วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Austro-Asiatic languages : MON-KHMER : Vietic

           
กลุ่มภาษาเวียตติก หรือ กลุ่มภาษาเวียต-เหมื่อง เป็นสาขาของตระกูลออกโตรเอเชียติกซึ่งรวมภาษาเวียดนามและภาษาเหมือง ไว้ในกลุ่มนี้ ภาษาเวียดนามจัดอยุ่ในตระกูลออสโตรเอเชียติกซึ่งรวมภาาาเวียดนาม และภาษาเหมื่อง ไว้ในกลุ่มนี้ ภาษาเวียดนามจัดเขาอยุ่ในตระกูลออสโตรเอเชียติกเมื่อ พ.ศ. 2493 มีคำยืมจากภาษาจีนและกลุ่มภาษาไทมากจนปัจจุบันกลายเป็นภาษาคำโดดที่มีวรรณยุกต์คล้ายกับภาษาไทยหรือภาษาจีนสำเนียงทางใต้มากกว่าภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติกอื่นๆ อย่างไรก็ตารูปแบบและความคล้ายคลึงทางสัทวิทยา ถือว่าใกล้เคียงกับภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก ภาษาในกลุ่มนี้เสียงวรรณยุกต์ ต่ำ 3 เสียง สุง 3 เสียง ซึ่งสัมพันธ์กับเียงก้อง ไม่ก้องของพยัญชนะต้นในภาาาดั้งเดิม และ้วเปลี่ยนแสียงดดยขึ้นกับเสียงตัวสะกด ระดับของวรรณยุกต์ ขึนกับวาเป็นพยางค์เปิดหรือปิดที่มีพยัญชนะเสียงนาสิกเป็นตัวสะกด
           - ภาษาเหมื่อง เป็นภษาของชาวเหมื่องในเวียดนาม มีผุ้พูดในเวียดนาม ล้านกว่าคน ส่วนใหญ่อยุ่ในเขตภูเขาทางภาคกล่างค่อนไปทางเหนือ ใกล้เคียงกับภาษาเวียดนาม อยุ่ในตระกุลภาาาอสดตรเอเชียติก กลุ่มภาษามาญ-เขมรน สาขาเหวียด-เหมื่อง สาขาย่อยเหมือง เขียนด้วยอักษาละติน มีวรรณยุกต์ 5 เสียง คำศัพท์ได้รับอิทธิพลจากภาษาจีนมาก
          - ภาษาเวียดนาม เป็นภาษาที่มีวรรณยุกต์ และเป็นภาาาทางการของประเทศเวียดนาม เป็นภาษาแม่ของประชาการเวียดนามถึงร้อยละ 87 รวมถึงผู้อพยพจากเวียดนามประมาณ 2 ล้านคน และรวมถึงชาวเวียดนามอเมริกัน เป็นจำนวนพอสมควรด้วย ถึงแม้ว่าจะีการยือมคำศัพท์จากภาาาจีนและเดิมใช้อักษรจีนเขียน แต่นกภาษาศาสตร์ยังคงจัดภาษาเวียดนามให้เป็นภาษากลุ่มออสโตรเอเซียติก ซึ่งในกลุ่มนี้ภาษาเวียดนามมีผุ้พูดมากที่สุด ซึ่งมีสูงถึงสิบเท่าของภาษาเขมร ในด้านระบบการเขียนของภาษาเวยดนามนั้น แต่เดิมใช้ตัวเขียนจีน เรียกว่า "จื้อญอ" ต่อมาชาวเวียดนาใไ้พัฒนาตัวเขียนจีนเพื่อใช้เขียนภาษาเวียดนาม เรียกว่า ไจื้อโนม" แต่ในปัจจุบันเวียดนามใช้ตัวอักษรดรมันที่พัฒนาขั้นดดยมิชชันนารีชาวฝรั่งเศส ดดยเครื่องหมายเสริมสัทอักษรใช้เป็นวรรณยุกต์
         
  สำเนียงท้องถ่ิน มีหลากหลาย แต่ดดยมากถือว่มี 3 หลัก ดังนี้
                - เวียดนามตอนเหนือ ถิ่นฮานอย,ถิ่นอื่นทางเหนือ : ไฮฟอง และถิ่นระดับจังหวัดจำนวนมาก ชื่อในยุคอาณานิคมฝรั่งเศสคือ "ตังเกี๋ย"
                - เวียดนามตอนกลาง ถิ่นเว้, ถิ่นเหงะอาน,ถิ่นกว๋างนาม ชื่อในยุคอาณานิคมฝรั่งเศสคือ "อันนัมสูง"
                - เวียดนามตอนใต้ ถิ่นไซ่ง่อน, ถิ่นแม่น้ำโขง(ตะวันตกไกล) ชื่อในยุคอาณานิคมฝรั่งเศสคือ "โคชินไชนา"
             ภาษาถิ่นเหล่านี้มีน้ำเสียง การออกเสียง และบางครั้งก็มีคำศัพท์ที่แตกต่างไปบ้างแต่ภาษาถิ่นเฮว้จะมีคำศัพท์ท่แตกต่างค่อนข้างมาจากภาษาอถิ่นอื่นๆ วรรณยุกต์ "หอย" และ "หวา" มีความแตกต่า
ในภาคเหนือ แต่กลืนเป็นวรรยุกต์เดียวกันในภาคใต้ ส่วนพยัญชนะ ch และ tr นั้นจะออกเสียงแตกต่างกันในถิ่นใต้และกลาง แต่รวมเป็นเสียงเดียวในถิ่นเหนือ สำหรับความแตกต่างด้านไวยากรณืนั้นไม่ปรากฎ
             ระบบเสียง
             เสียงพญัญชนะ ในภาษาเวียดนามมีหน่วยเสียงตามตารางทางด้านล่าง โดยอักษรทางด้านซ้อยเป็นอักษรที่ใช้เขียนแทนหน่วยเสียงนั้นๆ ในภาษาเวียดนาม อักษรตรงกลางเป็นสัทอักษร และด้านขวานั้นเป็นอักษรไทยที่นิยมใช้ทับศัพท์ .
