การแบ่งเขตการปกครองภายในประเทศของ สปป.ลาว แบ่งออกเป็น 16 แขวงและนครหลวง 1 แห่ง การปกครองท้องถิ่นในปัจจุบันตามรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พ.ศ. 1991 (ฉบับแก้ไขปรับปรุง ค.ศ. 2003) มาตรา 75 กำหนดให้แบ่งการปกครองท้องถ่ินออกเป็ฯ 3 ขั้น ได้แก่ ขั้นแขวง ขั้นเมือง และขั้นบ้าน โดยขั้นแขวงมีหนวยการปกครอง คือ แขวงและนครหลวง ขั้นเมืองมีหน่วยการปกครอง คือ เมืองและเทศบาล ส่วนขั้นบ้านมีหนวยการปกครอง คือ บ้าน ส่วนตำแหน่งผุ้ปกครองกำหนดให้แขวงมีเจ้าแขวงเป็นผู้ปกครอง นครหลวงโดยเจ้าครองนครหลวง ส่วนการปกครองระดับเมืองให้ปกครองโดยเจ้าเมือง สวนเทศบาลให้อยู่ภายใต้การปกครองของหัวหร้าเทศบาลและสุดท้าย คือการปกครองในระดับบ้านให้มีนายบ้านเป็ฯผู้ปกครอง ในกรณีที่จำเป็นอาจจะตังเขตพิเศษขึ้นตามความเห็ฯชอบของสภาแห่งชาติ โดยให้เขตพิเศษนั้นมีฐานะเที่ยบเท่ากับแขวง
การปกครองท้องถิ่นในสมัยอาณานิคมฝรั่งเศสระหว่าง ค.ศ. 1893-1945 ภายใต้การปกครองแบบเมืองขึ้นโดยมีพระเจ้าแผ่นดินปกครองในฐานะประมุขแต่เพียงในนามเท่านั้น ซึ่งการจัดโครงสร้างการกคอรงในช่วงเวลานี้ได้แบ่งการปกครองออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนกลางมีการจัดตั้เง กระทรวง ทบง
กรม และอีกส่วนหนึ่ง คือ ส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย
แขวง มี เรสิดังต์ เป็นผู้ปกครอง
เมือง มี เดเลเกย์ เป็นผู้ปกครอง
กอง มี นายกอง เป็นผู้ปกครอง
ตาแสง มีตาแสง เป็นผุ้ปกครอง
บ้าน มี นายบ้านเป็นผู้ปกครอง
" แขวง" เป็นหน่วยการปกครองที่หใญ่ที่สุดในระดับท้องถิ่น ขึ้นตรงหรือยู่ภายใต้การบังคับบัญชาต่อข้าหลวงใหญ่ฝรั่งเศส หรือผุ้สำร็จรชการประจำลาว โดยแขวงประกอบด้วยหลาย "เมือง" เมืองแบ่งเปนหลาย "ตาแสง" มีความหมายได้ทั้งหน่วยการปกครองระดับตำบลและหัวหน้าผุ้ปกครอง ซึ่งได้รับการเลือกตั้งมาจากนายบ้านที่อยู่ในพื้นที่ตาแสงนั้นๆ โดยเจ้าเมืองให้การรับรองทั้งตาแสงและนายบ้านมีหน้าที่ในการสำรวจประชกร รายงานเกี่ยวกับการเกิดการตาย ดุแลประชาชนตามคำสั่งของเจ้าเมืองและเจ้าแขวงส่วนท้องถิ่นมีเทศบาล ทั้งนี้ฝรั่งเศสได้จักตังเทศบาลขึ้นในทุกท้องที่ทุกแขยวงเพื่อดำเนินกาบริาหรงานส่วนท้องถ่ิน โดยมอบให้ข้าหลวงประจำจังหวัดดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรี นอกจานี้ยังมี "กอง" ที่จัดตั้งขึ้นในเขตที่ไม่สามารถจัดเป้ฯเมืองได้ โดยมีนายกองเป้นผุ้ปกครองซึ่งอาจขึ้ต่อเจ้าเมืองหรือเจ้าแขวงแล้วแต่กรณีไป
ในด้านอำนาจหน้าที่นั้น ตาแสงและนายบ้านมีหน้าที่สืบสวนหาคนร้าย และเป็นผุ้พิพากษาในคดีบางประเภท สามารถที่จะปรับผู้ที่กระทำการละเมิดจารีตประเพณีหรือความสงบของหมู่บ้าน หากตาแสงและนายบ้านทำงานได้ดดี เจ้าแขวงอาจให้ยศเป็ฯหมื่อนแสน เพย และพยา ส่วนเจ้ามืองนั้นถือได้ว่ามีอำนาจเบ็ดเสร็จและประชาชต้องเช่อฟังอย่างเคร่งครัด มีการใช้อำนาจและกระบวนการปกครองด้วยระบบศาล หัวหน้าตำรวจ ระบบโรงเรียนโดยผ่านหัวหน้าโรงเรียนประถมสมบูรณ์ตอนต้น การสาธารณสุขโดยใช้การออกคำสั่งเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาล ใช้อำนาจปกครองประชาชผ่านตาแสงและนายบ้าน
กล่าวได้ว่า การจักการปกครองที่เกิดขึ้นมุ่งเน้นการสร้างระบบควบคุมลาวให้อยู่ในความสงบเป็นหลัก โดยใช้ระบบควบคุมเป็นขั้นตอนกล่าวคือ ระดับเมืองให้เจ้าเมืองนั้นมีอำนาจมากและเก็บผลประโยชน์หรือบรรณาการส่งใหรัฐผุ้ปกรองมากกว่าการสร้างความเป้ฯปึกแผ่นของคนในชาติ สามารถเรียกเก็บภาษีสาธารณูปโภคจากประชาชนได้โดยให้แขวงเป้ฯหน่วยจัดเก็บหรือแผงในรูปค่าธรรมเียมต่าง ต่อมาเมืองญี่ปุ่นได้ครอบครองลาวต่อจากฝรั่งเศสในเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 ยังคงรักษาโครงสร้างการปกครองของฝรั่งเศสไว้เช่นเดิม แต่ให้ผุ้ปกครองชาวญี่ปุ่นเข้าไปทำหน้าที่แทนผุ้ปกครองชาวฝรั่งเศสและจัดให้มีสภาที่ปรึกษาสูงสุดคู่กับพระเจ้าแผ่นดิน และให้มีที่ปรึกษาสูงสุดของญี่ปุ่นแทนที่ข้าาหลวงใหญ่ของฝรั่งเศส ตลอดจนย้ายที่ทำการจากเวียงจันทน์ไปตั้งอยู่ที่ท่าแขกในแขวงคำม่วน ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ติดชายแดนไทยและเวียดนาม
ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงคราม ฝรั่งเศสได้กลับเข้ามายึดอำนาจในการปกครองลาวอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้บริบทางการเมืองที่ประชาชนมีความตื่นตัวทางการเมืองและมีกระแสชาตินิยมมากขึ้น ฝรั่งเศสจึงได้จัดรูปแบบการปกครองใหม่ ถึงแม้จะไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ได้นำรูปแบบโครงสร้างการปกคอรงแบบโลกเสรีตะวันตกมาใช้โดยจัดให้มีสภาแห่งชาติ รัฐธรรมนูญและรัฐบาล ซึ่งอำนาจทั้งหมดยังคงเป็นของข้าหลวงฝรั่งเศส รวมทั้งได้มีการแบ่งแยกข้าราชการออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่ ข้าราชการระดับสหพันธ์ ทำงานให้แก่องค์กรยุติธรรม การคลัง การเงิน ภาษี โยธาธิการ ไปรษณีย์ การศึกษาระดับกลางและระดับสูงตลอดจนองค์การรักษาความปลอดภัยของสหพันธ์ ในขณะที่อีกระดับหนึ่ง คือ ข้าราชการระดับท้องถิ่น ประกอบด้วย กองทหารรักษาพระองค์ กองทัพแห่งชาติ การศึกษาแห่งชาติ ข้าราชการกระทรวงทบวง กรมของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรลาว แต่ยังคงโครงสร้างการปกครองท้อถงถิ่นเอาไว้ ได้แก่ แขวง เมือง กอง ตาแสงและบ้าน
เมื่อพรรคประชาชนปฏิวัติลาวยึดอำนาจจากรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรลาวแล้ว หัวใจสำคัญประการหนึ่ง คือ เปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบบริหาราชการ โดยในช่วงระยะเริ่มแรกของการปกครองจนถึงก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ค.ศ. 1991 นั้น มีแนวโน้มเป็ฯการกระจายอำนาจโดยองค์การปกครองส่วนท้องถ่ิน มีการแยกหน่วยงานออกเป็นอิสระจากองค์การของราชการบริหารส่วนกลาง มีวบประมาณและบุคลากรเป็ฯของตนเอง เจ้าหน้าที่ทังหมดของหน่วยการปกครองท้องถ่ินเหล่านั้นได้รับเลอกตั้งจากประชาชน รวมทั้งมีอิสระในการปฏิบัติตาอำนาจหน้าที่ของตนเป็นไปตามระเบียบการเกี่ยวกับการจัดตั้งสภาประชาชนและคณะกรรมการปกครองท้องถิ่นขึ้นต่างๆซึ่งได้รับการรับรองโดยที่ประชุมสมัยวิสามัญของคณะรัฐมนตรีผสมการเมืองแห่งชาติ เมื่อปี ค.ศ. 1975 และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้ง สภาประชาชนและคณะกรรมการปกครองประชาชนขั้นต่างๆ โดยแบ่งโครงสร้างออกเป็น 4 ขั้น คือ
แขวงหรือกำแงนคร มีเจ้าแขวงหรือเจ้าครองกำแพงนรเป็ฯผุ้ปกครอง
เมือง มีเจ้าเมือง เป้ฯผุ้ปกครอง
ตาแสง มี ตาแสง เป็นผุ้ปกครอง
บ้าน มี นายบ้าน เป็นผุ้ปกครอง
ในแต่ละขั้นมีสภาประชาชนและคณะกรรมการปกครองท้องถิ่นขั้นต่างๆ ได้แก่ สภาประชาชนระดับแขวงและกำแพงนครสภาประชาชนเมืองและเทศบาลแขวง สภาประชาชนตาแสงและเทศบาลเมอง ซึ่งสภาประชาชนขั้นต่างๆ ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนท้องถิ่นที่สภาประชาชนขั้นนั้นๆ ตั้งอยู่ เพื่อทำหน้าที่เป้นองค์การอำนาจรัฐอยู่ในท้องถิ่นเป็นตัวแทนให้แก่สิทธิประโยชน์และรับผิดชอบต่อประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆ ตั้งอยู่ เพื่อทำหน้าที่เป็ฯองค์การอำนาจรัฐอยู่ในท้องถิ่นเป็นตัวแทนให้แก่สิทธิประโยชน์และรับผิดชอบต่อประชานในท้องถิ่นน้ชั้น สภาประชาชนขั้นต่างๆ จะเป็นผุ้เลือกตั้งคณะกรรมการปกครองประชาชนในขั้นของตนและผู้พิพากษาศาลขั้นของตนยกเว้นสภาประชาชนตาแสงที่ไม่มีศาลประชาชนเป็ฯของตนเองโดยอำนาจในการตัดสินคดีที่เกิดขึ้นในเขตตาแสงและทเศบาลนั้นเป็นอำนาจในการตัดิสินคดีที่เกิดขึ้นในเขตตาแสงและเทศบาลนั้นเป็ฯอำนาจของศาลประชาชนเมืองและศาลประชาชนแขวงหรือกำแพงนครซึงต่อมา ได้มีการยุลเลิกสภาประชาชตาแสงแต่ยังคงคณะกรรมการปกครองตแสงไว้
ช่วงเวลานี้ถือได้ว่าสภาประชานเป็นกลไกที่มีความสำคัญและบ่งชี้ถึงการก้าวเข้าสู่การกระจายอำนาข ของสปป.ลาวในยุคนั้นและเป็ญยุคที่มีลักษณะของการสร้างประชาธิปไตยในระดับฐานรากได้อยางชัดเจนที่สุด ซึ่งในแต่ละขั้นต่างๆ มีอำนาจหน้าที่คล้ายกันนั่นคือ การับประกันการเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ รักษาความสงบเรียบร้อยทรัพย์สินของรัฐและพลเมืองในท้องพถิ่นของตนรวมถึงการรับประกันสทิธิความเสมอภาคและส่งเสริมความสามัคคีระหว่างชนชาติในท้องถิ่นนั้นๆ ตลอดจนปลุกระดมให้พลเมืองในท้องถิ่นปฏิบัติพันธะหน้าที่ที่มีต่อรัฐให้เป็นไปด้วยดี นอกจากนั้นสภาประชาชนขึ้นต่างๆ ยังมีอำนาจออกมติเพื่อใช้ปฏิบติหรือใช้ในการแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ วัฒฯธรรมและสังคมของพื้นที่นั้นโดยต้องไม่ขัดต่อกฎหมายของรัฐหรือมติขององค์การรัฐขึ้นสูงกว่า
ในด้านการจัดโครงสร้างสภาประชาชนขึ้นต่างๆ ยังไม่มีการเลือกตั้งประธานเป็นการภาวร อำนาจหน้าที่ในการเรียกประชุมสภาประชาชนขึ้นอยู่กับคณะกรรมการปกครองประชาชน ซึ่งจะประชุมเลือกประธานหรือเลขานุการตามมติในแต่ละสมัยประชุม ทั้งนี้ไม่ได้มีการกำหนดคุณสมบัติและจำนวนสมาชิกสภาประชาชนไว้อต่อย่างใด มีเพียงการกำหนดคุณสมบัติของผุ้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งและมีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งและมีสิทธิเลือกตั้งไว้ว่า ต้องเป็นผุ้ไม่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ไม่ถูกจำคุก ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตและมีอายุครบ 18 ปี ในวันเลือกตั้ง และได้มีการกำหนดจำนวนสมาชิกสภาประชานในขั้นต่างๆ และวิธีการเลือกตั้งตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งผุ้แทนประชาชน ค.ศ. 1988 ที่ได้ให้อำนาจหน้าที่แก่คณะประจำสภาประชาชนสูงสุดร่วมกับคณะประจำสภารัฐมนตรีเป็ฯผุ้กำหนดจำนวนผุ้แทนประชาชนขั้นต่างๆ ทั่วประเทศแล้วจึงออกประกศโดยคำสั่งของประธานสภารัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม ได้มีการสร้างกลไกทางการเมืองที่ดำเนินงานควบคุ่ไปกับการปกครองระดับท้องถิ่น โดยรัฐบาลได้ส่งสมาชิกพรรคและทหารของฝ่ายขบวนการประเทศลาวหรือพรรคประชาชนปฏิวัติลาวให้มาตั้งถ่ินฐานอยู่ในทุกชุมชนในเขตปลดปล่อยใหม่ เพื่อทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการปกครองประชาชนในโครงสร้างการปกครองท้ถิงถ่ินระดับต่าๆ มีหน้าที่ในการสอดส่องูแลอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังได้จัดตังกองกำลังต่างๆ ลักษณะเช่นนี้เปรียบได้กับการจัดโครงสร้างแบบหน่วยย่อย (cell) ดังเช่นพรรคอมมิวนิสต์โดยทั่วไปที่มีเป้าหมายในการขยายอิทธิพลครอบคลุมพื้นที่การปกครองและสร้างความเป็นปคกแผ่นนั่นเอง
หลังจากประกาศใช้รัฐะรรมนูยแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ค.ศ. 1991 เป็นผลให้การจัดโครงสร้างการปกครองมีลักษณ์ของการรวมศูนย์อำนาจที่เข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากประสบการณ์ของการกระจายอำนาจในการปกครองที่ไม่ประสบความสำเร็จโดยเฉพาะสภาประชาชนขั้นต่างๆ ไม่มีบทบาทางการปกครองเท่าที่ควร โดยสวนใหย่จะเป็นบทบาทของคณะกรรมการการปกครองประชาชน หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1991 ถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองจากการปกครองตามเขตแค้วนสู่การแบ่งขั้นคุ้มครอง และเปลียนจากการคุ้มครองด้วยมติคพสั่ง เป็นการคุ้มครองรัฐด้วยรัฐธรรมนูญ
รัฐธรมนูญฉบับนี้ได้กำหนดให้โครงสร้างการปกครองระดับท้ถงิถ่ินทีเพียง แขวง กำแพงนคร เมืองและบ้าน โดยหนวยการปกครองและตำแหน่ง "ตาแสง" ถุกยกเลิกไปไม่มีการระบุถภึงสภาท้องถิ่นใด ๆ ทั้งสิ้น เหตุที่นำไปสู่การยกเลิกตาแสง เนื่องมาจากตาแสงเป็นหน่วยงานที่ไม่มีประสิทธิภาพและสร้างความยุ่งยากให้แก่การประสานงานระหว่งเมืองกับบ้าน ซึ่งทำให้การนำมติคำสั่งขององค์การขึ้นสูงมาปฏิบัติในหน่วยงการปกรองระดับบ้านเป้นไปอย่าล่าช้า เป้ฯผลให้ำคร้องของประชาชนที่เสนอขึ้นไปสู่การปกครองระดับเมืองจึงตกค้างอยู่ที่ตาแสงแต่ถึงแม้ว่าจะมีการยเลิกตาแสงแล้ว ในบางพื้นที่ก็ยังคงมีตาแสงอยู่
ภาพรวมของพัฒนาการปกครองท้อถงิ่นของ สปป,ลาวในช่วงเวลานี้ ถือได้ว่าภายใต้ระบบการบริหารแบบรวมศูนย์ส่งผลให้การบริหารตัวเมืองและชนบทไม่มีความแตกต่างกันมากนักเนื่องจากรัฐบาลสนบสนุนงลประมาณให้ทั้งหมด แม้ว่าเมปืงใหญ่ จะเป็นศูนย์กลางทางกรเปกครอง เศราฐกิจและวัฒนธรรม แต่รูปแบบการบริหารไม่ได้แยกระหว่งการเป็นเขตเมืองและชนบท
ในปี ค.ศ. 2003 เป็นปีที่มีความสำคัญต่อการปกครองท้องถิ่นของ สปป.ลาว ในเชิงของการปรับตัวที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประสิทธิภาพขององค์กรปกครองส่วนท้ถงอิ่น นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายในการแบ่งอำนาจและมอบหมายความรับผิดชอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเป็นผุ้คุ้มครองดินแดน ทรัพยากรธรรมชาติและประชานเพื่อความเจริญมั่งมี ผาสุขโดยกลำกทางกฎหมายที่มีความสำคัญต่อการปรับตัวในยุคปัจจุบัน ได้แก่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรับประชาธิปไตยประชาชนลาว ค.ศ. 1991 ในปี ค.ศ. 2003 ซึ่งกำหนดให้การปกครองท้องถิ่น แบ่งออกเป็น 3 ขั้น ได้แก่ ขั้นแขวง มีแขวงและนครหลวง ในการ๊จำเป็นอาจจัดตั้เงเป็นเขตการปกครองพิเศษได้ ในปัจจุบันมีเพียง 1 แห่ง คือ นครหลวงเวียงจันทน์ มีเจ้าแขวงและเจ้าครองนครหลวง เป็นผุ้ปกครอง ขั้นเมือง ประกอบด้วย เมืองและเทศบาล มีเจ้าเมืองและหัวหน้าเทศบาล เป้นผู้ปกครอง ประกอบกับการประกาศใช้กฎหมายการปกครองส่วนท้องถิ่น ค.ศ.2003 ได้นิยามความหมายขององค์กรปกรองส่วนท้องถิ่นว่า เป็นการจัดตั้งหน่วยกาบริหารรัฐในขั้นท้องถ่ินที่มีภาระบทบาทในการคุ้มครองด้านการบริหารทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมสังคม สิ่งแวดล้อม การวางแผนการพัฒนาตัวเมือง การบริการสาธารระ การรับประกันความสงบและความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในท้องถ่ิน โดยมีความร่วมมือกับต่างประเทศตามการมอบหมายของรับบาล นอกจากนี้ยังมีหลักปฏิบัติตามมติกรมการเมืองศูนย์กลางพรรค ว่าด้วยการสืบต่อปรับปรุงโครงสร้างบริหารองค์กรปกครองท้องถิ่น
การประกาศใช้กฎหมายหรือแนวปฏิบัติดังกล่าวได้รับอทะฺพลสำคัญมาจากนโยบายจินตนาการใหม่ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษบกิจและสังคม ของสปป.ลาว ให้มีการขยายตัวอย่างมาก ส่งผลให้มีการปรับปรุงระบบการบริหารรัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พรรคประชาชนปฏิวัติลาวจึงได้นำแนวคิด "การสร้างกลุ่มบ้านและบ้านพัฒนา" มาเป็นแนวทางในกาพัฒนาสังคมและเศรษบกิจของประเทศ ในการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาหลายๆ ด้าน เช่น การแก้ไขปัญหาความยากจนและการกระจายรายได้ การเพ่ิมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การพัฒนาทางกสังคมและการพัฒนาที่ยั่งยน ตลอดจนการกรับปรุงโครงสร้างองค์กรของกระทรวงและการกรจายอำนาจสู่ท้องถิ่นตามที่รัฐาลมอบหมายภารกิจ เพื่อเป้นกลไกหลักในการขับเคลือนนโยบายของพรรคไปสู่การปฏิบัติ มีแนวนโยบายเปลี่ยนให้แขวงเป็นหน่วยด้านยุทธศาสตร์ เปลี่ยนเมืองให้เป็นหน่วยด้านการวางแผนและงบประมาณเปลี่ยนหมู่บ้านให้เป็นหน่วยสนับสนุนการทำงาน รวมถึงการกระจายอำนาจให้แก่แขวง เพื่อยุติการวางแผนเศรษบกิจจากส่วนกลางที่ไม่มีประสทิธิภาพและขาดความคล่องตัว ซึ่งการกระจายอำนาจดังกล่าวส่งผลให้เจ้าแขวงมีอสิระในการบริหารและพัฒนาทางเศรษฐกิจภายใจแขวงของตนเองอย่างกว้างขวาง ได้แก่ การกำหนดแผนพัฒนาทางเศรษบกิจ งบประมาณการก่อสร้าง การคาภายในแขวงและการติดต่อทางการค้ากับต่างประเทศ เป็นต้น
การเปลี่ยนผ่านอำนาจทางเศรษฐกิจให้แก่ปขวงในยุคนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในกาสถาปนาอำนาจและบทบาทนำในท้องถิ่นของเจ้าแขวง ทั้งนี้ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่า การกระจายอำนาจที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะการมอบอำนาจใหแก่เจ้าแขวงนั้น เป้ฯการกระจายอำนาจที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะการมอบอำนาจให้แก่เจ้าแขวงนั้น เป้นการกะจายอำนาจทางการบริหารและการจัดการทางเศรษฐกิจจากส่วนกลางไปยังส่วนท้องถิ่นระดับแขวงมากขึ้น ในขณะที่อำนาจของส่วนกลางภายในพื้นที่แขวงมีลดลง เม่อมีแนวโน้มเช่นนี้จึงได้มีความพยายามดึงอำนาจกลับมารวมศูนย์ที่ส่วนกลางเช่นเดิม
ในปี 2003 ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การเกิดหน่วยการปกครองแบบรวมกลุ่ม ที่เรียกว่า "เขต zones"และ "คุ้มบ้าน group villages โดยการแบ่งเป็นเขตและคุ้มบ้านนี้ เป้นการจัดตั้งและแบ่งพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ในลักาณะของการรวมกลุ่มบ้าน ประมาณ 7-15 บ้านต่อ 1 เขต หรือคุ้มบ้าน เป็นหน่วยเชื่อมโยงระหว่างเมืองกับบ้าน แทนที่หน่วยการปกครอง ตาแสงที่เคยมีในอดีตถึงแม้จะมีผลดีในแง่ของการกระชับขั้นตอนการปกครองระว่างแขวง เมืองและย้านก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งผลเสียต่อการจัดการปกครองที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะในแขวงที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่และมีความสลับซับ้อน ทำให้เป็ฯอุถปสรรคต่อการบริหารและการจัดบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งผลจากการควบุคมตรวจสอบของเจ้าหน้าที่รับไม่สามารถทำได้ทั่วถึงและนำไปสู่ข้อบกพร่องในการควบคุมและป้องกันการกระทำความผิดต่างๆ เช่น การลักลอบขนสินค้าหรือค้าขายหนีภาษีและการลักลอบตัดไม่ เป็นต้นและในบางพ้นที่จะประสบปัญหาเรื่องสถานที่ทำการของส่วนราชการอยู่ไกลจากพื้นที่หมู่บ้าน โครงการที่เกิดขึ้นนี้้เป็นโครงการที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็ฯทางการเนื่องจากไม่มีบัญญํติเป็นกฎหมาย แต่ไ้รับการอ้างถึงย่อยครั้งในเอกสารของทางราชการ ประกอบกับมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน ถือเป็นรากฐานสำคัญในการก้าวสุ่การกระจายอำนาจของ สปป.ลาวในอนาคต
"กฎหมายเอื้อให้เกิดโอกาสในการก่อร่างสร้างองค์กรปกครองท้องถ่ินที่มาจากากรเลือกตั้ง(เทศบาล)อย่างค่อยเป็นค่อยไปและในการปรับโครงสร้างองค์กรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เปป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการของการเพ่ิมขีดความสามารถให้แก่องค์รและสำนักงานในพื้นที่
การปกครองขั้นแขวงและนครหลวง
แขวง เป็นหน่วยทางการปกครองเที่ยบได้กับจังหวัดของไทย ได้รับการจัดตั้งหรือถูกยุบเลิกและกำหนดเขตแดนตามความเ็นชอบของสภาแ่งชาติตามการเสนอของนายกรัฐมนตรี โดยทั่วไปการเลือพื้นที่่ใดเป็นที่ตั้งของที่ทำการแขวงจะพิจารณาในเชิงภูมิศาสตร์และความสะดวกในการเข้าถึงหรือให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพร้อมต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและสังคมเป้นสำคัญ ซึ่งในพื้นที่แต่ละเขวงของ สปป,ลาวนั้น มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและศักยภาพในการเติบโตที่แตกต่างกันไปตามนโยบายเป็นพื้นที่เป้าหมายตามยุทธศาสตร์ต่างๆของรัฐและลักษณะของพื้นที่ ใดเป็ฯที่ตั้งของที่ทำการแขวงจะพิจารณาในเชิงภูมิศาสตร์และความสะดวกในการเข้าถึงหรือให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงความพร้อมต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและสังคมเป้ฯสำคัญ ซึ่งในพื้นที่แต่ละแขวงของ สปป.ลาวนั้น มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและศักยภาพในการเติบโตที่แตกต่างกันไปตามนโยบายและการเป็นพื้นที่เป้าหมายตามยุทธศาสตร์ต่างๆ ของรฐและลักษณะของพื้นที่
ด้านกาจัดโครงสร้างการปกครอง แขวงและนครหลวงมีเจ้าแขวงและเจ้าครองนครหลวง เป็นผุ้มีอำนาจสุงสุดในกาบังคับบัญชารฐกรในแขวงนั้นๆ รวมถึงรัฐกรในสังกัดราชการบริาหรส่วนกลางที่ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ในแขวงหรือนครหลวงนั้นด้วยซึ่งไม่ได้เป็นเพียงผุ้ปกครององค์กรส่วนท้องถ่ินเท่านั้นแต่เจ้าแขวงแลเจ้าครองนครหลวงโดยส่วนใหญ่จะดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคระดับแขวงควบคู่ไปด้วยนอกเหนือจากตำแหน่งทางการเมืองในฐานะที่เป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหารศูนย์กลางพรรค ซ่งการจะขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าแขวงได้นั้นจะต้องอยุ่ในตำแหน่งหรือมาจากสานการบริาหรงานของพรรคมาก่อน โดยเจ้าแขวงมีฐานเที่ยบเท่ารัฐมนตรีดังพิจารณาได้จาการโยกย้ายหรือสลบสับเปล่ยนตแหน่งระหว่างเจ้าแขวงกับรัฐมนตรีซคึ่มีอยุ่เสมอ ฐานะของเจ้าแขวงและเจ้ครองนครหลวงนั้นมีฐานะเท่ากัน แตกต่างกันเพียงความรัีบผิดชอบพื้ที่ในการปกครองเนื่องจากนครหลวงเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงของประเทศอันเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและเป็นที่ตั้งของกระทรวง ทบวงกรมแลองค์กรส่วนกลางอื่นๆ เท่านั้น ตำแหน่งเจ้าแขวงหรือเจ้าครองนครหลวงได้รบการแต่งตั้งโยกย้ายหรือปลดจากตำแน่งโดยประธานประเทศตามการสเนอของนายกรัฐมนตรีส่วนโครงสร้างการบริหารองค์กรขั้นแขวงนั้นประกอบด้วยห้องว่าการปกครองแขวงหรือนครหลวง แผนกของแขนงการ และหน่วยงานระดับกระทรวงประจำแขวงหรือนครหลวง ซึ่งบุคลากรภายในองค์กรขึ้นนี้ประกอบด้วย รองเจ้าแขวงหรือรองเจ้าครองนครหลวง ซึ่งเป็นอำนาจในการแต่างตั้งหรือปลดจากตำแหน่งโดยนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังประกอบด้วย หัวหน้าและรองหัวหน้าห้องว่าการ แขนงการและรัฐกร ก้านอำนาจหน้าที่ของเจ้าแขวและจ้าครองนครหลวงถูกกำหนดโดยบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ค.ศ. 1991 ว่าด้วยทิศทางแลหลัการในการคุ้มครองตามแขนงการ
