วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560

Bureaucracy : Myanmar

             ข้าราชการในยุคก่อนตกเป็นอาณานิคม หรือยุคที่กษัตรยิ์เมียนม่าร์ยังดำรงอยู่ เป็ฯที่เคารพยกยองของผุ้คน ถึงแม้ว่าการคัดเลือก การแต่างตั้งและเงื่อนไขการให้บริการไม่เข้มวงด กษัตรยิ์เป็นผุ้แต่างตั้งผุ้คงแก่เรียนที่มีความรู้ความสามารถและผุ้เชี่ยวชาญการบริหารบ้านเมือง ดูได้จากการตัดสินของศาล คำสั่ง และกิจกรรมต่างๆ เป็นเรื่องสามัญทั่วไป ได้มีการจดบันทึกอย่างละเอียด ซึ่งสะท้อนภาพให้เห็นว่าพื้นความรู้ของเมียนมาร์อยุ่ในระดับสูง แม้เป็นช่วงเวลาที่อังกฤษเข้ยึดครอง ก็ต้องยอมรับว่าความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ของชาวเมียนมาร์อยุ่ในระดับสูงกวาคนในอาณานิคมอื่นๆ ของอังกฤษ ความสำเณ้จในภาษาและวรรณกรรมเป้ฯเรื่องที่ผุ้คนต้องยกย่องและกล่าวถึง
           หลังตกเป็นอาณานิคม สำนักงานของบริษัท บริติส อี อินเดีย ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กักัตตาเป็นผู้บริหารเขตปกครองในปี พ.ศ. 2428 เมียนมาร์ทั้งหมดถูกผลักดันให้อยุ่ใต้กฎระเบียบของอาณานิคมระหว่างปี พ.ศ. 2429-2480 เมียนมาร์ถูกจดการดูแลให้เป็นเพียงหนึงจังหงัดของอินเดีย และถูกปกครองโดยอุปราชของอังกฤษในอินเดีย



           จากรายงานของคณะกรรมการชุด Mac Aulay Jowelt ในปี พ.ศ. 2368 ว่าหน่ออ่อนของระบบการบริหารจัดการได้ถูกกำหนดให้ไปใช้ในอินเดียและเมียนมาร์ โดยบุคลากรขาวอังกฤษกับชาวพื้นเมืองอีกบางส่วน ข้าราชการขั้นหัวหน้าในแต่ละระดับชั้นและข้าราชการอินเดียต่างมีความสุขกับอภิสิทธิ์ต่าๆง และคำนึงถึงการเป้ฯชนชั้นนำ ในปี พ.ศ. 2480 เมียนมาร์ถูกแยกออกจากอินเดีย คณะกรรมการบริการภาครัฐที่แยกออกมาถูกจัดตั้งขึ้นในเมียนมาร์ เพื่อสรรหาและบรรจุข้าราชกาเมียนมาร์ หลังจากประสบความสำเร็จได้เอกราชในเดือนมกราคม พ.ศ. 2491 เมียนมาร์ยังคงใช้โครงการบริหารจัดการที่ส่งมอบโดยอังกฤษ และอิสรภาพที่ตามมา คือ มีข้าราชการเมียนมาร์เกือบทังหมดเป็นชาวเมียนมาร์ (ยกเว้นการบริการที่อาศัยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ)
            ในปี พ.ศ. 2496 มีประกาศใช้กฎหายข้าราชการพลเรือน และคณะกรรมการสไภาพข้าราชการเป็นเรื่องที่มาก่อนของคณะกรรมการการคัดเลือกและการฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน ถูกจัดตั้งในปี พ.ศ. 2520 มีการประกาศใช้กฎหมายคณะกรรมการการคัดเลือกและการฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน และมีการแต่างตั้งคณะกรรมการการคัดเลือกและการฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน
          สถาบนการฝึกอบรมข้าราชการ Phaung gyi ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2508 ภายใต้การกกับของกระทรวงมหาดไทย และถูกย้ายไปอยู่ภายใต้การบริหารของคณะกรรมการการคัดเลือกและฝักอบรมข้าราชการพลเรือน ในปี พ.ศ. 2520 ซึงตั้งแต่ดำเนินงานมามีประธานมาแล้ว ึ คน ในนามของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนและคณะกรรมการการคัดเลือกและฝึกอบรมข้าราชาการพลเรือน อีกทั้งสำนักงานใหญ่ของคณะกรรมการการคัดเลือกและฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน ที่รวมถึงกรมการคัดเลือกและการฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน และกรมการข้าราชการพลเรือน ได้เปิดทำการใหม่ที่กรุงเนปิดอร์ ในพป 2549 เป็นต้นมา
          นอกจานี้รัฐบาลเมียนมาร์ได้รับการช่วยเหลือในการพัฒนาบุคลากรภาครัฐโดยความช่วยเหลือจากต่างประเทศมาโดยตลอด อย่างโครงการความร่วมมือกับมูลนิธิสันติภาพซาซากาว่า ของญี่ปุ่น ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการให้แก่บุคลากรภาครัฐปีละ 120 คน ในหัวข้อ "การฝึกอบรมเชิปฏิบัติการ การเพ่ิมประสิทธิภาพของข้าราชการพลเรือนเมียนมาร์"ในระหว่างปี พ.ศ. 2545-2547 ซึ่งการฝึกอบรมนี้ประสสบความสำเร้๗ในส่วนที่เพ่ิมประสิทธิภาพข้าราชการพลเรือนในการทำงานร่วมกัน และในปี พ.ศ. 2545 ประเทศสิงคโปร์ได้บริจาคเงินช่วยเหลือจัดตั้งโรงเรียนการฝึกอบรมเมียนมาร์สิงคโปร์ ในย่างกุ้งตามโปรแกรมเริ่มต้นเพื่อการรวมกลุ่มอาเชี่ยน โดยมีเนื้อหาครอบคลุมความหลากหลายในการพัฒนาทรัยากรมนุษย์ ไม่ว่าด้านภาษาอังกฤษเทคโนโลยีสารสนเทศ การบริหารภาครัฐ การคั้า และากรท่องเที่ยว
        โรงเรียนการฝึกอบรมเมียนมาร์สิงคโปร์นี้ ยังมีโปรแกรมที่ได้มาตรฐานยกระดับสำหรับครูผู้ฝึกอบรมด้านต่างๆ จึงมีการส่งครูผุ้ฝึกอบรมมาเรียนในหลายหลักสูตรที่โรงเรียนนี้ และยังมีการส่งครูผุ้ฝึกอบรมเด่นๆ ให้มีโอกาสได้เขาร่วมหลักสูตรการฝึกอบรมต่างๆ และเป็นตัวแทนไปดูงานในต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลี จีน และฯลฯ
            เมียนมาร์ เป็นประเทศที่เป้นจุดเชื่อมระหว่างภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และเอเลชียตะวันออกเฉียงใต้ ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน และค่าแรงต่ำ ประกอบกับมีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก เช่น พลังงาน แร่ธาตุ ป่าไม้ พื้นที่การเพาะปลูก ตลอดจนทรัพบยากรทางทะเล และจัดเป็นประเทศในกลุ่มประเทศที่ยากจนที่สุด ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษี และสิทธิพิเศษทางการค้าจากหลายประเทศ ประกอบกับเมียนมาร์ได้เปลี่นแปลงการปกครองเป้นระบอบประชาธิปไตยและเปิดประเทศให้ผุ้สนใจเข้าไปลงทุนได้เสรีมากขึ้น โดยผ่านนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศของเมยนมาร์ การพัฒนาภาคการเงิน การเดินหน้าปฏิรูป และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและัแรงงน การสร้างบรรยากาศการลงทุน รวมทั้งกาพัฒนโครงข่ายคมนาคมในประเทศเชิงรุกทั้งทางถนน รถไฟ และท่าเรือ ทำให้เมียนมร์มีการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2555 คิดเป็ร้อยละ 6.3 ซึงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ 5 ปี ที่ผ่านมาที่อยู่ร้อยละ 54 อย่างไรก็ดีระบบการเมืองและนโยบายขอวเมียนมาร์ยังไม่แน่นอน ระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานยังขาดแคลนและมีราะคาสูง รวมถคึงเครื่อข่ายคมนาคมยังไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้เมยนมร์มีข้อจำกัดทางด้านนเงินุนและระบบการเงินที่ไม่สามารถเคลื่อยย้ายได้ปย่างเสรี ประกอบกับในอดีตที่ผ่ารมาเาียนมาร์ได้รับผลกระทบจากมาตรการควำบาตรของประชาคมโลก จึงทำใ้ห้ค่าใช้จายในการลทุนของภาครัฐและภาคเอกชนมีต้นทุนเฉลี่ยสูงกว่าประทเศอื่นๆ ในภูมิภาค ดังนั้น เมียนมาร์จึงด้มีการกำหนดแนวทางในการพัฒนาเศษรกิจและโดยกำหนดประเด็นสำคัญๆ ดังนี้
             - การจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 20 ปี
             - ให้ความสำคัญต่อภาคการค้าและการลงทุน รวมถึงการระดมการลงทุนระหวางประเทศ
             - การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง
             - การบริหารจัดการความช่วยเหลือจากต่างชาติให้มีประสิทธิภาพและสอดคลองกับเป้าหมายของประเทศในการปฏิรูประยะที่ 2 คือ การพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนขาวเมียนมาร์ให้ดีขึ้น
           
 - สำหรับการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดังกลาวข้างต้นเมียนมา์มีเป้าประสงค์ยึดหลักประชาชนระดับรากหญ้า ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการบริหารจัดการของรัฐ และมีส่วนร่วมในการกำหนทิศทาง นโยบายและกระบวนการในการพัฒนา ซึ่งมีปัจจัยสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตด้านต่างๆ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินสภาพความเป็นอุ่ภายในชุมชน เป็นต้น ซึ่ตามกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม จะมีโครงการเร่งด่วนเพื่อให้เกิดความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องดังนี้
                      ปฏิรูปภาษีและการเงิน , ปฏิรูปภาคการคลังและการเงิน รวมถึงธนาคารกลาง เปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน พัฒนาธุรกิจภาคเอกชน โดยปฏิรูปกฎหมายและระเบียบที่สำคัญสำหรับภาคการท่องเที่ยว, พัฒนาระบบโทรคมนาคมและการสื่อสารให้ทันสมัย, พัฒนาสาธารณสุขและการศึกษา,สร้างความม่ั่นคงด้านอาหารและความเจริญเติบโตภาคการเกษตร,สร้างระบบบริหารจัดการให้มีความโปร่งใส โดยเน้นความโปร่งใสในการจัดทำและดำเนินงานที่ใช้จ่ายจากเงินวบประมาณภาครัฐ, พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยปรับปรงระบบคมนาคมขนส่งสาธารณะและพลังงานรวมท้งปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกบการจ้างงานและากรให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ, สร้างคามมีประสทิธิภาพและประสิทธิผลจากการดำเนินงานของรัฐ และสำหรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 20 ปี ตามกรอบดังกล่าวข้าตัน เมียนมาร์ได้กำหนดเป้าหมายที่สำคัญไว้คือ
            - ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวเมียนมาร์
            - เพ่ิมรายได้ประชากร
            - พัฒนาโครงการสร้างพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสาธารณูปโภค เช่น การคมนาคม แหล่งน้ำและสุขาภิบาล พลังงานไฟฟ้าการศึกษา การสาธารณสุข และระบบประกันสังคม เป็นต้น
             - จัดให้มีการจ้างงานเพ่ิมากขึ้น
             -อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
             - บรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ตามวัตถุประสงค์ของสหประชาชาติและประชาคมอาเซียน


                    -  "ระบบบริหารราชการของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์" สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ.
       

วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560

Bureaucracy : Cambodia

           ภาวะสงครามในกัมพูชาทำให้ประเทศชาติล้มสลาย สหประชาชาติได้ยืนมือเข้ามาช่วยชุบชีวิตกัมพูชาให้ผื้นคือชีพอีกครั้งเมื่อสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลงอย่างเป็นทาการในปี พ.ศ. 2534 พร้อมกับการลงนามในข้อตกลงสันติภาพที่กรุงปารีส อันได้ปูทางไสู่การเข้ามาของ UNTAC โดยข้อตกลงสันตุภาพฯ ได้มีการจัดทำข้อเสนอแนะให้ทำการฟื้อนฟูประเทศกัมพูชาไปพร้อมๆ กับการสร้างชาติขึ้นหม่อีกครัี้งหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นแผนแม่บทในการเข้ามาขององค์การระหว่างประเทศในการจัดการเลือกตั้งระดับชาติขึ้นในกัมพูชา โดยในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2536 กัมพูชาได้จัดให้มีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยขึ้นภายใต้การกำกับดูแลของสหประชาชาติ ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกที่มีพรรคกรเมืองหลายพรรคสมัครเข้ารับเลือกตั้ง โดยมีพรรคการเมืองเข้าร่วมการแข่งขันถึง 20 พรรคแต่พรรคการเมืองที่โดเด่น คือ พรรคประชาชนกัมพุชา CPP นำโดย สมเด็จฮุน เซน พรรคฟุนซินเปก FUNCINPEC นำโดยเจ้ารณฤทธิ์
           ภายใต้รัฐบาลผสมระหว่างพรรคประชาชนกัมพุชา และ ฟุนซินเปค ได้ดำเนินการเร่งปฏิรูประบบราชการเนื่องจากกลุ่มประเทศผุ้ให้ความช่วยเหลือ แก่กัมพูชาได้ตั้งเงือนไขให้รัฐบาลกัมพูชาต้องปฏิรนูประบบงานบริหารราชการ ระเบียบการคลัง ระบบภาษี กองทัพ กรมตำรวจ กฎกมายการกระจายอำนาจ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อเป็ฯการแลกเปล่ยนความช่วยเหลือ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดธรรมาภิบาล มีความโปร่งใสในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และเืพ่อแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นที่มีอยุ่มากในกัมพูชาให้หมดไป
            โดยภายหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปในกัมพูชาในปี พ.ศ. 2541 ประเทศกัมพุชามีรัฐบาลใหม่ที่มีความพยายามในการยกระดับฟื้นฟูประเทศ และปะกาศให้คำมั่นสัญญาต่อนานาชาติที่ให้ความช่วยเลืหอต่อกัมพูชาในการพัฒนาประเทศ่ารัฐบาลกัมพูชายังคงมีเจรนาเดินหน้าในากรปฏิรูปแการบริหารประเทศ และยังมีความจำเป็นที่จะรับความช่วยเหลือจากนานาประเทศ
          ปัญหารการพัฒนาระบบราชการกัมพูชา ปัจจัยทางการเมืองที่เกิดท่ามกลาวสภาวะสงครามกลางเมืองมายาวนานเกือบ 3 ทศวรรษ ได้ทำให้กัมพูชาไม่สามารถพัีฒนาระบบราชการได้ และยังควต้องพึงพาการพัฒนาเศราฐกิจจากองค์การด้านการเงินระหว่างประเทศ รวมถึงการขาดแคลนทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพแม้ว่ารัฐบาลและองค์การระหว่างประเทศได้เข้ามาช่วยเหลือฟื้นฟูโดยตลอดนับแต่สงครามภายในได้ยุติลงเมื่อปี พ.ศ. 2534 แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ และถือว่ากัมพุชาป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด รายจ่ายประจำและรายจ่ายด้านการลงทุนคิดเป็สัดส่วนร้อยละ 59.8 และ 38.2 ของรายจ่ายรวมตามลำดบ รายจ่ายประจำที่สำคัญคือ การปฏิรุประบบราชการ การปลกทหาร และการเลือกตั้ง เป็นต้น แม้เกิดแนวคิดการกระจายอำนาจเกิดขึ้นมาจากหลักธรรมภิบาล
          เนื่องจากรัฐบาลมีความเชื่อว่าการกระจายอำนาจเป็นการปกครองที่รัฐสามารถถ่ายโอนอำนาจการบังคับบัญชา และมอบหมายความารับผิดชอบในกิจการบางอยางให้ท้องถิ่นดำเนินการจัดการภายในเอง โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อให้ประชาชนช่วยเลหือซึ่งกันและกัน มีส่วนร่วมและรับผิดชอบร่วมกันในการดูแลกิจการท้องถิ่นของตนเอง แต่ในทางปฏิบัติแม้ว่าการปฏิรูประบบราชการ การกระจายอำนาจจะดำเนินไป แต่ก็ปรากฎสิ่งท้าทายที่สวนทางกับกระบวนการปฏิรูปด้วยเช่นกัน มีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองบางกลุ่ม ไม่ว่าจะเป้นการกำหนดตัวคนในด้านโครงสร้างกฎหมายหรือกำหนดกฎเกณฑ์ในกระบวนการกระจาย รวมไปถึงการข่มขู่คุกคามทางการเมือง
          ในช่วงเปิดประเทศหรือประมาณปี พ.ศ. 2533 ข้าราชการระดับสูงทังส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ส่วนใหญ่ได้รับการแต่งตั้งจากพรรคการเมืองโดยมีวาระตามการตัดสินใจของผุ้บริหารพรรคการเมือง ซึ่งเป็นผุ้บริหารประเทศ นักการเมือง และข้าราชการระดับสูงกลุ่มนี้ต่างมีรายได้มาจากการให้เช่าบ้านและที่ดิน ซึ่งได้รับการอำนวยความสะดวกในเรื่องกฎระเบียบของรัฐ รวมถึงเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศในโครงการพัฒนาต่างๆ ที่ยังมีปัญหาคอรัปชั่นอยู่มากในกัมพูชา ซึ่งทางธนาคารโลกได้รายงานว่าการทุจริตในหน้าที่ของบุคคลในรัฐบาลมีอย่างกว้างขวางและแพร่หลายภาคธุรกิจเอกชนส่วนใหญ่ยอมรับว่าจำเป็ฯต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเพียงแค่ทำหน้าที่ตามปกตอ และต้องจ่ายสินบบนถึงร้อยละ 85 ของรายจ่ายนอกระบบ หรือตั้งแต่ร้อยลุ 5-6 ของรายรับจากการขายและเพิ่มขึ้นตามขนาดของธุรกิจซึ่งถือเป็นรายการใหญ่ของต้นทุนการผลิต โดยทั่วไปแล้วเงินรายจ่ายที่ไม่เป็นทางการนี้ ถือเป็นค่าตอบแทนให้เจ้าหน้าที่เพื่อให้ได้บริการที่รวดเร้ซขึ้น แต่ในกัมพูชาการติดต่อขอรับบริการจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลต้องจ่ายเงินประเภทนี้ คล้ายกับเป็นค่าธรรมเนียมตามปกตอ เพียงแต่เงินที่จ่ายไปไม่ได้นำส่งเข้ารัฐ
             รัฐบาลกัพูชาในปัจจุบันภายใตการปกครองของ ฯพณฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีปัจจุบันมีนโยบายดังนี้
            จากการที่กัมพูชาได้ดำเนินการตามแผนพัฒนายุทธศาสตร์แห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2449-2553 ตามยุทธศาสตร์ลดความยากจนแก่งชาติ รวมทั้งป้าเมหายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษของกัมพูชา ซึ่งล้วนเป็นยุทธศาสตร์หลักที่รัฐบาลกัมพูชาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายให้กัมพูชาเดินหน้าไปสู่การพัฒนาและความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน และใช้พื้นฐานในการแก้ไขปัญหาสำคัญในการพัฒนาประเทศ 4 ด้าน คือ ด้านการเกษตร, ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, ด้านการพัฒนาภาคเอกชนเพื่อการสร้างงานและด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่รวมถึงด้านการศึกษาและสาธารณสุข แม้ทั้งสี่ด้านที่กล่าวข้างต้นเป้ฯปัจจัยที่ผลักดันสังคมกัมพุชาให้ไปข้างหน้าแต่สังคมกัมพุชายังต้องอาศัยปัจจัยภายนอกมาช่วยเสริมกระตุ้นอย่างนโยบายการค้าตาบแบบเสรีโดยอาศัยกลไกตลาดเพื่อเปิดโอกาสให้แข่งขันได้อย่างเสรี และเป็นการระดมทุนจากต่างประเทศใหมาลงทุนในประเทศ นโยบายวันนี้ของประเทศกัมพูชาคือช่วยชี้แนะแนวนโยบายด้านการค้าแก่นักธุรกิจภายในและชาวต่างชาติให้ประกอบธุรกิจสอดคล้องกับทิศทางนโยบาย และตามกฎหมายของประเทศ มีการปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมายธุรกิจการค้า กฎหมายตราสารหนี้และการชำระเงิน กฎหมายหลักทรัพย์ กฎหมายความปลอดภัยด้านธุรกรรมการเงิน ปรับปรุงและแก้ไขขั้นตอนศุลกากรการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา เช่น กฎหมายสิทธิบัตรกฎหมายเครื่องหมายการค้า และกฎหมายลิขสิทธิ์ เป็นต้น
             เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและส่งเสริมบรรยากาศการค้าการลงทุนและทิศทางใหม่ของประเทศ นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ได้แถลงหาความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงคู่ค้าต่างประเทศเพื่อพัฒนาและเพิ่มความมั่นคงด้านการค้า โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและการค้าของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้รุดหน้า พัฒนการส่งออกให้มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อให้กัมพูชาได้รับผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและการค้ามากที่สุด ถือเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่แตกต่างจากแผนเดิม น่นคือมุ่งดำเนินวิธีการต่างๆ ให้ประเทศกัมพูชาได้รับผลประดยชน์จากการเข้ร่วมเป้นสมาชิกประชาคมอาเซียนและเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต
            นอาจากนี้ประเทศกัมพุชายังมีแนวทางในการปฏิรูปและพัฒนาศักยภาพการแข่งขันภายใน 5 ปี ขางหน้า เพื่อให้สอดคล้องกับการรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อละสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ซึ่งรวมถึงการพัฒนาสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ การค้า การลงทุน การส่งเสริมธรรมาภิบาล และหลักนิติธรรมการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริหารต่างๆ ได้มากขึ้นการพัฒนาคุณภาพและให้โอกาสด้านการศึกษาแก่เยาชนกัมพูชาเพื่อสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด
             ระบบราชการของราชอาณาจักรกัมพูชาพบว่าหน่วยงานด้านการลงทุนให้ความเห้ฯที่เป็นไปในทิศทางเดี่ยวกันว่ากัมพูชาถือเป็นประเทศหนึ่งที่น่าลงทุน แต่ยังมีข้อเสียที่มีการทุจริตในวงราชการค่อนข้องมาก โดยจีรนันท์ วงษ์มงคล อัครราชทูตที่ปรึกษา(ฝ่ายการพาณิชย์) สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงพนมเปญประเทศกัมพูชา ได้กล่าวถึงข้อเสียการลงทุนในกัมพุชาไว้ในปี พ.ศ. 2553 ว่า "มีความไม่โปร่งใสของขั้นตอนและระบบราชการซึ่งตรงกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงพนมเปญที่กล่าวไว้ในปี พ.ศ. 2547 ว่า "ปัญหาคอรัปชี่นและความไม่โปร่งใสในระบบราชการเป้นภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น" ตรงกันกับสำนักงานส่งเสริมการลงทุนแห่งประเทศไทย ที่ได้วิเคราะห์ศักยภาพด้านการลงทุนว่าจุดอ่อนข้อที่ 17 ของกัมพูชาคือ ระบบราชการกัมพุชามีการคอรัปชั่นสูง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาถึงการคอรัปชั่นในประเทศกัมพูชา กล่าวถึงการคอรัปชั่นในกัมพูชาไว้ว่า
            คอรัปชั่นเกิดได้หลากหลายรูปแบบทั้งการให้สินบน การเล่นพรรคเล่นพวกการหลีกเลี่ยงภาษี ฯลฯ โดยกมาทุจริตนั้นจะเกิดจากปัจจัยดังนี้
             - ปัจจัยด้านการเมือง ระดับการคอรัปชั่นขึ้นอยุ่กับความเข้มแข็งของสังคม อิสระของสื่อมวลชนใบริบทของกัมพูชาจากความจริงที่ว่ารัฐบาลเิดขึ้นและได้รับอิทธิพลทางการเมืองเพือเป้าหมายและกลยุทธ์ทางการเมือง โดยรัฐบาลมีบทบาทโดดเด่นในการับและการใช้จ่ายทรัพยากรของพวกตน บางครั้งวงจรการทุจริตดูเหมือนว่าจะปรกฎตัวขึ้นเป็นครั้งคราวและกลายเป็นระบบ
            - ปัจจัยทางกฎหมายและจริยธรรม ปัจจัยสำคัญที่เชื่อมโยงกับการทุจริตคือคุณภาพระบบกฎหมายของประเทศเพื่อการดำรงอยู่ของกฎหมายต่อต้านการทุจริตที่มีประสิทธิภาพและความสามารถในการบังคับใช้กฎหมาย การคอรัปชั่นยังเกี่ยวกับสถานที่ที่ทมีคุณค่าทางจริยธรรมที่ถูกละเลยโดยผุ้ทีกกระทำการทุจริตละเลยศักดิ์ศรีและทำตามความเห็นแก่ตัวของตน
           - ปัจจัยระบบราชการ ในการออกกฎการแทรกแซงและกฎระเบียบราชการในระบบเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการทุจริตทีมีแนวโน้มจะสูงขึ้น จากการที่ภาครัฐเรียกเก็บเงินจำนวนมาจากรกฎระเบียบที่เือ้อต่อเจ้าหน้าที่รัฐในการหาประโยชน์ส่วนตัว ในขณะที่การเพ่ิมขึ้นหรือลอลงของความรับผิดชอบอาจก่อใไ้เกิดการคอรัปชั่น
          - ปัจจัยด้านผลตอบแทนจากการที่เจ้าหน้ารัฐมีรายได้อยู่ในระดับต่ำ หรือแตกต่างจากค่าจ้างของภาคเอกชนค่อนข้างมาก ทำให้ข้าราชการเกิดการคอรัปชั่นได้
          - ปัจจัยด้านเศรษฐกิจการคอรัปชั่นมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นจากากรมี่รัฐสร้างเศรษฐฏิจแบบผูกขาด จะเห็นได้ว่าจากการศึกษาดังกล่าวระบบราชการภายในราชอาณาจักรกัมพูชายังมีากรคอรัปชั่นอยู่ค่อนข้างสูงจากปัจจัยสนับสนุนที่หลากหลาบ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของระบบราชการราชอาณาจักรกัมพูชาโดยในปัจจุบันรัฐบาลกัมพูชามีนโยบายปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจังมากย่ิงขึ้น



                         - "ระบบบริหาราชการของอาณาจักรกัมพูชา" สภาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ.

วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2560

Bureaucracy : Laos

           การบริหารราชการในประเทศลาวเป็นหารบริหารแบบรวมศุนย์ โดยมีการดำเนินการแบบเดียวกันทั่วประเทศ โดยมีการแบ่งระดับการบริหารงานได้แก่ 
           - ระดับกลาง ประกอบด้วย สำนกนายกรัฐมนตรี
           - ระดับภาคส่วน ประกอบด้วย ประทรวงหรือองค์การที่อยู่ในระดับเดียวกัน สำนักงานประธานประเทศ องค์การพรรคการเมืองกลุ่มแนวลาวสร้างชาติ ศาลประชาชน และศาลอุทธรณ์ 
           - ระดับท้องถิ่น ข้าราชการในสปป.ลาว หมายถึง เจ้าหน้าที่ในองค์การพรรครัฐบาลกลุ่มแนวลาวสร้างชาติ องค์การมวลชนทั้งในระดับส่วนกลาง แขวง และเมือง รวมถึงสำนักงานตัวแทนของสปป.ลาวในต่างประเทศ ซึ่งไม่รวมถึงสมาชิกสภาที่มิได้เป็ฯสมชิกรรค ทหาร ตำรวจ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และลูกจ้างชั่วคราว โดยข้าราชการในสปป.ลาวแบ่งออกเป็น 6 ระดับ ได้แก่ ระดับ 1 และ 2 เป็นกลุ่มพนักงานธุรการ ระดับ 3,4 และ 5 เป็นกลุ่มพนักงานระดับผุ้เชี่ยวชาญ และระดับ 6 เป็นระดับสุงสุดสไหรับตำแหน่งผุ้บริหารระดับสุงในรัฐบาล เช่น รัฐมนตรี ผุ้ช่วยรัฐมนตรี และที่ปรึกษาอาวุโส 
           ในสปป.ลาวนอกจากข้าราชการที่มีดำแหน่งภาวร (การจ้างงานตลอดชีพ) ที่ได้รับค่าตอบแทนและผลประโยชน์อื่นๆ ตามที่กำหนดอย่างเป็นทางการแล้ว ยังมีตำแหน่งในระบบข้าราชการสปป.ลาวอีก 3 ประเภท
           ประเภทแรก คือ แบบสัญญาร้อยละ 95 โดยผุ้ปฏิบัติงานจะได้รับเงินค่าจ้างคิดเป้นร้อยละ 95 ของตำแหน่งถาวร แต่ไม่ได้รับประโยชน์ด้านสวัสดิการอื่นๆ ผุ้ปฏิบัติงานแบบการทำสัญานี้ ส่วนใหญ๋จะถือว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะบรรจุเข้าในตำแหน่งแบบถาวร แต่จำเป็นต้องรอเนื่องจากอัตราการจ้างมีจำกัด
          ประเภทที่2 คือ แบบอาสาสมัคร ไม่มีการการันตีรายรับ แต่ผุ้ปฏิบัติงานจะได้รับเงินค่าจ้างตางานที่ทำและตามงบประมาณที่มีในหน่วยงานนั้น ประภทสุดท้าย คื อแบบสัญญาจั้งงานชัวคราว การจ้างงานรูปแบบนี้เคยบรรจุอย่างเป็นทางการ ซึ่งรัฐบาลสปป.ลาว ค่อยๆ ลดจำนวนลงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 แต่ยังคงพบการจ้างงานประเภทนี้อยุ่ในบางจังหวัดและบางภาคส่วนผุ้ปฏิบัติงานรูปแบบนี้จะได้รัเงินเดือนต่ำกว่าระดับสัญญาร้อยละ 95 และไม่ได้รับสทิะิประโยชน์อื่นๆ และระยะเวลาของสัญญามีจำกัด แม้ว่าส่วนใหญ่จะมีการต่อสัญญาเสมอก็ตาม
         รายงานของสปป.ลาวระบุว่า สปป.ลาว อยู่ในช่วงของการปฏิรูประบบราชการให้มีความทันสมัย สอดคล้องกบสภาพการณ์ที่เปลี่นแปลงไป อย่างไรก็ตามปัญหาที่ภาคราชการสปป.ลาว กำลังประสบอยุ่ คือ การสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้าสู่ภาคราชการ โดยเฉพาะราชการส่วนท้องถิ่น ดังนั้นการพัฒนาข้าราชการให้มีทักษะและภาวะผุ้นำโดยวิธีการพัฒนาในการจัดหลักสูตรการศึกษา การจัดฝึกอบรม รวมถึงการจัดให้มีเวทีแสดงความคิดเห็นร่วมระหว่งภาคราชการและเอกขชนจะเป็นการสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
 การฝึกอบรมข้ารชาการในสปป.ลาวแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
         1 การฝึกอบรมขั้นพื้นฐาน หมายถึง การอธิบายให้ข้าราชการเข้าใหม่เข้าใจเกี่ยวกับกฎระเบียบสำหรับขช้าราชการในสปป.ลาว กฎการบริหารจัดการภายในองค์การ ตำแหน่ง บทบาท หน้าที่และโครงสร้างองค์การของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระบบการประสานงานและประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวกับบทบาทและหน้าทีที่เกี่ยวข้องในองค์การ
        2 การฝึกอบรมระหว่างการประจำการ หมายถึง การฝึกอบรม การเสริมสร้างขีดความสามารถเกี่ยวกับทฤษฎีด้านการเมือง ความรู้ด้านเทคนิคเฉพาะสำหรับข้าราชการ โดยดุจากผลการประเมินการปฏิบัติงานประจำปีและแผนการฝึกอบรม
        3 การฝึกอบรมก่อนเข้ารับตำแหน่งใหม่ หมายถึง การฝึกอบรม การเสริมสร้างขีดความสามารถเกี่ยวกับทฤษฎีด้านการเมือง ความรู้เทคนิคและความรู้พื้นฐานที่จำเป้นอื่นๆ เพื่อเตียมความพร้อมสำหรับตำแหน่งหน้าที่ใหม่และซับซ้อนมากขึ้น หรือการเข้ารับตำแหน่งฝ่ายบริหารในระดับที่สูงขึ้น
         โดยการคัดเลือกข้าราชการเพื่อเข้ารับการฝึกอบรมหรือเสริมสร้างขีดความสามารถจะพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
         1 ผลการประเมินการปฏิบัติงานที่ผ่านมา
         2 ความจำเป้นต่อหน่วยงานและงานที่รับผิดชอบ
         3 มีจุดมุ่งหมายที่จะรับหน้าที่ในตำแหน่งที่ว่างหรือตำแหน่งผุ้บริหาร
         สำหรับผุ้สมัครเพื่อจะเข้ารับการศึกษาต่อเป็นเวลา 3 ปีขึ้นไป จะต้องมีความต้องการที่จะพัฒนาตนเอง มีสุขภาพแข็.แรง และอายุไม่เกิดน 45 ปี 
          อุปสรรคในการพัฒนาข้าราชการลาว โดยประเด็นหลักๆ ได้แก่
          - ค่ำตอบแทนอยู่ในระดับต่ำ ทำให้เกิดคามยากลำบากในการคัดสรรพนักงานที่มีคุณภาพ และการรักษาระดับผลการปฏิบัติงานด้วยระดับการศึกษาในสปป.ลาว และจำนวนผุ้ทีผ่านการฝึกอบรมมาเป็นดียังมีไม่มาก จำนวนของบุคลากรที่มีคุณสมบัติสำหรับตำแหน่งในภาครัฐก็ยิ่งมีจำนวนจำกัดยิ่งขึ้น
          - การบริหารทรัพยากรบุคคลที่ไม่เชื่อมโยงผลการปฏิบัติงานกับผลตอบแทน
          - ขาดการบริหารผลการปฏิบัติงานที่มีมตรฐาน ซึ่งไม่มีความสอดคล้องกับการทำงาน อาทิ หน้าที่ความรับผิดชอบ
         - การกระจายข้อราชการทั่วประเทศเป็นไปอย่างไม่เหมาะสม ทำให้ในบางพื้นที่มีเจ้าหน้าที่รัฐมกเกินความจำเป้ฯ ในขณะที่บางแห่งยังขาดแคลน
          - ฐานข้อมูลของข้าราชการที่ยังไม่มีคุณภาพ
  เป้าหมายการพัฒนาระยะยาวของสปป.ลาว คือการหลุดพ้นจากการเป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ภายในปี พ.ศ. 2563 การที่จะบรรลุเป้าหมายที่ท้าทายได้ สปป.ลาวจะต้องมีระบบราชการที่สามารถสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างรวดเร็ว ด้ววยเหตุผลนี้การปฏิรุปราชการจึงเป็นกิจกรรมหลักของระบบาราชกาในสปป.ลาว ตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2533 การพัฒนาด้านการบริหากลายเป็นองค์ประกอบหลักในการพัฒนาแผนขจัดความยากจนแห่งชาติ การพัฒนาคุณภาพของข้าราชการเองถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป้นอันดับแรกในกระบวนการปฏิรูประบบราชการ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างการบริการของรัฐที่มีประสิทธิภาพ ประสทิธิผล ผ่านการอบรม สุจริต และมีจรรยาบรรณซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนสปป.ลาว ที่มีหลากหลายภายในสังคมที่มั่นคงและสันติ และสามารถสร้างการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยือนึ่งเป็นพื้นฐานในการกำจัดความยากจนและสร้างประเทศให้ทันสมัย
           ในปัจจุบันกระทรวงที่รับผิดชอบโดยรงในด้านกรพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ คือ กระทรวงกิจการภายใน หรือทบวงการปกครองและคุ้มครองรัฐกรเดิม โดยมีหน่วยงานสนับสนุนในด้านต่างๆ มุ่งเน้นการปฏิรูประบบราชการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยงานภาครัฐทั้งในระดับส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนให้ได้อย่างเท่าเที่ยม มีการตั้งศูนย์การฝึกอบรมข้าราชการ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาและส่งมอบโปรแกรมการฝึดอบรมภายใน รวมถึงการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งการฝึดอบรมในภาครัฐของสปป.ลาว จะมีการฝึกอบรมตั้งแต่การฝึกอบรมขั้นพื้นฐาน การฝึกอบรมระหว่างประจำการ และการฝึกอบรมก่อนเข้ารับตำแหน่งใหม่ ซึ่งในแต่ละกระทรวงก็จะมีแปนการฝึกอบรม เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรในสังกัดของตนเอง อย่างไรก็ดี การพัฒนาข้อาราชการในสปป,ลาว ยังคงมีประเด็มท้าทายในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าตอบแทนหรือการขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพ
           องค์การมวลชน สปป.ลาวมีการจัดดครงสร้างเพิ่มขึ้นจากองค์การทางการเมืองในรูปแบบการแบ่งอำนาจ ดดยทั่วไปนั่นคืองค์การมวลชนที่มีบทบาทในการปลุกระดมประชาชกลุ่มอาชีพและชนชั้นต่่างๆ เพื่อสรับสนุนการดำเนินงาน และร่วมกัิกรรมทางการเมืองของพรรคประชาชนปฏิวัติสปป.ลาว ได้แก่ 
          - องค์การแนวลาวสร้างชาติ เป็นองค์การที่จัดตั้งขึ้นในช่วงสงครามปฏิวัติสปป.ลาว เมื่อปี พ.ศ. 2493 ในชื่อเดิม คือ "แนวลาวรักชาติ" ซึ่งมีภารกิจสำคัญในการสร้างความสามานฉันท์ให้เกิดแก่ประชาชนสปป,ลาวทุกชนชาติลแะทุกชนชั้นของสังคม เพื่อยกระดับสำนึกทางการเมืองของประชาชและระมมวลชนในการปกิบัติงานร่วมกัน โดยมีการจัดดครงร้างองค์การเป็นช่วงชั้น ที่ประชุมสมัชชาของแนวลาวสร้างชาติเป็นองค์การสูงสุด ซึ่งจะมีการเลือกคณะกรรมการกลางมีการจัดตั้งคณะกรรมการระดับแขวงและระดับอื่นๆ เพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นแนวร่วมไปจนถึงระดับท้องถิ่น ทั้งนี้แนวลาวสร้างชาติถื่อเป็นองค์การมวลชนเดี่ยวที่เปิดโอกาสให้คนทุกลุ่มโดยเฉพาะนักธุรกิจและปัญญาชนที่ได้รับการศึกษจากตะวันตกให้เข้าเป็นสมาชิกได้
          - สหพันธ์กรรมกรลาว เป้ฯองค์การของกลุ่มผุ้ใช้แรงงานและลูกจ้างในภาคการผลิตต่างๆ แต่ผุ้ใช้แรงงานทั่วประเทศไม่ได้เป็นสมาชิกสหพันธ์ทั้งหมด เนื่องจากบางแห่งมีจำนวนผุ้ใช้แรงงานน้อย และไม่มีการจัดตั้งองค์การที่ดี
          - องค์การเยาวชนปฏิวัติลาว เป้ฯส่วนหนึ่งของแนวลาวรักชาติที่จัดตั้งมากกว่า 30 ปี โดยเร่ิมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 ได้มีการจัดตั้งองค์การตามเมืองใหญ่ซึ่งมีเป้าหมายในการบ่มเพาะให้ยุวชนเป็นผุ้นำในการสร้างระบบสังคมนิยม ซึ่งองค์การเยาวชนปฏิวัติลาวจะมีหน้าที่ในการสร้างเยาวชนให้มีสัมพันธ์ภาพทางการปลิต 3 ประการของการปฏิวัติ ได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วัฒนธรรม และอุดมการณ์ รวมทั้งปลูกฝังให้เยาวชนต่อต้านอำนาจจักรวรรดินิยมจากต่างชาติ
          - สหภาพแม่หญิงลาว เป้นองค์การส่วนหนึ่ง อันเกิดจากแนวลาวรักชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากแนวคิดของนาย ไกสอน พมวิหาน ที่ต้องการยกระดับสำนึกทางการเมืองของสตรี เพื่อให้ร่วมสร้างการปฏิวัติสังคมนิยม รวมทั้งการเป้นแรงงานที่สร้างผลิตผลและมบทบาทที่แข็งขันในพรรคการเมือง ตลอดจนกาทำหน้าที่มารดาในการบ่มเพาะบุตรให้เป็นสังคมนิยมรุ่นใหม่ ท้งนี้ภารกิจเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป้นต่อการปกป้องและสร้างชาติของสปป.ลาว