             เสียงสระ สูง กลางสูง กลางต่ำ และต่ำ แบ่งเป็น หน้า หลาง หลัง สระในภาษาเวียดนาน้น อกเสียงโดยมีวรรณยุกต์ภายใน โดยวรรณยุกต์มีความแตกต่างกันที่ ระดับเสียง ความยาว น้ำเสียงขึ้นลง ความหนักแน่น การออกเสียงคอหอย(ลักษณะเส้นเสียง) เครื่องหมายกำกับวรรณยุกต์ปกติจะเขียนเหนือหรือใต้สระ (ส่วนใหญ่เขียนไว้เหนือสระ แต่วรรณยุกต์หนั่ง เป็นจุดใต้สระ) วรรยุตก์มีทั้งหมด 6 ลักษณะในภาษาถิ่นเหนือ (รวมอานอยด้วย)
             เสียงวรรณยุกต์ นักภาษาศาสตร์ได้ศึกษาภาษาเวียดนามและจัดให้อยุ่ในภาษาตระกุลออสดตรเอเชียติก เช่นเดียวกับภาษาเขมร ซึ่งเป็ฯภาษาระบบคำสองพยางค์ และมีลักษระน้ำเสียง เป็นลักษระสำคัญของภาษา อีกทั้งเป็นภาษาที่มไ่มีระบบเสียง วรรณยุกต์ แต่ภาาเวียดนามปัจจุบันได้พัฒนาระบบเสียงวรรณยุตก์ขึ้นใช้ เนื่องจากอิทธิพลของภาษาที่มีเสียงวรรณยุกต์อันได้แก่ภาษาตระกุลไท ที่อยุ่โดยรอบและภาษาจีนที่เข้ามาปกครองเวียดนามในขณะนั้น
             ไวยกรณ์ ภาษาเวียดนามเป้ฯภาษรูปคำโดดเช่นเดียวกับภาษาจีนและภาษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อื่นๆ ไวยากรณ์เน้นที่การเรียงลำดับคำและดครงสร้างประดยคมากกว่าการผันคำ แสดงโดยการเพิ่มคำเช่นเดียวกับภาาาไท ภาาาเวียดนามเป็นภาษาคำโดด แต่ก้มีคำสองพยางค์อยุ่เป็นจำนวนมาก การเรียงคำในประโยคเป้นแบบประธาน-กริยา-กรรม
             กาล ปกติแล้วไม่จำเป็นต้องแสดง โดยทั่วไปจะมีคำแสดงกำกับไว้ทั้ง อดีต ปัจจุบันและอนาคร
             โครงสร้างแสดงหัวข้อ เป็นโครงสร้างประโยคที่สำคัญในภาษาเวียดนาม Toi đọc sách này rồi = ฉันอ่านหนังสือนี้แล้ว อาจเรียงประโยคใหม่เป็น Sách này thi toi đọc rồi = หนังสือนี้น่ะฉันอ่านแล้ว (thi เป็นตัวแสดงหัวข้อ) 
              ลักษณะนาม ภาาษเวียดนามีคำลักษระนามใช้แสดงลักษระของนามเช่นเดียวกับภษาไทยและภาษจีน
              คำสรรพนาม ในภาษาเวียดนามต่างจากภาษาอังกฤษ คือคำสรรพนามแต่ละคำไม่ได้ถูกแบ่งอย่างชัดเจนว่าเป็นบุรุษที่ 1 2 หรือ 3 ขึ้นกับผุ้พูดและผุ้ฟัง นอกจานั้นยังต้องระมัดระวังในการระบุความสัมพันธ์ทางสังคมซึ่งขึ้นกับอายุและเพศ
           
  การซ้ำคำ พบมาในภษาเวียดนามซึ่งเป็นการสร้างคำใหม่ ซึ่งมีความมหายต่างไปจากเดิม เช่นเป็นการลดหรือเพิ่มความเขมของคำคุณศัพท์
              คำศัพท์ ทางการเมืองและวิทยาศาสตร์โดยมากมาจากภาษาจีน กว่าร้อยละ 70 ของคำศัพท์มีรากศัพท์มาจากภาษาจีน คำประสมหลายคำเป้นการประสมระหว่างคำดั้งเดิมในภาษาเวียดนามกับคำยืมจากภาษาจีน ซึ่งคำเหล่านี้ปัจจุบันมักถูกแทนที่ด้วยคำเวยดนาม นอกจากนี้ยังมีคำยืมจากภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษ
             ระบบการเขียน ก่อนที่ฝรั่งเศสจะเข้ามายังเวียดนามนั้น ภาษาเวียดนามมีระบบเขียนสอลปบบ  ซึ่งทั้งสองแบบก็มีที่มาจากอักษรจีนเช่นเดียวกัน
             - จื้อญอ หรือ ฮ้านตี คืออักษรจีนที่ใช้เขียนภาษาจีนโบราณ
             - จื้อโนม เป็นอักษรที่ใช้เขียนภาษาเวียดนาม โดยนำอักษรจีนมาดัแปลงเล็กน้อย
              ปัจจุบันภาษาเวียดนามเขียนด้วยจื้อโกว๊กหงือ (ัอักษรของภาษาประจำชาติ) ซึ่งเป็นอักษรละตินที่เพิ่มเติมเครื่องหมายต่างๆ เข้ามาเพื่อให้มีอักษรเพียงพอที่จะใช้เขียนภาษาอักษรดังกลาวได้รับการคิดค้นขึ้นมาในคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยอาเล็กซ็องดร์ เดอ รอด ซึ่งเป็นมิชชันนารีชาวฝรั่งเศสที่เข้ามเผยแผ่ศาสนา โดยมีรากฐานมาจากระบบที่มิชชันนารีชวโปรตุเกสคิดไว้ก่อนหน้สนั้นในระหว่างที่เวยดนามยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสนั้น จือโกว๊กหวือได้เป็นอักษรราชการของอาณรานิคมซึ่งได้ทำให้อักษรดังกลาวเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ จื้อโกว๊กหงือหรือ ในปัจจุบันมีรุปแบบการเขียนที่อ้างอิงการออกเสียงของภาษาถิ่นเวียดนามกลาง ซึ่งสระและพยัญชนะท้ายจะคล้ายคลึงกับภาษาถิ่นเหนือส่วนพยัญชนะต้นจะคล้ายกับภาษาถิ่นใต้th.wikipedia.org/wiki/กลุ่มภาษาเวียตติก

วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Austro-Asiatic languages : MON-KHMER

         
กลุ่มภาษามอญ-เขมร เป็นกลุ่มของภาษาพื้นเมืองในแถบอินโดจีน อยู่ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติกเช่นเดียวกับ กลุ่มภาษามุนดาในอินเดีย การแบ่งกลุ่มย่อยของภาษาในกลุ่มนี้ เมื่อ พ.ศ. 2517 มีดังนี้
            - กลุ่มตะวันออกได้แก่ ภาษาเขมรที่ใช้พูดในกัมพุชา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย และภาคใต้ของเวียดนาม ราว 15-22 ล้านคน กลุ่มภาษาเบียริก ในภาคใต้ของกัมพุชา กลุ่มภาษาบะห์นาริก ในเวียดนาม กัมพุชาและลาว กลุ่มภาษากะตู ในลาวภาคกลางกลุ่มภาษาเวียดติกในเวียดนาม
            - กลุ่มเหนือ ได้แก่ภาษากาสีในรัฐเมฆาลัย อินเดีย กลุ่มภาษาปะหล่อง ในชายแดนจีน-พม่า และภาคเหนือของไทย กลุ่มภาษาขมุในลาวภาคเหนือ กลุ่มภาษาม้งในเวียดนามและจีน กลุ่มภาษาปยูในจีน
            - กลุ่มใต้ ได้แก่ กลุ่มภาษามอญในพม่าและไทย กลุ่มภาษาอัสเลียนในภาคใต้ของไทยและมาเลเซีย กลุ่มภาษานิโคบาร์ในหมุ่เกาะนิโคบาร์
            - กลุ่มที่จำแนกไม่ได้ ได้แก่ภาษาบูกัน บูซินชัว เกเมียฮัวและกวนฮัวในจีน
            กลุ่มตะวันออก..