นครหลวงเวียงจันทน์มีฐานะเที่ยบเท่าแขวงเป้นเขตที่ตั้งของเมืองหลวงของประเทศ เขตปกครองนี้แยกออกมาจากแขวงเวียงจันทน์ โดยถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วสนที่หนึ่ง คือ แขวงเวียงจันทน์ และอีกส่วนหนึ่ง คือ แขวงกำแพงพระนคร โดยกฎหมายปกครองท้องถิ่น ค.ศ. 2003 กำหนดให้นครหลวงเวียงจันทน์ ประกอบด้วย หลายเมืองและหลายเทศบาล เป็นศูนย์กลางทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคมและการบริหารที่มีบทบามส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของชาติ โดยพื้นที่การปกครองของนครหลวงเวียงจันทน์ประกอบด้วย 7 เมือง แบ่งออกเป็น 3 เขต ได้แก่ เขตตัวเมือง ประกอบด้วย เมืองจันทะบูลี เมืองไชยเชษฐา เมืองศีรสัตตนาค และเมืองศรีโคตรบอง เขตชานเมือง ประกอบด้วย เมืองนาทรายทอง เมืองชัยธานี เมืองทรายฟอง และเขตนอกเมือง ประกอบด้วยเมืองปากงึมเมืองสังข์ทอง และยังกำหนดให้มองค์การพัฒนาและบริหารตัวเมืองนครหลวงเวียงจันทน์ ในการบริหารและพัฒนาตัวเมืองนครหลวงเวียงจันทน์ พร้อมทั้งทำหน้าที่วางแผนจัดให้มีการตรวจตรา ดุแลการปลูสร้าง ปกปักรักษาสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ถนน "ฟฟ้า คลองระบายน้ำ กำจัดขยะมูลฝอย เป็นต้น องค์การพัฒนาและบริหารตัวเมืองเวยงจันทน์ ประกอบด้วย คณะชี้นำ ได้แก่ รองเจ้าครองนครหลวงเวียงจันทน์ เป็ฯรองหัวหน้าองค์การ อพบล. โดยตำแหน่ง ตทำหน้าที่เป็นผุ้ประจำการในฐาะนัวหน้าสำนังานขององค์การ อพบ. นอกจานี้ยังประกอบด้วยกรรมการอีก 4 ท่าน ซึ่งเป็นเจ้าเมือง 4 ตัวเมือง ได้แก่ เมืองจันทะบูลี เมืองไชยเชษฐา เมืองศรีสัตตนาค และเมืองศรีโคตรบอง ซึ่งคณะกรรมการเหล่าน้ได้รับการแต่างตั้งโดยนายกรัฐมนตรี ตามการเสนอของเจ้าครองนครหลวงเวียงจันทน์และคณะจัดตั้งศูนย์กลางพรรค
การปกครองขั้นเมือง
เมือง เมืองเป็นหน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยู่ระหว่งแขวงหรือนครหลวงกับบ้าน ดดยการสร้างตั้งหรือยุบเลิกเมืองจะต้องพิจารณาถึงประเด็นเรื่องประชากร การบริหาราชการและเงื่อนไขเศรษฐกิจสงคมของพื้นที่นั้น รวมทั้งการใช้วบประมาณเพื่อการสร้างสาธารณประดยชน์ให้มีประสิทธิภาพด้วย ในด้านการบริหารงานของหน่วยการปกครองระดับเมือง มุ่งเน้นการปรสานงาน ตรวจตราและประเมินผลการดำเนินงานต่างๆ ที่เกี่ยวช้องกับการมีส่วนร่วมของประชาชนและการให้บริการประชาชนในท้องถิ่นต่าง ๆ โครงสร้างการปกครองของเมือง มีเจ้าเมืองเป็นผุ้ปกครองสูงสุด ฝดดยมีรัฐกรของส่วนกลางปฏิบัติหน้าที่ประจำเมืองนั้น ๆ ตำแหน่งเจ้าเมืองได้รับการแต่างตังและปลดจากตำแหน่งโดยนายกรัฐมนตรี ส่วนตำแหน่งรอบลเจ้าเมืองซึ่งมีฐานะเป้นผุ้ช่วยของเจ้าเมือง ได้รับการแต่างตังจากเจ้าแขวงหรอเจ้าครองนครหลวงที่เมืองนั้นตั้งอยู่ การจัดโครงสร้งการบริหารองค์กรขึ้นเมืองประกอบด้วย ห้องว่าการปกครองเมือง ห้องแขนงการ และหน่วยงานระดับกระทรวงประจำเมือง บุคลากรประกอบด้วยรองเจ้าเมือง หัวหน้าและรองหัวหน้าห้องว่าการ และพนักงานรัฐกร อำนาจหน้าที่ของเจ้าเมืองนั้น มีภารกิจเช่นเดียวกับเจ้าแขวงและเจ้าครองนครหลวงตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งสาะารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว การแบ่งส่วนราชการของหน่วยการปกครองระดับเมืองคล้ายกับการแบงส่วนราชการของแขวงหรือนครหลวง โดยแบงออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่หนึ่ง คื อห้องว่าการเมือง ประกอบด้วยหน่วยงาน เลขานุการ หน่วยงานปกครองและหน่วยงานบริหารการเงิน ส่วนที่สอง คือ ส่วนราชการของหระทรวงต่างๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่ในเมืองนั้นๆ
เทศบาล เทศบาลคือ องค์การบริหารรัฐระดับท้องถ่ินในขึ้นเมืองโดยอยู่ใต้การบังคับบัญชาของแขวงหรือนครหลวง โดยมีหัวหน้าเทศลาลที่มาจากการแต่างตั้งจากนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มาจากากรเลือกตั้งและไม่มีสภาเทศบาลดังเช่นรูปแบบเทศบาลทั่วไป กฎหมายปกครองท้องถ่ิน ได้กำหนดให้เทศบาลมีฐานะเป็นองค์กรปกครองท้ถงิถ่ินขั้นเมือง มีภารกิจและบทบาทในการบริหารทางด้านการเมือง เศรษบกิจ วัฒนธรรม สังคม รวมถึงการก่อสร้างและการบริหารทรัพยากรมนุษย์ การักษาทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม ปฏิบัติตามแผนการพัฒนาตัวเมอืงการให้บริการสาธารณะ รับประกันความสงบล ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาดายในเทศบาล ความสัมพันธ์และความร่วมมือกับต่างประเทศตามที่ไดรับมอบหมายจากแขวง กัวหร้าองค์กรปกครองเทศลาล คื อกัวหร้าเทศบาบ ได้รับการแต่างตั้ง โยกย้ายและปลดจากตำปหน่งโดยนายกรัฐมนตรี ตามการเสนอของเจ้าแขวง รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้ให้อำนาจหัวหน้าเทศบาลมีสิทธิและหน้าที่ในการวางแผนการจัดตั้งปฏิบัติและคุ้มครองการพัฒนาตัวเมืองบริการสาธารณะให้ทั่วถึง มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดและสวยงามในขอบเขตตัวเมือง ตามที่ได้กำหนดไว้ในผังเมือง รวมทั้งดำเนินการตามสิทธิ์และหน้าที่อื่นๆ ตามที่ได้กำหนดไว้ในระเบียบกฎหมาย โครงสร้างการบริหารของเทศลบาล ประกอบด้วยห้องว่าการปกครองเทศบาล ห้องแขนงการ และหน่วยงานกองวิชาการนอกจากนี้ในส่วนของหน่วยงานบริการส่วนบุคลากรภายในองค์กรของเทศบาล ประกอบด้วย รองหัวหน้าเทศบาล หัวหน้าและรองหัวหน้า ห้องว่าการ รวมถึงพนักงานรัฐกรที่สังกัดโครงสร้างบริหารของเทศบาลซึ่งตำแหน่งหัวหน้า รองหัวหน้าว่าการเทศบาลได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายและปลดจากตำแหน่งโดยเจ้าแขวงหรือเจ้าครองนครหลวงส่วนหัวหน้าห้องแขนงการประจำเมืองได้รับการแต่งตั้ง ดยกย้ายและปลดจากตำแหน่งโดยรัฐมนตรว่าการกระทรวงนั้นๆ
การปกครองขั้นบ้าน บ้าน เป็นหน่วยการปกครองท้ถงอถ่นิขึ้นต้นและมีขนาดเล็ที่สุดเป็นผลมาจากเป้าหมายในการจัดหน่วยปฏิบัติการในพื้นที่เพื่อขยายการดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายรัฐ การปกครองครองระดับบ้านอยู่ในพื้นที่ซึค่งมีบ้านเรือนมากกว่า 20 หลังคาเรือน หรือมีประชาชนอาศัยอยู่ร่วมกันมาก่า 100 คน ก็สามารถจัดตั้งให้เป็นบ้านได้ตามการนุมัติของเจ้าแขวงหรือเจ้าครองนครหลวงโดยการเสนอของเจ้าเมืองนอกจากการมีฐานะเป็นหน่วยทางการปกครองแล้ว ยังถือว่าบ้านเป็นที่ดำรงชีวิตของบรรดาเผ่าชนที่จัดให้มีการปฏิบัติตามแนวทาง นโยบายหรือคำสั่งขององค์การขั้นสูง การจัดการปกครองระดับบ้าน จัดดครงสร้างให้มีายบ้านเป็นผุ้ดูแลโดยมีรองนายลบ้านจำนวนหนึ่งหรือสองคนเปนผุ้ช่วยงาน และยังประกอบด้วยคณะกรรมการบ้านอีกจำนวนหนึ่ง แม้บล้านจะเป็นหน่วยการปกครองขั้นต้น แต่สิ่งที่มีความสำคัญ คือ นายบ้านมาจากากรเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนในเชตพื้นที่บ้านนั้นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นผุ้ที่ประชาชนให้การยอมรับและเป็นผุ้มีจิตสาธารณะหรือมีบทบามในพื้นที่เมื่อได้รับผลการเลือกตั้งแล้ว เจ้าเมืองจะเป็นผู้นำเสนอชื่อต่อเจ้าแขวงหรือเจ้านครหลวงเพื่อให้แต่างตั้งเป็นนายบ้านต่อไป ส่วนตำแหน่งรองนายบ้านและกรรมการบ้านได้รับการแต่างตั้งจากเจ้าเมืองตามการเสนอของนายบ้าน ทั้งนี้หากไม่มีผุ้ลงสมัครหรือไม่สามารถเลือกตั้งนายบ้านได้ เจ้าเทืองจะเป็นผู้คัดเลือกบุคคลที่มีความเหมาะสมแต่งตังให้เป็นนายบ้าน นอกจากนั้นโครงสร้างที่สำคัญอื่นๆ ของการปกครองขั้นบ้าน ยังประกอบด้วยคณะกรรมการบ้าน ซึ่งแบ่งออกเป็นด้านต่างๆ เพื่อช่วยนายบ้านดำเนินงานในการบริาหรงานภายในพื้นที่บ้าน ซึ่งนายบ้านและรองนายบ้านจะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะกรรมการ โดยคณะกรรมการแต่ละชุดจะมีกรรมการ 3 คน ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนภายในบ้านนั้นๆ
วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560
วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2560
Local government in Cambodia
กัมพุชาเป็นประเทศที่ประสบกับภาวะความขัดแย้งทางการเมืองและสงครามกลางเมืองอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 150 ปี ซึ่งได้สร้างประสบการณ์และได้ทิ้งร่องรอยของความบอบช้ำจากสงครามภายในประเทศไว้มากมาย เช่น ปัญหาคอรัปชั่น ปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ปัญหาความยากจนและปัญหาสิ่งแวดล้ม เป้นต้น ดังนั้นจากสภาพความไม่มั่นคงทางการเมืองในระดับชาติจึงกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ส่งผลให้แนวคิดการกระจายอำนาจให้กับการปกครองท้องถิ่นของกัมพูชานับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1863-1991 ไม่ได้รับความสนใจหรือไม่มีการสนัสนุนให้เกิดการกระจายอำนาจอย่างจริงจังจากทั้งเจ้าอาณานิคมและรัฐบาลในแต่ละช่วงเวลาอย่างที่ควรจะเป็น กระทั่งสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลงตามขช้อตกลงสันตุภาพที่กรุงปารีส ที่เปิดทางให้กับการเข้ามาของ UNTAC เพื่อทำการฟื้นฟูประเทศกัมพุชาและนำไปสุ่การเลือกตั้งระดับชาติที่เป็นประชาธิปไตยครั้งแรกของกัมพูชา ซึ่งเป็นภารกิจหลัก นอกจากนั้น UNTAC และประเทศผุ้ให้การสนับสนุนก็ยังให้ความสำคัญกับการแห้ไขปัญหาความยากจน (อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการออกไปของอาณานิคม) โดยมีความเชื่อพื้นฐานว่า การพัฒฯาประชาธิปไตยระดับชาติให้เป็ฯพหุประชาธิปไตย และการลดปัญหาความยากจน ในกัมพุชาควรจะมีการปฏิรูปรัฐบาลพัฒนาสถาบันทางกรเมือง ปกิรูประบบราชการ สร้างและปรับปรุงระบบธรรมาภิบลาลในภาครัฐรวมไปถึงการกระจายอำาจสู่ท้องถิ่น
ดังนั้น จากหลักการดังกล่าวจึงนำไปสู่การจัดตั้งโครงการการร่วมือระหว่างรัฐบาลกัมพุชาและผุ้ให้การสนับสนุน เพื่อทำารศึกษาและทำการจัดการทอลองการนำรูปแบบสภาท้องถิ่นไปใใช้ในท้องถิ่น ซึ่งได้กำหนดแบ่งการศึกษาออกเป็น 3 ส่วนที่สำคัญได้แก่ ระดับชาติ (พิจารณาจุดแข็งและจุดอ่อนของนโยบาย รวมทั้งวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ในการปฏิรูป) ความสัมพันธ์ระหว่งรัฐบาลกลางกับท้องถ่ิน (การดำเนินการออกแบบกำหนดให้ีการบรรลุถึงเป้าหมายของการปฏิรูป) และคามสัมพันะ์ระหว่างท้องถิ่นกับท้องถิ่น ผความร่วมมือระหว่างประชาชนในคอมมูน ความสัมพันธ์ระหว่างคอมมูน และคามอิสระของท้องถิ่น)
โครงการดังกล่าวจัดว่าเป็ฯโครงการพัฒนาชนบทที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยรัฐบาลกัมพุชาได้เริ่มทอลองให้มีการกระจายอำนาจให้กบท้องถิ่นกว่าร้อยละ 20 ของประเทศ และมีการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาชนบทประจำตำบลและหมู่บ้านทั่วประเทศกว่า 1,000 หมู่บ้านและกว่า 100 ตำบล เพื่อทำแผนการพัฒนาประจำปมู่บ้านและตำบล โดยเฉพาะการสร้างดครงสร้างพื้นฐานสาธาณณูปโภคต่างๆ ทั้งนี้จะประสบการณ์จากโครงการดังกล่าวจึงทำให้รัฐบาลกัมพุชาได้รับประสบการณ์ในเบื้องกต้นสำหรับการจัดให้มีการเลือกต้งสภาท้องถิ่นซึ่งเป็นขึ้นตอนแรกของการกระจายอำนาจจากส่วนหลางสู่ท้องถิ่นและนำไปสู่การจัดร่างกฎหมายเพื่อสนับสนุนการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นของกัมพุชาทั้งกฎหมายการเลือกตั้งและกฎหมายในการบริหารและจัดการท้องถิ่น กฎหมายเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สมบัติของจังหวัด/กรุง เป็นต้น
ทั้งนี้ดูเหมือนว่าการกระจายอำนาจในกัมพูชามีการกำหนดทิศทางและกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน แต่ทว่าความตั้งใจดังกล่าวกับไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้การกระจายอำนาจยังคงดำเนินไปยอ่างล่าช้าเนื่องจากว่าภายหลงการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1993 มีการจัดตั้งรัฐบาลผสมเป็นรัฐบาลแห่งชาติของ 4 พรรคได้แก่พรรคซีพีพี CPP พรรคฟุนซินเปค พรรคพุทธเสรีประชาธิปไตยและพรรคโมลินาคา มีนายกรัฐมนตรี 2 คน แต่อำนาจกลับอยู่ในมือของสมเด็๗ฮุนเซนมากกว่า และส่งผลให้กลไกของรัฐไม่สามารถทำงานได้ตามปกตออำนาจในท้องถิ่นก็อยู่ภายใต้การควบคุมของพรรคซีพีพี เพราะได้ร่วมกับประชานนการสู้รบกับเขมรแดงจึงทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่งสองขััวอำนาจ เพราะแต่ละพรรคต่างก็ต้อกงการสรางอำนาจฐานการเมืองในระับท้องถิ่นให้เข้มแขงเพื่อเตียมพร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปที่กำหนดให้มีขึ้นในปี ค.ศ. 1998 ท้ายที่สุดชนวนความขัดแย้งในการแบ่งสรรอำนาจระหว่างพรรคประชาชนกัมพุชา CPP แลพพรรคฟุนซินเปค ก็ดำเนินมาสู่จุดแตกหัแกละนำไปสู่การรัฐประหารโดยนายฮุน เซนในปี ค.ศ. 1997 แต่ดวยแรงกดดันจากนานาชาติและการดำเนินนโยบายการแทรกแซงอย่างสร้างสรรค์ จากอาเซียจึงทำให้พรรคประชาชนกัมพูชา ยอมไใ้มการเลือกต้้งระดับชาติครั้งที่ 2 ในปี คซศ. 1998จากความไร้เสถียรภาพทางการเมืองระดับชาติจึงกำหนดการเดิมซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตังระดับท้องถิ่นในปี ค.ศ. 1999 ต้องเลื่อนออกไปเป็นเดือนมีนาคม ค.ศ. 2000
โดยภายหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปในกัมพุชาในปี ค.ศ. 1998 รัฐบาลกัมพูชามีความพยายามในการฟื้นฟุประเทศขึ้นมาใหม่อีกครั้งและการให้คำมั่นสัญญาต่อนานาประทเศที่ให้ความช่วยเหลือต่อกัมพุชาในการพัฒนาประเทศ และรัฐบาลกัมพุชาก็มีความจำเป้นต้องมีการปฏิรูปการบริหารประเทศในหลายๆ ด้านเพื่อการปกครองที่บริสุทธิ์ยุตธรรมเช่น การปฏิรูประบบการเงินกาีคลังของประเทศ การปฏิรูประบบการบริหารประเทศและกำลังทหาร การปฏิรูปการกระจาอำนาจการปกครอง สำหรับแนวคิดการกรจายอำนาจเกิดขึ้นมาจากหลักธรรมาภิบาล เนื่องจากรัฐบาลมีความเชื่อว่าการกระจายอำนาจเป้นการปกครองที่รัฐมสมารถ่ายโอนอำนาจการบังคับบัญ๙าและากรมอบหมายความับผิดชอบในการบางอย่างให้กับท้องถิ่นดำเนินกาจัดการภายในท้องถิ่นเอง โดยจุดมุ่งหมายสภคัญเพื่อให้ประชาชนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีส่วนร่วมและรับผิดชอบร่วมกันในการดูแลกิจการท้องถิ่นของตนเอง แต่อย่งไรก็ตาม แม้ว่าการปฏิรูประบบราชการ การกระจายอำนาจจะดำเนินไป แต่ก็ปรากฎสิ่งที่ท้าทายกระบวนการปฏิรูปด้วยเชช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นในด้านของโครงสร้างกฎหมายของประบวนการกระจาย ความสัมพันธ์ของโครงสร้งกฎหมายของกระบวนการกระจาย ความสัมพันธ์กับกระบวนการแบ่งอำนาจรวมไปถึงเร่ิมมีการข่มขู่คุกคามทางการเมืองแม้ว่าจะยังไม่มีกำหนดการเลือกตั้งที่ชัดเจน โดยเดือนสิงห่คม ค.ศ. 2000 ผุ้ที่คดว่าจะลงใาัครแข่งขันรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น ของพรรคฟุนซินเปค 1 คนและของพรรคสม รังสี อีก 2 คน ถูกลอบยิงเสียชีวิตในจังหวัดกำปอต จังหวัดกำปง จาม และสังหวัดไพรเวงตามลำดับ
กระทั่งปี ค.ศ. 2001 มีการผ่านกฎหมายท้องถิ่น ออกมา 2 ฉบับได้แก่ กฎมหายการบริหารและจัดการท้องถิ่น และกฎมายการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจกับสภาท้องถ่ินในการวางแผนพัฒนาและบริหารแผนพัฒนาท้องถิ่นรวมไปถึงการมีวบประมาณเป็ฯของตัวเองและนำไปสู่การเลือกตั้งระดับท้องถ่ินในเือนกุมภมพันธ์ ปี 2002 และเกิดปรากฎหารณ์การเคลื่อนไหวทางการเืองท้องถ่นนของกัมพูชาเป็นอย่างมากหว่าคือ ตัวแทนจากพรรคการเมืองต่างๆ ของกัมพุชาได้เข้าร่วมในการเลือตั้งในระดับสภาพท้องถิ่นทั่วทุกแห่งของประเทศ ซึ่งกอ่นหน้านี้ผุ้นำท้องถ่ินเหล่านี้ต่างก็คือ บุคคลที่เคยได้รบแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ภายใหต้การีนำของพรรค PRK ที่ได้ร่วมต่อสู้กับประชาชนในช่วงที่เขมรแดงยังปกครอง และถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนชื่อพรรคมาเป้ฯพรรคประชาชนกัมพุชา ผุ้นำเหล่านี้ก็ยังคงมีความจงรักภักดีทางการเืองอย่งต่อเนื่อง ขณะเดี่ยวกันพรรคประชาชนกัมพูชา เองก็พยายามที่จะรักษาอำนาจและคงอิทธิพลฝังรากตั้งแต่ระดับำเภอ ตำบลและหมู่บ้าน ซึ่งนับได้ว่ากลายเป็นกลไกสำคัญแลทำให้พรรรคประชาชนกัมพุชามีเสถียรภาพทางการเมืองสูงจวบจนปัจจุบัน
ผู้นำชุมชนที่มาจากการแต่งตั้ง เพื่อให้ภาพการพัฒนาการการกระจายอำนาจและกรปกครองท้องถิ่นของกัมพูชาที่ชัดเจน จำเป็จ้องนำเสอนการปกครองท้องถิ่นของกัมพูชาตั้งแต่อดีตที่มาจาการแต่งตั้งจนกระทั่งก่อนจะมีเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2002
กัมพูชานช่วงที่ตกอยุ่ใต้อาณัติของฝรั่เศส มีการเหล่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่งมาก โดยเฉพาะการที่พระมหากษัตริย์จำต้องลงรพนามในกฎหมายและประกาศหลายฉบับในปี ค.ศ. 1884 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้ผลประโยชน์แก่ฝรั่งเศสทั้งส้ินเช่น ข้อตกลงฉบับหนึ่งที่มีข้อสัญญาบางข้อที่เป้ฯการวบอำนาจในกัมพุชาไฝ้ในมือของฝรั่งเศสอย่างเบ็ดเสร็จ ราชธานีพนมเปญอยุ่ภายใต้การปคกรองโดยตรงจากฝรั่งเศส แระชาชนทุกชนชั้นวรรณะต้องตกเป้นผุ้คอนรับใช้เพื่อสนองผลประดยชน์แก่เจ้าอาณานิคม ฝรั่งเศสมีอสิระอย่างเต็มี่ในการเก้บภาษีอากรทุกประเะภทแงะมี่สิทธิแต่งตั้งผ้ดูแลที่เป็นคนฝรังเศส 1 คนหรือรองอีก 1 คนให้ทำหน้าที่เป้ฯเจ้านายตรวจตราข้าราชการในจังหวัดหนึ่งๆ และในุทกๆ แห่งที่ฝรั่งเศสเห็นว่าจะมีประโยชน์ต่อตนเองราชธานีพนมเปญอยุ่ภายใต้การปกครองโดยตรงของฝ่ายฝรั่งเศสพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ได้รับเงินเบี้ยหวัดเป็นรายไปจากฝรั่งเศสจำนวน 550,000 เรียล กิจการภายในประเทศและนอกประเทศของกัมพุชาอยู่ในการกำกับดุแลของฝรั่งเศส พระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจในการแต่างตั้งขช้าราชการเหมือนที่เคยปฏิบัติมาฝรั่งเศสแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสให้เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์กัมพุชา พร้อมทั้งเป็นผู่จัดแจงกิจการต่างๆ ภายใต้การแนะนำของเทศาภิบาลชาวฝรั่งเศสแห่งอินโดจีน ส่วนการปกครองในระดับจังหวัดต่างก็ตกอยู่ภายใต้การดูแลของฝรังเศส ชาวเขมรต้องอยุ่ภายใต้การบังคับบัญชาของฝรั่งเศสมีเพียงในระดับำเภอลงไปจนถึงตำบลและหมุ่บ้านเท่านั้นที่อำนาจในการปกครองเป็นของขาวเขมรรับผิดชอบและจัดแลงกิจการได้เองภต่ต้องอยู่ภายใต้การตรวจตราอย่างใกล้ชิดของฝรั่งเศส
หากกล่าวถึงการปกครองในระดับท้องถิ่นของกัมพูชาจริงๆ แล้วปรากฎข้อมูลทางการปกครองในระดับตำบล ระดับหมู่บ้านในกัมพูชา มีมาตั้งแต่ก่อนที่ฝรั่งเศสจะเข้ามายึดครองกัมพูชา ในอีกด้านหนึ่งแม้ว่ากัมพุชาจะตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของฝรั่งเศส แต่ประเทศอาณานิคมยังได้วางรากฐานที่สำคัญเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นไวเช่นเดี่ยวกัน โดยสิ่งที่ฝรั่งเศสทำการปฏิรูปการบริหารงานที่สำคัญที่สุดก็คือการสร้างหน่วยการบริหารงานในระดับหมู่บ้านหรือคอมมูน และมีพระราชกฤษฎีการกำหนดให้มีการเลือกตั้งผุ้ใหญ่บ้านในปี 1908 ซึ่งคอมมูน มีโครงสร้างการทำงานที่เชื่อมโยงระหว่างการปกครองด้วยหลักศีลธรรมผ่านผุ้นำในระดับหมุ่บ้านที่มีความเป็นผุ้นำและได้รับการยอมรับจากประชาชนในหมุ่บ้าน และการควบคุมผ่านระบบราชการในระดับอำเภอ ซึ่งนายอำเภอจะได้รับการแต่งตั้งจากผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นๆ ซึ่งโครงสร้างเดิมของคอมมูนนั้นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือคอมมูนจะต้องมาจากากรเลือตตั้งซึ่งประชาชนเพศชายและหญิงที่มีการจ่ายภาษีเท่านั้นจึงจะมีสิทธิในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือคอมมูน และในปี ค.ศ. 1919 พระราชกฤษฎีกายังได้กำหนดให้มีการแบ่งอำนาจในการจัดการทางด้านการเงินและทรัย์สินไปใไ้กับตำบล และมีพระราชกฤษฎีการกำหนดให้มีการเลือกตั้งสภาตำบลและมอบหมายงานที่ชัดเจนในการจักการด้านการเงินและการบริหารงานทั่วไป ทั้งนี้ได้มีการจัดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการปฏิบัตงานระดับตำบล/แขวง และสภาตำบลมีหลักเกณฑ์และการบิรหารจัดการที่คล้ายคลึงกบประเทศฝรั่งเศส
นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 1960 สภาตำบลได้ถูกยกเลิกไป โดยหัวหน้าคอมมูนหรือกำนัน ผุ้ช่วยกำนันผุ้ใหญ่บ้านจะมาจาการแต่งตั้งโดยผุ้ว่าราชการจังหวัด ผุ้ช่วยกำนันผุ้ใหญ่บ้านจะมาจากการแต่งตั้งโดยผุ้ว่าราชการจังหวัด และในสมัยแขมรแดงปกครอง ก็ได้ทกการยกเลิกสถาบัน และรูปแบบของกิจกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่มีอยุ่เิมทั้งหมด การปกครองในระดับภูมิภาคลงไปจนถึงระดับหมู่บ้านอำนาจทังหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิดจาก "องค์การ" ซึ่งเป็นหน่วยงานการปกครองโดยตรงของรัฐที่มีอำนาจทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ทางด้านสังคม ทางด้านตุลาการ โดยรวมแล้วองค์การในทุกระดับชั้นจะมีสิทธิอำนาจในกาตัดสินใจในทุกเรื่องและในทุกกิจการของรัฐทั้งนี้องค์การในระดับหมุ่บ้านจะมี "ประธานสหกรณ์" ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากองค์การให้มีอำนาจอย่งเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและมีการปฏิบัติต่อประชาชนอย่างโหดร้ายและป่าเถื่อนอันนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันู์อย่างเลวร้ายที่สุดนประวัติศาสตร์การเมืองของกัมพุชา ในอีกด้านหนึ่งนั้นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชายังหลายเป็นปัญหาสำคัญที่สุ่งต่อมายบังปัจจุบันหล่าวได้ว่ากลุ่มประชากรซึงเป็นกลุ่มชนชั้นกลาง ส่วนใหญ่จะถูกฆ่าตายหรือไม่ก็พอพยพหลบหนีนอกนอกประเทศดังนั้นจึงทำให้โครงสร้างประชกรของกัมพุชาในปัจจุบันประกอบไปด้วยวัยเด็กและผู้หญิงเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็กลายเป็นอุปสรรคสำคัญอีกประการหนึ่งในการพัฒนาประชาธิปำตยในกัมพูชา..