                     - "ระบบบริาหราชการของ สาธารณรัฐปรชาธิปไตยประชาชนลาว", สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ.

วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2560

Bureaucracy : Vietnam

           เวียดนามปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม โดยมีพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เป็นพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวของประเทศ โดครงสร้างการปกครองของเวียดนามแบ่งออกเป็น3 ระดับคือ
          - ฝ่ายนิติบัญญัติ ได้แก่ สภาแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นฝ่านนิติบัญญัติ มีอำนาจสูงวสุดในการกำหนดนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศ มีหน้าที่บัญญํติลแก้ไขกฎหมาย แต่งตั้เงประธานาธิบดีตามพที่พรรคคอมมิวนิสต์เสนอ ให้การรับรอง หรือถอดถอนนายกรัฐมนตรีตามที่ประธานาธิบดีเสนอ รวมทั้งแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ อันเป็นระบบกรบริหารแบบผุ้นำร่วม
         - ฝ่ายบริหาร หรือรัฐบาลส่วนกลาง ประกอบด้วย ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี รวมไปถึงตำแหน่งสำคัญในพรรคคอมมิวนิสต์ เชน สมัชชาของพรรคคอมมิวนิสต์ มีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี มีหน้าที่พิจารณา ให้ความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานขององค์กรบริหารระดับสูง เลขาธิการ พรรคคอมมิวนิสต์ เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของพรรค คณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำหน้าที่กำหนดนโยบายด้านการเมือง เศราฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม กรมการเมือง เป็นองค์กรบริหารสูงสุด เป้ฯศูนย์ กลางอำนาจในการกำหนดนโยบาย และควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนด
        - การปกครองท้องถิ่น ในแต่ละจังหวัดจะมีคณะกรรมการประชาชน ทำหน้าที่บริหารงานภายในท้องถิ่นให้เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ นโยบายและกฎระเบีบยต่างๆ ที่บัญญัติโดยองค์กรของรัฐที่อยู่ในระดับสูงกว่า ระบบการบริาหราชการท้องถิ่นของเวียดนามแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
           ระดับจังหวัดและเที่ยบเท่า มี 59 จังหวัด กับอี 5 นคร คือ ฮานอย โฮจิมินห์ ไฮฟอง ดานัง และเกินเทอ ซึ่งจะได้รับงบลประมาณจากส่วนกลางโดยตรง รวมทั้งข้าาชาการจะได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากส่วนกลาง จึงมีอำนาจในการตัดสินใจอย่างเต็มที่ ช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงาน
          เวียดนามได้ทำแผนงานการปฏิรูประบบราชการสำหรับปี พ.ศ. 2544-2553 โดยเน้น 4 ประเด็น ได้แก่ การปฏิรูประบบกฎหมาย การปฏิรูปโครงสร้างองค์กร การยกระดับความสามารถของข้าราชการ การปฏิรูปด้านการคลัง และได้มีการออกกฎหมายใหม่สำหรับหน่วยงานของรัฐและข้าราชการพลเรือนโดยเริ่มมีผลบังคับ เมื่อ พ.ศ. 2553
          เห็นได้ชัดว่าการปฏิรูปเวียดนามน้นเป็นช่วงการนำบทเรียนหรือข้อสรุปมาสู่การปฏิบติโดยการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญของเวียดนามจำเป็นต้องผ่านการประชุมใหญ่หรือ "สมัชชา"พรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งจัดขชึ้นทุกๆ 5 ปี ครั้งล่าสุดจัดเมื่อ ปี 2554 โดยไม่มีนโยบายที่จะปฏิรูประบบราชการใหม่ ดังนั้นคงต้องติดตมการประชุมใญ่ในปี 2559
          การปฏิรูประบบราชการส่วนกลาง ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ พ.ศ. 2554-2563 ของเวียดนามได้ระบุชัดถึงการปฏิรูประเบียบราชการให้สมบูรณ์โดยเน้นในการสร้างระบบราชการให้บริสุทธิ์ตามแผนการปฏิรูประเบียบราชการในทุกด้าน ไม่ว่าจะในด้านระบบราชการ กลไก บุคลากร และการพัฒนาระบบราชการของชาติให้ทันสมัย ได้มีการปฏิรูประเบียบราชการตามแบบการบริหารแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ มีการตรวจสอบการประกาศระเบียบราชการอย่างเปิดเผย ตลอดจนติดตามตรวจสอบเจ้าหน้าที่ข้าราชการของกระทรวงและหน่วยงานในการพบปะแก้ไขปัญหาของประชาชนและผุ้ประกอบการ
          เวียดนามกำลังสร้างระเบียบราชการที่มประชาธิปไตย มืออาชีพ และมีประสิทธิภาพ อันเป็นการมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั้น การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย และการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมเพื่อตอบสนองความต้องการในการปรับตัวให้ทันโลก
         กากรปฏิรูประบบาราชการส่วนท้องถ่ิน โครงการปฏิรูปการบริหาราชการในประทเศเวียดนาม เป้ฯโครงการที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้เกิดการใช้หลักนิติธรรมในการบริหารจัดการส่วนกลาง เป็นมาตรการโดยพรรคการเมืองหลักและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อปฏิรูปให้เกิดเป็นระบบสถาบันและระบบตามกฎหมายให้เป็นเศรษฐกิจแบบตลาดสังคมนิยมโดยการสร้างระบบการบริหารจัดการสาธารณะที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์เรื่องการจักการสาธารณะของเวียดนามเป็นเรื่องที่ยังมีความขัดแย้งภายในอยู่ มีหลายแง่มุมที่กระทบกระเทือนผลประโยชน์ของนักการเมืองบางฝ่าย จึงเป็นเหตุให้การปฏิรูปยังคงมีปัญหาตามมา
         ทั้งนี้ มีผู้สนับสนุนหลายฝ่ายทั้งจากองค์กรในประเทศและต่างประเทศให้มีการปฏิรูปอย่างลึกและเร็ว การปฏิรูปนี้ได้รับการผลักดันโดยนักการเมืองชั้นนำของประเทศเวียดนาม ดดยมีความมุ่งหมายที่จะส่งเสริมความสำเร็จในทางเศรษฐกิจเป็นหลัก และการปรับปรุงระบบราชการเวียดนามให้เป็นระบบที่ประสิทธิภาพและไม่คดโกง โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่รัฐกำลังดำเนินการตามโครงการนี้อย่างหนัก แต่เนื่องจากความมีอิทธิพลอย่างมากของระบบสังคมนิยม จึงทำให้ยังเกิดข้อขัดแย้งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้บ้าง
           เวียดนามปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ มีการรวมศูนย์อำนาจของเวียดนามไว้ที่รัฐบาบลส่วนกลาง โครงสร้างของอำนาจหน้าที่ถูกจัดเรียงจากบนลงล่าง การบริาหรส่วนกลางแบ่งงานตามหน้าที่ของแต่ละกระทรวง ซึ่งดำเนินงานไปตามแผนนโยบายของรัฐบาลและอำนาจในส่วนกลางนี้ คือ การเป็นหน่วยดูแลประเด็นเรื่องการเมืองเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคม การป้องกันประเทศ ความมั่นคง และกิจการระหว่างประเทศ
       