            ภาษาเขมร เป็นหนึ่งในภาษาหลักของภาษากลุ่มออสโตรเอเซียติก และได้รับอิทธิพลมาจากภาษาสันสกฤต และภาษาบาลี พอสมควร ซึ่งอิทธิพลเหล่านี้ มาจากอิทธิพลของชาวเขมร ในขณะที่อิทธิพลเหล่านี้ มาจากอิทธิพลของศาสนาพุทธ และศาสนฮินดุ ต่อวันธรรมของชาวเขมร ในขณะที่อินธิพลอื่นๆ เช่น จากภาษาไทย ภาาาลาว และภาษาเวียดนาม เป็นผลมาจากการติดต่อกันทางด้านภาษาและความใกล้ชิดกันในทางภูมิศาสตร์ ภาษาเขมรเป็นภาาาที่ไม่มีวรรณยุกต์ ซึ่งแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ละพยางจะเร่ิมจ้อด้วยพญัชนะหรือพยัญชนะควบกล้ำ ตามด้วยเสียงสระ แต่ละพยางค์สามารจะมีเสียงพยัญชนะต่อไปนี้ลงท้าย เมื่อใช้เสียงสั้น จะต้องลงท้ายด้วพยัญชนะ
   ə ในภาษาพูด การงดออกเสียงบางเสียงในพยางค์แรกของคำสองพยางค์ทำให้ภาษาเขมรโดยเฉพาะภาษาพูกดลายเป็นคำพยางค์ครึ่ง คำต่างๆ สมารถประกอบด้วย 2 พยางค์ เต็มได้ คำมี่มี 3 พยางค์ ขึ้นไปส่วนใหญ่เป็นคำยือมมาจากภาษาบาลี สันสกฤต ฝรั่งเศส หรือ ภาษาอื่นๆ 
โครงสร้างของคำในภาษาเขมรที่มีมากที่สุดเป็นพยางค์เต็มตามที่อะบายไว้ข้งบน ต่อหน้าด้วยพยงค์สั้นที่มีโครงสร้าง CV-, C)V,CVN- หรือ C(VN- ( C เป็นพยัญชนะ V เป็นสระ N เป็น m/ม, n/น,(หรือ)/ง) สระในพยางค์สั้นเหล่านี้มักจะออกเสียงเป็น
     ภาษาถิ่นที่มีการแดงอย่างชัดเจนในบางกรณี มีข้อแตกต่างที่สังเกตเห็นได้ระหว่างคนพูจากเมือง พนมเปญ (เมืองหลวง) และเมืองพระตะบองในชนบท โดยภาษาเขมรจะแบ่งเป็นภาษาถิ่นได้ 5 ถิ่น ได้แก่ 
     - สำเนียงพระตะบอง พูดทงแถบภาคเหนือของประเทกัมพูชา
     - สำเนียงพนมเปญ เป็นสำเนียงกลางของกัมพูชาเช่นเดียวกับสำเนียงกรุงเทพฯของไทย ดดยจะพูดในพนมเปญและจังหวัดโดยรอบเท่านั้น
     - สำเนียงเขมรกรอม หรือ ภาษาเขมรถิ่นจันทบุรี ถือเป็นภาษถ่ินที่มช้พุดทางภาษาตะวันตกของประเทศกัมพูชาบริเวณทิวเขาบรรทัด มีผู้ใช้จำนวนน้อย
      ลักษระขงอสำเนียงในพนมเปญ คือการออกเสียงอย่งไม่เคร่งครัด โดยที่บางส่วนของคำจะนำมาราวมกัน หรือตัดออกไปเลย เช่น "พนมเปญ" จะกลายเป็น "อืม.เปญ" อีกลักษระหนึ่งของสำเนียงในพนมเปญ ปรากฎในคำที่มีสีนง r/ร เป็นพยัญชนะที่ 2 ในพยางค์แรก กล่าวคือ จะไม่ออกเสียง r/ร ออกเปสียงพยัญชนะตัวแรกแข็งขคึ้นและจะอ่านให้มีระดับเสียงตก เช่นเดียวกับวรรณยุกต์เสียงโท ตัวอย่างเช่น "trej" "เตรย"แปลว่า "ปลา"  อ่านเป็น "เถ็ย" โดย d จะกลายเป็น t  และมีสระคล้ายเสียง "เอ" และเสียง สระจะสูงขึ้นป อีกตัวอย่งหนึ่งคือ คำว่า "ส้ม"ออกเสียงว่า kroic โกรจ ในชนบท ส่วนในเืองออเสียงเป็น koic โขจ
        ภาษาเขมรเขียนด้วย อังกรเชขมร และเลขเขมร (มีลักษระเหมือนเลขไทย) ใช้กันทั่วไป
มากกว่าเลขอารบิก ชาวเขมรได้รับตัวอักษรและตัวเลขจากอินเดียฝ่ายใต้ อักษรเขมรนั้นมีด้วยกัน 2 แบบ
         - อักษรเชรียง (อักซอเจรียง) หรืออักษรเอน หรืออักษรเฉียง เป็นตัวอักษรที่นิยมใช้ทั่วไป เดิมนั้นนิยมเขียนเป็นเส้นเอียง แต่ภายหลังเมื่อมีระบบการพิมพ์ ได้ประดิษญ์อักษรแบบเส้นตรงขึ้น แลมีช่ออีกอย่างว่า อักษรยืน(อักซอโฌ) อักษรเอนนี้เป็นตัวยาว มีเหลี่ยม เขียนง่าย ถือได้ว่าเป็นอักษรแบบหวัด
        - อักษรมูล หรืออักษรกลม เป็นอักษรที่ใช้เขยนบรรจง ตัวกว้างกว่าอักษรเชรียง นิยมใช้เขียนหลังสือธรรม เช่น คัมภีร์ในพระพุทธศาสนา หรือการเขียนหัวข้อ ที่้องการความโดดเด่น หรือการจารึกในที่สาธารณะ