การเลือกตั้งสภาตำบล การผ่านกฎหมายการเลือกตีั้งท้องถ่ินและฏำหมายการบริหารและจัดการท้องถิ่น เป็นตรั้งแรกในปี ค.ศ. 2002 ซ่งนับว่าเป็นก้าวแรกของการพัฒนาประชาธอปไตยในระดับ้องถิ่นของกัมพูชา ได้ทำให้เกิดการะแสการที่ตัวแทนจากพรรคการมืองต่างๆ ของกัมพุชาได้เขาร่วมการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นทุกแห่งทั่วปะเทศ ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ปี ค.ศ. 2002 พรรคฟุนซินเปคต้องพ่ายแพ้แก่พรรคประชาชนกัมพูชา เพราะได้รับคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 22 เท่านั้นทำให้พรรคต้องประเมินสถานะของตนเมื่อจัดการประชุมสมัชชาพรรคประจำปีขึ้นในเดือนมีนาคม 2002 สมาชิกพรรคหลายคนไม่พอใจข้อเสียเปรีบและได้รับผลประโยชน์น้อยมากจากการเป็นรัฐบาลผสมกับพรรคประชาชนกัมพุชาอย่างไรก็ตามสมเด็จกรมพระรณฤทธิ์ยังคงแถลงยืนยันว่าพรรคฟุนซินเปคจะไม่ถอนตัวออกจากการเป็นรัฐบาลผสมแต่จะพยายามเรียกร้องให้พรรคมีอำนาจบริหารเพ่ิมขึ้น
ทั้งนี้การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเป็นตัวแปรที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการเลือกตั้งในระดับชาติในปี ค.ศ. 2003 เพราะการที่ตัวแทนของพรรคฟุนซิเปคและพรรคสมรัสี ที่ได้รับการเลือกตั้้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นทีั่วประเทศ่อมเป้นสิ่งที่เปิดโอกาสให้พรรคต่างๆ เหล่านี้สามารถหาเสียงในระดับชาติได้ด้วย แมว่าจะยังคงปรากฎความไม่ไว้วางใจระหว่างหัวคะแนนในระดับท้องถ่ินของพรรคการเมืองต่างๆ แต่ก็ยังคงเป็นที่ยอมรับร่วมกนว่าพรรคการเมืองใหญ่ ๆ ต่างก็สามารถได้ที่นั่งในสภาท้องถ่ินในทุกๆ คร้งากน้อยต่งกัน ซึ่งเป็นภาพการเมืองระดับท้องถิ่นที่แตกต่่างจากก่อนการเลือกตั้งปี ค.ศ. 1998 ซึ่งมีการเน้นเแพาะบทบาทของผุ้ใหญ่บ้าน ผุ้นำชุมชน และตำรวจ ในการทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร จัดสมาชิกพรรคออกไปหาเสียงให้กับพรรคการเมืองของตนร่วมไปถึงการข่มขู่คุกคามผุ้ที่สนับสนุนพรรคฝ่ายค้านในอีกด้านหนึ่งย่อมชัดเนว่า ปัจจุบันผุ้นำท้องถินมีบทบาทสำคัญต่อการเมืองระดับท้องถิ่นมากว่าสถาบันข้าราชการ
ระบบกรปกครองท้องถิ่น
โครงสร้างขององค์กรปกคอรงส่วนท้องถิ่น รัฐธรรมนูญกัมพูชาฉบับปัจจุบัน 1999 หมวดที่ 13 การบริหารราชการ ได้บัญญัติเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นไว้ดังนี้
มาตรา 145 ดินแดนของราชอาณาจักรกัมพูชาแบ่งออกเป็นจังหวัด และกรุง เขตพื้นที่แต่ะจังหวัดแบ่งเป็นอำเภอ และพื้นที่แต่ละอำเภอแบ่งเป็นตำบล เขชตพื้นที่แต่ละกรุงแบ่งเป็นเขต และเขตพื้นที่แต่ละเขต แบ่งเป็นแขวง
มาตรา 146 การปกครองจังหวัด กรุง อำเภอ เขตและแขวงให้เป็นไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
ปัจจุบันกัมพูชาแบ่งโครงสร้างการบริหารราชแผ่นดินออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยโครงสร้างส่วนกลางแบ่งออกเป็นกระทรวงและสำนักงานอิสระ และโครงสร้างส่วนภูมิภาคได้แก่จังหวัด/กรุง อำเภอ/เขต ตำบล/แขวง และหมู่บ้าน ดดยจังหวัด/กรุง และอำเภอ/เขต เป็นหน่วยงานบริหารราชการส่วนภูมิภาคของรัฐ ซึ่งผุ้ว่าราชการ จังหวัด /กรุง นายอำเภอ จะมาจาการแต่างตั้งโดยกระทรวงมหาดไทย ปัจจุบัน กัมพูชามีทั้งหมด 24 จังหวัด และ 1 เทศบาลนคร จำนวนสมาชิกสถาท้องถิ่นแตกต่างกันดังนี้
สภาเมืองหลวง มีจำนวนสมาชิกสภาได้ไม่เกิดน 21 คน พนมเปญ
สภาจังหวัด มีจำนวนสมาชิกสภาได้ตั้งแต่ 9-21 คน
สภากรุง มีจำนวนสมาชิกสภาได้ตั้งแต่ 7-15 คน
สภาอำเภอและสภาเขต มีจำนวนสมาชิกสภได้ตั้ง 7-19 คน
ส่วนการปกครองในระดับตำบล/แขวง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือกำนันจะต้องมจาการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนในลักษณะของการรับสมัครเลือกตั้งในนามของพรรคการเมือง และสมาชิกสภาท้องถิ่นยังเป็นผุ้มีสิทธิ์ในการออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาอีกด้วยจึงทำให้โครงสร้างในระดับท้องถิ่นมีความเชื่อโยงกับสภานิติบัญญัติและสมาชิกวุฒิสภา ส่วนตำแหน่งผุ้ใหญ่บ้านในแต่ละหมู่บ้านจะมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมและแต่งตั้งโดยสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือกำนันและไม่มีวาระในการดำรงตำแหน่ง
สภาตำบลเป็นหน่วยงานระดับล่างสุดที่มีบทบาทในการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างธรรมาภิบาลโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยุ่เพื่อตอบสนองควาต้องการของประชาชนในคอมมูน/แขวง โดยคำนึงถึงนโยบายของรัฐเป็นสำคัญ เดิมบทบาทอำนาจหน้าที่ไม่ชัดเจนเท่าใดนักกระทั่งผ่านกฎหมายในปี ค.ศ. 2001 กฎหมายฉบับดังกล่าวได้กำหนดบทบาทและอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในหมวดที่ 4
ภารกิจและอำนาจหน้าที่ของสภาตำบลสามารถแบ่งออกเป็น 2 ด้านที่สำคัญ คือ หน้าที่ในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ในแต่ละคอมมูน และหน้าที่ในการเป็นหน่วยงานตัวแทนของรัฐและทำหน้าที่ตามที่ได้รับการมอบอำนาจจากรัฐบาลกลางทั้งหน้าที่ในการตอบความต้องการของประชาชนจะเกี่ยวข้องกับเรื่องดังนี้
- หน้าที่ในการธำรงและรักษาความสงบเรียบร้อย วึ่งในที่จะเกี่ยวข้องกับการลดจำนวนการเกิดอาชญากรรมและความรุนแรงและรวมไปถึงการทำงานร่วมกับตำรวจ
- หน้าที่ในการจัดเตรียมสิ่งจำเป็นต่างๆ ในการบริการสาธารณะและมีความรับผิดชอบและดำเนินงานเป็ฯอย่างดี เช่น ด้านสุขอนามัยของน้ำ การสร้างและซ่อมแซมถนน ด้านสุขภาพ ด้านการศึกษา และการจัดการน้ำเสีย เป็นต้น
- หน้าที่ในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้ความสุขกับประชาชนเช่นการจัดตั้งสวนสาธารณะเป็นต้น
- หน้าที่ในการส่งเสริมการพัฒนทางสังคมและเศรษบกิจรวมไปถึงการยกระดับความเป็นอยู่อขงประชาชให้ดีขึ้นเช่นการชักจูงนักลงทุนให้มาลงทุนโครงการต่างๆ ในท้องถิ่น
- หน้าที่ในการปกป้องและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม, ทรัพยากรธรรมชาติ, วัฒนธรรมและมรดกของชาติ โดยอาจจะเกี่ยวกับการดำเนินโครงการปกป้องสัตว์ป่าท้องถิ่นและพืชประจำถิ่นและการจัการทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น
- หน้าที่ในการปะสานไกล่เหล่ยความขัดแย้งภายในท้องถิ่นให้ประชาชนมีความเข้าใจและอดทนต่อกันและกันเช่นการช่วยแก้ปัญหาข้อพิพาทในท้องถ่ิน
- หน้าที่ในการค้นหาและติดตามความต้องการของประชาชน
ทั้งนี้ หน้าที่ในการเป็นหน่วงานตัวแทนของรัฐและทำหน้าที่ตามที่ได้รับการมอบอำนาจจากรัฐบาลกลางตามกฎหมาย พระราชบัญญัติพระราชกฤษฎีกาหรือการประกาศต่างๆ โดยสภาตำบลจะไม่มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องดังต่อไปนี้คือ ด้านป่าไม้, ด้านการไปรษณีย์และการบริหารทางโทรคมนาคม, การปกป้องประเทศ, ความมั่นคงของประเทศ,ด้านการเงิน, นโยบายต่างประเทศ, นโยบายทางด้านภาษีและอื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนด โดยสภาตำบลมีอำนาจอย่างอิสระในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ ซึ่งจะต้องได้รับเสียงข้างมากในสภาตำบล เช่น การนุมัติแผนการพัฒนตำบลระยะ 5 แี และจะต้องมีการปรับปรุงแผนพัฒนาตำบลทุก 1 ปี การอนุมัติวบประมาณของตำบล การจัดเก็บภาษีและการบริการอื่นๆ การอนุมัติกฎหมายต่างๆ ของท้องถิ่นและเรื่องๆ อื่นที่ได้รับการแนะนำจากกระทรรวงมหาดไทย ซึ่งในแต่ละคอมมูนจะต้องแต่งตั้งบุคคล 2 คนอาจจะเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรืประชาชนในการทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบประเมินโครงการพัฒนาตำบล ดดยโครงการพัฒนาท้องถ่ินต่างๆ ต้องประกาศหรือนำเสนอต่อสาธารณะเพื่อให้ประชาชนสมารถเข้าถึงข้อมุลดังกล่าวได้ยอ่างอิสระ และสภาตำบลเปิดโอกาศให้ประชาชนเขามีส่วนร่วมใหนการจัดำโครงการพัฒนา ตำบล การนำไปสุ่ปฏิบัติใช้และพัฒนาโครงงการต่างๆ ในท้องถิ่นใหมีความสอดคล้องกับกระทรวงและภาคส่วนอื่นๆ ด้วย
การเงินและการคลังของท้องถิ่น คอมมูน/แขวง ถุกบัญญํติไว้ในกฎหมายการบริหารและจักดารคอมมูน/แขวง สรุปความได้ว่ สภาตำบลมีทรัพยากรทางการเงิน ,วบประมษณและทรัพย์สินเป็นของตัวเองที่เหมาะสมสำหรับการดูแลจัดการและทำหน้าที่ตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้และทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติย่างเหมาะสมและสนับสนุนกาพัฒนาประชาธปิไตยภายในท้องถ่ินน้นๆ สภาท้องถิ่นมีอำนาจที่จะเก็บภาษีโดยตรงจากภาษีการเงินและภาษีที่ไม่ใช้การเงินและจกการบริการอื่นๆ ซ฿่งภาษีดังกล่าวก็จะรวมไปถึงภาษีที่ดิน ภาษีจากทรัพย์สินอื่นๆ ที่เคลื่อนที่ไม่ได้และภาษีค่าเช่าหรืออาจจะได้เงินงบประมาณมาจากการสนับสนุของงบประมาณระดับชาติหรืออาจจะมาจากการบริจาก การให้ความช่วยเลหื่อจากองค์กรพัฒนเอกชนตามที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเป็รจ้ร สภาท้องถิ่นไม่มีสิทธิ์ในการกู้หรือไใ้กู้ยืมเงนิไม่มีสิทธิืในการทำธุรกรรมทางกาเงินไดๆ ทั้งสิ้น นอกจานั้นสภาท้องถ่ิน จะต้องมีการบริาหรการเงินและการคลังของคอมูน/แขวงอย่งโปร่งใส มีประสิทธิภาพและสามารถตรวจสอบได้
การบริหารงานบุคคลท้องถิ่น สภาตำบลจะมีเจ้าหน้าที่เป้ฯของตนเอง พนักงานของสภาท้องถ่ินจะต้องมาจากากรแข่งขันการับสมัครบุคคลและแต่งตั้งบุคคลจากสภาท้องถ่ินหรือฝ่ายบริหารงานบุคคลเพื่อทำงานในสภาท้องถิ่นอย่างโปร่งใสตามกฎหมาย โดยพนักงานของสภาท้องถิ่นจะอยู่ภายใตก้าบริหารงานโดยตรงและการดุแลตรวจสอบจากประธานสภาตำบลหรือกำนัน ยกเว้นแต่เจ้าหน้าที่บางประเภทเช่นเลขานุการสภาตำบล จะมาจาการแต่างตั้งโดยรัฐบาลกลาง
ความสัมพันธ์ระหว่างราชการสวนกลาง ส่วนภูมิภาคและสภาตำบล โดยความสัมพันธ์ระหว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภุมิภาค และสภาตำบลสืบเนื่องมาจากการวางโครงสร้างการปกครองท้ถงถ่ินทีแม้ว่าจะมีการกระจายอำนาจให้กับท้องถ่ินให้ีการเลือตั้งอบ่งอิสระมีการบริหารกิจการภายในท้องถ่ินและมีงบประมาณเป็นตัวเอง แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับกำหนดให้สภาตำบล ในบางกรณีจะต้องอยู่ภายใต้การกำกับควบคุมและทแรกแซงโดยการแต่างตั้งข้าราชการที่ได้รับการแต่างต้งโดยกระทรวงมหาดำทย ยิงไปกว่านั้นด้วยลักษณธเฉพาะของรุ)แบบการเลือกตั้งสภตำบลที่ผุ้สมัตรรับเลือกตังจะตอ้งสมัตรในนามของพรรคการเมืองจึงเป็นเหตุให้การปกครองท้องิ่นไม่สามรถแยกออกจากการเมืองระดับชาติได้ในแง่ที่ว่าปัจจัยของพรรคหรือพรรครัฐบาลบ่อมมีผลต่อการเลือกตั้งในแต่ละครั้งหรือแม้แต่ในด้านของการบริหารงานภายในท้องถิ่นย่อมมีปัญหาในการบริหารงานที่อาจจะเป็นเพรียงกลไกในระดับล่างของพรรคการเมืองหนึ่งเพื่อเป็นฐานสนับสนุนหรือสร้างความเข้มแข็งทางการเมืองในระดับชาติ นอกจากนั้นสภาท้องถ่ินยังถูกกำหนดให้มีบทบาทและขอบเขตหน้าที่มากไปกว่าขอบเขตพื้นที่ในแต่ละท้องถิ่นเท่านั้น สมาชิกสภาท้องถิ่นยังมีอีกสภานะ คือ สถานะของผุ้มีสิทธิ์ในการเลือตั้งวุฒิสภาและมีสิทธิ์ในการแต่งตั้งผุ้ใหญ่บ้านไปพร้อมๆ กัน ฉะนั้นจากลักษณะเฉพาะของโครงสร้างอำนาจและหน้าที่ของสภาท้องถิ่นจึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและสภตำบล ไม่สามารถแยกออกจากกันอย่างอิสระ หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวกลางในการ้อยรัอความสัมพันะ์ระหว่งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคแะสภาตำบลเข้าไว้ด้วยกัยอย่าวแนบแน่นนั่นก็คือพรรคการเมือง
การตรวจสอบ ควบคุมและการกำกับท้องถิ่น การกำหนดกลไกในการติดตาม แทรกแซง ตรวจสอบการทำงานของสภาตำบลตามกฎหมายการบริหารจัดคอมมูน/แขวง โดยหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ดุแลหน่วยการปกครองท้องถิ่นคือกระทรวงมหาดไทยโดยมีทยวงการบริหารท้องถิ่น ทำหน้าที่ดูแลทั่วไปเกี่ยวกับการกระจายอำนาจคำสั่งของกระทรวงมหาดไทยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อส่อสารระหวางนโยบายการกระจายอำนาจของรัฐบาลกลางและท้องถ่ินในแต่ละระดับรวมไปถึวตัวแทนของ รัฐ ภาคเอกชน ประชาสังคมและอื่นๆ ทำหน้าที่ติดตามควบคุมและประเมินการดำเนินนโยบายการกระจายอำนาจและำหน้าที่ในการติดตามควบคุมและเพ่ิมประสิทธิภาพของท้องถภิ่น ซึ่งกระทรวงมหาดไทยอาจจะมอบอำนาจให้กับตัวแทนของรัฐในระดับจังหวัด/กรุง หรือตำบล/เขต เข้าไปให้ความช่วยเหลือแก่ท้องถ่ิน และในขณะเดียวกันถ้าหากคอมมูน/แขวง ล้มเหลวในการทำหน้าที่และไม่สามาถแก้ไขความล้มเหลวดังกล่วได้ภายใน 6 เดือน ตามกฎหมายกระทรวงมหาดไทยก็สามารถเข้าำปแทรกแซงในกิจการภายในท้องถิ่นอย่างทันทีนอกจากนั้นกระทรวงมหาดไทยยังได้กำหนดให้มีการติดตามการดำเนินงานและปรเมินการใช้งบประมาณในโครงการการพัฒนาต่างๆ ของคอมมูน /แขวงเพื่อมิให้มีการใช้งบประมาณไปในทางที่มิชอบซึ่ง คอมมูน/แขวงมีหน้าที่ต้องเตียมรายงานการใช้จ่ายเงินประจำปีให้แล้วเสร็จภายใน 45 วันหลังหมดปีงบประมาณและนำเสนอรายงานดังกล่าวให้กับกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยต่อสาธารณะและองค์กรสมาคมต่างๆ
ส่วนกลไกในการตรวจสอบจากประชานยังคงมีข้อจำกัดอยู่มาก เนื่องจากความยากจนเป็นอุสรรคต่อการกระจายอำนาจสู่ท้องถ่ิน ประชาชนผุ้มีสิทธิ์เลือกตังส่วนใหญ่ไม่ได้รัการศึกษาทำให้ระดับการมีส่วนร่วมทากงารเมืองอยู่ในระดับต่ำ มีช่องทางมากมายสำหรับการซ้อสิทธิ์ขายเสียงของพรรคการเมืองโดยไม่ถูกตรวจสอบความสัมพันธ์แบบระบบอุปถัมภ์ระหว่างพรรคการเมืองกับประชาชนระหว่าผุ้นำท้องถิ่นกับประชาชน รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐที่วางตัวไม่เป็นกลางกับประชชน อีกทังยังมีการติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐในท้องถิ่นตัวอย่างหน่งที่แสดงการใช้กลไกของรัฐกลยุทธ์ทงการเมืองในการควบคุมวิะีคิดหรือการตัดสินใจทางการเมืองของประชาชนอันเป็นสิ่งที่ยืนยันลชัดเจนถึงขีดความสามารถในการตรวจสอบการทำงานของท้องถิ่นโดยประชาชนได้ในระดับหนึ่งดังปรากฎข่าวว่าผุ้ใหญ่บ้านได้เรียกให้ประชาชนที่อาศัยอยุ่ในปมูาบ้านทั้งหมดมาพิมพ์ลายนิ้มือและให้สัญญาว่าจะเลือพรรคประชาชนกัมพูชา CCP เนื่องจากการเลือกตั้งในครั้งก่อนมีผุสนับสนุนพรรคเป็นจำนวนมากแต่ผลคะแนนเสียงที่ได้รับกลับมีจำนวนน้อยไม่สอดคล้องกับความช่วยเหลือที่พรรคได้ให้กับประชาชน
- พินสุดา วงศ์อนันต์, "ระบบการปกครองท้องถิ่น ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน : ราชอาณาจักรกัมพูชา", วิทยาลัยพัฒนการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า, 2556.
ดังนั้น จากหลักการดังกล่าวจึงนำไปสู่การจัดตั้งโครงการการร่วมือระหว่างรัฐบาลกัมพุชาและผุ้ให้การสนับสนุน เพื่อทำารศึกษาและทำการจัดการทอลองการนำรูปแบบสภาท้องถิ่นไปใใช้ในท้องถิ่น ซึ่งได้กำหนดแบ่งการศึกษาออกเป็น 3 ส่วนที่สำคัญได้แก่ ระดับชาติ (พิจารณาจุดแข็งและจุดอ่อนของนโยบาย รวมทั้งวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ในการปฏิรูป) ความสัมพันธ์ระหว่งรัฐบาลกลางกับท้องถ่ิน (การดำเนินการออกแบบกำหนดให้ีการบรรลุถึงเป้าหมายของการปฏิรูป) และคามสัมพันะ์ระหว่างท้องถิ่นกับท้องถิ่น ผความร่วมมือระหว่างประชาชนในคอมมูน ความสัมพันธ์ระหว่างคอมมูน และคามอิสระของท้องถิ่น)
โครงการดังกล่าวจัดว่าเป็ฯโครงการพัฒนาชนบทที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยรัฐบาลกัมพุชาได้เริ่มทอลองให้มีการกระจายอำนาจให้กบท้องถิ่นกว่าร้อยละ 20 ของประเทศ และมีการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาชนบทประจำตำบลและหมู่บ้านทั่วประเทศกว่า 1,000 หมู่บ้านและกว่า 100 ตำบล เพื่อทำแผนการพัฒนาประจำปมู่บ้านและตำบล โดยเฉพาะการสร้างดครงสร้างพื้นฐานสาธาณณูปโภคต่างๆ ทั้งนี้จะประสบการณ์จากโครงการดังกล่าวจึงทำให้รัฐบาลกัมพุชาได้รับประสบการณ์ในเบื้องกต้นสำหรับการจัดให้มีการเลือกต้งสภาท้องถิ่นซึ่งเป็นขึ้นตอนแรกของการกระจายอำนาจจากส่วนหลางสู่ท้องถิ่นและนำไปสู่การจัดร่างกฎหมายเพื่อสนับสนุนการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นของกัมพุชาทั้งกฎหมายการเลือกตั้งและกฎหมายในการบริหารและจัดการท้องถิ่น กฎหมายเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สมบัติของจังหวัด/กรุง เป็นต้น
ทั้งนี้ดูเหมือนว่าการกระจายอำนาจในกัมพูชามีการกำหนดทิศทางและกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน แต่ทว่าความตั้งใจดังกล่าวกับไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้การกระจายอำนาจยังคงดำเนินไปยอ่างล่าช้าเนื่องจากว่าภายหลงการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1993 มีการจัดตั้งรัฐบาลผสมเป็นรัฐบาลแห่งชาติของ 4 พรรคได้แก่พรรคซีพีพี CPP พรรคฟุนซินเปค พรรคพุทธเสรีประชาธิปไตยและพรรคโมลินาคา มีนายกรัฐมนตรี 2 คน แต่อำนาจกลับอยู่ในมือของสมเด็๗ฮุนเซนมากกว่า และส่งผลให้กลไกของรัฐไม่สามารถทำงานได้ตามปกตออำนาจในท้องถิ่นก็อยู่ภายใต้การควบคุมของพรรคซีพีพี เพราะได้ร่วมกับประชานนการสู้รบกับเขมรแดงจึงทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่งสองขััวอำนาจ เพราะแต่ละพรรคต่างก็ต้อกงการสรางอำนาจฐานการเมืองในระับท้องถิ่นให้เข้มแขงเพื่อเตียมพร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปที่กำหนดให้มีขึ้นในปี ค.ศ. 1998 ท้ายที่สุดชนวนความขัดแย้งในการแบ่งสรรอำนาจระหว่างพรรคประชาชนกัมพุชา CPP แลพพรรคฟุนซินเปค ก็ดำเนินมาสู่จุดแตกหัแกละนำไปสู่การรัฐประหารโดยนายฮุน เซนในปี ค.ศ. 1997 แต่ดวยแรงกดดันจากนานาชาติและการดำเนินนโยบายการแทรกแซงอย่างสร้างสรรค์ จากอาเซียจึงทำให้พรรคประชาชนกัมพูชา ยอมไใ้มการเลือกต้้งระดับชาติครั้งที่ 2 ในปี คซศ. 1998จากความไร้เสถียรภาพทางการเมืองระดับชาติจึงกำหนดการเดิมซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตังระดับท้องถิ่นในปี ค.ศ. 1999 ต้องเลื่อนออกไปเป็นเดือนมีนาคม ค.ศ. 2000
โดยภายหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปในกัมพุชาในปี ค.ศ. 1998 รัฐบาลกัมพูชามีความพยายามในการฟื้นฟุประเทศขึ้นมาใหม่อีกครั้งและการให้คำมั่นสัญญาต่อนานาประทเศที่ให้ความช่วยเหลือต่อกัมพุชาในการพัฒนาประเทศ และรัฐบาลกัมพุชาก็มีความจำเป้นต้องมีการปฏิรูปการบริหารประเทศในหลายๆ ด้านเพื่อการปกครองที่บริสุทธิ์ยุตธรรมเช่น การปฏิรูประบบการเงินกาีคลังของประเทศ การปฏิรูประบบการบริหารประเทศและกำลังทหาร การปฏิรูปการกระจาอำนาจการปกครอง สำหรับแนวคิดการกรจายอำนาจเกิดขึ้นมาจากหลักธรรมาภิบาล เนื่องจากรัฐบาลมีความเชื่อว่าการกระจายอำนาจเป้นการปกครองที่รัฐมสมารถ่ายโอนอำนาจการบังคับบัญ๙าและากรมอบหมายความับผิดชอบในการบางอย่างให้กับท้องถิ่นดำเนินกาจัดการภายในท้องถิ่นเอง โดยจุดมุ่งหมายสภคัญเพื่อให้ประชาชนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีส่วนร่วมและรับผิดชอบร่วมกันในการดูแลกิจการท้องถิ่นของตนเอง แต่อย่งไรก็ตาม แม้ว่าการปฏิรูประบบราชการ การกระจายอำนาจจะดำเนินไป แต่ก็ปรากฎสิ่งที่ท้าทายกระบวนการปฏิรูปด้วยเชช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นในด้านของโครงสร้างกฎหมายของประบวนการกระจาย ความสัมพันธ์ของโครงสร้งกฎหมายของกระบวนการกระจาย ความสัมพันธ์กับกระบวนการแบ่งอำนาจรวมไปถึงเร่ิมมีการข่มขู่คุกคามทางการเมืองแม้ว่าจะยังไม่มีกำหนดการเลือกตั้งที่ชัดเจน โดยเดือนสิงห่คม ค.ศ. 2000 ผุ้ที่คดว่าจะลงใาัครแข่งขันรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น ของพรรคฟุนซินเปค 1 คนและของพรรคสม รังสี อีก 2 คน ถูกลอบยิงเสียชีวิตในจังหวัดกำปอต จังหวัดกำปง จาม และสังหวัดไพรเวงตามลำดับ
กระทั่งปี ค.ศ. 2001 มีการผ่านกฎหมายท้องถิ่น ออกมา 2 ฉบับได้แก่ กฎมหายการบริหารและจัดการท้องถิ่น และกฎมายการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจกับสภาท้องถ่ินในการวางแผนพัฒนาและบริหารแผนพัฒนาท้องถิ่นรวมไปถึงการมีวบประมาณเป็ฯของตัวเองและนำไปสู่การเลือกตั้งระดับท้องถ่ินในเือนกุมภมพันธ์ ปี 2002 และเกิดปรากฎหารณ์การเคลื่อนไหวทางการเืองท้องถ่นนของกัมพูชาเป็นอย่างมากหว่าคือ ตัวแทนจากพรรคการเมืองต่างๆ ของกัมพุชาได้เข้าร่วมในการเลือตั้งในระดับสภาพท้องถิ่นทั่วทุกแห่งของประเทศ ซึ่งกอ่นหน้านี้ผุ้นำท้องถ่ินเหล่านี้ต่างก็คือ บุคคลที่เคยได้รบแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ภายใหต้การีนำของพรรค PRK ที่ได้ร่วมต่อสู้กับประชาชนในช่วงที่เขมรแดงยังปกครอง และถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนชื่อพรรคมาเป้ฯพรรคประชาชนกัมพุชา ผุ้นำเหล่านี้ก็ยังคงมีความจงรักภักดีทางการเืองอย่งต่อเนื่อง ขณะเดี่ยวกันพรรคประชาชนกัมพูชา เองก็พยายามที่จะรักษาอำนาจและคงอิทธิพลฝังรากตั้งแต่ระดับำเภอ ตำบลและหมู่บ้าน ซึ่งนับได้ว่ากลายเป็นกลไกสำคัญแลทำให้พรรรคประชาชนกัมพุชามีเสถียรภาพทางการเมืองสูงจวบจนปัจจุบัน
ผู้นำชุมชนที่มาจากการแต่งตั้ง เพื่อให้ภาพการพัฒนาการการกระจายอำนาจและกรปกครองท้องถิ่นของกัมพูชาที่ชัดเจน จำเป็จ้องนำเสอนการปกครองท้องถิ่นของกัมพูชาตั้งแต่อดีตที่มาจาการแต่งตั้งจนกระทั่งก่อนจะมีเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2002
กัมพูชานช่วงที่ตกอยุ่ใต้อาณัติของฝรั่เศส มีการเหล่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่งมาก โดยเฉพาะการที่พระมหากษัตริย์จำต้องลงรพนามในกฎหมายและประกาศหลายฉบับในปี ค.ศ. 1884 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้ผลประโยชน์แก่ฝรั่งเศสทั้งส้ินเช่น ข้อตกลงฉบับหนึ่งที่มีข้อสัญญาบางข้อที่เป้ฯการวบอำนาจในกัมพุชาไฝ้ในมือของฝรั่งเศสอย่างเบ็ดเสร็จ ราชธานีพนมเปญอยุ่ภายใต้การปคกรองโดยตรงจากฝรั่งเศส แระชาชนทุกชนชั้นวรรณะต้องตกเป้นผุ้คอนรับใช้เพื่อสนองผลประดยชน์แก่เจ้าอาณานิคม ฝรั่งเศสมีอสิระอย่างเต็มี่ในการเก้บภาษีอากรทุกประเะภทแงะมี่สิทธิแต่งตั้งผ้ดูแลที่เป็นคนฝรังเศส 1 คนหรือรองอีก 1 คนให้ทำหน้าที่เป้ฯเจ้านายตรวจตราข้าราชการในจังหวัดหนึ่งๆ และในุทกๆ แห่งที่ฝรั่งเศสเห็นว่าจะมีประโยชน์ต่อตนเองราชธานีพนมเปญอยุ่ภายใต้การปกครองโดยตรงของฝ่ายฝรั่งเศสพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ได้รับเงินเบี้ยหวัดเป็นรายไปจากฝรั่งเศสจำนวน 550,000 เรียล กิจการภายในประเทศและนอกประเทศของกัมพุชาอยู่ในการกำกับดุแลของฝรั่งเศส พระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจในการแต่างตั้งขช้าราชการเหมือนที่เคยปฏิบัติมาฝรั่งเศสแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสให้เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์กัมพุชา พร้อมทั้งเป็นผู่จัดแจงกิจการต่างๆ ภายใต้การแนะนำของเทศาภิบาลชาวฝรั่งเศสแห่งอินโดจีน ส่วนการปกครองในระดับจังหวัดต่างก็ตกอยู่ภายใต้การดูแลของฝรังเศส ชาวเขมรต้องอยุ่ภายใต้การบังคับบัญชาของฝรั่งเศสมีเพียงในระดับำเภอลงไปจนถึงตำบลและหมุ่บ้านเท่านั้นที่อำนาจในการปกครองเป็นของขาวเขมรรับผิดชอบและจัดแลงกิจการได้เองภต่ต้องอยู่ภายใต้การตรวจตราอย่างใกล้ชิดของฝรั่งเศส
หากกล่าวถึงการปกครองในระดับท้องถิ่นของกัมพูชาจริงๆ แล้วปรากฎข้อมูลทางการปกครองในระดับตำบล ระดับหมู่บ้านในกัมพูชา มีมาตั้งแต่ก่อนที่ฝรั่งเศสจะเข้ามายึดครองกัมพูชา ในอีกด้านหนึ่งแม้ว่ากัมพุชาจะตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของฝรั่งเศส แต่ประเทศอาณานิคมยังได้วางรากฐานที่สำคัญเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นไวเช่นเดี่ยวกัน โดยสิ่งที่ฝรั่งเศสทำการปฏิรูปการบริหารงานที่สำคัญที่สุดก็คือการสร้างหน่วยการบริหารงานในระดับหมู่บ้านหรือคอมมูน และมีพระราชกฤษฎีการกำหนดให้มีการเลือกตั้งผุ้ใหญ่บ้านในปี 1908 ซึ่งคอมมูน มีโครงสร้างการทำงานที่เชื่อมโยงระหว่างการปกครองด้วยหลักศีลธรรมผ่านผุ้นำในระดับหมุ่บ้านที่มีความเป็นผุ้นำและได้รับการยอมรับจากประชาชนในหมุ่บ้าน และการควบคุมผ่านระบบราชการในระดับอำเภอ ซึ่งนายอำเภอจะได้รับการแต่งตั้งจากผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นๆ ซึ่งโครงสร้างเดิมของคอมมูนนั้นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือคอมมูนจะต้องมาจากากรเลือตตั้งซึ่งประชาชนเพศชายและหญิงที่มีการจ่ายภาษีเท่านั้นจึงจะมีสิทธิในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือคอมมูน และในปี ค.ศ. 1919 พระราชกฤษฎีกายังได้กำหนดให้มีการแบ่งอำนาจในการจัดการทางด้านการเงินและทรัย์สินไปใไ้กับตำบล และมีพระราชกฤษฎีการกำหนดให้มีการเลือกตั้งสภาตำบลและมอบหมายงานที่ชัดเจนในการจักการด้านการเงินและการบริหารงานทั่วไป ทั้งนี้ได้มีการจัดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการปฏิบัตงานระดับตำบล/แขวง และสภาตำบลมีหลักเกณฑ์และการบิรหารจัดการที่คล้ายคลึงกบประเทศฝรั่งเศส
นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 1960 สภาตำบลได้ถูกยกเลิกไป โดยหัวหน้าคอมมูนหรือกำนัน ผุ้ช่วยกำนันผุ้ใหญ่บ้านจะมาจาการแต่งตั้งโดยผุ้ว่าราชการจังหวัด ผุ้ช่วยกำนันผุ้ใหญ่บ้านจะมาจากการแต่งตั้งโดยผุ้ว่าราชการจังหวัด และในสมัยแขมรแดงปกครอง ก็ได้ทกการยกเลิกสถาบัน และรูปแบบของกิจกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่มีอยุ่เิมทั้งหมด การปกครองในระดับภูมิภาคลงไปจนถึงระดับหมู่บ้านอำนาจทังหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิดจาก "องค์การ" ซึ่งเป็นหน่วยงานการปกครองโดยตรงของรัฐที่มีอำนาจทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ทางด้านสังคม ทางด้านตุลาการ โดยรวมแล้วองค์การในทุกระดับชั้นจะมีสิทธิอำนาจในกาตัดสินใจในทุกเรื่องและในทุกกิจการของรัฐทั้งนี้องค์การในระดับหมุ่บ้านจะมี "ประธานสหกรณ์" ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากองค์การให้มีอำนาจอย่งเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและมีการปฏิบัติต่อประชาชนอย่างโหดร้ายและป่าเถื่อนอันนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันู์อย่างเลวร้ายที่สุดนประวัติศาสตร์การเมืองของกัมพุชา ในอีกด้านหนึ่งนั้นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชายังหลายเป็นปัญหาสำคัญที่สุ่งต่อมายบังปัจจุบันหล่าวได้ว่ากลุ่มประชากรซึงเป็นกลุ่มชนชั้นกลาง ส่วนใหญ่จะถูกฆ่าตายหรือไม่ก็พอพยพหลบหนีนอกนอกประเทศดังนั้นจึงทำให้โครงสร้างประชกรของกัมพุชาในปัจจุบันประกอบไปด้วยวัยเด็กและผู้หญิงเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็กลายเป็นอุปสรรคสำคัญอีกประการหนึ่งในการพัฒนาประชาธิปำตยในกัมพูชา..