ฺBureaucracy : Philippines

           ฟิลิปปินส์ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ในรูปแบบสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุข มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาช อยุ่ในตำแหน่งคราวละ 6 ปี ดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิดน 1 วาระวุฒิสภามีสมาชิก 24 คน มาจากการเลือกตั้งจากผุ้มีสิทธิออกเสียงทั่วประเทศ มีาระ 6 ปี และรัฐบาลจะจัดให้มีการเลือกตั้งวุฒิสภาจำนวนครึ่งหนึ่ง 12 คน ทุก 3 ปี ฟิลิปปินส์แบงเขตการปกครองออกเป็น 17 เขต 80 จังหวัด และ 120 เมือง โดยแบ่งการปกครองย่อยออกเป็น 1,499 เทศบาล  และ 41,969 บารังไก ซึ่งเที่ยงบท่าตำบลหรือหมู่บ้าน ฟิลิปปินส์จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดี วุฒิสภา สภาผุ้แทนราษฎร และสภาผุ้แทรท้องถิ่นทั่วประเทศ รวม 17.996 ตำแหน่งในคราวเดียวกัน เมื่อปี พ.ศ. 2553 มีผู้ลงทะเบียนเพื่อใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 50.7 ล้านคน ในจำนวนนี้ มีผุ้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประมาณ 38 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 75 ของผุ้ลงทะเบียนทั้งหมด โดยนายเบนิกโน เอส อาคีโน ที่สาม ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และนายเจโจมา บิโน อีดตนยกเทศมนตรีเมืองมากาติได้รบเลือกตั้งเป็ฯรองประธานาธิบดี
           รัฐบาลภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดี อาคีดน ที่สาม มุ่งให้ความสำคัญกับการปกิรูประบบริหารประเทศเพื่อปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงและขจัดความยากจน จึงได้รับความนิยม จากประชาชนและมีสภานะความมั่นคงทางการเมืองสูง ทั้งนี้ รัฐบาลมีมาตรการเร่งด่วน ได้แก่ การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ การสร้างมาตรฐานกฎระเบียบด้านวบประมาณ การปรับปรุงระบบข้าราชการพลเรือน และการปรับปรุงระบบการศึกษา ส่วนประเด็นด้านความสัมพันะ์ระหว่างระเทศรัฐบาลฟิลิปปินส์เน้นการ่งเสริมความร่วมมือในหัวข้อท้าทายต่างๆ เช่น การก่อการร้ายอาชญากรรมข้ามชาติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การระบาดของโรคติดต่อ การฟื้นฟูสภาพเศรษฐิจ และการสร้างพลังประชคมระหว่างประเทศในทุกภาคส่วนเพื่อบรรลุเป้ามหายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ
          หลังจากฟิลิปปินส์ได้รับอิสรภาพจากสหรัฐอเมริกา ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่างๆ มากมาย ในส่วนของระบบราชการเองก็เช่นกันในช่วงปี พ.ศ. 2515 ฟิลิปปินส์ได้มีการปฏิรูประบบราชการที่สำคัญครั้งใหญ่ โดยมีสาระสำคัญในการปฏิรูป ดังนี้

DEPARTMENT OF THE INTERIOR AND LOCAL GOVERNMENT ORGANIZATIONAL STRUCTURE

            - ปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการในสำนักงานประธานาธิบดี มีจุดมุ่งหมายเพื่อลอหน่วยงานที่สังกัดสำจักงานประธานาธิบดี โดยกำหนดหลักเกณฑ์ให้แก่หน่วยงานที่สังกัดสำนักงานประธานาธิบดี ดังนี้
                      1) ส่วนราชการหรือองค์กรที่ทำหน้าทีให้คำปรึกษาแก่ฝ่ายบริหารในเรื่องที่มีคามสำคัญต่อการบริหารราชการเท่านั้น
                      2) ส่วนราชการหรือองค์กรที่ทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการ หรือด้านอำนวยการแก่ผุ้บริหารโดยตรง
                      3) ส่วนราชการหรือองค์กรที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับหลายส่วนราชการ
                      4) ส่วนราชการ หรือองค์กรที่ผุ้บริหารประเทศต้องดูแลอย่างใกล้ชิด
          - กำหนดรูปแบบโครงสร้างส่วนราชการภายในกระทรวง โดยให้ทุกกระทรวงแบ่งส่วนราชการที่ทำหน้าที่อำนายการและวิชาการ ออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ งานวางแผน, งานคลังและการจัดการ, งานบริหารทั่วไปและงานวิชาการ
           ด้านงานหลักหรือด้านการปฏิบัติการ จะแบ่งออกเป็นกรม และสำนักงานเขต กระทั่งปี  พ.ศ. 2529 ได้มีการปฏิรูประบบราชการอีกครั้ง ดดยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นหนึ่งชุด และได้มีการปรับปรุงสวนราชการและการบริหาร เพื่อเน้นด้านการริหารการพัฒนา และสอดรับกักบการให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 ในสมัยของประธานาธิบดีฟิเดล รามอส ได้มีการปฏิรูประบบราชการอีกครั้งหนึ่ง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อความมีประสทิธิภาพและประสิทธิผลของระบบราชการ ปรับเปลี่ยนภาคราชการให้เกิดความเข้มแข็ง และให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยการกระจายงานระหว่างหน่วยงานของรัฐในระดับต่างๆ ให้เหมาะสม และขจัดการปฏิบัติงานที่ไม่จำเป็นออกไป
          ในการปฏิรูประบบราชการในแต่ละครั้ง จะต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการ เพื่อนำเสนอนโยบาย หลักการ แนวทาง มาตรการ และแผนการดำเนินงาน เสนอต่อประธานาธิบดี จากนั้นคณะกรรมการชุดดังกล่าวจะถูกยุบตัวลง และมีกระทรวงงบประมาณและการจัดการ เข้ามทำหน้าที่เป้นฝ่ายเลขานะการของคณะกรรมการและรับผิดชอบในการศึกษา วิเคราะห์และจัดทำรายงานสรุปข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบาย แนวทาง มาตรการและแผนการดำเนินการตามมติของคณะกรรมการ เพื่อเสนอประธานาธิบดีพิจารณาสั่งการให้กระทรวงต่างๆ ไปดำเนินการต่อ ตลอดจนมีหน้าที่ให้คำปรึกษา แนะนำ ติดตาม เร่งรัดให้กระทรวงต่างๆ ตำเนินการตามนโยบาย หลักการ มาตรการ และแผนการดำเนินการตามที่ประธา่นาธิบดีเห็นชอบ และมีคำสั่งให้กระทรวงต่างๆ ดำเนินการ
            ระบบอุปถัมภ์ สังคมฟิลิปปินส์เป้นสังคมเหครือญาติ มีการอบรมสั่งสอนในครอบครัวให้ช่วยเหลือกันและกันระหว่างเครือญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง และให้สำนึกบุญคุณผุ้ที่ช่วยเหลือตน เกิดเป็นค่านิยมที่ติดในเรื่องการเป็นหนี้บุญคุณ รวมทั้งการกล่อมเกลบาทางสังคม ดดยมีค่านิยมทางศษสนาตั้งแต่ยุคสเปน คือ พ่อ แม่ อุปถมภ์ที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันในทุกวิ๔ีทาง โดยมีเงินและอำนาจเป็นปัจจัยสนับสนุน ทำให้ความช่วยเหลือไม่จำกัดขอบเขตและเวลา ทั้งการตอบแทนบุญุนที่ไม่จำแนกว่าเหมาะสมหรือไม่แระการใด จึงกลายเป็นระบบอุปถัมภ์ที่ทำให้เกิดการติดสินบนการทุจริตในทุกวงการ
          ในยุคสมัยก่อนสเปนเข้ามาปกครอง ญานะของสตรีฟิลิปปินส์มีสิทธิเท่าเทียมชาย สตรีสามารถมีสมบัติเป็นของตัวเองและรับมรดกที่เป้ฯทรัพย์สิน ทั้งสามารภทำการค้าขายด้วยตัวเอง รวมถึงการสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าเผ่าจากบิดาได้ อีกท้งมารดามีสิทธิที่ตั้งชื่อให้ลูกด้วยตนเอง และจากการศึกษาของสีดา สอนสี พบสถานภาพของสตรีฟิลิปปินส์เป้นที่ยอมรับจากสังคมมากว่าประเทศใดๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่สมัยสเปนเข้ามาครอบครอง สตรีก็มีอำนาจและบทลาทในการควบคุมการเงินในครอบครัว เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าครอบครองการยอมรับสตรีก็มีสูงมากขึ้นทั้งในวงกาเมืองและการศึกษาในปี  พ.ศ. 2443 มีสตรีเป็ฯผุ้รู้หนังสือสูงกว่าบุรุษในฟิลิปปินส์ และสตรีสามารถก้าวเข้าสู่ตำแหน่งปรธานาธิบดี วุฒิสมาชิก พิพากษาศาลฎีกา ประธานคณะกรรมการเลือกตั้ง ฯลฯ และหากเกิดปัญหากับสตรีก็มีองค์กรสตรีที่เข้มแข็งและรัฐยอมรับ

วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2560

ฺBureaucracy : Indonesia

          ภายใต้การปกครองระบบซุฮาร์โต 31 ปีตั้งแต่ปี พ.ศ.2509 ปะรเทศอินโดนีเซียได้ผ่านการปกครองยุคเผด็จการที่ชาญฉลาดในการครองอำนาจโดยการนำระบบทหารเข้ามามีบทบาทเหนือข้าราชการพลเรือนที่เรียกว่า ระบเกการ์ยา ที่นำทหารเข้าไปดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ตั้งแต่ระดับอธิบดีตามกรมต่างๆ ร้อยละ 78 เลขานถการรัฐมนตรีร้อยละ 84 ตำแหน่งนายอำเภอรอยละ 56 ของตำแหน่งทั้งหมด และที่เห็นได้ชัดในปี พ.ศ. 2513 คือ การตั้งผุว่าราชการมณฑลที่เป้ฯทหารจากกองทัพ 20 คน จากผุ้ว่ามณฑลทั้งหมด 26 คน จนถึงปี พ.ศ. 2540 การตั้งผู้ว่าราชการมณฑลที่เป็นทหารยังครองตำแหน่งผุ้ว่าราชการมณฑลเป็นส่วนมากถึง 14 จากผุ้ว่ามณฑลทั้งหมด 27 คน
          เมื่อสิ้นอำนาจของประธานาธิบดีซูฮาร์โต จึงเกิดกฎหมายปฏิรูปในปี พ.ศ. 2549 ที่การกระจายอำนาจตามตำแหน่งผุ้ว่าราชการมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ในส่วนราชการอื่นก็ได้เกิดการปฏิรู)ป จึงนับว่าเป็นปฏิรูปราชการครั้งแรกของอินโดนีเซียก็ว่าได้
          สาธารณะรัฐอินโดนีเซียดำเนินการปฏิรูประบบราชการตามประกาศประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2553 เพื่อมุ่งสู่การเป็นรัฐบาลที่มีมาตรฐานระดับโลกภายในปี พ.ศ. 2568 และจากนโยบายการปฏิรูประบบราชการดังกล่าว องค์การข้าราชการแห่งชาติ ก็ได้ดำเนินการโครงการเร่งด่วนตามยุทธศาสตร์ 9 โครงการ เพื่อให้การปฏิรูประบบรชการพลเรือนสอดรับกันนโยบายดังกล่าวในประเด็นต่อไปนี้
         - การปรับปรุงโครงสร้างระบบราชการพลเรือน
         - การสร้างเสถียรภาพให้แก่จำนวนข้าราชการพลเรือน เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน
         - การปรับปรุงระบบสรรหาและคัดเลือก และระบบการแต่งตั้งข้าราชการพละรือน
         - การพัฒนาข้าราชการพลเรือนให้มีความเป็นมืออาชีพ
         - การพัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็ทอรนิกส์
         - การอำนวยความสะดวกด้านการจดทะเบียธุรกิจและการดำเนินการด้านธุรกรรมของภาคเอกชน
         - การดำเนินการด้านความโปร่งใสในเรื่องการรายงานทรัพย์สินของข้าราชการ
         - การปรับปรุงระบบสวัสดิการของข้าราชการพลเรือน
         - การสร้างประสิทธิภาพในเรื่องการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวนความสะดวกแก่ข้าราชการ
              เมื่อประธานาธิบดี ซูฮาร์โตได้อำนาจในการบริหารประเทศ สิ่งที่ได้ทำ คือ การใช้กฎหมายบังคับให้ข้าราชการเป็นสมาชิกถาวรของสมาคมขาาชการแต่ละอาชีพที่รวมตัวกันจัดตั้งเป้นสำนักงานข้าราชการพลเรือนที่มีรูปแบบการจัดตั้งในลักษณะบรรษัท ที่มีชื่เอเต็มเรียกว่า "คอร์ปส์ เปกาวาอี เนเกรี" สำนักงานที่เป้ฯตัวแทนรักษาผลประโยชน์ของข้าราชการพลเรือนแตะละสาขา ที่มิใช่จะต้องรับผิดชอบต่อหน่วยงานราชการที่ตนเองสังกัดอยู่เท่านั้น แต่จะต้องทำตัวเป็นลูกจ้างที่ดีของรัฐบาลโดยถูกกฎหมายและวินัยข้าราชการบังคับให้เป้นสมาชิกของพรรคโกลคาร์ในเวลาเดียวกันด้วย เพราะโกลคาร์คอือ งอค์การทางการเมืองถูกกฎหมายเพียงองค์การเดียวทีคอร์ปต้องเป็นสมาชิกถาวร
             ระบบราชการของอินโดนีเซียตั้งแต่ได้รับเอกราชก็ไม่ต่างกับประเทศที่ได้รับเอกราชใหม่ๆ ที่ต้องการปรับตัว ปรับกำลังคน แต่มาถูกจำกัดให้เป็ฯระบบที่ถูกกำหนดโดยพรรคการเมืองที่ขึ้นตรงต่อประธานาธิบดี ซูฮาร์โต ซึ่งเป็ฯระบบที่ทำเพื่อบุคคล ไม่ใช่เพื่อประทเศชาติ ข้าราชการยุคนี้จึงเป็นยุคที่ทำงานช้า ขาดความโปร่งใส ขาดความรับผิดชอบและขาดการริเริ่ม บางคร้งมีการคอรัปชั่น จึงจำเป็นต้องปฏิรูปอย่างมาก
             หลังยุคของประธานาธิบดี ซุฮาร์โต จึงเกิดการเคลื่อไหวปฏิรูป และการะจายอำนาจภายในยุคระเบียบใหม่ ของรัฐบาลในปี 1988 และรัฐบาลได้ผ่านกฎหมายการกระจายอำนาจสู่ส่วนภูมิภาค และกฎหมายการบริหารข้อาราชการเปิดให้มีการปฏิรูปการบริการภาครัฐในอินโดนีเซียอย่างจริงจัง นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยอินโดนีเซียท่านหนึ่งมองว่า กฎหมายทั้งสองฉบับ เป็นการก้าวย่างที่ถูกต้ง อต่ยังขาดการเป็นผุ้นำที่เข้มแข็ง มุ่งมั่น เพื่อนำทางสู่บทสรุปตามตรรกของการปฏิรูปที่เพิ่มสมรรถนะของข้าราชการทำให้ข้าราชการมีศักยภาพในการดูแล ช่วยสนับสนุนให้การปกครองสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายของประเทศ และเป้ฯการยกระดับมาตรฐานคุณาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งต้องการปฏิรูประบบราชการทั้งในกรอบของความคิดเชิงสถาบัน และในส่วนของประเด็นตางๆ ทางจริยธรรม ซึ่งต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคโลกาภิวัตน์ที่รัฐบาลอินโดนีเซียต้องตระหนัก และจำเป็นต้องปรับโครงสร้างระบบราชการโดยยกระดับ คุณภาพของข้าราชการและการพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพทันสมัย
            จากสภาพความซับซ้อนในสังคมที่มีประชากรกว่า 247 ล้านคน และกระจายกันอยู่ แม้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการปฏิรูปในอินโดนีเซียแต่อย่างไรก็ตามน้ำหนักของการปฏิรูปยังคงต้องผ่านกับอดีตของอินโดนีเซียจนถึงที่หมายของความสำเร็จ การมีผุ้นำที่เข้มแข็งและกล้าตัดสินใจชี้นำการปฏิรูปเป็นเรื่องสำคัญมาก และหลายสิ่งที่ดำรงอยู่ในอินโดนีเซียยังคงเป้นคำถามใหญ่ และไม่มีใรสามารถทำนายเมื่อความซื่อสัตย์ การก่อให้เกิดผล การสร้างสรรค์ ความรับผิดชอบ และข้าราชกรที่ชำนาญการแบบมืออาชีพจะปรากฎในอินโดนีเซียเหมือนกับมุสลิมที่ดีทั้งหลายในอินโดนีเซียพูดในครั้งหนึ่งว่า "เป็นเจตนาของพระฮัลลอฮฺ"