        - เขียนภาษาเขมรด้วยอักษรโรมัน ในสมัยก่อน มีผุ้นิยมใช้เอักษรเขมรเขียนภาษาไทย หรือภาษาบาลี ด้วย เรียกอักษรอย่างนี้ว่า อักษรขอมไทย
       ภาษากาสี เป็นภาษากลุ่มออสโตรอเอเชียติกใช้พูดในรัฐเมฆาลัย ประเทศอินเดีย อยุ่ในสาขามอญ เขมร และใกล้เคียงกบภาาากลุ่มมุนดา ที่เป็นภาษาตระกูลออสโตรติกที่มีผุ้พูดในอินเดียกลาง ในรัฐเมฆาลัย กว่าแปดแสนคน  มีผุ้พูดบางส่วนในหุบเขาตามแนวชายแดนด้านรัฐอสสัมและในบังกลาเทศตามแนวชายแดนอินเดีย ภาษากาสีมีเรื่องเล่าพื้นบ้านมากมักเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับที่มาของชื่อต่างๆ ของภูเขาแม่น้ำ สัตว์และอื่นๆ th.wikipedia.org/wiki/กลุ่มภาษามอญ-เขมร
     นักภาษาศาสตร์จัดโครงสร้าภษามอญให้อยุ่ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก กลุ่มภาษามอญ-เขมร พูดโดยชาวมอญ ที่อาศัยอยู่ในพม่า และไทย ภาษาตระกูลมอญ-เขมรมีการใช้มานานประมาณ 3,000-4,000 ปีมาแล้ว มีผุ้ใช้ภาษานี้อยุ่ประมาณ ห้าล้านคน
     การจัดตระกุลภาษา ถือว่าอยุ่ในตระกุลภาษาออสโตรเอเชียติก ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้อยุ่ในแถบอินโดจีนและทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย และเมื่อพิจารณาลักษระทางไวยากรณ์ ภาษามอย จัดอยุ่ในประเภทภาษารูปคำติดต่อ อยุ่ในกลุ่มภาษาตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีนักภาษาศาสตร์ ชือ วิลเฮล์ม ชิดท์ ได้จัดให้อยู่ในตระกูลภาษาสายใต้
     
พระยาอนุมานราชธน ได้กล่าวถึงภาษามอญไว้ว่า "ภาษามอญ นั้นมีลักษณะเป็นภาษาโดด ซึ่งมีรุปภาษาคำติดต่อปน ลักษระคำมอญ ะมัลักษระเป็นคำพยางค์เดียว หรือสองพยางค์ส่วนคำหลายพยางค์ เป็นคำที่ได้รับอิทธิพลจากภาษาต่างประเทศ ชิ่น ภาษาบาลีและสันสกฤต อาจกล่าวได้ว่ ภาษามอญ เป็นภาษาที่มีดครงสร้างไม่ซับซ้อน ไม่มีการผันคำนาม คำกริยา ตามกฎบังคับทางไวยากรณ์ ประโยคประกอบด้วยคำที่นทำหน้าประธาน หริยา และกรรรมส่วนขยายอยุ่หลังคำที่ถุกขยาย
     อักษรมอญ พัฒนามาจากอักษาพราหมี ผ่านทางอักษรรปัลลวะ และเป็นแม่แบบของอักษรอื่น เช่น อักษรพม่า อักษรไทย อักษรลาว อักษรล้านนา อักษรไทลื้อ อักษรธรรมที่ใช้เขียนคัมภีร์ในล้านนาและล้านช้างได้ปรดเข้าใจด้วยว่า อักษารพม่า ไม่สามารถใช้แทน อักษรมอบได้ แต่อักษรมอญนัเน สามารใช้แทน อักษรพม่าได้
     อักษรมอญโบาณพัฒนามาจากอักษรยุคหลังปลลวะ พบจารึกอักษรนีั้ในเขตหริภญชัย เช่นที่ เวียงมโน เวียงเถาะ รูปแบบของอักษรมอญต่างจากอักษรขอมที่พัฒนจากอักษรในอินเดียใต้รุ่นเดียวกันคือ อักษรมอญตัดบ่าอักษรออกไป ทำให้รูปอักษรค่อนข้าองกลาม ส่วนอักษรขอมเปลี่ยนบ่าาอักษรเป็นศกเหรือหมามเตยculture.mcru.ac.th/ebooks/research/research03.pdf

วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Austro-Asiatic languages II

           มอญ เป็นชนชาติที่มีความรุ่งเรืองมากที่สุดชาติหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อารยธรรมและภาษาเป็นของตนเองมาแต่โบราณ อาณาจักรมอญตั้งบริเวณฝั่งตะวันออกของแม่น้ำอิระวดี ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตพม่าตอนล่าง ในช่วงเวลา 700 ปีของอาณาจักรมอญมักจะมีแต่ความไม่สงบเกิดขึ้นอยุ่ตลอดเวลาเป็นเหตุให้อาณาจักรมอญต้องล่มสลายลง ครมอญบางส่วนได้อพยพหนีมาสู่ประเทศไทย โดยมักจะตั้งหลักแหล่งบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลอง ซึ่งเป็นที่อุดมสมบูรณืโดยมอญลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่อำเภอปากเกร็ด จ.