การเลือกตั้งสภาตำบล การผ่านกฎหมายการเลือกตีั้งท้องถ่ินและฏำหมายการบริหารและจัดการท้องถิ่น เป็นตรั้งแรกในปี ค.ศ. 2002 ซ่งนับว่าเป็นก้าวแรกของการพัฒนาประชาธอปไตยในระดับ้องถิ่นของกัมพูชา ได้ทำให้เกิดการะแสการที่ตัวแทนจากพรรคการมืองต่างๆ ของกัมพุชาได้เขาร่วมการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นทุกแห่งทั่วปะเทศ ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ปี ค.ศ. 2002 พรรคฟุนซินเปคต้องพ่ายแพ้แก่พรรคประชาชนกัมพูชา เพราะได้รับคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 22 เท่านั้นทำให้พรรคต้องประเมินสถานะของตนเมื่อจัดการประชุมสมัชชาพรรคประจำปีขึ้นในเดือนมีนาคม 2002 สมาชิกพรรคหลายคนไม่พอใจข้อเสียเปรีบและได้รับผลประโยชน์น้อยมากจากการเป็นรัฐบาลผสมกับพรรคประชาชนกัมพุชาอย่างไรก็ตามสมเด็จกรมพระรณฤทธิ์ยังคงแถลงยืนยันว่าพรรคฟุนซินเปคจะไม่ถอนตัวออกจากการเป็นรัฐบาลผสมแต่จะพยายามเรียกร้องให้พรรคมีอำนาจบริหารเพ่ิมขึ้น
ทั้งนี้การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเป็นตัวแปรที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการเลือกตั้งในระดับชาติในปี ค.ศ. 2003 เพราะการที่ตัวแทนของพรรคฟุนซิเปคและพรรคสมรัสี ที่ได้รับการเลือกตั้้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นทีั่วประเทศ่อมเป้นสิ่งที่เปิดโอกาสให้พรรคต่างๆ เหล่านี้สามารถหาเสียงในระดับชาติได้ด้วย แมว่าจะยังคงปรากฎความไม่ไว้วางใจระหว่างหัวคะแนนในระดับท้องถ่ินของพรรคการเมืองต่างๆ แต่ก็ยังคงเป็นที่ยอมรับร่วมกนว่าพรรคการเมืองใหญ่ ๆ ต่างก็สามารถได้ที่นั่งในสภาท้องถ่ินในทุกๆ คร้งากน้อยต่งกัน ซึ่งเป็นภาพการเมืองระดับท้องถิ่นที่แตกต่่างจากก่อนการเลือกตั้งปี ค.ศ. 1998 ซึ่งมีการเน้นเแพาะบทบาทของผุ้ใหญ่บ้าน ผุ้นำชุมชน และตำรวจ ในการทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร จัดสมาชิกพรรคออกไปหาเสียงให้กับพรรคการเมืองของตนร่วมไปถึงการข่มขู่คุกคามผุ้ที่สนับสนุนพรรคฝ่ายค้านในอีกด้านหนึ่งย่อมชัดเนว่า ปัจจุบันผุ้นำท้องถินมีบทบาทสำคัญต่อการเมืองระดับท้องถิ่นมากว่าสถาบันข้าราชการ
ระบบกรปกครองท้องถิ่น
โครงสร้างขององค์กรปกคอรงส่วนท้องถิ่น รัฐธรรมนูญกัมพูชาฉบับปัจจุบัน 1999 หมวดที่ 13 การบริหารราชการ ได้บัญญัติเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นไว้ดังนี้
มาตรา 145 ดินแดนของราชอาณาจักรกัมพูชาแบ่งออกเป็นจังหวัด และกรุง เขตพื้นที่แต่ะจังหวัดแบ่งเป็นอำเภอ และพื้นที่แต่ละอำเภอแบ่งเป็นตำบล เขชตพื้นที่แต่ละกรุงแบ่งเป็นเขต และเขตพื้นที่แต่ละเขต แบ่งเป็นแขวง
มาตรา 146 การปกครองจังหวัด กรุง อำเภอ เขตและแขวงให้เป็นไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
ปัจจุบันกัมพูชาแบ่งโครงสร้างการบริหารราชแผ่นดินออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยโครงสร้างส่วนกลางแบ่งออกเป็นกระทรวงและสำนักงานอิสระ และโครงสร้างส่วนภูมิภาคได้แก่จังหวัด/กรุง อำเภอ/เขต ตำบล/แขวง และหมู่บ้าน ดดยจังหวัด/กรุง และอำเภอ/เขต เป็นหน่วยงานบริหารราชการส่วนภูมิภาคของรัฐ ซึ่งผุ้ว่าราชการ จังหวัด /กรุง นายอำเภอ จะมาจาการแต่างตั้งโดยกระทรวงมหาดไทย ปัจจุบัน กัมพูชามีทั้งหมด 24 จังหวัด และ 1 เทศบาลนคร จำนวนสมาชิกสถาท้องถิ่นแตกต่างกันดังนี้
สภาเมืองหลวง มีจำนวนสมาชิกสภาได้ไม่เกิดน 21 คน พนมเปญ
สภาจังหวัด มีจำนวนสมาชิกสภาได้ตั้งแต่ 9-21 คน
สภากรุง มีจำนวนสมาชิกสภาได้ตั้งแต่ 7-15 คน
สภาอำเภอและสภาเขต มีจำนวนสมาชิกสภได้ตั้ง 7-19 คน
ส่วนการปกครองในระดับตำบล/แขวง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือกำนันจะต้องมจาการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนในลักษณะของการรับสมัครเลือกตั้งในนามของพรรคการเมือง และสมาชิกสภาท้องถิ่นยังเป็นผุ้มีสิทธิ์ในการออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาอีกด้วยจึงทำให้โครงสร้างในระดับท้องถิ่นมีความเชื่อโยงกับสภานิติบัญญัติและสมาชิกวุฒิสภา ส่วนตำแหน่งผุ้ใหญ่บ้านในแต่ละหมู่บ้านจะมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมและแต่งตั้งโดยสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือกำนันและไม่มีวาระในการดำรงตำแหน่ง
สภาตำบลเป็นหน่วยงานระดับล่างสุดที่มีบทบาทในการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างธรรมาภิบาลโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยุ่เพื่อตอบสนองควาต้องการของประชาชนในคอมมูน/แขวง โดยคำนึงถึงนโยบายของรัฐเป็นสำคัญ เดิมบทบาทอำนาจหน้าที่ไม่ชัดเจนเท่าใดนักกระทั่งผ่านกฎหมายในปี ค.ศ. 2001 กฎหมายฉบับดังกล่าวได้กำหนดบทบาทและอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในหมวดที่ 4
ภารกิจและอำนาจหน้าที่ของสภาตำบลสามารถแบ่งออกเป็น 2 ด้านที่สำคัญ คือ หน้าที่ในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ในแต่ละคอมมูน และหน้าที่ในการเป็นหน่วยงานตัวแทนของรัฐและทำหน้าที่ตามที่ได้รับการมอบอำนาจจากรัฐบาลกลางทั้งหน้าที่ในการตอบความต้องการของประชาชนจะเกี่ยวข้องกับเรื่องดังนี้
- หน้าที่ในการธำรงและรักษาความสงบเรียบร้อย วึ่งในที่จะเกี่ยวข้องกับการลดจำนวนการเกิดอาชญากรรมและความรุนแรงและรวมไปถึงการทำงานร่วมกับตำรวจ
- หน้าที่ในการจัดเตรียมสิ่งจำเป็นต่างๆ ในการบริการสาธารณะและมีความรับผิดชอบและดำเนินงานเป็ฯอย่างดี เช่น ด้านสุขอนามัยของน้ำ การสร้างและซ่อมแซมถนน ด้านสุขภาพ ด้านการศึกษา และการจัดการน้ำเสีย เป็นต้น
- หน้าที่ในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้ความสุขกับประชาชนเช่นการจัดตั้งสวนสาธารณะเป็นต้น
- หน้าที่ในการส่งเสริมการพัฒนทางสังคมและเศรษบกิจรวมไปถึงการยกระดับความเป็นอยู่อขงประชาชให้ดีขึ้นเช่นการชักจูงนักลงทุนให้มาลงทุนโครงการต่างๆ ในท้องถิ่น
- หน้าที่ในการปกป้องและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม, ทรัพยากรธรรมชาติ, วัฒนธรรมและมรดกของชาติ โดยอาจจะเกี่ยวกับการดำเนินโครงการปกป้องสัตว์ป่าท้องถิ่นและพืชประจำถิ่นและการจัการทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น
- หน้าที่ในการปะสานไกล่เหล่ยความขัดแย้งภายในท้องถิ่นให้ประชาชนมีความเข้าใจและอดทนต่อกันและกันเช่นการช่วยแก้ปัญหาข้อพิพาทในท้องถ่ิน
- หน้าที่ในการค้นหาและติดตามความต้องการของประชาชน
ทั้งนี้ หน้าที่ในการเป็นหน่วงานตัวแทนของรัฐและทำหน้าที่ตามที่ได้รับการมอบอำนาจจากรัฐบาลกลางตามกฎหมาย พระราชบัญญัติพระราชกฤษฎีกาหรือการประกาศต่างๆ โดยสภาตำบลจะไม่มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องดังต่อไปนี้คือ ด้านป่าไม้, ด้านการไปรษณีย์และการบริหารทางโทรคมนาคม, การปกป้องประเทศ, ความมั่นคงของประเทศ,ด้านการเงิน, นโยบายต่างประเทศ, นโยบายทางด้านภาษีและอื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนด โดยสภาตำบลมีอำนาจอย่างอิสระในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ ซึ่งจะต้องได้รับเสียงข้างมากในสภาตำบล เช่น การนุมัติแผนการพัฒนตำบลระยะ 5 แี และจะต้องมีการปรับปรุงแผนพัฒนาตำบลทุก 1 ปี การอนุมัติวบประมาณของตำบล การจัดเก็บภาษีและการบริการอื่นๆ การอนุมัติกฎหมายต่างๆ ของท้องถิ่นและเรื่องๆ อื่นที่ได้รับการแนะนำจากกระทรรวงมหาดไทย ซึ่งในแต่ละคอมมูนจะต้องแต่งตั้งบุคคล 2 คนอาจจะเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรืประชาชนในการทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบประเมินโครงการพัฒนาตำบล ดดยโครงการพัฒนาท้องถ่ินต่างๆ ต้องประกาศหรือนำเสนอต่อสาธารณะเพื่อให้ประชาชนสมารถเข้าถึงข้อมุลดังกล่าวได้ยอ่างอิสระ และสภาตำบลเปิดโอกาศให้ประชาชนเขามีส่วนร่วมใหนการจัดำโครงการพัฒนา ตำบล การนำไปสุ่ปฏิบัติใช้และพัฒนาโครงงการต่างๆ ในท้องถิ่นใหมีความสอดคล้องกับกระทรวงและภาคส่วนอื่นๆ ด้วย
การเงินและการคลังของท้องถิ่น คอมมูน/แขวง ถุกบัญญํติไว้ในกฎหมายการบริหารและจักดารคอมมูน/แขวง สรุปความได้ว่ สภาตำบลมีทรัพยากรทางการเงิน ,วบประมษณและทรัพย์สินเป็นของตัวเองที่เหมาะสมสำหรับการดูแลจัดการและทำหน้าที่ตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้และทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติย่างเหมาะสมและสนับสนุนกาพัฒนาประชาธปิไตยภายในท้องถ่ินน้นๆ สภาท้องถิ่นมีอำนาจที่จะเก็บภาษีโดยตรงจากภาษีการเงินและภาษีที่ไม่ใช้การเงินและจกการบริการอื่นๆ ซ฿่งภาษีดังกล่าวก็จะรวมไปถึงภาษีที่ดิน ภาษีจากทรัพย์สินอื่นๆ ที่เคลื่อนที่ไม่ได้และภาษีค่าเช่าหรืออาจจะได้เงินงบประมาณมาจากการสนับสนุของงบประมาณระดับชาติหรืออาจจะมาจากการบริจาก การให้ความช่วยเลหื่อจากองค์กรพัฒนเอกชนตามที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเป็รจ้ร สภาท้องถิ่นไม่มีสิทธิ์ในการกู้หรือไใ้กู้ยืมเงนิไม่มีสิทธิืในการทำธุรกรรมทางกาเงินไดๆ ทั้งสิ้น นอกจานั้นสภาท้องถ่ิน จะต้องมีการบริาหรการเงินและการคลังของคอมูน/แขวงอย่งโปร่งใส มีประสิทธิภาพและสามารถตรวจสอบได้
การบริหารงานบุคคลท้องถิ่น สภาตำบลจะมีเจ้าหน้าที่เป้ฯของตนเอง พนักงานของสภาท้องถ่ินจะต้องมาจากากรแข่งขันการับสมัครบุคคลและแต่งตั้งบุคคลจากสภาท้องถ่ินหรือฝ่ายบริหารงานบุคคลเพื่อทำงานในสภาท้องถิ่นอย่างโปร่งใสตามกฎหมาย โดยพนักงานของสภาท้องถิ่นจะอยู่ภายใตก้าบริหารงานโดยตรงและการดุแลตรวจสอบจากประธานสภาตำบลหรือกำนัน ยกเว้นแต่เจ้าหน้าที่บางประเภทเช่นเลขานุการสภาตำบล จะมาจาการแต่างตั้งโดยรัฐบาลกลาง
ความสัมพันธ์ระหว่างราชการสวนกลาง ส่วนภูมิภาคและสภาตำบล โดยความสัมพันธ์ระหว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภุมิภาค และสภาตำบลสืบเนื่องมาจากการวางโครงสร้างการปกครองท้ถงถ่ินทีแม้ว่าจะมีการกระจายอำนาจให้กับท้องถ่ินให้ีการเลือตั้งอบ่งอิสระมีการบริหารกิจการภายในท้องถ่ินและมีงบประมาณเป็นตัวเอง แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับกำหนดให้สภาตำบล ในบางกรณีจะต้องอยู่ภายใต้การกำกับควบคุมและทแรกแซงโดยการแต่างตั้งข้าราชการที่ได้รับการแต่างต้งโดยกระทรวงมหาดำทย ยิงไปกว่านั้นด้วยลักษณธเฉพาะของรุ)แบบการเลือกตั้งสภตำบลที่ผุ้สมัตรรับเลือกตังจะตอ้งสมัตรในนามของพรรคการเมืองจึงเป็นเหตุให้การปกครองท้องิ่นไม่สามรถแยกออกจากการเมืองระดับชาติได้ในแง่ที่ว่าปัจจัยของพรรคหรือพรรครัฐบาลบ่อมมีผลต่อการเลือกตั้งในแต่ละครั้งหรือแม้แต่ในด้านของการบริหารงานภายในท้องถิ่นย่อมมีปัญหาในการบริหารงานที่อาจจะเป็นเพรียงกลไกในระดับล่างของพรรคการเมืองหนึ่งเพื่อเป็นฐานสนับสนุนหรือสร้างความเข้มแข็งทางการเมืองในระดับชาติ นอกจากนั้นสภาท้องถ่ินยังถูกกำหนดให้มีบทบาทและขอบเขตหน้าที่มากไปกว่าขอบเขตพื้นที่ในแต่ละท้องถิ่นเท่านั้น สมาชิกสภาท้องถิ่นยังมีอีกสภานะ คือ สถานะของผุ้มีสิทธิ์ในการเลือตั้งวุฒิสภาและมีสิทธิ์ในการแต่งตั้งผุ้ใหญ่บ้านไปพร้อมๆ กัน ฉะนั้นจากลักษณะเฉพาะของโครงสร้างอำนาจและหน้าที่ของสภาท้องถิ่นจึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและสภตำบล ไม่สามารถแยกออกจากกันอย่างอิสระ หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวกลางในการ้อยรัอความสัมพันะ์ระหว่งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคแะสภาตำบลเข้าไว้ด้วยกัยอย่าวแนบแน่นนั่นก็คือพรรคการเมือง
การตรวจสอบ ควบคุมและการกำกับท้องถิ่น การกำหนดกลไกในการติดตาม แทรกแซง ตรวจสอบการทำงานของสภาตำบลตามกฎหมายการบริหารจัดคอมมูน/แขวง โดยหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ดุแลหน่วยการปกครองท้องถิ่นคือกระทรวงมหาดไทยโดยมีทยวงการบริหารท้องถิ่น ทำหน้าที่ดูแลทั่วไปเกี่ยวกับการกระจายอำนาจคำสั่งของกระทรวงมหาดไทยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อส่อสารระหวางนโยบายการกระจายอำนาจของรัฐบาลกลางและท้องถ่ินในแต่ละระดับรวมไปถึวตัวแทนของ รัฐ ภาคเอกชน ประชาสังคมและอื่นๆ ทำหน้าที่ติดตามควบคุมและประเมินการดำเนินนโยบายการกระจายอำนาจและำหน้าที่ในการติดตามควบคุมและเพ่ิมประสิทธิภาพของท้องถภิ่น ซึ่งกระทรวงมหาดไทยอาจจะมอบอำนาจให้กับตัวแทนของรัฐในระดับจังหวัด/กรุง หรือตำบล/เขต เข้าไปให้ความช่วยเหลือแก่ท้องถ่ิน และในขณะเดียวกันถ้าหากคอมมูน/แขวง ล้มเหลวในการทำหน้าที่และไม่สามาถแก้ไขความล้มเหลวดังกล่วได้ภายใน 6 เดือน ตามกฎหมายกระทรวงมหาดไทยก็สามารถเข้าำปแทรกแซงในกิจการภายในท้องถิ่นอย่างทันทีนอกจากนั้นกระทรวงมหาดไทยยังได้กำหนดให้มีการติดตามการดำเนินงานและปรเมินการใช้งบประมาณในโครงการการพัฒนาต่างๆ ของคอมมูน /แขวงเพื่อมิให้มีการใช้งบประมาณไปในทางที่มิชอบซึ่ง คอมมูน/แขวงมีหน้าที่ต้องเตียมรายงานการใช้จ่ายเงินประจำปีให้แล้วเสร็จภายใน 45 วันหลังหมดปีงบประมาณและนำเสนอรายงานดังกล่าวให้กับกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยต่อสาธารณะและองค์กรสมาคมต่างๆ
ส่วนกลไกในการตรวจสอบจากประชานยังคงมีข้อจำกัดอยู่มาก เนื่องจากความยากจนเป็นอุสรรคต่อการกระจายอำนาจสู่ท้องถ่ิน ประชาชนผุ้มีสิทธิ์เลือกตังส่วนใหญ่ไม่ได้รัการศึกษาทำให้ระดับการมีส่วนร่วมทากงารเมืองอยู่ในระดับต่ำ มีช่องทางมากมายสำหรับการซ้อสิทธิ์ขายเสียงของพรรคการเมืองโดยไม่ถูกตรวจสอบความสัมพันธ์แบบระบบอุปถัมภ์ระหว่างพรรคการเมืองกับประชาชนระหว่าผุ้นำท้องถิ่นกับประชาชน รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐที่วางตัวไม่เป็นกลางกับประชชน อีกทังยังมีการติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐในท้องถิ่นตัวอย่างหน่งที่แสดงการใช้กลไกของรัฐกลยุทธ์ทงการเมืองในการควบคุมวิะีคิดหรือการตัดสินใจทางการเมืองของประชาชนอันเป็นสิ่งที่ยืนยันลชัดเจนถึงขีดความสามารถในการตรวจสอบการทำงานของท้องถิ่นโดยประชาชนได้ในระดับหนึ่งดังปรากฎข่าวว่าผุ้ใหญ่บ้านได้เรียกให้ประชาชนที่อาศัยอยุ่ในปมูาบ้านทั้งหมดมาพิมพ์ลายนิ้มือและให้สัญญาว่าจะเลือพรรคประชาชนกัมพูชา CCP เนื่องจากการเลือกตั้งในครั้งก่อนมีผุสนับสนุนพรรคเป็นจำนวนมากแต่ผลคะแนนเสียงที่ได้รับกลับมีจำนวนน้อยไม่สอดคล้องกับความช่วยเหลือที่พรรคได้ให้กับประชาชน
- พินสุดา วงศ์อนันต์, "ระบบการปกครองท้องถิ่น ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน : ราชอาณาจักรกัมพูชา", วิทยาลัยพัฒนการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า, 2556.