           รัฐบาลอินโดนีเซียในยุคปัจจุบันอยู่ภายใต้การนำของประธานาธิบดี ดร.ซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 ซึ่งดำรงตำแหน่งวาระละ 5 ปี และโดยการปกครองระบอบสาธารณรัฐแบบประชาธิปไตย นั้น ดร. ซุซิโล บัมบัง ยูโดโยโน จึงเป้ฯทั้งประธานาธิบดี ประมุข และหัวหน้าฝ่ายบริหาร โดยมีรัฐมนตรีร่วมคณะ 35 คน
           การเป็นรัฐบาลสมัยที่ 2 ต้องปรับคณะรัฐมนตีเป้นครั้งแรกในช่วง 2 ปีในวาระที่สองของประธานาธิบดี เนื่องจากปัญหา การฉ้อราษฎร์บังหลวง,ประสิทธิภาพการทำงานของพรรคร่วมรัฐบาล, พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและประเด็นส่วนตัวของรัฐมนตรี, การแตกความสามัคคีระหว่งพรรคร่วมรัฐบาล..แม้สภานการณ์การเมืองในอินโดนีเซียยังคงมีเสถียรภาพ แต่ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อพรรครัฐบาล PD ลดลง เนื่องจากกรณีการทุจริตของนายนาซารุดดิน เหรัญญิกพรรค PD ในโครงการก่อสร้างสถานที่แข่งขันกีฬาซีเกมส์ ในขณะที่ประธานาธิบดียังคงได้รับความนิยม และรัฐบาลยังคงดำเนินการบริหารประเทศตามวิสัยทัศน์ พ.ศ. 2568 ที่ให้ความสำคัญใน 3 สาขาหลัก คือ การพึ่งพาตนเอง, ความสามารถในการแข่งขัน, มีอารยธรรมที่สูงส่ง โดยยังคงให้ความสำคัญกับการปฏิรูปและการพัฒนาประเทศการส่งเสริมบทบาท และผลประโยชน์ของอินโดนีเียอย่างต่อเนื่องซึ่งดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลยังคงมุ่งเน้นการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งจัดการการดำเนินการพัฒนาประเทศตามแผนแม่บท เพื่อการพัฒนาเศราฐกิจปี พ.ศ. 2554-2568 ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาแห่งชาติระยะกลาง และระยะยาว เพื่อเพิ่มและชยายการพัฒนาเศรษบกิจอินโดนีเซยให้สามารถพึงพาตนเองได้ และมีความก้าวหน้ารวมทัี้งนโยบายการกระจายตลาดไปสู่ภูมิภาคต่างๆ การส่งเสริมการส่งออกการบริโภคภายในปะเทศ การส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ เพื่อสนับสนุนแผน MP3EI โดยการแก้ไขกฎระเบียบด้านการลงทุน การออกมาตรการภาษีเพื่อเอื้อและจูงใจนักลงทุนต่างชาติ และการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมการผลิตภายในเพื่อทดแทนการนำเข้า โดยการกำหนดสาขชาเป้าหมายที่ให้ความสำคัญและให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม รวมทังให้ความสำคัฐกัลการส่งเสริมความมั่นคงด้านอาหาร ด้านพลังงาน และส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยอินโดนีเซยตั้งเป้าหมายที่จะก้าวเป้ฯผุ้นำทางเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นลำดับ ที่ 1 ใน 10 ของโลกในปี พ.ศ. 2568 และเป็นลำดับที่ 1 ใน ปี พ.ศ. 2593
            การจัดตั้งนโยบายทางความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร ในสังคมชนบท(โกตองโรยอง) ความคิดเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร หรือ CSR นั้น เป้รเรื่องใหม่ที่พูดกันในกระแสของโลกาภิวัตน์ที่ต้องการให้องค์กรทางธุรกิจเข้าไปมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคม ในขณะเดียวกันองค์กรภาครัฐก็ต้องเอื้ออำนวยให้เกิดการพัฒนาไปพร้อมๆ กัน ซึ่งการจัดตั้งนโยบายด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและส่ิงแวดล้อมขององค์กร ในสังคมชนบทของอินโดนีเซียที่ได้จัดทำนั้น ต้องวางนโยบายให้สอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมายประเพณีในสังคมตามความเชื่อในศาสนา ที่ยังต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและสืบทอดกันมานานแล้ว โดยมีสาระสำคัญ คือ ควาผูกพันระหว่างสามีกับภรรยา พ่อแม่กับลูก และพลเเมืองต่อสังคม คื อการช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกันในงานด้านต่างๆ  เช่น การเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว การแต่งงาน และการสร้างบ้านที่อยู่อาศัย


                         

วันอังคารที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2560

ฺBureaucracy : Thailand

          ระบบราชการไทยได้มีการปฏิรูปสำคัญๆ มาหลายครั้ง ตั้งแต่ยุครัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูประบบราชการแผ่นดินอีกครั้งใน พ.ศ. 2435 โดยได้ปฏิรูปโครงสร้างระบบราชการและจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินขึ้นใหม่ ซึ่งประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนคือ
         1 การปฏิรูปการบริหาราชการส่วนกลาง เช่น การยกเลิกจตุสดมภ์และการจัดการปกครองแบบมณฑล
         2 การปฏิรูปการบริหาราชการส่วนภูมิภาค เช่น การจัดการปกครองแบบมณฑล
         3 การปฏิรูประบบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น เช่น การจัดการปกครองแบบเทศาภิบาล (เทศบาล)
         ยุครัชกาลที่ 7 แม้การปกครองประเทศจะมีความพลิผันมากมายและเป้ฯช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ก็ได้มีการนำระบบคุณธรรม ซึ่งประกอบด้วย หลักความสามารถ หลักความเสมอภาค หลักความมั่นคง หลักความเป็นกลางทางการเมือง เข้ามาเป็ฯกรอบแนวทางการวางระบบข้าราชการพลเรือนสมัยใหม่ในระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471 จากยุค พ.ศ. 2475 -พ.ศ. 2540 มีการพูถึงการปฏิรูปหลายครั้ง แต่ในทางปฏิบัติยังติดอยุ่ในกรอบดังนี้
       - เน้นการแบ่งส่วนราชการ และการจัดอัตรากำลังข้าราชการ
       - ปฏิรูประบบราชการด้วยการปรับปรุงการให้บริการประชาชน
       - ส่งเสริมการมอบอำนาจ และแบ่งอำนาจการบริหาราชไปยังส่วนภูมิภาค
       - การกำหนดชื่อ และความหมายของหน่วยงานระดับต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีชื่อเรียกเป็นอย่างอื่น เช่น สำนัก สำนักงาน สำนักเลขาธิการ สถาบัน ศูนย์ ศูนย์บริการ สถานี สถานีทดลอง เป็นต้น เพื่อให้กระทรวง กรมต่างๆ ถือเป็นแบบปฏิบัติเดียวกัน

       - มีการตั้งหน่วยงานใหม่ เช่น การจัดตั้งศาลปกครอง
       - การเสนอกฎหมายใหม่ และการปรับปรุงกฎหมาย เช่น กฎหมายว่าด้วยข้อมูลและข่าวสารของทางราชการ การปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการระเบียบสำนักรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพ่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ การพัฒนาการบริการสาธารณะ การปรับปรุงประสทิะภาพกรมตำรวจ การปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการข้าราชการอัยการ ฯลฯ
        ในพ.ศ. 2540 มีการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิรูประบบราชการเป็นครั้งแรก มีการจัดทำแผนแม่บทการปฏิรูปราชการ ซึ่งนับว่าเป็นแผนแม่บทการปฏิรูประบบราชการฉบับแรก โดยกำหนดหลักการ 2 หลักการ คือ
        - การปรับบทบาท ภารกิจ และขนาดของหน่วยงานรัฐ
        - การปรับปรุงระบบการทำงานของหน่วยงานรัฐ
        ประเทศไทยเมื่อครั้งเชื่อมต่อเศรษฐกิจของไทยเข้ากับเศรษฐกิจโลกในการเปิดเสรีทางการเงิน ในเวลาไม่นานธุรกิจอุตสาหกรรมของไทยก็ล้มละลายต้องขายกิจการกันอย่างมโหฬาร ซึ่งความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจนั้น ภาครัฐไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ประกอบกับการเรียร้องของประชาชนทำให้เกิดกระแสปฏิรูปใหม่ และมีการเสนอรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540
        การปฏิรูประบบราชการไทยได้มีการนำเครื่องมือทางการบริหารใหม่ๆ มาใช้อย่างแพร่หลาย และปรากฎเป็นรูปธรรมเมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญัติและระเบียบบริหารราชการแผ่นดินเมื่อ ตุลาคม 2545 ซึ่งทำให้มีการปรับโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการใหม่จาก 14 กระทรวง 1 ทบวง มาเป็ฯ 20 กระทรวง และได้กำหนดให้มีคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) โดยให้เป็ฯหน่วยงานขับเคลื่อนการปฏิรูประบบราชการ การปฏิรูประบบราชการในยุคนี้จึงเรียกว่า "การพัฒนาระบบราชการ" เครื่องมือที่สำคัญคือ
        - แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2546-2550)
        - พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ซึ่งออกตามมาตรา 3/1 และมาตรา 71/10 (5) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5 ) พ.ศ. 2545
        - ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2546
        - โครงการพัฒนาผุ้นำการบริหารการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นการจัดการเรียนรู้จากการปฏิบัติ เพื่อพัฒนาผู้ว่าราชการจังหวัด และผุ้บริหารของพระทรวงนำร่องในการบริหารการเปลี่ยนแปลง ตามหลักการ และแนวทางในการพัฒนาระบบราชการ
         โครงสร้างราชการไทย ปัจจุบันโครงสร้างข้าราชการไทยมีลักษณะซับซ้อน แม้จะมีความพยายามในการลดจำนวนข้อราชการลงโดยวิธีการต่างๆ เช่น การเกษียณก่อนอายุ การยุบหน่วยงานบางหน่วยงานเข้าด้วยกัน อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถลดจำนวนข้าราชการลงได้ตามจำนวนที่ต้องการ นอกจากนั้นโครงกสร้างหน่วยงานกลับมีการขยายมากขึ้น ทำให้จำนวนบุคลากรที่ปฏิบัติงานในระบบราชการมีลักษณะเป็นลูกจ้างตามสัญญาจ้างมากขึ้น จึงไม่สะท้อนภาพที่แท้จริงของโครงสร้างข้าราชการ
          ด้านระบบการทำงาน ปัจจุบันระบบราชการไทยเน้นการปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบ โดยจำแนกบุคลากรตามโครงสร้างองค์กร เพื่อให้สามารถมอบหมายงานเฉพาะได้ ทำให้ระบบการทำงานที่เป็นอยุ่ ยึดติดกฎระเบียบและสายการบังคับบัญชา จึงไม่สอดคล้องกับสภาพลักษณะงานจริงที่ต้องมีลักษณะเป็นพลวัต ระบบราชการจึงไม่รองรับการเปลี่ยนแปลงจากสภาพแวดล้อมภายนอกได้อย่างทันท่วงที


                                - "ระบบบริาหรราชการของราชอาณาจักรไทย", สำนักงาน ก.พ.
       

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...