นนทบุรี อ.สมโคก จ.ปทุมธานี อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการมอญลุ่มน้ำแม่กลองตั้งถิ่นฐานอยุ่ในเขตอำเภอบ้านโป่งและอำเภอโพธารามทั้งสองั่ง นอกจากนี้ยังอาจพบมอญซึ่งกระจัดกระจายอยุ่ในจังหวัดต่างๆ เช่น จังหวัดลพบุรี เพชรบุรี ครปฐม สมุทรสงคราม อยุธยา สพรรณบุรี ฉะเชิงเทรา และปราจีนบุรี ทุกวันนี้มีชาวมอญที่อาหสัยอยุ่ในประเทศไทยประมาณ 70,000 คน
           คนมอญส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม เมื่อชุมชนไ้รับการพัฒนา มชีวิตที่สะดวกสบายวันนี้เปลี่ยนแปลงไป มีผลกระทบมากที่สุดจนประเมินได้ว่าอยุ่ในขั้นวิกฤตคือ ภาษา เพราะเด็และเยาวชนมอญแทบทุกครัวเรือนไม่มีความสามารถในการสื่อสารกันด้วยภาษามอญ มอญรุ่นใหม่ ไม่เห็นความสำคัญของอัตลักษณ์ตนเอง ในชุมชนก็สื่อสารกันด้วยภาษามอญน้อยลง
           - มลาบุรี หรือผีตองเหลือง ผีตองเหือง เป็นชื่อของชนเผ่าหนึ่งที่มีลักษระเป็นคนป่า มักร่อนเร่อยุ่ตามป่าลึก คำว่าผีตองเหลือง เป็น ชื่อที่คนกลุ่มอื่นเรียกชนเผ่านี้โดยเรียกตามวัสดุที่ใช้มุงหลังคา คือ
ใบตอง เมื่อใบไม้ใบตองที่มุงหลังคาหรือทำเป็นซุ้ม เปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้วคนเหล่านี้ก็จะย้ายไปอยุ่ที่อื่นต่อไป ชาวออสเตรียสำรวจพบ ผีตองเหลือง เมื่อ พ.ศ.2479  ในดงทึบเขต จ.น่าน คนหลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า "ยำบรี" สันนิษฐานว่าเป็นพวกกับ ผีตองเหลือง ที่คณะสำรวจของสยามสมาคมซึ่งมี นายไกรศรี นิมมานเหมินท์ เป็นหัวหน้าค้นพบเมื่องวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2505 ครั้งนั้นนาย ไกรศรี นิมมานเหมินท์ ว่าชนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า "มระบรี" ทำเพิงอาศัยอยู่ที่ริมห้วยน้ำท่า ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดน่าน ก่อนนี้ มีรายงานว่าชาวแม้วและชาวมูเซอที่ดอยเวยงผา อ. พร้าว จ.เชียงใหม่ ได้พบ ผีตองเหลือ ในเขตของตนแลเว่าพวกนี้พุดภาษาว้ากับเรียกตนเองว่า "โพล" การที่เรียกตัวเองว่ "มระบรี มราบรี" เพราะคำนี้แปลว่าคนป่า "มรา" แปลว่า คน "บรี" แปลว่า ป่า
            กล่าวกนว่าผีตองเหลือเป็นชนหนึ่งที่มีถ่ินฐานเดิมอยุ่ในเขตจังหวัดไชยะบุรี ประเทศลาว ปัจจุบันอาศัยอยุ่ตามภาคเหนือของประเทศไทย รูปร่างเล็กแต่แข็งแรง บ้างว่าเหมือนคนทางภาคเหนือของประเทศไทยแต่ผิวคล้ำกว่า เครื่องนุ่งห่มมีแต่ผ้าเดี่ยวผืนเดียวผืนเดียวและผ้านุ่งนี้จะใช้ก็ต่อเมื่อจำเป็น ต้องเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อเอาของป่ามาแลกกับข้าวสาร เหลือและของใข้ที่จำเป็น เช่น มีดหรือหอกเเท่านั เพราะโดยปกติหากอยู่ในกลุ่มพวกพ้องพวกเขาจะเปลือยกาย
            นอกจากนี้ ผีตองเหลือง คล้าย กับเพิงหมาแหงนแต่ภายในไม่มีการยกพื้นและปลูกแครคร่อมดิน เหมือนพลิงหมาแหงนโดยทั่วไป ท้ายเพิงมักจะสูงกว่าหน้าเพิงพัก ใช่พื้นดินเป็นพื้นเพิงและนำหญ้าผางแห้งหรือใบตองมาปูบนพื้น เวลานอนจะไม่หนุนหมอนแต่ตะแคงหูแนบพื้น เพื่อให้สามารถได้ยินฝีเท้าคนเหรือสัตว์ที่เข้ามาใกช้เพิงพักได้ พวกผู้หญิงและเด็กจึงจะกลับไปกาลูกเมียครั้งหนึ่ง
         