Local government in Myanmar
อำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศเมียนมาร์อยู่ในการควบคุมของรัฐบาล กลุ่มชนชั้นนำของผุ้นำทหาร ละุ้ร่วมธุรกิจและ้ว พม่ายังมีนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพ ยบังคงมีการทุจริต ส่งผลให้ประชาชนในชนบทยังคงอดอยากและยากจน ในปี ค.ศ. 2010-2011 มีการโอนทรัพย์สินของรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ครอบครัวทหารภายใต้การอ้างนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งย่ิงทำให้ช่องว่าระหว่างชนชั้นนำทางเศราฐกิจและประชาชนกว้างยิ่งขึ้น
ประเทศพม่ายังเผชิญกับความไม่สมดุลของเศรษฐกิจมหภาคที่ร้ายแรง อันได้แก่ อัตรแลกเปลี่ยนแทางการที่กำหนดค่าเงินจั็ตสูงเกินไป การขาดดุลการคลัง การขาดเครดิตการค้าซึ่งถูกบิดเบือนหนักขึ้นไปอีกอัตราดอกเบี้ยนอกตลาด เงินเฟ้อที่่คามเดาไม่ได้ ข้อมูลทางเศราฐกิจที่ไม่น่าเชื่อถือ และความไม่สามารถที่จะจัดทำบัญชีประชาชาติให้ถูกต้องตรงกัน นอกจากนี้ ปัญหาโครงสรี้้างพื้นฐาน นโยบายการค้าที่คาดเดาไม่ได้ทรัพยากรบุคคลที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา (เป็นผลจากการละเลยระบบสุขภาพและระบบการศึกษา) ปัญหาการทุจริต และการเข้าไม่ถึงเงินทุนสำหรับการลงทุน ธนาคารเอกชนยังคงดำเนินงานภายใต้ข้อห้ามที่เข้มงวดของทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ภาคเอกชนเข้าถึงเครดิตได้อย่างจำกัด ประกอบกับการควำ่บาตรทางการเงินและเศรษฐกิจจากนานาประเทศ เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา และสหรัฐอเมริกา ทำให้สภาพทางเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำอย่างต่อเนื่อง
สหรัฐอเมริกาได้ห้ามการทำธุรกรรมทางการเงินกับหน่วยงนส่วนใหญ๋ของพม่า ห้ามผู้นำทหารและผุ้นำพลเรือนอาวุโสของพม่าและผุ้นำที่มีความเชื่อมโยงกับระบอบทหารเดินทางเข้าสหรัฐฯ และห้ามนำเข้าผลิตภัฒฑ์ของพม่า การคว่ำบาตรเหลานี้มีผลต่าุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มของประเทศ ทำให้ภาคธนาคารถุกโดดเดี่ยวและต้องดิ้นรนมากขึ้น และยังเป็นการเพ่ิมต้นทุนในการทำธุรกิจกับบริษัทพม่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัมที่เชื่อมโยงกับผุ้นำระบอบการปกครองพม่าการโอนเงินเข้าประทเศจากแรงงานพม่าในต่างประเทศส่งมาให้ครอบครั้วของพวกเขา เป็นตัวขับเคลื่อนที่ทำให้การกระวงการคลังพม่าอนุญาตให้ธนาคารในประเทศดำเนินการกิจการด้านต่างประเทศ
ในปี ค.ศ. 2011 รัฐบาลได้ริเริ่มการปฏิรูปแลเปิดเศรษฐกิจของประเทศโดยการลดภาษีการส่งออก ลดข้อห้ามต่างๆ ในภาคการเงินและขอความช่วยเลหือจากองคกรระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่ดียังคงมีความจำเป้ฯอย่างยิ่ง ในการฟื้นฟผูสภาพทางเศรษฐกิจ ผ่านการส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ
หลังจากฝ่ายทหาร(นำโดยนายพล เน วิน) เข้ายึอำนาจรัฐบาลพลเรือนของอนายอู นุ ในปี 1952 ได้มีการจัดตั้งรับบาลใหม่ซึ่งเรียกตัวเองว่า "รัฐบาลปฏิวัติของสหภาพพม่า" และมีการจัดต้งสภาคณะปฏิวัติ ซึ่งประกอบด้วยนายทหารคนสำคัญ 17 นาย ที่นำพม่าเข้าสู่ประเทศีี่มีการปกครองแบบรวมศูนย์อย่างเบ็ดเสร็จ สภาคณะปฏิวติได้ยกเอาคำประกาศของคณะปฏิวัติเป็นตัวบทกฎหมายในการบริหารประเทศ และนั่นหาายถึงการทำให้พม่าเดินอยุ่บนเสส้นทางของ "วิ๔ีทางของพม่าสู่ลัทธิสังคมนยิม" ตามเอกสารที่ออกมาอย่างเป้ฯทางการในเดือนเมษายน ค.ศ. 1962
วิถีสู่ลัทธิสังคมนิยมนั้น เป็นการหลอมรวมหลักการแห่งมาร์กซ์และเลนินเข้ามาเป้ฯแกนหลักแห่งอุดมกาณณ์ และผนวกกับหลักการความเป็นเอกราชของพม่า ที่นายออก ซานได้วางไว้ก่อนหน้านี้ นอกจาเอกสารประมวลปรัชญา แห่งลัทธิสังคมนิยมของพม่าแล้ว เดือนกรกฎาคม 1962 รัฐบาลปฎิวัติฯ ยังออก "ธรรมนูญของพรรคโครงกานสังคมนิยมพม่าสำหรับช่วงแรกแห่งการเปลี่ยนไปสู่การสร้างสรรค์" และเอกสารว่าด้วย "ระบบแห่งสหสัมพันธ์ของมุษย์กับสิ่งแวดล้อม" รวมถึงเอกสรเารื่อง "ลักษระเฉพาะของพรรคโครงการสังคมนิยมพม่า" ซึ่งสาระสำคัญของเอกสารทั้งหมดนี้ คือการนำระบอบประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม เข้ามาแทนที่ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดครงสร้างและากรดำเนินงานของฝ่ายรัฐบาลถูกแทนที่ดดยสภาคณะปฏิวัติ ซึ่งเป็นองค์กรเดียวที่เอกสารเหล่านี้กล่าวถึง เป็ฯระบอบรวมศูนย์ที่ผุ้นำ ในขณะที่ปัจเจกชนหรือกลุ่มประชาชนเป็นเพียงผุ้ติดตามผุ้นำสังคมนิมเท่านั้น
จึงไม่น่าแปลกใจที่รัฐที่มีการปกครองแบบรวมศุนย์อำนาจเบ็ดเสริจเช่นพม่านี้ จะไม่มีระบบการปกครองท้องถิ่น เมื่อทุกนโยบายถูกกำหนดมากจากส่วนกลางทั้งสิ้น
ดังได้กล่าวมาแล้วในบที่ก่อนหน้า แม้ว่ารัฐบาลทหารจะประกาศให้การร่างรัฐธรรมนูญขึ้น และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการในปี 1974 นั้น แต่เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาของรัฐธรรมนูญแล้ว ก็ทำให้เห็นได้ถึงข้อจำกัดของระบบการปกครองท้องถิ่นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น รัฐธรรมนูญกลายเป็นเครื่องมือของคณะปฏิวัติในการหาความชอบธรรมในการปกครอง สิ่งที่นายพลเน วิน ต้องการกำหนดไว้ใรัฐธรรมนูญ นั่นคื อเป้าหมายของรัฐสังคมนิยม ที่มีเศรษฐฏิจแบบสังคมนิยม ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม และทหารเพียงกลุ่มเดี่ยวเท่านั้นที่ครอบงำอำนาจทั้งหมดรัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงเสมือนการสร้างฐานในการครองอำนาจอย่างชอบธรรมและสามารถขจัดอำนาจอื่นที่จะมาสั่นคลอนฝ่ายทหารได้เป็นระบบการปกครองแบบพรรคการเมืองพรรคเดียว ควบคุมจากส่วนกลางโดยไม่มีอำนาจใดมาดุลหรือคาน
ดังน้้น อำนาจในกาบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ จึงอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างสิ้นเชิงขององค์กรของพรรค ไม่มีการกำหนดอำนาจอิสระในระดับใด ไม่ว่าจะเป็นระดับต่ำสุดจากหมู่บ้าน เมือง หรือสภาประชาชน การเลือกตั้งผุ้แทนประชาชนเข้าไปทำหน้าที่ในสภาประชาชนในระดับต่างๆ เป็นแต่การคดเลือกตัวแทนที่พรรรคส่งไปให้ประชาชนรับรองเท่านั้น โดยรวมแล้วทุกหน่วยงานในระดับท้องถิ่น ไม่มีอำนาจใดๆ นอกเหนือจากการรับคำสั่งจากพรรค่วนกลางนั่นเอง
ในสมัยรัฐบาล ตัน ฉ่วย มีความเคลื่อนไหวสมัชชาแห่งชาติที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อร่างรัฐะรรมนูญ และการประชุมทั้ง 8 ครั้งของสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญนั้น ก็เป็นเพียงความพยายามในการยืนยันความชอบธรรมของการมีส่วนร่วมของทหารในการมีบทบาทนำในกิจการของรัฐและการเมืองชองชาติใอนาคต เท่านั้น รัฐะรรมนูญของ ตัน ฉ่วย จึงไม่ได้แตกต่างกันเลยกับรัฐธรรมนูญขชองนายพลเน วิน แม้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ (ค.ศ. 2008 จะระบุให้มีการจัดการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2010 แต่ภายหลังการเลือกตั้ง ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ระบบการปกครองยังคงรวมศูนยอยู่ที่ส่วนกลาง(ทหาร)เช่นเดิม เนื้อหาส่วนใหญ๋ของรัฐธรรมนูญชี้ให้เห็นถึงอำนาจทหารอย่างชัดเจนในหลายๆ มาตรา ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะสมาชิกสมัชชาแห่งชาติเืพ่อร่างรัฐธรรมนูญคือกลุ่มผุ้แทนที่กลุ่มอำนาจจัดตั้งเข้าไป ในขณะที่ตัวแทนของพรรคการเมืองต่างๆ ถูกเลือกเข้าไปน้อยมาก รวมถึงพรรคสันนิบาตชาติเพื่อประชาธิปไตยของนางอองซาน ซุจีที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด ด้วยเช่นกัน
มาตราการต่างๆ ชี้ว่าระบบการปกครองท้องถิ่นของสาธารณรัฐแห่งสหภาพม่านั้น เป้นระบบที่ไม่เกิดขึ้น และอาจจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เนืองด้วยกลุ่มอำนาจทางการทหารนั้น ย่อมไม่สละอำนาจที่เคยมีอยุ่ในมืออกไปง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม วีแววของกิจกรรมทางการเมืองที่ดุเหมือนจะเกี่ยวข้องกับระบบการปกครองท้องถิ่น มีให้เห็นตั้งแต่ในสมัยสภาปฏิวัต นเรื่องของการมีส่วนร่วมในการจัดการัฐของประชาชนในภาคส่วนต่างๆ รวมถึงในระดับท้องถิ่น โดยสามารถสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้
สภาปฏิวัติ ได้พมัฯาระบบการคัดลือกบุคคลเข้าสุ่องค์กรบริหารระดับต่างๆ ผ่านการเลือกตั้งสมาชิกองค์กรระดับท้องถิ่น อย่างสภาประชาชน ในระดับบนสุด รวมถึง สภาประชาชนระดับปมู่บ้าน ระับตำบล ระดับจังหวัด ระดับรัฐย่อย ระดับเขตปกครองด้วย ดังนั้น ประชาชนจะมีส่วนร่วมในรัฐสภาได้ก็โดยผ่านการเลือกตั้ง สมาชิกสภาฯมีหน้าที่รายงานผลการประชุม ต่อเขตเลือกตั้งของตนโดยการเรียกประชาชนมาประชุม ถือเป็นการเชื่อโยงประชาชเข้ากับศูนย์กลางของรัฐอย่างเป็นทางการ
การเลือกตั้งสมาชิกสภาประชานมีขึ้นทุกๆ 4 ปี พร้อมๆ กับการเลือกตั้งสมาชิกสภาประชาชนประจำหมุบ้าน ตำบล จังหวด รํฐย่อยและเขตปกครองพิเศษ และเฉพาะผู้มีสัญชาติพม่าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติรับเลือกตั้งได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผุ้สมัครรบเลือกตั้งคือบุคคลที่มีตำแหน่งอยุ่แล้ว นั่นหมายถึงส่วนหนึ่งก็เป็นคนของพรรคในระดับต่างๆ อย่างไรก็ตาม ก็ยังปรากฎกรณีของผุ้ที่รัฐสนับสนุนแต่พ่ายแพ้การเลือกตั้งดังนั้น ผู้ที่ได้รับเลือกจึงต้องเป็นคนที่ทั้งพรรคและประชาชนในท้องถิ่นยอมรัีบได้
กระนั้นการเลือกตั้งดังกล่าว เป็นเพียงพิธีกรรมสร้างความชอบธรรมและรับรองอำนาจที่มีอยุ่แล้ว มากกว่าที่จะเป้นการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง ดงสะท้อนได้จากจำนวนของผุ้ที่ได้รับเลือก นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1985 จำนวนสมาชิกสภาผุ้แทนราษ๓รในสภาประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่จำนวนผุ้ได้รับการเลือกตัี้งเข้าสภาประชาชนระัดับจังหวัด รัฐบ่อยและเขตปกครองนั้นคงตัว ส่วนผุ้ได้รับเลือกต้งเข้าสภาประชาระดับตำบลและปมุ่บ้านมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ ชี้ให้เห็นถึงการทำงานในหน่วยงานระดับท้องถิ่นที่หนัก ส่งผลถึงการชักจูงประชาชนให้รับตำแหน่งจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก
ในระดับประเทศ นอกจากผุ้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของรัฐอยู่ก่อนแล้ว ยังปรากฎว่าเประชาชนที่เข้าไปร่วมกิจกรรมสาธารณะนั้นมีจำนวนที่น้อยมาก และกองทัพยังครอบงำการบริหารประเทศตลอดมารวมถึงนายทหารหรืออดีตนายทหารที่เข้าไปเป็นสมาชิกสภาฯ การที่บุคลากรชั้นนำระดับภูมิภาคมักมีตำแหน่งซ้อนทับระหว่งการเป็นทหาร เจ้าหน้าที่รัฐ และบุคลากรของพรรค สะท้อนเจตนาของการควบคุมมากกว่าการมีส่วนร่วมขงอภาคประชาชนได้อย่างชัดเจน
ในส่วนของสภาประชาชนระดับจังหวัด ตำบล และหมู่บ้าน นั้น มีหน้าที่หลัก 3 ประการ คือ ควบคุมประชาชน การจัดกิจกรรมให้แก่พรรค และองค์กรชนชั้นและจัดการประชุมและรณรงค์ เพื่อนำไปสู่การมีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง
สภาประชาชนระดับท้องถิ่นนั้น ไม่มีอำนาจด้านนิติบัญญัติ และไม่มีการประชุมเพื่อกำหนดนโยบายแต่อย่างใด แต่เป็นสถาบันที่ตั้งขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของรัฐบาลกลางและกระจายสู่ท้องถิ่น ซึ่งเป็นไปตามอุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตยที่รัฐบาลใหความหายไว้และเป็นหลักการสำคัญในรัฐธรรมนูญ
ความพยายามให้ประชาชนระดับท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการรัฐจึงไม่ค่อยประสอบความสำเร็จมากนัก รัฐยังคงต้องการกำกับดูแลกิจการทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าการตัดสินใจในทุกระดับจะไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่รัฐบาลกลางชี้นำและกำหนดไว้ การพัฒนาความคิดริเริ่มในท้องถิ่นจึงถูกสอดส่องอยู่ตลอดเวลา รัฐมนตรีมหาดไทยมีอำนาจในการปลดสมาชิกสภาประชาชนระดัยท้องถิ่นทั่วประเทศที่ถูกมองว่าขาดความเหมาะสม หรือทกหน้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้นการกระจายอำนาจสู่ท้องถ่ินนั้น แม้จะมีให้เห็ฯในเชิงรูปแบบแต่ในรายละเอียดแล้ว ไม่เกิดขึ้จริง องค์กรต่างๆ ระดับท้องถิ่นมีหน้าที่เพียงนำการตัดสินจของคณะผุ้ปกครองจากองค์การระดับสูงในส่วนกลางเท่านั้น เช่น การปฏิบัติงานของสภาประชาชนระดับตำบลในนครย่างกุ้ง ใช้เวลาส่วนใหญ่ดำเะนินการตามแผนงานที่สภาประชาชนระดับจังหวัดจัดเตรียมไวให้ ซึ่งสภาประชาชนระดับจังหวัดก็ได้รับคำสั่งจากสาประชาชนระดับรัฐย่อยหรือเขตปกครองมาอีกที เพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่รัฐบาลกลางวางไว้เท่านั้น กระนั้น สถานการร์ทางการเมืองของพม่าได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันหลังการเลือกตั้งครั้งล่าสุด และการปลดปล่อยนางอองซาน ซูจี ใไ้เข้าสู่เส้นทางทางการเมือง ประอบกับปัจจัยภายนอกประเทศต่างๆ ทำให้ในมุมมองของหลายภาคส่วนในสังคมระหว่างประเทศมองการเมืองพม่าว่าอยุ่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่เส้นทางประชาธิปไตย ในส่วนของระบบการปกครองท้องุถิ่นก็มีความเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน จากการศึกษาพบว่า มีการเตรียมการเพื่อการพัฒนาบุคลากรในระดับท้องถิ่น โดยการส่งนัการเมืองท้องถ่ินเข้ามาอบรม ณ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ตัวแสดงที่สำคัญที่สุดในระบบการเมืองการปกครองของสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่านั้นมีเพียงกลุ่มเดียว นั่นคือ กลุ่มอำนาจทางการทหาร ที่รวมศูนย์อำนาจทางการปกครองทั้งหมดเข้าสู่ศูนย์กลาง องค์กรทางการเมืองอื่นๆ ในระดับต่างๆ ต่างถุกควบคุมโดยกลุ่มอิทธิพลนี้ด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใดๆ ของระบบบริหารประเทศย่อมขึ้นอยู่กับกลุ่มทหารเพียงฝ่ายเดี่ยว เมื่อตัวแสดงในภาคส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการพลเรือน พรรคการเมืองอื่นๆ ประชาชน พระสงฆ์ ชนกลุ่มน้อย แม้จะออกมาเคลื่อนไหว แต่ท้ายสุดก็มีความเสี่ยงที่จะถูกรัฐบาลทหารกำจักหรือลิดอนสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง รัฐบาลทหารจึงถือเป็นปัจจัยเหนี่ยวรั้งที่สำคัญที่สุดต่อการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ระบบการปกครองส่วนท้องถิ่นจะเกิดขึ้นหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับท่าทีของกลุ่มอำนาจทางการทหารด้วยกันทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม สาธารณรับแห่งสไภาพพม่าในปัจจุบันนั้นมิได้เป็นประเทศปิดอย่างเช่นในอดีต การเข้าสู่เวทีความสัมพันธ์ระหว่งประเทศในระดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป้ฯระดับภูมิภาคอย่างอาเซียน หรือการมีความสัมพันธ์กับประเทศภายนอก ทั้งในภูมิภาคเอเชีย และภูมิภาคอื่นๆ ส่งผลทำให้ปัจจัยภายนอกประเทศเข้ามาีมีอิทธิพลต่อทัศนะของกลุ่มผุ้นำของพม่าในยุคปัจจุบัน แรงกรุตุ้นจากรัฐมหาอไนาจ องค์การระหว่างประเทศ องค์การเอกชน(NGOs) หรือรัฐอื่นๆ ที่พุ่งเป้ามายังกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยในพม่า อาจส่งผลต่อการตัดสินใจในการกำหนดนโยบายของกลุ่มผุ้นำในสภาพพม่าไม่มากก็น้อย แต่นโยบายหรือตัวบทกฎหมายที่ถูกบัญัติขึ้นมาจากแรงผลักดันและการตวรจสอบจากตัวแสดงภายนอกนั้น จะถูกนำไปปฏิบัติจริงมากน้อยเพีงใดในมุมองของผุ้เขียนแล้ว ในเรื่องการกระจายอำนาจหรือระบบการปกครองท้องถิ่นนั้น ยังเป้ฯเรื่องที่เป็ฯไปได้ยาก แม้จะดูเหมือนวามีกิจกรรมทีดูเหมือนการเตรียมความพร้อมให้กับบุลากรที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานต่างๆ ในประเด็นเรื่องระบบการปกครองท้องถิ่น ก็ใช่ว่าจะการันตีว่าการปกครองในระดับท้องถิ่นจะเกิดขึ้นได้จริง ดั่งในประเทศเสรีประชาธิปไตยทั่วไป
- ผณิตา ไชยศร,"ระบบการปกครองท้องถิ่น ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน : สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า", วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า, 2556.
ประเทศพม่ายังเผชิญกับความไม่สมดุลของเศรษฐกิจมหภาคที่ร้ายแรง อันได้แก่ อัตรแลกเปลี่ยนแทางการที่กำหนดค่าเงินจั็ตสูงเกินไป การขาดดุลการคลัง การขาดเครดิตการค้าซึ่งถูกบิดเบือนหนักขึ้นไปอีกอัตราดอกเบี้ยนอกตลาด เงินเฟ้อที่่คามเดาไม่ได้ ข้อมูลทางเศราฐกิจที่ไม่น่าเชื่อถือ และความไม่สามารถที่จะจัดทำบัญชีประชาชาติให้ถูกต้องตรงกัน นอกจากนี้ ปัญหาโครงสรี้้างพื้นฐาน นโยบายการค้าที่คาดเดาไม่ได้ทรัพยากรบุคคลที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา (เป็นผลจากการละเลยระบบสุขภาพและระบบการศึกษา) ปัญหาการทุจริต และการเข้าไม่ถึงเงินทุนสำหรับการลงทุน ธนาคารเอกชนยังคงดำเนินงานภายใต้ข้อห้ามที่เข้มงวดของทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ภาคเอกชนเข้าถึงเครดิตได้อย่างจำกัด ประกอบกับการควำ่บาตรทางการเงินและเศรษฐกิจจากนานาประเทศ เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา และสหรัฐอเมริกา ทำให้สภาพทางเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำอย่างต่อเนื่อง
สหรัฐอเมริกาได้ห้ามการทำธุรกรรมทางการเงินกับหน่วยงนส่วนใหญ๋ของพม่า ห้ามผู้นำทหารและผุ้นำพลเรือนอาวุโสของพม่าและผุ้นำที่มีความเชื่อมโยงกับระบอบทหารเดินทางเข้าสหรัฐฯ และห้ามนำเข้าผลิตภัฒฑ์ของพม่า การคว่ำบาตรเหลานี้มีผลต่าุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มของประเทศ ทำให้ภาคธนาคารถุกโดดเดี่ยวและต้องดิ้นรนมากขึ้น และยังเป็นการเพ่ิมต้นทุนในการทำธุรกิจกับบริษัทพม่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัมที่เชื่อมโยงกับผุ้นำระบอบการปกครองพม่าการโอนเงินเข้าประทเศจากแรงงานพม่าในต่างประเทศส่งมาให้ครอบครั้วของพวกเขา เป็นตัวขับเคลื่อนที่ทำให้การกระวงการคลังพม่าอนุญาตให้ธนาคารในประเทศดำเนินการกิจการด้านต่างประเทศ
ในปี ค.ศ. 2011 รัฐบาลได้ริเริ่มการปฏิรูปแลเปิดเศรษฐกิจของประเทศโดยการลดภาษีการส่งออก ลดข้อห้ามต่างๆ ในภาคการเงินและขอความช่วยเลหือจากองคกรระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่ดียังคงมีความจำเป้ฯอย่างยิ่ง ในการฟื้นฟผูสภาพทางเศรษฐกิจ ผ่านการส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ
หลังจากฝ่ายทหาร(นำโดยนายพล เน วิน) เข้ายึอำนาจรัฐบาลพลเรือนของอนายอู นุ ในปี 1952 ได้มีการจัดตั้งรับบาลใหม่ซึ่งเรียกตัวเองว่า "รัฐบาลปฏิวัติของสหภาพพม่า" และมีการจัดต้งสภาคณะปฏิวัติ ซึ่งประกอบด้วยนายทหารคนสำคัญ 17 นาย ที่นำพม่าเข้าสู่ประเทศีี่มีการปกครองแบบรวมศูนย์อย่างเบ็ดเสร็จ สภาคณะปฏิวติได้ยกเอาคำประกาศของคณะปฏิวัติเป็นตัวบทกฎหมายในการบริหารประเทศ และนั่นหาายถึงการทำให้พม่าเดินอยุ่บนเสส้นทางของ "วิ๔ีทางของพม่าสู่ลัทธิสังคมนยิม" ตามเอกสารที่ออกมาอย่างเป้ฯทางการในเดือนเมษายน ค.ศ. 1962
วิถีสู่ลัทธิสังคมนิยมนั้น เป็นการหลอมรวมหลักการแห่งมาร์กซ์และเลนินเข้ามาเป้ฯแกนหลักแห่งอุดมกาณณ์ และผนวกกับหลักการความเป็นเอกราชของพม่า ที่นายออก ซานได้วางไว้ก่อนหน้านี้ นอกจาเอกสารประมวลปรัชญา แห่งลัทธิสังคมนิยมของพม่าแล้ว เดือนกรกฎาคม 1962 รัฐบาลปฎิวัติฯ ยังออก "ธรรมนูญของพรรคโครงกานสังคมนิยมพม่าสำหรับช่วงแรกแห่งการเปลี่ยนไปสู่การสร้างสรรค์" และเอกสารว่าด้วย "ระบบแห่งสหสัมพันธ์ของมุษย์กับสิ่งแวดล้อม" รวมถึงเอกสรเารื่อง "ลักษระเฉพาะของพรรคโครงการสังคมนิยมพม่า" ซึ่งสาระสำคัญของเอกสารทั้งหมดนี้ คือการนำระบอบประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม เข้ามาแทนที่ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดครงสร้างและากรดำเนินงานของฝ่ายรัฐบาลถูกแทนที่ดดยสภาคณะปฏิวัติ ซึ่งเป็นองค์กรเดียวที่เอกสารเหล่านี้กล่าวถึง เป็ฯระบอบรวมศูนย์ที่ผุ้นำ ในขณะที่ปัจเจกชนหรือกลุ่มประชาชนเป็นเพียงผุ้ติดตามผุ้นำสังคมนิมเท่านั้น
จึงไม่น่าแปลกใจที่รัฐที่มีการปกครองแบบรวมศุนย์อำนาจเบ็ดเสริจเช่นพม่านี้ จะไม่มีระบบการปกครองท้องถิ่น เมื่อทุกนโยบายถูกกำหนดมากจากส่วนกลางทั้งสิ้น
ดังได้กล่าวมาแล้วในบที่ก่อนหน้า แม้ว่ารัฐบาลทหารจะประกาศให้การร่างรัฐธรรมนูญขึ้น และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการในปี 1974 นั้น แต่เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาของรัฐธรรมนูญแล้ว ก็ทำให้เห็นได้ถึงข้อจำกัดของระบบการปกครองท้องถิ่นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น รัฐธรรมนูญกลายเป็นเครื่องมือของคณะปฏิวัติในการหาความชอบธรรมในการปกครอง สิ่งที่นายพลเน วิน ต้องการกำหนดไว้ใรัฐธรรมนูญ นั่นคื อเป้าหมายของรัฐสังคมนิยม ที่มีเศรษฐฏิจแบบสังคมนิยม ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม และทหารเพียงกลุ่มเดี่ยวเท่านั้นที่ครอบงำอำนาจทั้งหมดรัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงเสมือนการสร้างฐานในการครองอำนาจอย่างชอบธรรมและสามารถขจัดอำนาจอื่นที่จะมาสั่นคลอนฝ่ายทหารได้เป็นระบบการปกครองแบบพรรคการเมืองพรรคเดียว ควบคุมจากส่วนกลางโดยไม่มีอำนาจใดมาดุลหรือคาน
ดังน้้น อำนาจในกาบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ จึงอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างสิ้นเชิงขององค์กรของพรรค ไม่มีการกำหนดอำนาจอิสระในระดับใด ไม่ว่าจะเป็นระดับต่ำสุดจากหมู่บ้าน เมือง หรือสภาประชาชน การเลือกตั้งผุ้แทนประชาชนเข้าไปทำหน้าที่ในสภาประชาชนในระดับต่างๆ เป็นแต่การคดเลือกตัวแทนที่พรรรคส่งไปให้ประชาชนรับรองเท่านั้น โดยรวมแล้วทุกหน่วยงานในระดับท้องถิ่น ไม่มีอำนาจใดๆ นอกเหนือจากการรับคำสั่งจากพรรค่วนกลางนั่นเอง
ในสมัยรัฐบาล ตัน ฉ่วย มีความเคลื่อนไหวสมัชชาแห่งชาติที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อร่างรัฐะรรมนูญ และการประชุมทั้ง 8 ครั้งของสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญนั้น ก็เป็นเพียงความพยายามในการยืนยันความชอบธรรมของการมีส่วนร่วมของทหารในการมีบทบาทนำในกิจการของรัฐและการเมืองชองชาติใอนาคต เท่านั้น รัฐะรรมนูญของ ตัน ฉ่วย จึงไม่ได้แตกต่างกันเลยกับรัฐธรรมนูญขชองนายพลเน วิน แม้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ (ค.ศ. 2008 จะระบุให้มีการจัดการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2010 แต่ภายหลังการเลือกตั้ง ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ระบบการปกครองยังคงรวมศูนยอยู่ที่ส่วนกลาง(ทหาร)เช่นเดิม เนื้อหาส่วนใหญ๋ของรัฐธรรมนูญชี้ให้เห็นถึงอำนาจทหารอย่างชัดเจนในหลายๆ มาตรา ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะสมาชิกสมัชชาแห่งชาติเืพ่อร่างรัฐธรรมนูญคือกลุ่มผุ้แทนที่กลุ่มอำนาจจัดตั้งเข้าไป ในขณะที่ตัวแทนของพรรคการเมืองต่างๆ ถูกเลือกเข้าไปน้อยมาก รวมถึงพรรคสันนิบาตชาติเพื่อประชาธิปไตยของนางอองซาน ซุจีที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด ด้วยเช่นกัน
มาตราการต่างๆ ชี้ว่าระบบการปกครองท้องถิ่นของสาธารณรัฐแห่งสหภาพม่านั้น เป้นระบบที่ไม่เกิดขึ้น และอาจจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เนืองด้วยกลุ่มอำนาจทางการทหารนั้น ย่อมไม่สละอำนาจที่เคยมีอยุ่ในมืออกไปง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม วีแววของกิจกรรมทางการเมืองที่ดุเหมือนจะเกี่ยวข้องกับระบบการปกครองท้องถิ่น มีให้เห็นตั้งแต่ในสมัยสภาปฏิวัต นเรื่องของการมีส่วนร่วมในการจัดการัฐของประชาชนในภาคส่วนต่างๆ รวมถึงในระดับท้องถิ่น โดยสามารถสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้
สภาปฏิวัติ ได้พมัฯาระบบการคัดลือกบุคคลเข้าสุ่องค์กรบริหารระดับต่างๆ ผ่านการเลือกตั้งสมาชิกองค์กรระดับท้องถิ่น อย่างสภาประชาชน ในระดับบนสุด รวมถึง สภาประชาชนระดับปมู่บ้าน ระับตำบล ระดับจังหวัด ระดับรัฐย่อย ระดับเขตปกครองด้วย ดังนั้น ประชาชนจะมีส่วนร่วมในรัฐสภาได้ก็โดยผ่านการเลือกตั้ง สมาชิกสภาฯมีหน้าที่รายงานผลการประชุม ต่อเขตเลือกตั้งของตนโดยการเรียกประชาชนมาประชุม ถือเป็นการเชื่อโยงประชาชเข้ากับศูนย์กลางของรัฐอย่างเป็นทางการ
การเลือกตั้งสมาชิกสภาประชานมีขึ้นทุกๆ 4 ปี พร้อมๆ กับการเลือกตั้งสมาชิกสภาประชาชนประจำหมุบ้าน ตำบล จังหวด รํฐย่อยและเขตปกครองพิเศษ และเฉพาะผู้มีสัญชาติพม่าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติรับเลือกตั้งได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผุ้สมัครรบเลือกตั้งคือบุคคลที่มีตำแหน่งอยุ่แล้ว นั่นหมายถึงส่วนหนึ่งก็เป็นคนของพรรคในระดับต่างๆ อย่างไรก็ตาม ก็ยังปรากฎกรณีของผุ้ที่รัฐสนับสนุนแต่พ่ายแพ้การเลือกตั้งดังนั้น ผู้ที่ได้รับเลือกจึงต้องเป็นคนที่ทั้งพรรคและประชาชนในท้องถิ่นยอมรัีบได้
