Bureaucracy : Myanmar

             ข้าราชการในยุคก่อนตกเป็นอาณานิคม หรือยุคที่กษัตรยิ์เมียนม่าร์ยังดำรงอยู่ เป็ฯที่เคารพยกยองของผุ้คน ถึงแม้ว่าการคัดเลือก การแต่างตั้งและเงื่อนไขการให้บริการไม่เข้มวงด กษัตรยิ์เป็นผุ้แต่างตั้งผุ้คงแก่เรียนที่มีความรู้ความสามารถและผุ้เชี่ยวชาญการบริหารบ้านเมือง ดูได้จากการตัดสินของศาล คำสั่ง และกิจกรรมต่างๆ เป็นเรื่องสามัญทั่วไป ได้มีการจดบันทึกอย่างละเอียด ซึ่งสะท้อนภาพให้เห็นว่าพื้นความรู้ของเมียนมาร์อยุ่ในระดับสูง แม้เป็นช่วงเวลาที่อังกฤษเข้ยึดครอง ก็ต้องยอมรับว่าความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ของชาวเมียนมาร์อยุ่ในระดับสูงกวาคนในอาณานิคมอื่นๆ ของอังกฤษ ความสำเณ้จในภาษาและวรรณกรรมเป้ฯเรื่องที่ผุ้คนต้องยกย่องและกล่าวถึง
           หลังตกเป็นอาณานิคม สำนักงานของบริษัท บริติส อี อินเดีย ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กักัตตาเป็นผู้บริหารเขตปกครองในปี พ.ศ. 2428 เมียนมาร์ทั้งหมดถูกผลักดันให้อยุ่ใต้กฎระเบียบของอาณานิคมระหว่างปี พ.ศ. 2429-2480 เมียนมาร์ถูกจดการดูแลให้เป็นเพียงหนึงจังหงัดของอินเดีย และถูกปกครองโดยอุปราชของอังกฤษในอินเดีย
           จากรายงานของคณะกรรมการชุด Mac Aulay Jowelt ในปี พ.ศ. 2368 ว่าหน่ออ่อนของระบบการบริหารจัดการได้ถูกกำหนดให้ไปใช้ในอินเดียและเมียนมาร์ โดยบุคลากรขาวอังกฤษกับชาวพื้นเมืองอีกบางส่วน ข้าราชการขั้นหัวหน้าในแต่ละระดับชั้นและข้าราชการอินเดียต่างมีความสุขกับอภิสิทธิ์ต่าๆง และคำนึงถึงการเป้ฯชนชั้นนำ ในปี พ.ศ. 2480 เมียนมาร์ถูกแยกออกจากอินเดีย คณะกรรมการบริการภาครัฐที่แยกออกมาถูกจัดตั้งขึ้นในเมียนมาร์ เพื่อสรรหาและบรรจุข้าราชกาเมียนมาร์ หลังจากประสบความสำเร็จได้เอกราชในเดือนมกราคม พ.ศ. 2491 เมียนมาร์ยังคงใช้โครงการบริหารจัดการที่ส่งมอบโดยอังกฤษ และอิสรภาพที่ตามมา คือ มีข้าราชการเมียนมาร์เกือบทังหมดเป็นชาวเมียนมาร์ (ยกเว้นการบริการที่อาศัยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ)
            ในปี พ.ศ. 2496 มีประกาศใช้กฎหายข้าราชการพลเรือน และคณะกรรมการสไภาพข้าราชการเป็นเรื่องที่มาก่อนของคณะกรรมการการคัดเลือกและการฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน ถูกจัดตั้งในปี พ.ศ. 2520 มีการประกาศใช้กฎหมายคณะกรรมการการคัดเลือกและการฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน และมีการแต่างตั้งคณะกรรมการการคัดเลือกและการฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน
          สถาบนการฝึกอบรมข้าราชการ Phaung gyi ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2508 ภายใต้การกกับของกระทรวงมหาดไทย และถูกย้ายไปอยู่ภายใต้การบริหารของคณะกรรมการการคัดเลือกและฝักอบรมข้าราชการพลเรือน ในปี พ.ศ. 2520 ซึงตั้งแต่ดำเนินงานมามีประธานมาแล้ว ึ คน ในนามของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนและคณะกรรมการการคัดเลือกและฝึกอบรมข้าราชาการพลเรือน อีกทั้งสำนักงานใหญ่ของคณะกรรมการการคัดเลือกและฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน ที่รวมถึงกรมการคัดเลือกและการฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน และกรมการข้าราชการพลเรือน ได้เปิดทำการใหม่ที่กรุงเนปิดอร์ ในพป 2549 เป็นต้นมา