- ละว้า เป้นชื่อที่คนทั่วไปใช้เรียกกลุ่มชาติพันธ์ที่เรียกตนเองว่า "ละเวือะ" และชาวล้านนาถือว่า ไลวะ และ ละว้า เป็นชนกลุ่มเดียวกัน ประกอบกับการที่ชาวละว้าอ้างถึงประวัติความเป้นมาของตน โดยใช้ ตำนานสุวัฒฒะคำแดง และพิธีกรรมในล้าานนาเป็นเครื่องสนับสนุนนั้นในเอกสารหรือที่ปรากฎในพิธีกรรมก็กล่าวว่า "ลวะ" ซึ่งนักวิชาการยุคหลัง มักเรรยกเป็น "ลัวะ"แต่เนื่องจากมีผุ้ศึกษาเรื่อง ละว้าไว้อย่างดีมีระบบ ในที่นี้จึงใตี่จะเสนอเรื่อง ละว้า ไว้เพ่ิมเติมจากเรื่อง ลวะ และเมื่อพิจารณาทางด้านภาษาแล้ว พวกละเวือะจัดอยูในกบุ่มภาษามอญ-เขมร สาขาย่อยปะหล่อง-ว้า ได้พบว่ามีผู้พูดภาษาละว้านี้อยุ่ในสองจังกวัด คือเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน
              ปัจจุบันพบว่าชาวละว้า ตั้งถิ่นฐานอยุ่หนาแน่นในบริเวณหุบเขาแนวตะเข็บของจังหวัดเชียงใหม่และ แม่ฮ่องสอน และบางส่วนในเคลื่อยย้ายมาอยู่ในบริเวณที่ราบมากขึ้น ชาวว้าใช้ภาษาในตระกูลออสโตรเอเชียติคสายมอญ-เขมร โดยอยู่ในสาขาย่อยปะหล่อง-ว้า เป็นภาษาไม่มรระบเสียงวรรณยุกต์ มีหน่วยเสียงสระ 25 หน่วยเสียง ประกอบด้วยสระเดี่ยว 10 หน่วยเสียงและสระประสม 15 หน่วยเสียง และพบว่าชาวละว้ามีความเจริญทางภาษามากสามารถสร้างวรรณคดีเป็นมรดกทาง วัฒนธรรมได้ มีวรรณกรรมมุขปาฐะของตนเรียกว่า "ละซอมแล" ซึ่งสามารถแยกย่อยได้ถึง 7 ประเภทด้วยกัน
             การแต่งกายของชาวละว้า สามารถจำแนกออกเป็นสองแบบ คือ การแต่างกายในชีวิตประจำวันและการแต่างกายใรพิธีกรรมในชีวิตประจำวันนั้น หญิงละว้าจะสวนเสื้อขาวแขนสั้นกุ๊นด้วยด้านสี สีพื้นของผ้านุ่งเป็นสีดำมีลายคั่นเป็นแถบในแนวนอน ลายนี้ได้จากการมัดลายขนาดต่างๆ ที่เชิงผ้าด้านล่างเป็นแถบใหญ่ซึ่งมักเป็นสีแดงหรือสีชมพูเหลือด้วยสี เหลือง ลายมัดนันเป็นสีน้ำเงินแชมขาว มี "ปอเต๊ะ" (ผ้าพันแขน) และ "ปอซวง" (ผ้าพันแข้ง) หญิงละว้าไว้ผมยาวทำเป็นมวยประดับด้วยปิ่นหรือขนเม่นและปล่อยปลายยาว ส่วยหญิงสูงอาญุนิยมมวยผมต่ำแต่ไม่ทิ้งปลายแบบหญิงสาว หญิงละว้านียมสร้อยเงินเม็ดและลูกปัดสีแดง สส้ม สีเหลืองหลายเส้นเป็น เครือ่งประดับ มีต่างหุ โดยเฉพาะนิมต่างหูไหมพรมสีเหลืองแดงหรือส้มยาวจนถึงไหล่ หญิงส่นใหญ่ "สกุลอง" คือกำไลฝ้ายเคลือบด้วยยางรักจำนวนหมายวง นอกจากนี้ยังมีกำไลแชนแลกำไลข้อมือทำด้วยเงินอีกด้วยเ เครื่องใช้ประจำของหญิงละว้าอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไปคือกล้องยาเส้นและยังนิยมสะพายย่อมเวลาเดิมทางอีกด้วย ส่วนชายละว้านิยมส่วมเสื้อยือ เสื้อเิช้ต กางเกงขายาวแบบคนพื้นราบทั่วไป แต่ส่วนใหญ่สะพายย่ามเป็นประจำ
            ชาวละว้ามัตั้งถ่ินฐาน อยุ่ในบรเวิณหุบเขาที่สูงกว่าระดับน้ำะเลประมาณ 1,000 ฟุต มีที่นาและไร่ล้อมรอบในหมุ่บ้านอาจมีวัดหรือดบสถ์คริสเตียนหรือครอสตัง มี "เญียะยู" หรือหอผี ซึงบางหมุ่บย้านอาจมีสองหลังหรือมากกว่า แล้วแต่จำนวนตระกูลของคนในหมุ่บ้านนั้ บ้านแบบด้้งเดิมของชาวละว้าเป็นเรือนไม้ยกพื้นสุง มุงด้วยหญ้าคาคลุ่มเกือบถึงพื้นดิน ปูด้วยฝาไม้ไผ่ ใต้ถุนบ้านใช้เป็นคอกสัตว์และที่เก็บฟืน ด้านข้างเป็นที่ตั้งของครกกระเดือ่ง การปลูกบ้านจะไม่ให้แนวหลังคาบ้านขนานไปกับการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ หน้าจั่วประดับด้วยกาแลทั้งสองด้านภายในย้าน มีห้องเดียว มีเตาไฟอยุ่ภายในห้อง มประตูปิดแน่นหนา แต่มประตูมีช่องไว้ให้ชายหนุ่มที่สนใจจะเข้าไปคุยกับสาวในเรือนได้ง่าย จึงนับว่าห้องในเรือนนี้เป็นห้องสารพัดประโยชน์ ครอบครัวที่ถือผีจะมีเครืองบูชาผีอตั้งอยุ่ที่มุมห้องทั้งหัวนอนและปลายเท้าสมาชิกในเรือนจะนอนในห้องเดียวกันทั้งหมด แต่หากบุตชายแต่งงานแล้วก็จะแบ่งห้องตั้งแผงเตี้ยๆ ขึ้นมาและมีเตาไฟในบริเวณนั้น หากบุตรชายแต่งานอีกคนก็จะตั้งแตาำฟเพิ่มที่นอกชาน และมื่อลูกชายที่แต่งงานแล้วมีความพร้อม ก็สมารถปลูกเรือนอยูเองได้