กระนั้นการเลือกตั้งดังกล่าว เป็นเพียงพิธีกรรมสร้างความชอบธรรมและรับรองอำนาจที่มีอยุ่แล้ว มากกว่าที่จะเป้นการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง ดงสะท้อนได้จากจำนวนของผุ้ที่ได้รับเลือก นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1985 จำนวนสมาชิกสภาผุ้แทนราษ๓รในสภาประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่จำนวนผุ้ได้รับการเลือกตัี้งเข้าสภาประชาชนระัดับจังหวัด รัฐบ่อยและเขตปกครองนั้นคงตัว ส่วนผุ้ได้รับเลือกต้งเข้าสภาประชาระดับตำบลและปมุ่บ้านมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ ชี้ให้เห็นถึงการทำงานในหน่วยงานระดับท้องถิ่นที่หนัก ส่งผลถึงการชักจูงประชาชนให้รับตำแหน่งจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก
ในระดับประเทศ นอกจากผุ้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของรัฐอยู่ก่อนแล้ว ยังปรากฎว่าเประชาชนที่เข้าไปร่วมกิจกรรมสาธารณะนั้นมีจำนวนที่น้อยมาก และกองทัพยังครอบงำการบริหารประเทศตลอดมารวมถึงนายทหารหรืออดีตนายทหารที่เข้าไปเป็นสมาชิกสภาฯ การที่บุคลากรชั้นนำระดับภูมิภาคมักมีตำแหน่งซ้อนทับระหว่งการเป็นทหาร เจ้าหน้าที่รัฐ และบุคลากรของพรรค สะท้อนเจตนาของการควบคุมมากกว่าการมีส่วนร่วมขงอภาคประชาชนได้อย่างชัดเจน
ในส่วนของสภาประชาชนระดับจังหวัด ตำบล และหมู่บ้าน นั้น มีหน้าที่หลัก 3 ประการ คือ ควบคุมประชาชน การจัดกิจกรรมให้แก่พรรค และองค์กรชนชั้นและจัดการประชุมและรณรงค์ เพื่อนำไปสู่การมีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง
สภาประชาชนระดับท้องถิ่นนั้น ไม่มีอำนาจด้านนิติบัญญัติ และไม่มีการประชุมเพื่อกำหนดนโยบายแต่อย่างใด แต่เป็นสถาบันที่ตั้งขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของรัฐบาลกลางและกระจายสู่ท้องถิ่น ซึ่งเป็นไปตามอุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตยที่รัฐบาลใหความหายไว้และเป็นหลักการสำคัญในรัฐธรรมนูญ
ความพยายามให้ประชาชนระดับท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการรัฐจึงไม่ค่อยประสอบความสำเร็จมากนัก รัฐยังคงต้องการกำกับดูแลกิจการทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าการตัดสินใจในทุกระดับจะไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่รัฐบาลกลางชี้นำและกำหนดไว้ การพัฒนาความคิดริเริ่มในท้องถิ่นจึงถูกสอดส่องอยู่ตลอดเวลา รัฐมนตรีมหาดไทยมีอำนาจในการปลดสมาชิกสภาประชาชนระดัยท้องถิ่นทั่วประเทศที่ถูกมองว่าขาดความเหมาะสม หรือทกหน้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้นการกระจายอำนาจสู่ท้องถ่ินนั้น แม้จะมีให้เห็ฯในเชิงรูปแบบแต่ในรายละเอียดแล้ว ไม่เกิดขึ้จริง องค์กรต่างๆ ระดับท้องถิ่นมีหน้าที่เพียงนำการตัดสินจของคณะผุ้ปกครองจากองค์การระดับสูงในส่วนกลางเท่านั้น เช่น การปฏิบัติงานของสภาประชาชนระดับตำบลในนครย่างกุ้ง ใช้เวลาส่วนใหญ่ดำเะนินการตามแผนงานที่สภาประชาชนระดับจังหวัดจัดเตรียมไวให้ ซึ่งสภาประชาชนระดับจังหวัดก็ได้รับคำสั่งจากสาประชาชนระดับรัฐย่อยหรือเขตปกครองมาอีกที เพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่รัฐบาลกลางวางไว้เท่านั้น กระนั้น สถานการร์ทางการเมืองของพม่าได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันหลังการเลือกตั้งครั้งล่าสุด และการปลดปล่อยนางอองซาน ซูจี ใไ้เข้าสู่เส้นทางทางการเมือง ประอบกับปัจจัยภายนอกประเทศต่างๆ ทำให้ในมุมมองของหลายภาคส่วนในสังคมระหว่างประเทศมองการเมืองพม่าว่าอยุ่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่เส้นทางประชาธิปไตย ในส่วนของระบบการปกครองท้องุถิ่นก็มีความเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน จากการศึกษาพบว่า มีการเตรียมการเพื่อการพัฒนาบุคลากรในระดับท้องถิ่น โดยการส่งนัการเมืองท้องถ่ินเข้ามาอบรม ณ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ตัวแสดงที่สำคัญที่สุดในระบบการเมืองการปกครองของสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่านั้นมีเพียงกลุ่มเดียว นั่นคือ กลุ่มอำนาจทางการทหาร ที่รวมศูนย์อำนาจทางการปกครองทั้งหมดเข้าสู่ศูนย์กลาง องค์กรทางการเมืองอื่นๆ ในระดับต่างๆ ต่างถุกควบคุมโดยกลุ่มอิทธิพลนี้ด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใดๆ ของระบบบริหารประเทศย่อมขึ้นอยู่กับกลุ่มทหารเพียงฝ่ายเดี่ยว เมื่อตัวแสดงในภาคส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการพลเรือน พรรคการเมืองอื่นๆ ประชาชน พระสงฆ์ ชนกลุ่มน้อย แม้จะออกมาเคลื่อนไหว แต่ท้ายสุดก็มีความเสี่ยงที่จะถูกรัฐบาลทหารกำจักหรือลิดอนสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง รัฐบาลทหารจึงถือเป็นปัจจัยเหนี่ยวรั้งที่สำคัญที่สุดต่อการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ระบบการปกครองส่วนท้องถิ่นจะเกิดขึ้นหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับท่าทีของกลุ่มอำนาจทางการทหารด้วยกันทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม สาธารณรับแห่งสไภาพพม่าในปัจจุบันนั้นมิได้เป็นประเทศปิดอย่างเช่นในอดีต การเข้าสู่เวทีความสัมพันธ์ระหว่งประเทศในระดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป้ฯระดับภูมิภาคอย่างอาเซียน หรือการมีความสัมพันธ์กับประเทศภายนอก ทั้งในภูมิภาคเอเชีย และภูมิภาคอื่นๆ ส่งผลทำให้ปัจจัยภายนอกประเทศเข้ามาีมีอิทธิพลต่อทัศนะของกลุ่มผุ้นำของพม่าในยุคปัจจุบัน แรงกรุตุ้นจากรัฐมหาอไนาจ องค์การระหว่างประเทศ องค์การเอกชน(NGOs) หรือรัฐอื่นๆ ที่พุ่งเป้ามายังกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยในพม่า อาจส่งผลต่อการตัดสินใจในการกำหนดนโยบายของกลุ่มผุ้นำในสภาพพม่าไม่มากก็น้อย แต่นโยบายหรือตัวบทกฎหมายที่ถูกบัญัติขึ้นมาจากแรงผลักดันและการตวรจสอบจากตัวแสดงภายนอกนั้น จะถูกนำไปปฏิบัติจริงมากน้อยเพีงใดในมุมองของผุ้เขียนแล้ว ในเรื่องการกระจายอำนาจหรือระบบการปกครองท้องถิ่นนั้น ยังเป้ฯเรื่องที่เป็ฯไปได้ยาก แม้จะดูเหมือนวามีกิจกรรมทีดูเหมือนการเตรียมความพร้อมให้กับบุลากรที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานต่างๆ ในประเด็นเรื่องระบบการปกครองท้องถิ่น ก็ใช่ว่าจะการันตีว่าการปกครองในระดับท้องถิ่นจะเกิดขึ้นได้จริง ดั่งในประเทศเสรีประชาธิปไตยทั่วไป
- ผณิตา ไชยศร,"ระบบการปกครองท้องถิ่น ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน : สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า", วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า, 2556.
วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560
Bureaucracy : Myanmar
ข้าราชการในยุคก่อนตกเป็นอาณานิคม หรือยุคที่กษัตรยิ์เมียนม่าร์ยังดำรงอยู่ เป็ฯที่เคารพยกยองของผุ้คน ถึงแม้ว่าการคัดเลือก การแต่างตั้งและเงื่อนไขการให้บริการไม่เข้มวงด กษัตรยิ์เป็นผุ้แต่างตั้งผุ้คงแก่เรียนที่มีความรู้ความสามารถและผุ้เชี่ยวชาญการบริหารบ้านเมือง ดูได้จากการตัดสินของศาล คำสั่ง และกิจกรรมต่างๆ เป็นเรื่องสามัญทั่วไป ได้มีการจดบันทึกอย่างละเอียด ซึ่งสะท้อนภาพให้เห็นว่าพื้นความรู้ของเมียนมาร์อยุ่ในระดับสูง แม้เป็นช่วงเวลาที่อังกฤษเข้ยึดครอง ก็ต้องยอมรับว่าความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ของชาวเมียนมาร์อยุ่ในระดับสูงกวาคนในอาณานิคมอื่นๆ ของอังกฤษ ความสำเณ้จในภาษาและวรรณกรรมเป้ฯเรื่องที่ผุ้คนต้องยกย่องและกล่าวถึง
หลังตกเป็นอาณานิคม สำนักงานของบริษัท บริติส อี อินเดีย ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กักัตตาเป็นผู้บริหารเขตปกครองในปี พ.ศ. 2428 เมียนมาร์ทั้งหมดถูกผลักดันให้อยุ่ใต้กฎระเบียบของอาณานิคมระหว่างปี พ.ศ. 2429-2480 เมียนมาร์ถูกจดการดูแลให้เป็นเพียงหนึงจังหงัดของอินเดีย และถูกปกครองโดยอุปราชของอังกฤษในอินเดีย
จากรายงานของคณะกรรมการชุด Mac Aulay Jowelt ในปี พ.ศ. 2368 ว่าหน่ออ่อนของระบบการบริหารจัดการได้ถูกกำหนดให้ไปใช้ในอินเดียและเมียนมาร์ โดยบุคลากรขาวอังกฤษกับชาวพื้นเมืองอีกบางส่วน ข้าราชการขั้นหัวหน้าในแต่ละระดับชั้นและข้าราชการอินเดียต่างมีความสุขกับอภิสิทธิ์ต่าๆง และคำนึงถึงการเป้ฯชนชั้นนำ ในปี พ.ศ. 2480 เมียนมาร์ถูกแยกออกจากอินเดีย คณะกรรมการบริการภาครัฐที่แยกออกมาถูกจัดตั้งขึ้นในเมียนมาร์ เพื่อสรรหาและบรรจุข้าราชกาเมียนมาร์ หลังจากประสบความสำเร็จได้เอกราชในเดือนมกราคม พ.ศ. 2491 เมียนมาร์ยังคงใช้โครงการบริหารจัดการที่ส่งมอบโดยอังกฤษ และอิสรภาพที่ตามมา คือ มีข้าราชการเมียนมาร์เกือบทังหมดเป็นชาวเมียนมาร์ (ยกเว้นการบริการที่อาศัยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ)
ในปี พ.ศ. 2496 มีประกาศใช้กฎหายข้าราชการพลเรือน และคณะกรรมการสไภาพข้าราชการเป็นเรื่องที่มาก่อนของคณะกรรมการการคัดเลือกและการฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน ถูกจัดตั้งในปี พ.ศ. 2520 มีการประกาศใช้กฎหมายคณะกรรมการการคัดเลือกและการฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน และมีการแต่างตั้งคณะกรรมการการคัดเลือกและการฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน
สถาบนการฝึกอบรมข้าราชการ Phaung gyi ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2508 ภายใต้การกกับของกระทรวงมหาดไทย และถูกย้ายไปอยู่ภายใต้การบริหารของคณะกรรมการการคัดเลือกและฝักอบรมข้าราชการพลเรือน ในปี พ.ศ. 2520 ซึงตั้งแต่ดำเนินงานมามีประธานมาแล้ว ึ คน ในนามของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนและคณะกรรมการการคัดเลือกและฝึกอบรมข้าราชาการพลเรือน อีกทั้งสำนักงานใหญ่ของคณะกรรมการการคัดเลือกและฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน ที่รวมถึงกรมการคัดเลือกและการฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน และกรมการข้าราชการพลเรือน ได้เปิดทำการใหม่ที่กรุงเนปิดอร์ ในพป 2549 เป็นต้นมา
นอกจานี้รัฐบาลเมียนมาร์ได้รับการช่วยเหลือในการพัฒนาบุคลากรภาครัฐโดยความช่วยเหลือจากต่างประเทศมาโดยตลอด อย่างโครงการความร่วมมือกับมูลนิธิสันติภาพซาซากาว่า ของญี่ปุ่น ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการให้แก่บุคลากรภาครัฐปีละ 120 คน ในหัวข้อ "การฝึกอบรมเชิปฏิบัติการ การเพ่ิมประสิทธิภาพของข้าราชการพลเรือนเมียนมาร์"ในระหว่างปี พ.ศ. 2545-2547 ซึ่งการฝึกอบรมนี้ประสสบความสำเร้๗ในส่วนที่เพ่ิมประสิทธิภาพข้าราชการพลเรือนในการทำงานร่วมกัน และในปี พ.ศ. 2545 ประเทศสิงคโปร์ได้บริจาคเงินช่วยเหลือจัดตั้งโรงเรียนการฝึกอบรมเมียนมาร์สิงคโปร์ ในย่างกุ้งตามโปรแกรมเริ่มต้นเพื่อการรวมกลุ่มอาเชี่ยน โดยมีเนื้อหาครอบคลุมความหลากหลายในการพัฒนาทรัยากรมนุษย์ ไม่ว่าด้านภาษาอังกฤษเทคโนโลยีสารสนเทศ การบริหารภาครัฐ การคั้า และากรท่องเที่ยว
โรงเรียนการฝึกอบรมเมียนมาร์สิงคโปร์นี้ ยังมีโปรแกรมที่ได้มาตรฐานยกระดับสำหรับครูผู้ฝึกอบรมด้านต่างๆ จึงมีการส่งครูผุ้ฝึกอบรมมาเรียนในหลายหลักสูตรที่โรงเรียนนี้ และยังมีการส่งครูผุ้ฝึกอบรมเด่นๆ ให้มีโอกาสได้เขาร่วมหลักสูตรการฝึกอบรมต่างๆ และเป็นตัวแทนไปดูงานในต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลี จีน และฯลฯ
เมียนมาร์ เป็นประเทศที่เป้นจุดเชื่อมระหว่างภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และเอเลชียตะวันออกเฉียงใต้ ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน และค่าแรงต่ำ ประกอบกับมีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก เช่น พลังงาน แร่ธาตุ ป่าไม้ พื้นที่การเพาะปลูก ตลอดจนทรัพบยากรทางทะเล และจัดเป็นประเทศในกลุ่มประเทศที่ยากจนที่สุด ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษี และสิทธิพิเศษทางการค้าจากหลายประเทศ ประกอบกับเมียนมาร์ได้เปลี่นแปลงการปกครองเป้นระบอบประชาธิปไตยและเปิดประเทศให้ผุ้สนใจเข้าไปลงทุนได้เสรีมากขึ้น โดยผ่านนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศของเมยนมาร์ การพัฒนาภาคการเงิน การเดินหน้าปฏิรูป และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและัแรงงน การสร้างบรรยากาศการลงทุน รวมทั้งกาพัฒนโครงข่ายคมนาคมในประเทศเชิงรุกทั้งทางถนน รถไฟ และท่าเรือ ทำให้เมียนมร์มีการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2555 คิดเป็ร้อยละ 6.3 ซึงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ 5 ปี ที่ผ่านมาที่อยู่ร้อยละ 54 อย่างไรก็ดีระบบการเมืองและนโยบายขอวเมียนมาร์ยังไม่แน่นอน ระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานยังขาดแคลนและมีราะคาสูง รวมถคึงเครื่อข่ายคมนาคมยังไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้เมยนมร์มีข้อจำกัดทางด้านนเงินุนและระบบการเงินที่ไม่สามารถเคลื่อยย้ายได้ปย่างเสรี ประกอบกับในอดีตที่ผ่ารมาเาียนมาร์ได้รับผลกระทบจากมาตรการควำบาตรของประชาคมโลก จึงทำใ้ห้ค่าใช้จายในการลทุนของภาครัฐและภาคเอกชนมีต้นทุนเฉลี่ยสูงกว่าประทเศอื่นๆ ในภูมิภาค ดังนั้น เมียนมาร์จึงด้มีการกำหนดแนวทางในการพัฒนาเศษรกิจและโดยกำหนดประเด็นสำคัญๆ ดังนี้
- การจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 20 ปี
- ให้ความสำคัญต่อภาคการค้าและการลงทุน รวมถึงการระดมการลงทุนระหวางประเทศ
- การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง
- การบริหารจัดการความช่วยเหลือจากต่างชาติให้มีประสิทธิภาพและสอดคลองกับเป้าหมายของประเทศในการปฏิรูประยะที่ 2 คือ การพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนขาวเมียนมาร์ให้ดีขึ้น
- สำหรับการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดังกลาวข้างต้นเมียนมา์มีเป้าประสงค์ยึดหลักประชาชนระดับรากหญ้า ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการบริหารจัดการของรัฐ และมีส่วนร่วมในการกำหนทิศทาง นโยบายและกระบวนการในการพัฒนา ซึ่งมีปัจจัยสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตด้านต่างๆ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินสภาพความเป็นอุ่ภายในชุมชน เป็นต้น ซึ่ตามกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม จะมีโครงการเร่งด่วนเพื่อให้เกิดความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องดังนี้
ปฏิรูปภาษีและการเงิน , ปฏิรูปภาคการคลังและการเงิน รวมถึงธนาคารกลาง เปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน พัฒนาธุรกิจภาคเอกชน โดยปฏิรูปกฎหมายและระเบียบที่สำคัญสำหรับภาคการท่องเที่ยว, พัฒนาระบบโทรคมนาคมและการสื่อสารให้ทันสมัย, พัฒนาสาธารณสุขและการศึกษา,สร้างความม่ั่นคงด้านอาหารและความเจริญเติบโตภาคการเกษตร,สร้างระบบบริหารจัดการให้มีความโปร่งใส โดยเน้นความโปร่งใสในการจัดทำและดำเนินงานที่ใช้จ่ายจากเงินวบประมาณภาครัฐ, พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยปรับปรงระบบคมนาคมขนส่งสาธารณะและพลังงานรวมท้งปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกบการจ้างงานและากรให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ, สร้างคามมีประสทิธิภาพและประสิทธิผลจากการดำเนินงานของรัฐ และสำหรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 20 ปี ตามกรอบดังกล่าวข้าตัน เมียนมาร์ได้กำหนดเป้าหมายที่สำคัญไว้คือ
- ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวเมียนมาร์
- เพ่ิมรายได้ประชากร
- พัฒนาโครงการสร้างพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสาธารณูปโภค เช่น การคมนาคม แหล่งน้ำและสุขาภิบาล พลังงานไฟฟ้าการศึกษา การสาธารณสุข และระบบประกันสังคม เป็นต้น
- จัดให้มีการจ้างงานเพ่ิมากขึ้น
-อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
- บรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ตามวัตถุประสงค์ของสหประชาชาติและประชาคมอาเซียน
- "ระบบบริหารราชการของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์" สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ.
หลังตกเป็นอาณานิคม สำนักงานของบริษัท บริติส อี อินเดีย ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กักัตตาเป็นผู้บริหารเขตปกครองในปี พ.ศ. 2428 เมียนมาร์ทั้งหมดถูกผลักดันให้อยุ่ใต้กฎระเบียบของอาณานิคมระหว่างปี พ.ศ. 2429-2480 เมียนมาร์ถูกจดการดูแลให้เป็นเพียงหนึงจังหงัดของอินเดีย และถูกปกครองโดยอุปราชของอังกฤษในอินเดีย
จากรายงานของคณะกรรมการชุด Mac Aulay Jowelt ในปี พ.ศ. 2368 ว่าหน่ออ่อนของระบบการบริหารจัดการได้ถูกกำหนดให้ไปใช้ในอินเดียและเมียนมาร์ โดยบุคลากรขาวอังกฤษกับชาวพื้นเมืองอีกบางส่วน ข้าราชการขั้นหัวหน้าในแต่ละระดับชั้นและข้าราชการอินเดียต่างมีความสุขกับอภิสิทธิ์ต่าๆง และคำนึงถึงการเป้ฯชนชั้นนำ ในปี พ.ศ. 2480 เมียนมาร์ถูกแยกออกจากอินเดีย คณะกรรมการบริการภาครัฐที่แยกออกมาถูกจัดตั้งขึ้นในเมียนมาร์ เพื่อสรรหาและบรรจุข้าราชกาเมียนมาร์ หลังจากประสบความสำเร็จได้เอกราชในเดือนมกราคม พ.ศ. 2491 เมียนมาร์ยังคงใช้โครงการบริหารจัดการที่ส่งมอบโดยอังกฤษ และอิสรภาพที่ตามมา คือ มีข้าราชการเมียนมาร์เกือบทังหมดเป็นชาวเมียนมาร์ (ยกเว้นการบริการที่อาศัยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ)
ในปี พ.ศ. 2496 มีประกาศใช้กฎหายข้าราชการพลเรือน และคณะกรรมการสไภาพข้าราชการเป็นเรื่องที่มาก่อนของคณะกรรมการการคัดเลือกและการฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน ถูกจัดตั้งในปี พ.ศ. 2520 มีการประกาศใช้กฎหมายคณะกรรมการการคัดเลือกและการฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน และมีการแต่างตั้งคณะกรรมการการคัดเลือกและการฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน
สถาบนการฝึกอบรมข้าราชการ Phaung gyi ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2508 ภายใต้การกกับของกระทรวงมหาดไทย และถูกย้ายไปอยู่ภายใต้การบริหารของคณะกรรมการการคัดเลือกและฝักอบรมข้าราชการพลเรือน ในปี พ.ศ. 2520 ซึงตั้งแต่ดำเนินงานมามีประธานมาแล้ว ึ คน ในนามของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนและคณะกรรมการการคัดเลือกและฝึกอบรมข้าราชาการพลเรือน อีกทั้งสำนักงานใหญ่ของคณะกรรมการการคัดเลือกและฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน ที่รวมถึงกรมการคัดเลือกและการฝึกอบรมข้าราชการพลเรือน และกรมการข้าราชการพลเรือน ได้เปิดทำการใหม่ที่กรุงเนปิดอร์ ในพป 2549 เป็นต้นมา
นอกจานี้รัฐบาลเมียนมาร์ได้รับการช่วยเหลือในการพัฒนาบุคลากรภาครัฐโดยความช่วยเหลือจากต่างประเทศมาโดยตลอด อย่างโครงการความร่วมมือกับมูลนิธิสันติภาพซาซากาว่า ของญี่ปุ่น ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการให้แก่บุคลากรภาครัฐปีละ 120 คน ในหัวข้อ "การฝึกอบรมเชิปฏิบัติการ การเพ่ิมประสิทธิภาพของข้าราชการพลเรือนเมียนมาร์"ในระหว่างปี พ.ศ. 2545-2547 ซึ่งการฝึกอบรมนี้ประสสบความสำเร้๗ในส่วนที่เพ่ิมประสิทธิภาพข้าราชการพลเรือนในการทำงานร่วมกัน และในปี พ.ศ. 2545 ประเทศสิงคโปร์ได้บริจาคเงินช่วยเหลือจัดตั้งโรงเรียนการฝึกอบรมเมียนมาร์สิงคโปร์ ในย่างกุ้งตามโปรแกรมเริ่มต้นเพื่อการรวมกลุ่มอาเชี่ยน โดยมีเนื้อหาครอบคลุมความหลากหลายในการพัฒนาทรัยากรมนุษย์ ไม่ว่าด้านภาษาอังกฤษเทคโนโลยีสารสนเทศ การบริหารภาครัฐ การคั้า และากรท่องเที่ยว
โรงเรียนการฝึกอบรมเมียนมาร์สิงคโปร์นี้ ยังมีโปรแกรมที่ได้มาตรฐานยกระดับสำหรับครูผู้ฝึกอบรมด้านต่างๆ จึงมีการส่งครูผุ้ฝึกอบรมมาเรียนในหลายหลักสูตรที่โรงเรียนนี้ และยังมีการส่งครูผุ้ฝึกอบรมเด่นๆ ให้มีโอกาสได้เขาร่วมหลักสูตรการฝึกอบรมต่างๆ และเป็นตัวแทนไปดูงานในต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลี จีน และฯลฯ
เมียนมาร์ เป็นประเทศที่เป้นจุดเชื่อมระหว่างภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และเอเลชียตะวันออกเฉียงใต้ ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน และค่าแรงต่ำ ประกอบกับมีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก เช่น พลังงาน แร่ธาตุ ป่าไม้ พื้นที่การเพาะปลูก ตลอดจนทรัพบยากรทางทะเล และจัดเป็นประเทศในกลุ่มประเทศที่ยากจนที่สุด ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษี และสิทธิพิเศษทางการค้าจากหลายประเทศ ประกอบกับเมียนมาร์ได้เปลี่นแปลงการปกครองเป้นระบอบประชาธิปไตยและเปิดประเทศให้ผุ้สนใจเข้าไปลงทุนได้เสรีมากขึ้น โดยผ่านนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศของเมยนมาร์ การพัฒนาภาคการเงิน การเดินหน้าปฏิรูป และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและัแรงงน การสร้างบรรยากาศการลงทุน รวมทั้งกาพัฒนโครงข่ายคมนาคมในประเทศเชิงรุกทั้งทางถนน รถไฟ และท่าเรือ ทำให้เมียนมร์มีการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2555 คิดเป็ร้อยละ 6.3 ซึงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ 5 ปี ที่ผ่านมาที่อยู่ร้อยละ 54 อย่างไรก็ดีระบบการเมืองและนโยบายขอวเมียนมาร์ยังไม่แน่นอน ระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานยังขาดแคลนและมีราะคาสูง รวมถคึงเครื่อข่ายคมนาคมยังไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้เมยนมร์มีข้อจำกัดทางด้านนเงินุนและระบบการเงินที่ไม่สามารถเคลื่อยย้ายได้ปย่างเสรี ประกอบกับในอดีตที่ผ่ารมาเาียนมาร์ได้รับผลกระทบจากมาตรการควำบาตรของประชาคมโลก จึงทำใ้ห้ค่าใช้จายในการลทุนของภาครัฐและภาคเอกชนมีต้นทุนเฉลี่ยสูงกว่าประทเศอื่นๆ ในภูมิภาค ดังนั้น เมียนมาร์จึงด้มีการกำหนดแนวทางในการพัฒนาเศษรกิจและโดยกำหนดประเด็นสำคัญๆ ดังนี้
- การจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 20 ปี
- ให้ความสำคัญต่อภาคการค้าและการลงทุน รวมถึงการระดมการลงทุนระหวางประเทศ
- การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง
- การบริหารจัดการความช่วยเหลือจากต่างชาติให้มีประสิทธิภาพและสอดคลองกับเป้าหมายของประเทศในการปฏิรูประยะที่ 2 คือ การพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนขาวเมียนมาร์ให้ดีขึ้น
- สำหรับการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดังกลาวข้างต้นเมียนมา์มีเป้าประสงค์ยึดหลักประชาชนระดับรากหญ้า ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการบริหารจัดการของรัฐ และมีส่วนร่วมในการกำหนทิศทาง นโยบายและกระบวนการในการพัฒนา ซึ่งมีปัจจัยสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตด้านต่างๆ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินสภาพความเป็นอุ่ภายในชุมชน เป็นต้น ซึ่ตามกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม จะมีโครงการเร่งด่วนเพื่อให้เกิดความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องดังนี้
ปฏิรูปภาษีและการเงิน , ปฏิรูปภาคการคลังและการเงิน รวมถึงธนาคารกลาง เปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน พัฒนาธุรกิจภาคเอกชน โดยปฏิรูปกฎหมายและระเบียบที่สำคัญสำหรับภาคการท่องเที่ยว, พัฒนาระบบโทรคมนาคมและการสื่อสารให้ทันสมัย, พัฒนาสาธารณสุขและการศึกษา,สร้างความม่ั่นคงด้านอาหารและความเจริญเติบโตภาคการเกษตร,สร้างระบบบริหารจัดการให้มีความโปร่งใส โดยเน้นความโปร่งใสในการจัดทำและดำเนินงานที่ใช้จ่ายจากเงินวบประมาณภาครัฐ, พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยปรับปรงระบบคมนาคมขนส่งสาธารณะและพลังงานรวมท้งปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกบการจ้างงานและากรให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ, สร้างคามมีประสทิธิภาพและประสิทธิผลจากการดำเนินงานของรัฐ และสำหรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 20 ปี ตามกรอบดังกล่าวข้าตัน เมียนมาร์ได้กำหนดเป้าหมายที่สำคัญไว้คือ
- ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวเมียนมาร์
- เพ่ิมรายได้ประชากร
- พัฒนาโครงการสร้างพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสาธารณูปโภค เช่น การคมนาคม แหล่งน้ำและสุขาภิบาล พลังงานไฟฟ้าการศึกษา การสาธารณสุข และระบบประกันสังคม เป็นต้น
- จัดให้มีการจ้างงานเพ่ิมากขึ้น
-อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
- บรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ตามวัตถุประสงค์ของสหประชาชาติและประชาคมอาเซียน
- "ระบบบริหารราชการของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์" สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ.
วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560
Bureaucracy : Cambodia
ภาวะสงครามในกัมพูชาทำให้ประเทศชาติล้มสลาย สหประชาชาติได้ยืนมือเข้ามาช่วยชุบชีวิตกัมพูชาให้ผื้นคือชีพอีกครั้งเมื่อสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลงอย่างเป็นทาการในปี พ.ศ. 2534 พร้อมกับการลงนามในข้อตกลงสันติภาพที่กรุงปารีส อันได้ปูทางไสู่การเข้ามาของ UNTAC โดยข้อตกลงสันตุภาพฯ ได้มีการจัดทำข้อเสนอแนะให้ทำการฟื้อนฟูประเทศกัมพูชาไปพร้อมๆ กับการสร้างชาติขึ้นหม่อีกครัี้งหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นแผนแม่บทในการเข้ามาขององค์การระหว่างประเทศในการจัดการเลือกตั้งระดับชาติขึ้นในกัมพูชา โดยในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2536 กัมพูชาได้จัดให้มีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยขึ้นภายใต้การกำกับดูแลของสหประชาชาติ ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกที่มีพรรคกรเมืองหลายพรรคสมัครเข้ารับเลือกตั้ง โดยมีพรรคการเมืองเข้าร่วมการแข่งขันถึง 20 พรรคแต่พรรคการเมืองที่โดเด่น คือ พรรคประชาชนกัมพุชา CPP นำโดย สมเด็จฮุน เซน พรรคฟุนซินเปก FUNCINPEC นำโดยเจ้ารณฤทธิ์
ภายใต้รัฐบาลผสมระหว่างพรรคประชาชนกัมพุชา และ ฟุนซินเปค ได้ดำเนินการเร่งปฏิรูประบบราชการเนื่องจากกลุ่มประเทศผุ้ให้ความช่วยเหลือ แก่กัมพูชาได้ตั้งเงือนไขให้รัฐบาลกัมพูชาต้องปฏิรนูประบบงานบริหารราชการ ระเบียบการคลัง ระบบภาษี กองทัพ กรมตำรวจ กฎกมายการกระจายอำนาจ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อเป็ฯการแลกเปล่ยนความช่วยเหลือ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดธรรมาภิบาล มีความโปร่งใสในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และเืพ่อแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นที่มีอยุ่มากในกัมพูชาให้หมดไป
โดยภายหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปในกัมพูชาในปี พ.ศ. 2541 ประเทศกัมพุชามีรัฐบาลใหม่ที่มีความพยายามในการยกระดับฟื้นฟูประเทศ และปะกาศให้คำมั่นสัญญาต่อนานาชาติที่ให้ความช่วยเลืหอต่อกัมพูชาในการพัฒนาประเทศ่ารัฐบาลกัมพูชายังคงมีเจรนาเดินหน้าในากรปฏิรูปแการบริหารประเทศ และยังมีความจำเป็นที่จะรับความช่วยเหลือจากนานาประเทศ
ปัญหารการพัฒนาระบบราชการกัมพูชา ปัจจัยทางการเมืองที่เกิดท่ามกลาวสภาวะสงครามกลางเมืองมายาวนานเกือบ 3 ทศวรรษ ได้ทำให้กัมพูชาไม่สามารถพัีฒนาระบบราชการได้ และยังควต้องพึงพาการพัฒนาเศราฐกิจจากองค์การด้านการเงินระหว่างประเทศ รวมถึงการขาดแคลนทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพแม้ว่ารัฐบาลและองค์การระหว่างประเทศได้เข้ามาช่วยเหลือฟื้นฟูโดยตลอดนับแต่สงครามภายในได้ยุติลงเมื่อปี พ.ศ. 2534 แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ และถือว่ากัมพุชาป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด รายจ่ายประจำและรายจ่ายด้านการลงทุนคิดเป็สัดส่วนร้อยละ 59.8 และ 38.2 ของรายจ่ายรวมตามลำดบ รายจ่ายประจำที่สำคัญคือ การปฏิรุประบบราชการ การปลกทหาร และการเลือกตั้ง เป็นต้น แม้เกิดแนวคิดการกระจายอำนาจเกิดขึ้นมาจากหลักธรรมภิบาล
เนื่องจากรัฐบาลมีความเชื่อว่าการกระจายอำนาจเป็นการปกครองที่รัฐสามารถถ่ายโอนอำนาจการบังคับบัญชา และมอบหมายความารับผิดชอบในกิจการบางอยางให้ท้องถิ่นดำเนินการจัดการภายในเอง โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อให้ประชาชนช่วยเลหือซึ่งกันและกัน มีส่วนร่วมและรับผิดชอบร่วมกันในการดูแลกิจการท้องถิ่นของตนเอง แต่ในทางปฏิบัติแม้ว่าการปฏิรูประบบราชการ การกระจายอำนาจจะดำเนินไป แต่ก็ปรากฎสิ่งท้าทายที่สวนทางกับกระบวนการปฏิรูปด้วยเช่นกัน มีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองบางกลุ่ม ไม่ว่าจะเป้นการกำหนดตัวคนในด้านโครงสร้างกฎหมายหรือกำหนดกฎเกณฑ์ในกระบวนการกระจาย รวมไปถึงการข่มขู่คุกคามทางการเมือง
ในช่วงเปิดประเทศหรือประมาณปี พ.ศ. 2533 ข้าราชการระดับสูงทังส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ส่วนใหญ่ได้รับการแต่งตั้งจากพรรคการเมืองโดยมีวาระตามการตัดสินใจของผุ้บริหารพรรคการเมือง ซึ่งเป็นผุ้บริหารประเทศ นักการเมือง และข้าราชการระดับสูงกลุ่มนี้ต่างมีรายได้มาจากการให้เช่าบ้านและที่ดิน ซึ่งได้รับการอำนวยความสะดวกในเรื่องกฎระเบียบของรัฐ รวมถึงเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศในโครงการพัฒนาต่างๆ ที่ยังมีปัญหาคอรัปชั่นอยู่มากในกัมพูชา ซึ่งทางธนาคารโลกได้รายงานว่าการทุจริตในหน้าที่ของบุคคลในรัฐบาลมีอย่างกว้างขวางและแพร่หลายภาคธุรกิจเอกชนส่วนใหญ่ยอมรับว่าจำเป็ฯต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเพียงแค่ทำหน้าที่ตามปกตอ และต้องจ่ายสินบบนถึงร้อยละ 85 ของรายจ่ายนอกระบบ หรือตั้งแต่ร้อยลุ 5-6 ของรายรับจากการขายและเพิ่มขึ้นตามขนาดของธุรกิจซึ่งถือเป็นรายการใหญ่ของต้นทุนการผลิต โดยทั่วไปแล้วเงินรายจ่ายที่ไม่เป็นทางการนี้ ถือเป็นค่าตอบแทนให้เจ้าหน้าที่เพื่อให้ได้บริการที่รวดเร้ซขึ้น แต่ในกัมพูชาการติดต่อขอรับบริการจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลต้องจ่ายเงินประเภทนี้ คล้ายกับเป็นค่าธรรมเนียมตามปกตอ เพียงแต่เงินที่จ่ายไปไม่ได้นำส่งเข้ารัฐ
รัฐบาลกัพูชาในปัจจุบันภายใตการปกครองของ ฯพณฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีปัจจุบันมีนโยบายดังนี้
จากการที่กัมพูชาได้ดำเนินการตามแผนพัฒนายุทธศาสตร์แห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2449-2553 ตามยุทธศาสตร์ลดความยากจนแก่งชาติ รวมทั้งป้าเมหายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษของกัมพูชา ซึ่งล้วนเป็นยุทธศาสตร์หลักที่รัฐบาลกัมพูชาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายให้กัมพูชาเดินหน้าไปสู่การพัฒนาและความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน และใช้พื้นฐานในการแก้ไขปัญหาสำคัญในการพัฒนาประเทศ 4 ด้าน คือ ด้านการเกษตร, ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, ด้านการพัฒนาภาคเอกชนเพื่อการสร้างงานและด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่รวมถึงด้านการศึกษาและสาธารณสุข แม้ทั้งสี่ด้านที่กล่าวข้างต้นเป้ฯปัจจัยที่ผลักดันสังคมกัมพุชาให้ไปข้างหน้าแต่สังคมกัมพุชายังต้องอาศัยปัจจัยภายนอกมาช่วยเสริมกระตุ้นอย่างนโยบายการค้าตาบแบบเสรีโดยอาศัยกลไกตลาดเพื่อเปิดโอกาสให้แข่งขันได้อย่างเสรี และเป็นการระดมทุนจากต่างประเทศใหมาลงทุนในประเทศ นโยบายวันนี้ของประเทศกัมพูชาคือช่วยชี้แนะแนวนโยบายด้านการค้าแก่นักธุรกิจภายในและชาวต่างชาติให้ประกอบธุรกิจสอดคล้องกับทิศทางนโยบาย และตามกฎหมายของประเทศ มีการปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมายธุรกิจการค้า กฎหมายตราสารหนี้และการชำระเงิน กฎหมายหลักทรัพย์ กฎหมายความปลอดภัยด้านธุรกรรมการเงิน ปรับปรุงและแก้ไขขั้นตอนศุลกากรการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา เช่น กฎหมายสิทธิบัตรกฎหมายเครื่องหมายการค้า และกฎหมายลิขสิทธิ์ เป็นต้น
เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและส่งเสริมบรรยากาศการค้าการลงทุนและทิศทางใหม่ของประเทศ นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ได้แถลงหาความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงคู่ค้าต่างประเทศเพื่อพัฒนาและเพิ่มความมั่นคงด้านการค้า โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและการค้าของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้รุดหน้า พัฒนการส่งออกให้มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อให้กัมพูชาได้รับผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและการค้ามากที่สุด ถือเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่แตกต่างจากแผนเดิม น่นคือมุ่งดำเนินวิธีการต่างๆ ให้ประเทศกัมพูชาได้รับผลประดยชน์จากการเข้ร่วมเป้นสมาชิกประชาคมอาเซียนและเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต
นอาจากนี้ประเทศกัมพุชายังมีแนวทางในการปฏิรูปและพัฒนาศักยภาพการแข่งขันภายใน 5 ปี ขางหน้า เพื่อให้สอดคล้องกับการรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อละสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ซึ่งรวมถึงการพัฒนาสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ การค้า การลงทุน การส่งเสริมธรรมาภิบาล และหลักนิติธรรมการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริหารต่างๆ ได้มากขึ้นการพัฒนาคุณภาพและให้โอกาสด้านการศึกษาแก่เยาชนกัมพูชาเพื่อสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด
ระบบราชการของราชอาณาจักรกัมพูชาพบว่าหน่วยงานด้านการลงทุนให้ความเห้ฯที่เป็นไปในทิศทางเดี่ยวกันว่ากัมพูชาถือเป็นประเทศหนึ่งที่น่าลงทุน แต่ยังมีข้อเสียที่มีการทุจริตในวงราชการค่อนข้องมาก โดยจีรนันท์ วงษ์มงคล อัครราชทูตที่ปรึกษา(ฝ่ายการพาณิชย์) สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงพนมเปญประเทศกัมพูชา ได้กล่าวถึงข้อเสียการลงทุนในกัมพุชาไว้ในปี พ.ศ. 2553 ว่า "มีความไม่โปร่งใสของขั้นตอนและระบบราชการซึ่งตรงกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงพนมเปญที่กล่าวไว้ในปี พ.ศ. 2547 ว่า "ปัญหาคอรัปชี่นและความไม่โปร่งใสในระบบราชการเป้นภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น" ตรงกันกับสำนักงานส่งเสริมการลงทุนแห่งประเทศไทย ที่ได้วิเคราะห์ศักยภาพด้านการลงทุนว่าจุดอ่อนข้อที่ 17 ของกัมพูชาคือ ระบบราชการกัมพุชามีการคอรัปชั่นสูง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาถึงการคอรัปชั่นในประเทศกัมพูชา กล่าวถึงการคอรัปชั่นในกัมพูชาไว้ว่า
คอรัปชั่นเกิดได้หลากหลายรูปแบบทั้งการให้สินบน การเล่นพรรคเล่นพวกการหลีกเลี่ยงภาษี ฯลฯ โดยกมาทุจริตนั้นจะเกิดจากปัจจัยดังนี้
- ปัจจัยด้านการเมือง ระดับการคอรัปชั่นขึ้นอยุ่กับความเข้มแข็งของสังคม อิสระของสื่อมวลชนใบริบทของกัมพูชาจากความจริงที่ว่ารัฐบาลเิดขึ้นและได้รับอิทธิพลทางการเมืองเพือเป้าหมายและกลยุทธ์ทางการเมือง โดยรัฐบาลมีบทบาทโดดเด่นในการับและการใช้จ่ายทรัพยากรของพวกตน บางครั้งวงจรการทุจริตดูเหมือนว่าจะปรกฎตัวขึ้นเป็นครั้งคราวและกลายเป็นระบบ
- ปัจจัยทางกฎหมายและจริยธรรม ปัจจัยสำคัญที่เชื่อมโยงกับการทุจริตคือคุณภาพระบบกฎหมายของประเทศเพื่อการดำรงอยู่ของกฎหมายต่อต้านการทุจริตที่มีประสิทธิภาพและความสามารถในการบังคับใช้กฎหมาย การคอรัปชั่นยังเกี่ยวกับสถานที่ที่ทมีคุณค่าทางจริยธรรมที่ถูกละเลยโดยผุ้ทีกกระทำการทุจริตละเลยศักดิ์ศรีและทำตามความเห็นแก่ตัวของตน
- ปัจจัยระบบราชการ ในการออกกฎการแทรกแซงและกฎระเบียบราชการในระบบเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการทุจริตทีมีแนวโน้มจะสูงขึ้น จากการที่ภาครัฐเรียกเก็บเงินจำนวนมาจากรกฎระเบียบที่เือ้อต่อเจ้าหน้าที่รัฐในการหาประโยชน์ส่วนตัว ในขณะที่การเพ่ิมขึ้นหรือลอลงของความรับผิดชอบอาจก่อใไ้เกิดการคอรัปชั่น
- ปัจจัยด้านผลตอบแทนจากการที่เจ้าหน้ารัฐมีรายได้อยู่ในระดับต่ำ หรือแตกต่างจากค่าจ้างของภาคเอกชนค่อนข้างมาก ทำให้ข้าราชการเกิดการคอรัปชั่นได้
- ปัจจัยด้านเศรษฐกิจการคอรัปชั่นมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นจากากรมี่รัฐสร้างเศรษฐฏิจแบบผูกขาด จะเห็นได้ว่าจากการศึกษาดังกล่าวระบบราชการภายในราชอาณาจักรกัมพูชายังมีากรคอรัปชั่นอยู่ค่อนข้างสูงจากปัจจัยสนับสนุนที่หลากหลาบ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของระบบราชการราชอาณาจักรกัมพูชาโดยในปัจจุบันรัฐบาลกัมพูชามีนโยบายปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจังมากย่ิงขึ้น
- "ระบบบริหาราชการของอาณาจักรกัมพูชา" สภาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ.
ภายใต้รัฐบาลผสมระหว่างพรรคประชาชนกัมพุชา และ ฟุนซินเปค ได้ดำเนินการเร่งปฏิรูประบบราชการเนื่องจากกลุ่มประเทศผุ้ให้ความช่วยเหลือ แก่กัมพูชาได้ตั้งเงือนไขให้รัฐบาลกัมพูชาต้องปฏิรนูประบบงานบริหารราชการ ระเบียบการคลัง ระบบภาษี กองทัพ กรมตำรวจ กฎกมายการกระจายอำนาจ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อเป็ฯการแลกเปล่ยนความช่วยเหลือ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดธรรมาภิบาล มีความโปร่งใสในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และเืพ่อแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นที่มีอยุ่มากในกัมพูชาให้หมดไป
โดยภายหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปในกัมพูชาในปี พ.ศ. 2541 ประเทศกัมพุชามีรัฐบาลใหม่ที่มีความพยายามในการยกระดับฟื้นฟูประเทศ และปะกาศให้คำมั่นสัญญาต่อนานาชาติที่ให้ความช่วยเลืหอต่อกัมพูชาในการพัฒนาประเทศ่ารัฐบาลกัมพูชายังคงมีเจรนาเดินหน้าในากรปฏิรูปแการบริหารประเทศ และยังมีความจำเป็นที่จะรับความช่วยเหลือจากนานาประเทศ
ปัญหารการพัฒนาระบบราชการกัมพูชา ปัจจัยทางการเมืองที่เกิดท่ามกลาวสภาวะสงครามกลางเมืองมายาวนานเกือบ 3 ทศวรรษ ได้ทำให้กัมพูชาไม่สามารถพัีฒนาระบบราชการได้ และยังควต้องพึงพาการพัฒนาเศราฐกิจจากองค์การด้านการเงินระหว่างประเทศ รวมถึงการขาดแคลนทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพแม้ว่ารัฐบาลและองค์การระหว่างประเทศได้เข้ามาช่วยเหลือฟื้นฟูโดยตลอดนับแต่สงครามภายในได้ยุติลงเมื่อปี พ.ศ. 2534 แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ และถือว่ากัมพุชาป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด รายจ่ายประจำและรายจ่ายด้านการลงทุนคิดเป็สัดส่วนร้อยละ 59.8 และ 38.2 ของรายจ่ายรวมตามลำดบ รายจ่ายประจำที่สำคัญคือ การปฏิรุประบบราชการ การปลกทหาร และการเลือกตั้ง เป็นต้น แม้เกิดแนวคิดการกระจายอำนาจเกิดขึ้นมาจากหลักธรรมภิบาล
เนื่องจากรัฐบาลมีความเชื่อว่าการกระจายอำนาจเป็นการปกครองที่รัฐสามารถถ่ายโอนอำนาจการบังคับบัญชา และมอบหมายความารับผิดชอบในกิจการบางอยางให้ท้องถิ่นดำเนินการจัดการภายในเอง โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อให้ประชาชนช่วยเลหือซึ่งกันและกัน มีส่วนร่วมและรับผิดชอบร่วมกันในการดูแลกิจการท้องถิ่นของตนเอง แต่ในทางปฏิบัติแม้ว่าการปฏิรูประบบราชการ การกระจายอำนาจจะดำเนินไป แต่ก็ปรากฎสิ่งท้าทายที่สวนทางกับกระบวนการปฏิรูปด้วยเช่นกัน มีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองบางกลุ่ม ไม่ว่าจะเป้นการกำหนดตัวคนในด้านโครงสร้างกฎหมายหรือกำหนดกฎเกณฑ์ในกระบวนการกระจาย รวมไปถึงการข่มขู่คุกคามทางการเมือง
ในช่วงเปิดประเทศหรือประมาณปี พ.ศ. 2533 ข้าราชการระดับสูงทังส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ส่วนใหญ่ได้รับการแต่งตั้งจากพรรคการเมืองโดยมีวาระตามการตัดสินใจของผุ้บริหารพรรคการเมือง ซึ่งเป็นผุ้บริหารประเทศ นักการเมือง และข้าราชการระดับสูงกลุ่มนี้ต่างมีรายได้มาจากการให้เช่าบ้านและที่ดิน ซึ่งได้รับการอำนวยความสะดวกในเรื่องกฎระเบียบของรัฐ รวมถึงเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศในโครงการพัฒนาต่างๆ ที่ยังมีปัญหาคอรัปชั่นอยู่มากในกัมพูชา ซึ่งทางธนาคารโลกได้รายงานว่าการทุจริตในหน้าที่ของบุคคลในรัฐบาลมีอย่างกว้างขวางและแพร่หลายภาคธุรกิจเอกชนส่วนใหญ่ยอมรับว่าจำเป็ฯต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเพียงแค่ทำหน้าที่ตามปกตอ และต้องจ่ายสินบบนถึงร้อยละ 85 ของรายจ่ายนอกระบบ หรือตั้งแต่ร้อยลุ 5-6 ของรายรับจากการขายและเพิ่มขึ้นตามขนาดของธุรกิจซึ่งถือเป็นรายการใหญ่ของต้นทุนการผลิต โดยทั่วไปแล้วเงินรายจ่ายที่ไม่เป็นทางการนี้ ถือเป็นค่าตอบแทนให้เจ้าหน้าที่เพื่อให้ได้บริการที่รวดเร้ซขึ้น แต่ในกัมพูชาการติดต่อขอรับบริการจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลต้องจ่ายเงินประเภทนี้ คล้ายกับเป็นค่าธรรมเนียมตามปกตอ เพียงแต่เงินที่จ่ายไปไม่ได้นำส่งเข้ารัฐ
รัฐบาลกัพูชาในปัจจุบันภายใตการปกครองของ ฯพณฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีปัจจุบันมีนโยบายดังนี้
จากการที่กัมพูชาได้ดำเนินการตามแผนพัฒนายุทธศาสตร์แห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2449-2553 ตามยุทธศาสตร์ลดความยากจนแก่งชาติ รวมทั้งป้าเมหายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษของกัมพูชา ซึ่งล้วนเป็นยุทธศาสตร์หลักที่รัฐบาลกัมพูชาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายให้กัมพูชาเดินหน้าไปสู่การพัฒนาและความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน และใช้พื้นฐานในการแก้ไขปัญหาสำคัญในการพัฒนาประเทศ 4 ด้าน คือ ด้านการเกษตร, ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, ด้านการพัฒนาภาคเอกชนเพื่อการสร้างงานและด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่รวมถึงด้านการศึกษาและสาธารณสุข แม้ทั้งสี่ด้านที่กล่าวข้างต้นเป้ฯปัจจัยที่ผลักดันสังคมกัมพุชาให้ไปข้างหน้าแต่สังคมกัมพุชายังต้องอาศัยปัจจัยภายนอกมาช่วยเสริมกระตุ้นอย่างนโยบายการค้าตาบแบบเสรีโดยอาศัยกลไกตลาดเพื่อเปิดโอกาสให้แข่งขันได้อย่างเสรี และเป็นการระดมทุนจากต่างประเทศใหมาลงทุนในประเทศ นโยบายวันนี้ของประเทศกัมพูชาคือช่วยชี้แนะแนวนโยบายด้านการค้าแก่นักธุรกิจภายในและชาวต่างชาติให้ประกอบธุรกิจสอดคล้องกับทิศทางนโยบาย และตามกฎหมายของประเทศ มีการปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมายธุรกิจการค้า กฎหมายตราสารหนี้และการชำระเงิน กฎหมายหลักทรัพย์ กฎหมายความปลอดภัยด้านธุรกรรมการเงิน ปรับปรุงและแก้ไขขั้นตอนศุลกากรการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา เช่น กฎหมายสิทธิบัตรกฎหมายเครื่องหมายการค้า และกฎหมายลิขสิทธิ์ เป็นต้น
เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและส่งเสริมบรรยากาศการค้าการลงทุนและทิศทางใหม่ของประเทศ นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ได้แถลงหาความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงคู่ค้าต่างประเทศเพื่อพัฒนาและเพิ่มความมั่นคงด้านการค้า โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและการค้าของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้รุดหน้า พัฒนการส่งออกให้มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อให้กัมพูชาได้รับผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและการค้ามากที่สุด ถือเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่แตกต่างจากแผนเดิม น่นคือมุ่งดำเนินวิธีการต่างๆ ให้ประเทศกัมพูชาได้รับผลประดยชน์จากการเข้ร่วมเป้นสมาชิกประชาคมอาเซียนและเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต
นอาจากนี้ประเทศกัมพุชายังมีแนวทางในการปฏิรูปและพัฒนาศักยภาพการแข่งขันภายใน 5 ปี ขางหน้า เพื่อให้สอดคล้องกับการรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อละสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ซึ่งรวมถึงการพัฒนาสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ การค้า การลงทุน การส่งเสริมธรรมาภิบาล และหลักนิติธรรมการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริหารต่างๆ ได้มากขึ้นการพัฒนาคุณภาพและให้โอกาสด้านการศึกษาแก่เยาชนกัมพูชาเพื่อสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด
ระบบราชการของราชอาณาจักรกัมพูชาพบว่าหน่วยงานด้านการลงทุนให้ความเห้ฯที่เป็นไปในทิศทางเดี่ยวกันว่ากัมพูชาถือเป็นประเทศหนึ่งที่น่าลงทุน แต่ยังมีข้อเสียที่มีการทุจริตในวงราชการค่อนข้องมาก โดยจีรนันท์ วงษ์มงคล อัครราชทูตที่ปรึกษา(ฝ่ายการพาณิชย์) สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงพนมเปญประเทศกัมพูชา ได้กล่าวถึงข้อเสียการลงทุนในกัมพุชาไว้ในปี พ.ศ. 2553 ว่า "มีความไม่โปร่งใสของขั้นตอนและระบบราชการซึ่งตรงกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงพนมเปญที่กล่าวไว้ในปี พ.ศ. 2547 ว่า "ปัญหาคอรัปชี่นและความไม่โปร่งใสในระบบราชการเป้นภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น" ตรงกันกับสำนักงานส่งเสริมการลงทุนแห่งประเทศไทย ที่ได้วิเคราะห์ศักยภาพด้านการลงทุนว่าจุดอ่อนข้อที่ 17 ของกัมพูชาคือ ระบบราชการกัมพุชามีการคอรัปชั่นสูง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาถึงการคอรัปชั่นในประเทศกัมพูชา กล่าวถึงการคอรัปชั่นในกัมพูชาไว้ว่า
คอรัปชั่นเกิดได้หลากหลายรูปแบบทั้งการให้สินบน การเล่นพรรคเล่นพวกการหลีกเลี่ยงภาษี ฯลฯ โดยกมาทุจริตนั้นจะเกิดจากปัจจัยดังนี้
- ปัจจัยด้านการเมือง ระดับการคอรัปชั่นขึ้นอยุ่กับความเข้มแข็งของสังคม อิสระของสื่อมวลชนใบริบทของกัมพูชาจากความจริงที่ว่ารัฐบาลเิดขึ้นและได้รับอิทธิพลทางการเมืองเพือเป้าหมายและกลยุทธ์ทางการเมือง โดยรัฐบาลมีบทบาทโดดเด่นในการับและการใช้จ่ายทรัพยากรของพวกตน บางครั้งวงจรการทุจริตดูเหมือนว่าจะปรกฎตัวขึ้นเป็นครั้งคราวและกลายเป็นระบบ
- ปัจจัยทางกฎหมายและจริยธรรม ปัจจัยสำคัญที่เชื่อมโยงกับการทุจริตคือคุณภาพระบบกฎหมายของประเทศเพื่อการดำรงอยู่ของกฎหมายต่อต้านการทุจริตที่มีประสิทธิภาพและความสามารถในการบังคับใช้กฎหมาย การคอรัปชั่นยังเกี่ยวกับสถานที่ที่ทมีคุณค่าทางจริยธรรมที่ถูกละเลยโดยผุ้ทีกกระทำการทุจริตละเลยศักดิ์ศรีและทำตามความเห็นแก่ตัวของตน
- ปัจจัยระบบราชการ ในการออกกฎการแทรกแซงและกฎระเบียบราชการในระบบเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการทุจริตทีมีแนวโน้มจะสูงขึ้น จากการที่ภาครัฐเรียกเก็บเงินจำนวนมาจากรกฎระเบียบที่เือ้อต่อเจ้าหน้าที่รัฐในการหาประโยชน์ส่วนตัว ในขณะที่การเพ่ิมขึ้นหรือลอลงของความรับผิดชอบอาจก่อใไ้เกิดการคอรัปชั่น
- ปัจจัยด้านผลตอบแทนจากการที่เจ้าหน้ารัฐมีรายได้อยู่ในระดับต่ำ หรือแตกต่างจากค่าจ้างของภาคเอกชนค่อนข้างมาก ทำให้ข้าราชการเกิดการคอรัปชั่นได้
- ปัจจัยด้านเศรษฐกิจการคอรัปชั่นมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นจากากรมี่รัฐสร้างเศรษฐฏิจแบบผูกขาด จะเห็นได้ว่าจากการศึกษาดังกล่าวระบบราชการภายในราชอาณาจักรกัมพูชายังมีากรคอรัปชั่นอยู่ค่อนข้างสูงจากปัจจัยสนับสนุนที่หลากหลาบ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของระบบราชการราชอาณาจักรกัมพูชาโดยในปัจจุบันรัฐบาลกัมพูชามีนโยบายปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจังมากย่ิงขึ้น
- "ระบบบริหาราชการของอาณาจักรกัมพูชา" สภาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ.
วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2560
Bureaucracy : Laos
การบริหารราชการในประเทศลาวเป็นหารบริหารแบบรวมศุนย์ โดยมีการดำเนินการแบบเดียวกันทั่วประเทศ โดยมีการแบ่งระดับการบริหารงานได้แก่
การฝึกอบรมข้ารชาการในสปป.ลาวแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- ระดับกลาง ประกอบด้วย สำนกนายกรัฐมนตรี
- ระดับภาคส่วน ประกอบด้วย ประทรวงหรือองค์การที่อยู่ในระดับเดียวกัน สำนักงานประธานประเทศ องค์การพรรคการเมืองกลุ่มแนวลาวสร้างชาติ ศาลประชาชน และศาลอุทธรณ์
- ระดับท้องถิ่น ข้าราชการในสปป.ลาว หมายถึง เจ้าหน้าที่ในองค์การพรรครัฐบาลกลุ่มแนวลาวสร้างชาติ องค์การมวลชนทั้งในระดับส่วนกลาง แขวง และเมือง รวมถึงสำนักงานตัวแทนของสปป.ลาวในต่างประเทศ ซึ่งไม่รวมถึงสมาชิกสภาที่มิได้เป็ฯสมชิกรรค ทหาร ตำรวจ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และลูกจ้างชั่วคราว โดยข้าราชการในสปป.ลาวแบ่งออกเป็น 6 ระดับ ได้แก่ ระดับ 1 และ 2 เป็นกลุ่มพนักงานธุรการ ระดับ 3,4 และ 5 เป็นกลุ่มพนักงานระดับผุ้เชี่ยวชาญ และระดับ 6 เป็นระดับสุงสุดสไหรับตำแหน่งผุ้บริหารระดับสุงในรัฐบาล เช่น รัฐมนตรี ผุ้ช่วยรัฐมนตรี และที่ปรึกษาอาวุโส
ในสปป.ลาวนอกจากข้าราชการที่มีดำแหน่งภาวร (การจ้างงานตลอดชีพ) ที่ได้รับค่าตอบแทนและผลประโยชน์อื่นๆ ตามที่กำหนดอย่างเป็นทางการแล้ว ยังมีตำแหน่งในระบบข้าราชการสปป.ลาวอีก 3 ประเภท
ประเภทแรก คือ แบบสัญญาร้อยละ 95 โดยผุ้ปฏิบัติงานจะได้รับเงินค่าจ้างคิดเป้นร้อยละ 95 ของตำแหน่งถาวร แต่ไม่ได้รับประโยชน์ด้านสวัสดิการอื่นๆ ผุ้ปฏิบัติงานแบบการทำสัญานี้ ส่วนใหญ๋จะถือว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะบรรจุเข้าในตำแหน่งแบบถาวร แต่จำเป็นต้องรอเนื่องจากอัตราการจ้างมีจำกัด
ประเภทที่2 คือ แบบอาสาสมัคร ไม่มีการการันตีรายรับ แต่ผุ้ปฏิบัติงานจะได้รับเงินค่าจ้างตางานที่ทำและตามงบประมาณที่มีในหน่วยงานนั้น ประภทสุดท้าย คื อแบบสัญญาจั้งงานชัวคราว การจ้างงานรูปแบบนี้เคยบรรจุอย่างเป็นทางการ ซึ่งรัฐบาลสปป.ลาว ค่อยๆ ลดจำนวนลงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 แต่ยังคงพบการจ้างงานประเภทนี้อยุ่ในบางจังหวัดและบางภาคส่วนผุ้ปฏิบัติงานรูปแบบนี้จะได้รัเงินเดือนต่ำกว่าระดับสัญญาร้อยละ 95 และไม่ได้รับสทิะิประโยชน์อื่นๆ และระยะเวลาของสัญญามีจำกัด แม้ว่าส่วนใหญ่จะมีการต่อสัญญาเสมอก็ตาม
รายงานของสปป.ลาวระบุว่า สปป.ลาว อยู่ในช่วงของการปฏิรูประบบราชการให้มีความทันสมัย สอดคล้องกบสภาพการณ์ที่เปลี่นแปลงไป อย่างไรก็ตามปัญหาที่ภาคราชการสปป.ลาว กำลังประสบอยุ่ คือ การสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้าสู่ภาคราชการ โดยเฉพาะราชการส่วนท้องถิ่น ดังนั้นการพัฒนาข้าราชการให้มีทักษะและภาวะผุ้นำโดยวิธีการพัฒนาในการจัดหลักสูตรการศึกษา การจัดฝึกอบรม รวมถึงการจัดให้มีเวทีแสดงความคิดเห็นร่วมระหว่งภาคราชการและเอกขชนจะเป็นการสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
1 การฝึกอบรมขั้นพื้นฐาน หมายถึง การอธิบายให้ข้าราชการเข้าใหม่เข้าใจเกี่ยวกับกฎระเบียบสำหรับขช้าราชการในสปป.ลาว กฎการบริหารจัดการภายในองค์การ ตำแหน่ง บทบาท หน้าที่และโครงสร้างองค์การของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระบบการประสานงานและประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวกับบทบาทและหน้าทีที่เกี่ยวข้องในองค์การ
2 การฝึกอบรมระหว่างการประจำการ หมายถึง การฝึกอบรม การเสริมสร้างขีดความสามารถเกี่ยวกับทฤษฎีด้านการเมือง ความรู้ด้านเทคนิคเฉพาะสำหรับข้าราชการ โดยดุจากผลการประเมินการปฏิบัติงานประจำปีและแผนการฝึกอบรม
3 การฝึกอบรมก่อนเข้ารับตำแหน่งใหม่ หมายถึง การฝึกอบรม การเสริมสร้างขีดความสามารถเกี่ยวกับทฤษฎีด้านการเมือง ความรู้เทคนิคและความรู้พื้นฐานที่จำเป้นอื่นๆ เพื่อเตียมความพร้อมสำหรับตำแหน่งหน้าที่ใหม่และซับซ้อนมากขึ้น หรือการเข้ารับตำแหน่งฝ่ายบริหารในระดับที่สูงขึ้น
โดยการคัดเลือกข้าราชการเพื่อเข้ารับการฝึกอบรมหรือเสริมสร้างขีดความสามารถจะพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
1 ผลการประเมินการปฏิบัติงานที่ผ่านมา
2 ความจำเป้นต่อหน่วยงานและงานที่รับผิดชอบ
3 มีจุดมุ่งหมายที่จะรับหน้าที่ในตำแหน่งที่ว่างหรือตำแหน่งผุ้บริหาร
สำหรับผุ้สมัครเพื่อจะเข้ารับการศึกษาต่อเป็นเวลา 3 ปีขึ้นไป จะต้องมีความต้องการที่จะพัฒนาตนเอง มีสุขภาพแข็.แรง และอายุไม่เกิดน 45 ปี
อุปสรรคในการพัฒนาข้าราชการลาว โดยประเด็นหลักๆ ได้แก่
- ค่ำตอบแทนอยู่ในระดับต่ำ ทำให้เกิดคามยากลำบากในการคัดสรรพนักงานที่มีคุณภาพ และการรักษาระดับผลการปฏิบัติงานด้วยระดับการศึกษาในสปป.ลาว และจำนวนผุ้ทีผ่านการฝึกอบรมมาเป็นดียังมีไม่มาก จำนวนของบุคลากรที่มีคุณสมบัติสำหรับตำแหน่งในภาครัฐก็ยิ่งมีจำนวนจำกัดยิ่งขึ้น
- การบริหารทรัพยากรบุคคลที่ไม่เชื่อมโยงผลการปฏิบัติงานกับผลตอบแทน
- ขาดการบริหารผลการปฏิบัติงานที่มีมตรฐาน ซึ่งไม่มีความสอดคล้องกับการทำงาน อาทิ หน้าที่ความรับผิดชอบ
- การกระจายข้อราชการทั่วประเทศเป็นไปอย่างไม่เหมาะสม ทำให้ในบางพื้นที่มีเจ้าหน้าที่รัฐมกเกินความจำเป้ฯ ในขณะที่บางแห่งยังขาดแคลน
- ฐานข้อมูลของข้าราชการที่ยังไม่มีคุณภาพ
เป้าหมายการพัฒนาระยะยาวของสปป.ลาว คือการหลุดพ้นจากการเป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ภายในปี พ.ศ. 2563 การที่จะบรรลุเป้าหมายที่ท้าทายได้ สปป.ลาวจะต้องมีระบบราชการที่สามารถสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างรวดเร็ว ด้ววยเหตุผลนี้การปฏิรุปราชการจึงเป็นกิจกรรมหลักของระบบาราชกาในสปป.ลาว ตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2533 การพัฒนาด้านการบริหากลายเป็นองค์ประกอบหลักในการพัฒนาแผนขจัดความยากจนแห่งชาติ การพัฒนาคุณภาพของข้าราชการเองถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป้นอันดับแรกในกระบวนการปฏิรูประบบราชการ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างการบริการของรัฐที่มีประสิทธิภาพ ประสทิธิผล ผ่านการอบรม สุจริต และมีจรรยาบรรณซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนสปป.ลาว ที่มีหลากหลายภายในสังคมที่มั่นคงและสันติ และสามารถสร้างการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยือนึ่งเป็นพื้นฐานในการกำจัดความยากจนและสร้างประเทศให้ทันสมัย
ในปัจจุบันกระทรวงที่รับผิดชอบโดยรงในด้านกรพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ คือ กระทรวงกิจการภายใน หรือทบวงการปกครองและคุ้มครองรัฐกรเดิม โดยมีหน่วยงานสนับสนุนในด้านต่างๆ มุ่งเน้นการปฏิรูประบบราชการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยงานภาครัฐทั้งในระดับส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนให้ได้อย่างเท่าเที่ยม มีการตั้งศูนย์การฝึกอบรมข้าราชการ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาและส่งมอบโปรแกรมการฝึดอบรมภายใน รวมถึงการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งการฝึดอบรมในภาครัฐของสปป.ลาว จะมีการฝึกอบรมตั้งแต่การฝึกอบรมขั้นพื้นฐาน การฝึกอบรมระหว่างประจำการ และการฝึกอบรมก่อนเข้ารับตำแหน่งใหม่ ซึ่งในแต่ละกระทรวงก็จะมีแปนการฝึกอบรม เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรในสังกัดของตนเอง อย่างไรก็ดี การพัฒนาข้อาราชการในสปป,ลาว ยังคงมีประเด็มท้าทายในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าตอบแทนหรือการขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพ
องค์การมวลชน สปป.ลาวมีการจัดดครงสร้างเพิ่มขึ้นจากองค์การทางการเมืองในรูปแบบการแบ่งอำนาจ ดดยทั่วไปนั่นคืองค์การมวลชนที่มีบทบาทในการปลุกระดมประชาชกลุ่มอาชีพและชนชั้นต่่างๆ เพื่อสรับสนุนการดำเนินงาน และร่วมกัิกรรมทางการเมืองของพรรคประชาชนปฏิวัติสปป.ลาว ได้แก่
- องค์การแนวลาวสร้างชาติ เป็นองค์การที่จัดตั้งขึ้นในช่วงสงครามปฏิวัติสปป.ลาว เมื่อปี พ.ศ. 2493 ในชื่อเดิม คือ "แนวลาวรักชาติ" ซึ่งมีภารกิจสำคัญในการสร้างความสามานฉันท์ให้เกิดแก่ประชาชนสปป,ลาวทุกชนชาติลแะทุกชนชั้นของสังคม เพื่อยกระดับสำนึกทางการเมืองของประชาชและระมมวลชนในการปกิบัติงานร่วมกัน โดยมีการจัดดครงร้างองค์การเป็นช่วงชั้น ที่ประชุมสมัชชาของแนวลาวสร้างชาติเป็นองค์การสูงสุด ซึ่งจะมีการเลือกคณะกรรมการกลางมีการจัดตั้งคณะกรรมการระดับแขวงและระดับอื่นๆ เพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นแนวร่วมไปจนถึงระดับท้องถิ่น ทั้งนี้แนวลาวสร้างชาติถื่อเป็นองค์การมวลชนเดี่ยวที่เปิดโอกาสให้คนทุกลุ่มโดยเฉพาะนักธุรกิจและปัญญาชนที่ได้รับการศึกษจากตะวันตกให้เข้าเป็นสมาชิกได้
- สหพันธ์กรรมกรลาว เป้ฯองค์การของกลุ่มผุ้ใช้แรงงานและลูกจ้างในภาคการผลิตต่างๆ แต่ผุ้ใช้แรงงานทั่วประเทศไม่ได้เป็นสมาชิกสหพันธ์ทั้งหมด เนื่องจากบางแห่งมีจำนวนผุ้ใช้แรงงานน้อย และไม่มีการจัดตั้งองค์การที่ดี
- องค์การเยาวชนปฏิวัติลาว เป้ฯส่วนหนึ่งของแนวลาวรักชาติที่จัดตั้งมากกว่า 30 ปี โดยเร่ิมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 ได้มีการจัดตั้งองค์การตามเมืองใหญ่ซึ่งมีเป้าหมายในการบ่มเพาะให้ยุวชนเป็นผุ้นำในการสร้างระบบสังคมนิยม ซึ่งองค์การเยาวชนปฏิวัติลาวจะมีหน้าที่ในการสร้างเยาวชนให้มีสัมพันธ์ภาพทางการปลิต 3 ประการของการปฏิวัติ ได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วัฒนธรรม และอุดมการณ์ รวมทั้งปลูกฝังให้เยาวชนต่อต้านอำนาจจักรวรรดินิยมจากต่างชาติ
- สหภาพแม่หญิงลาว เป้นองค์การส่วนหนึ่ง อันเกิดจากแนวลาวรักชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากแนวคิดของนาย ไกสอน พมวิหาน ที่ต้องการยกระดับสำนึกทางการเมืองของสตรี เพื่อให้ร่วมสร้างการปฏิวัติสังคมนิยม รวมทั้งการเป้นแรงงานที่สร้างผลิตผลและมบทบาทที่แข็งขันในพรรคการเมือง ตลอดจนกาทำหน้าที่มารดาในการบ่มเพาะบุตรให้เป็นสังคมนิยมรุ่นใหม่ ท้งนี้ภารกิจเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป้นต่อการปกป้องและสร้างชาติของสปป.ลาว
- "ระบบบริาหราชการของ สาธารณรัฐปรชาธิปไตยประชาชนลาว", สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ.
วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2560
Bureaucracy : Vietnam
เวียดนามปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม โดยมีพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เป็นพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวของประเทศ โดครงสร้างการปกครองของเวียดนามแบ่งออกเป็น3 ระดับคือ
- ฝ่ายนิติบัญญัติ ได้แก่ สภาแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นฝ่านนิติบัญญัติ มีอำนาจสูงวสุดในการกำหนดนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศ มีหน้าที่บัญญํติลแก้ไขกฎหมาย แต่งตั้เงประธานาธิบดีตามพที่พรรคคอมมิวนิสต์เสนอ ให้การรับรอง หรือถอดถอนนายกรัฐมนตรีตามที่ประธานาธิบดีเสนอ รวมทั้งแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ อันเป็นระบบกรบริหารแบบผุ้นำร่วม
- ฝ่ายบริหาร หรือรัฐบาลส่วนกลาง ประกอบด้วย ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี รวมไปถึงตำแหน่งสำคัญในพรรคคอมมิวนิสต์ เชน สมัชชาของพรรคคอมมิวนิสต์ มีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี มีหน้าที่พิจารณา ให้ความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานขององค์กรบริหารระดับสูง เลขาธิการ พรรคคอมมิวนิสต์ เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของพรรค คณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำหน้าที่กำหนดนโยบายด้านการเมือง เศราฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม กรมการเมือง เป็นองค์กรบริหารสูงสุด เป้ฯศูนย์ กลางอำนาจในการกำหนดนโยบาย และควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนด
- การปกครองท้องถิ่น ในแต่ละจังหวัดจะมีคณะกรรมการประชาชน ทำหน้าที่บริหารงานภายในท้องถิ่นให้เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ นโยบายและกฎระเบีบยต่างๆ ที่บัญญัติโดยองค์กรของรัฐที่อยู่ในระดับสูงกว่า ระบบการบริาหราชการท้องถิ่นของเวียดนามแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
ระดับจังหวัดและเที่ยบเท่า มี 59 จังหวัด กับอี 5 นคร คือ ฮานอย โฮจิมินห์ ไฮฟอง ดานัง และเกินเทอ ซึ่งจะได้รับงบลประมาณจากส่วนกลางโดยตรง รวมทั้งข้าาชาการจะได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากส่วนกลาง จึงมีอำนาจในการตัดสินใจอย่างเต็มที่ ช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงาน
เวียดนามได้ทำแผนงานการปฏิรูประบบราชการสำหรับปี พ.ศ. 2544-2553 โดยเน้น 4 ประเด็น ได้แก่ การปฏิรูประบบกฎหมาย การปฏิรูปโครงสร้างองค์กร การยกระดับความสามารถของข้าราชการ การปฏิรูปด้านการคลัง และได้มีการออกกฎหมายใหม่สำหรับหน่วยงานของรัฐและข้าราชการพลเรือนโดยเริ่มมีผลบังคับ เมื่อ พ.ศ. 2553
เห็นได้ชัดว่าการปฏิรูปเวียดนามน้นเป็นช่วงการนำบทเรียนหรือข้อสรุปมาสู่การปฏิบติโดยการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญของเวียดนามจำเป็นต้องผ่านการประชุมใหญ่หรือ "สมัชชา"พรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งจัดขชึ้นทุกๆ 5 ปี ครั้งล่าสุดจัดเมื่อ ปี 2554 โดยไม่มีนโยบายที่จะปฏิรูประบบราชการใหม่ ดังนั้นคงต้องติดตมการประชุมใญ่ในปี 2559
การปฏิรูประบบราชการส่วนกลาง ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ พ.ศ. 2554-2563 ของเวียดนามได้ระบุชัดถึงการปฏิรูประเบียบราชการให้สมบูรณ์โดยเน้นในการสร้างระบบราชการให้บริสุทธิ์ตามแผนการปฏิรูประเบียบราชการในทุกด้าน ไม่ว่าจะในด้านระบบราชการ กลไก บุคลากร และการพัฒนาระบบราชการของชาติให้ทันสมัย ได้มีการปฏิรูประเบียบราชการตามแบบการบริหารแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ มีการตรวจสอบการประกาศระเบียบราชการอย่างเปิดเผย ตลอดจนติดตามตรวจสอบเจ้าหน้าที่ข้าราชการของกระทรวงและหน่วยงานในการพบปะแก้ไขปัญหาของประชาชนและผุ้ประกอบการ
เวียดนามกำลังสร้างระเบียบราชการที่มประชาธิปไตย มืออาชีพ และมีประสิทธิภาพ อันเป็นการมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั้น การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย และการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมเพื่อตอบสนองความต้องการในการปรับตัวให้ทันโลก
กากรปฏิรูประบบาราชการส่วนท้องถ่ิน โครงการปฏิรูปการบริหาราชการในประทเศเวียดนาม เป้ฯโครงการที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้เกิดการใช้หลักนิติธรรมในการบริหารจัดการส่วนกลาง เป็นมาตรการโดยพรรคการเมืองหลักและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อปฏิรูปให้เกิดเป็นระบบสถาบันและระบบตามกฎหมายให้เป็นเศรษฐกิจแบบตลาดสังคมนิยมโดยการสร้างระบบการบริหารจัดการสาธารณะที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์เรื่องการจักการสาธารณะของเวียดนามเป็นเรื่องที่ยังมีความขัดแย้งภายในอยู่ มีหลายแง่มุมที่กระทบกระเทือนผลประโยชน์ของนักการเมืองบางฝ่าย จึงเป็นเหตุให้การปฏิรูปยังคงมีปัญหาตามมา
ทั้งนี้ มีผู้สนับสนุนหลายฝ่ายทั้งจากองค์กรในประเทศและต่างประเทศให้มีการปฏิรูปอย่างลึกและเร็ว การปฏิรูปนี้ได้รับการผลักดันโดยนักการเมืองชั้นนำของประเทศเวียดนาม ดดยมีความมุ่งหมายที่จะส่งเสริมความสำเร็จในทางเศรษฐกิจเป็นหลัก และการปรับปรุงระบบราชการเวียดนามให้เป็นระบบที่ประสิทธิภาพและไม่คดโกง โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่รัฐกำลังดำเนินการตามโครงการนี้อย่างหนัก แต่เนื่องจากความมีอิทธิพลอย่างมากของระบบสังคมนิยม จึงทำให้ยังเกิดข้อขัดแย้งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้บ้าง
เวียดนามปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ มีการรวมศูนย์อำนาจของเวียดนามไว้ที่รัฐบาบลส่วนกลาง โครงสร้างของอำนาจหน้าที่ถูกจัดเรียงจากบนลงล่าง การบริาหรส่วนกลางแบ่งงานตามหน้าที่ของแต่ละกระทรวง ซึ่งดำเนินงานไปตามแผนนโยบายของรัฐบาลและอำนาจในส่วนกลางนี้ คือ การเป็นหน่วยดูแลประเด็นเรื่องการเมืองเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคม การป้องกันประเทศ ความมั่นคง และกิจการระหว่างประเทศ
- ฝ่ายนิติบัญญัติ ได้แก่ สภาแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นฝ่านนิติบัญญัติ มีอำนาจสูงวสุดในการกำหนดนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศ มีหน้าที่บัญญํติลแก้ไขกฎหมาย แต่งตั้เงประธานาธิบดีตามพที่พรรคคอมมิวนิสต์เสนอ ให้การรับรอง หรือถอดถอนนายกรัฐมนตรีตามที่ประธานาธิบดีเสนอ รวมทั้งแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ อันเป็นระบบกรบริหารแบบผุ้นำร่วม
- ฝ่ายบริหาร หรือรัฐบาลส่วนกลาง ประกอบด้วย ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี รวมไปถึงตำแหน่งสำคัญในพรรคคอมมิวนิสต์ เชน สมัชชาของพรรคคอมมิวนิสต์ มีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี มีหน้าที่พิจารณา ให้ความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานขององค์กรบริหารระดับสูง เลขาธิการ พรรคคอมมิวนิสต์ เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของพรรค คณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำหน้าที่กำหนดนโยบายด้านการเมือง เศราฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม กรมการเมือง เป็นองค์กรบริหารสูงสุด เป้ฯศูนย์ กลางอำนาจในการกำหนดนโยบาย และควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนด
- การปกครองท้องถิ่น ในแต่ละจังหวัดจะมีคณะกรรมการประชาชน ทำหน้าที่บริหารงานภายในท้องถิ่นให้เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ นโยบายและกฎระเบีบยต่างๆ ที่บัญญัติโดยองค์กรของรัฐที่อยู่ในระดับสูงกว่า ระบบการบริาหราชการท้องถิ่นของเวียดนามแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
ระดับจังหวัดและเที่ยบเท่า มี 59 จังหวัด กับอี 5 นคร คือ ฮานอย โฮจิมินห์ ไฮฟอง ดานัง และเกินเทอ ซึ่งจะได้รับงบลประมาณจากส่วนกลางโดยตรง รวมทั้งข้าาชาการจะได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากส่วนกลาง จึงมีอำนาจในการตัดสินใจอย่างเต็มที่ ช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงาน
เวียดนามได้ทำแผนงานการปฏิรูประบบราชการสำหรับปี พ.ศ. 2544-2553 โดยเน้น 4 ประเด็น ได้แก่ การปฏิรูประบบกฎหมาย การปฏิรูปโครงสร้างองค์กร การยกระดับความสามารถของข้าราชการ การปฏิรูปด้านการคลัง และได้มีการออกกฎหมายใหม่สำหรับหน่วยงานของรัฐและข้าราชการพลเรือนโดยเริ่มมีผลบังคับ เมื่อ พ.ศ. 2553
เห็นได้ชัดว่าการปฏิรูปเวียดนามน้นเป็นช่วงการนำบทเรียนหรือข้อสรุปมาสู่การปฏิบติโดยการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญของเวียดนามจำเป็นต้องผ่านการประชุมใหญ่หรือ "สมัชชา"พรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งจัดขชึ้นทุกๆ 5 ปี ครั้งล่าสุดจัดเมื่อ ปี 2554 โดยไม่มีนโยบายที่จะปฏิรูประบบราชการใหม่ ดังนั้นคงต้องติดตมการประชุมใญ่ในปี 2559
การปฏิรูประบบราชการส่วนกลาง ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ พ.ศ. 2554-2563 ของเวียดนามได้ระบุชัดถึงการปฏิรูประเบียบราชการให้สมบูรณ์โดยเน้นในการสร้างระบบราชการให้บริสุทธิ์ตามแผนการปฏิรูประเบียบราชการในทุกด้าน ไม่ว่าจะในด้านระบบราชการ กลไก บุคลากร และการพัฒนาระบบราชการของชาติให้ทันสมัย ได้มีการปฏิรูประเบียบราชการตามแบบการบริหารแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ มีการตรวจสอบการประกาศระเบียบราชการอย่างเปิดเผย ตลอดจนติดตามตรวจสอบเจ้าหน้าที่ข้าราชการของกระทรวงและหน่วยงานในการพบปะแก้ไขปัญหาของประชาชนและผุ้ประกอบการ
เวียดนามกำลังสร้างระเบียบราชการที่มประชาธิปไตย มืออาชีพ และมีประสิทธิภาพ อันเป็นการมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั้น การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย และการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมเพื่อตอบสนองความต้องการในการปรับตัวให้ทันโลก
กากรปฏิรูประบบาราชการส่วนท้องถ่ิน โครงการปฏิรูปการบริหาราชการในประทเศเวียดนาม เป้ฯโครงการที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้เกิดการใช้หลักนิติธรรมในการบริหารจัดการส่วนกลาง เป็นมาตรการโดยพรรคการเมืองหลักและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อปฏิรูปให้เกิดเป็นระบบสถาบันและระบบตามกฎหมายให้เป็นเศรษฐกิจแบบตลาดสังคมนิยมโดยการสร้างระบบการบริหารจัดการสาธารณะที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์เรื่องการจักการสาธารณะของเวียดนามเป็นเรื่องที่ยังมีความขัดแย้งภายในอยู่ มีหลายแง่มุมที่กระทบกระเทือนผลประโยชน์ของนักการเมืองบางฝ่าย จึงเป็นเหตุให้การปฏิรูปยังคงมีปัญหาตามมา
ทั้งนี้ มีผู้สนับสนุนหลายฝ่ายทั้งจากองค์กรในประเทศและต่างประเทศให้มีการปฏิรูปอย่างลึกและเร็ว การปฏิรูปนี้ได้รับการผลักดันโดยนักการเมืองชั้นนำของประเทศเวียดนาม ดดยมีความมุ่งหมายที่จะส่งเสริมความสำเร็จในทางเศรษฐกิจเป็นหลัก และการปรับปรุงระบบราชการเวียดนามให้เป็นระบบที่ประสิทธิภาพและไม่คดโกง โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่รัฐกำลังดำเนินการตามโครงการนี้อย่างหนัก แต่เนื่องจากความมีอิทธิพลอย่างมากของระบบสังคมนิยม จึงทำให้ยังเกิดข้อขัดแย้งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้บ้าง
เวียดนามปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ มีการรวมศูนย์อำนาจของเวียดนามไว้ที่รัฐบาบลส่วนกลาง โครงสร้างของอำนาจหน้าที่ถูกจัดเรียงจากบนลงล่าง การบริาหรส่วนกลางแบ่งงานตามหน้าที่ของแต่ละกระทรวง ซึ่งดำเนินงานไปตามแผนนโยบายของรัฐบาลและอำนาจในส่วนกลางนี้ คือ การเป็นหน่วยดูแลประเด็นเรื่องการเมืองเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคม การป้องกันประเทศ ความมั่นคง และกิจการระหว่างประเทศ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...