแทนเจรจาการค้ากับจีนคอมมิวนิสต์ จุดประสงค์คือการหาลู่ทางและดูท่าทีของฝ่ายจีนคอมมิวนิสต์ว่าคิดหรือมีทีท่าต่อญี่ปุ่นอย่างไร ความเคลื่อนไหวอีกประการหนึ่งคือ สมาชิกสภาผู้แทนสังกัดพรรครัฐบาล 20 คนเดินทางไปไต้หวันเพื่อดูท่าทีไต้หวัน ความเตื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นในระยะที่มีกาวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาจีนกับญี่ปุ่นมากขึ้น อันสืบเนื่องมาจากการที่จีนคอมมิวนิสต์และอเมริกาใช้กีฬาเป็นสื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ ที่เรียกว่า ปิงปองการทูต ชาวญี่ปุ่นวิตกว่ามหาอำนาจทั้งสองอาจจะมีข้อตกลงบางประการที่ขัดผลประโยชน์ของญี่ปุ่น
     แม้จะมีแรงผลักดันและการเรียกร้องมากมายเพียงใด ก็ไม่อาจจะทำให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงนดยบายได้ รัฐบาลเรียกร้องให้ชาวญี่ปุ่นถือนโยบายรอดูท่าที กล่าวคือ ญี่ปุ่นควรรอจังหวะเหมาะก่อน ที่ญี่ปุ่นใช้นโยบายนี้เพราะต้องการเวลาพิจารณาปัญหาจีนให้ถ่องแท้และระมัดระวังมากกว่านี้ ไม่ต้องการเร่งรัดแก้ปัญหาทั้งญี่ปุ่นต้องการรอดูท่าทีของอเมริกาว่าจะดำเนินนโยบายติดต่อกับจีนคอมิวนิสต์ก้าวหน้าเพียงใดเพื่อจะได้ใช้เป็นข้อมมูลพิจารณาปรับปรุงที่ของตนต่อจีนคอมมิวนิสต์ได้ถูกต้อง เป็นการดำเนินนโยบายสอดคล้องกับอเมริกา ด้วยหาหลักากรดีไม่ได้ การใช้นโยบายรอดูก่อนจึงเป็นหารเหมาะสมสำหรับระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงนโยบาย

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...