          นอกจานี้รัฐบาลเมียนมาร์ได้รับการช่วยเหลือในการพัฒนาบุคลากรภาครัฐโดยความช่วยเหลือจากต่างประเทศมาโดยตลอด อย่างโครงการความร่วมมือกับมูลนิธิสันติภาพซาซากาว่า ของญี่ปุ่น ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการให้แก่บุคลากรภาครัฐปีละ 120 คน ในหัวข้อ "การฝึกอบรมเชิปฏิบัติการ การเพ่ิมประสิทธิภาพของข้าราชการพลเรือนเมียนมาร์"ในระหว่างปี พ.ศ. 2545-2547 ซึ่งการฝึกอบรมนี้ประสสบความสำเร้๗ในส่วนที่เพ่ิมประสิทธิภาพข้าราชการพลเรือนในการทำงานร่วมกัน และในปี พ.ศ. 2545 ประเทศสิงคโปร์ได้บริจาคเงินช่วยเหลือจัดตั้งโรงเรียนการฝึกอบรมเมียนมาร์สิงคโปร์ ในย่างกุ้งตามโปรแกรมเริ่มต้นเพื่อการรวมกลุ่มอาเชี่ยน โดยมีเนื้อหาครอบคลุมความหลากหลายในการพัฒนาทรัยากรมนุษย์ ไม่ว่าด้านภาษาอังกฤษเทคโนโลยีสารสนเทศ การบริหารภาครัฐ การคั้า และากรท่องเที่ยว
        โรงเรียนการฝึกอบรมเมียนมาร์สิงคโปร์นี้ ยังมีโปรแกรมที่ได้มาตรฐานยกระดับสำหรับครูผู้ฝึกอบรมด้านต่างๆ จึงมีการส่งครูผุ้ฝึกอบรมมาเรียนในหลายหลักสูตรที่โรงเรียนนี้ และยังมีการส่งครูผุ้ฝึกอบรมเด่นๆ ให้มีโอกาสได้เขาร่วมหลักสูตรการฝึกอบรมต่างๆ และเป็นตัวแทนไปดูงานในต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลี จีน และฯลฯ
            เมียนมาร์ เป็นประเทศที่เป้นจุดเชื่อมระหว่างภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และเอเลชียตะวันออกเฉียงใต้ ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน และค่าแรงต่ำ ประกอบกับมีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก เช่น พลังงาน แร่ธาตุ ป่าไม้ พื้นที่การเพาะปลูก ตลอดจนทรัพบยากรทางทะเล และจัดเป็นประเทศในกลุ่มประเทศที่ยากจนที่สุด ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษี และสิทธิพิเศษทางการค้าจากหลายประเทศ ประกอบกับเมียนมาร์ได้เปลี่นแปลงการปกครองเป้นระบอบประชาธิปไตยและเปิดประเทศให้ผุ้สนใจเข้าไปลงทุนได้เสรีมากขึ้น โดยผ่านนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศของเมยนมาร์ การพัฒนาภาคการเงิน การเดินหน้าปฏิรูป และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและัแรงงน การสร้างบรรยากาศการลงทุน รวมทั้งกาพัฒนโครงข่ายคมนาคมในประเทศเชิงรุกทั้งทางถนน รถไฟ และท่าเรือ ทำให้เมียนมร์มีการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2555 คิดเป็ร้อยละ 6.3 ซึงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ 5 ปี ที่ผ่านมาที่อยู่ร้อยละ 54 อย่างไรก็ดีระบบการเมืองและนโยบายขอวเมียนมาร์ยังไม่แน่นอน ระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานยังขาดแคลนและมีราะคาสูง รวมถคึงเครื่อข่ายคมนาคมยังไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้เมยนมร์มีข้อจำกัดทางด้านนเงินุนและระบบการเงินที่ไม่สามารถเคลื่อยย้ายได้ปย่างเสรี ประกอบกับในอดีตที่ผ่ารมาเาียนมาร์ได้รับผลกระทบจากมาตรการควำบาตรของประชาคมโลก จึงทำใ้ห้ค่าใช้จายในการลทุนของภาครัฐและภาคเอกชนมีต้นทุนเฉลี่ยสูงกว่าประทเศอื่นๆ ในภูมิภาค ดังนั้น เมียนมาร์จึงด้มีการกำหนดแนวทางในการพัฒนาเศษรกิจและโดยกำหนดประเด็นสำคัญๆ ดังนี้
             - การจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 20 ปี
             - ให้ความสำคัญต่อภาคการค้าและการลงทุน รวมถึงการระดมการลงทุนระหวางประเทศ
             - การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง
             - การบริหารจัดการความช่วยเหลือจากต่างชาติให้มีประสิทธิภาพและสอดคลองกับเป้าหมายของประเทศในการปฏิรูประยะที่ 2 คือ การพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนขาวเมียนมาร์ให้ดีขึ้น
             - สำหรับการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดังกลาวข้างต้นเมียนมา์มีเป้าประสงค์ยึดหลักประชาชนระดับรากหญ้า ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการบริหารจัดการของรัฐ และมีส่วนร่วมในการกำหนทิศทาง นโยบายและกระบวนการในการพัฒนา ซึ่งมีปัจจัยสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตด้านต่างๆ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินสภาพความเป็นอุ่ภายในชุมชน เป็นต้น ซึ่ตามกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม จะมีโครงการเร่งด่วนเพื่อให้เกิดความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องดังนี้
                      ปฏิรูปภาษีและการเงิน , ปฏิรูปภาคการคลังและการเงิน รวมถึงธนาคารกลาง เปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน พัฒนาธุรกิจภาคเอกชน โดยปฏิรูปกฎหมายและระเบียบที่สำคัญสำหรับภาคการท่องเที่ยว, พัฒนาระบบโทรคมนาคมและการสื่อสารให้ทันสมัย, พัฒนาสาธารณสุขและการศึกษา,สร้างความม่ั่นคงด้านอาหารและความเจริญเติบโตภาคการเกษตร,สร้างระบบบริหารจัดการให้มีความโปร่งใส โดยเน้นความโปร่งใสในการจัดทำและดำเนินงานที่ใช้จ่ายจากเงินวบประมาณภาครัฐ, พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยปรับปรงระบบคมนาคมขนส่งสาธารณะและพลังงานรวมท้งปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกบการจ้างงานและากรให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ, สร้างคามมีประสทิธิภาพและประสิทธิผลจากการดำเนินงานของรัฐ และสำหรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 20 ปี ตามกรอบดังกล่าวข้าตัน เมียนมาร์ได้กำหนดเป้าหมายที่สำคัญไว้คือ
            - ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวเมียนมาร์
            - เพ่ิมรายได้ประชากร
            - พัฒนาโครงการสร้างพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสาธารณูปโภค เช่น การคมนาคม แหล่งน้ำและสุขาภิบาล พลังงานไฟฟ้าการศึกษา การสาธารณสุข และระบบประกันสังคม เป็นต้น
             - จัดให้มีการจ้างงานเพ่ิมากขึ้น
             -อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
             - บรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ตามวัตถุประสงค์ของสหประชาชาติและประชาคมอาเซียน


                    -  "ระบบบริหารราชการของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์" สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ.
       

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Chanson de Roland

City of God (St. Augustine)

Republik Indonesia I (The Kingdom)