              -โส้ หรือโซ หรือกระโซ่ เป็นคำที่เรียกชื่อชนกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยุ่ในภาคอีสาน ชาวดส้จะมัีลักษ
ระชาติพันธุ์ของมนุษย์ในกลุ่มมองโกลลอยด์ ตระกูลออสโตร-เอเซียติก มอญ-เขมรเป็นกลุ่มเดียวกับพวกแสก และกะเลิงจากันทึกกรมพระยาดำรงราชานุภาพเมื่อครั้งเสด็จตรวจรายชการที่มณฑลอุดรและมณพลอีสาน อธบายว่ากระโซ่ คือพวกข่าผิวคล้ำกว่าชาวเมืองอื่น มีภาษาพูดของตนเอง อาศัยอยุ่ในบรเวณมณฑลอุดร มีมากเป็นปึกแผ่นที่เมืองดุสุมาลย์มณฑลใน จ.สกลนคร นอกจากนี้พบว่ามีชาวโส้อาศัยกันเป็นกลุ่มๆ กระจายอยุ่ทั่วไป เช่น ทีอำเภอโพนสวรรค์ จ.นครพนม อ.เขาวง อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฒสินธุ์ อ.เมือง อ.ดน ตาล อ.คำชะอี อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ชาวโส้ เดิมมีถ่อนอาศัยอยุ่บริเวณภาคกลางของสาะารณรับประชาธิปไตยประชาชนลาว อาศียกระจัดกระจายในเขตการปกครองของเมืองภูวดลสอางค์ หรือเมืองภูวนากรแด้ง เมื่อสมัียขึนกับราชอาณาจักรไทย ชา ชาวโส้อาศยอยุ่ในเมือง พิณ เมืองนองเมืองวัง - อ่างคำ และมืองตะโปรน ชาวดส้ เป็นกลุ่มชนที่มีความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งที่เป็นสิ่งหนือธรรมชาิและความเชือความคติขอมท ชาวดส้ยังมีการรักษาขนบะรรมเนียมประเพณีจาบรรพบุรุษอย่งเหนียวแน่น เช่น พิธีกรรมเกี่ยวกับการคิด การแต่งงานการัีกษรคนป่วย พิธีกามเกี่ยวกับการตาย และพิะีกรรมเกี่ยวกับการละเล่น ได้แก่ การเล่นลายกลอง การเล่นโส้ทั่งบั้ง ชาวดส้จะนำเอาดนตรีเข้าไปบรรเลงเป็นสวนประกอบพิะีกรรม
           
- เยอ หรือเผ่าเผอ อพยพย้ายถ่ินฐานมาจาก ประเทศจีน ตอบบนซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่ายเายมาก่อนหรือหลังสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งคนเผ่าเยอ ย้ายมาถึงจังหวักศรีสะเกษ ตั้งด่ินฐานอยุ่ในอำเภอราษีโศล จ.ศรีสะเกษ
              ต่อมาเกิดโรคระบาดจึงได้แบ่งออกเป็นปหลาย 4 ย้ยถ่ินที่อยุ่ใหม่ กลุ่มแรก เดินทางไปตั้งถ่ินฐานอยุ่ที่เมืองปราสาทเยอ ซึ่งในปัจจุบัน คือบ้านปราสาทเยอ ต้งอยุ่ใน อ.ไพร่บึง จ.ศรีสะเกษ กลุ่มที่ 2 ได้ย้ายไปตั้งถ่ินฐานใน อ. ทุมพรพิสัย และอ.ห้วยทับทัน ส่วนกลุ่มี่ 3 และกลุ่มที่ 4 อาศัยอยุ่ในอ.เมืองศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ ในปัจจุบัน ชื่อหมู่ย้านว่า บ้านขมิ้น อยุ่ในต.อุทม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ และบ้านโพนค้อ ต.โพนค้อ อ.เมืองศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ มีภาษาที่มีเอกลัษณ์เแฑาะตัว ส่วนมากทุกๆ คำจะพูดกันเป็นเสียง สามัญ ในประโยคยอกเล่า แต่ในประโยคคำถาม พยางค์สุดท้ายจะเป็นเสียง ตรี หรือ จัตวา
            ในปัจจุบัน ภาษาเยอได้เปลี่ยนไตชปตามยุคสมัย และกลายเป็นภาษาเยอสมัยใหา เช่น จะมีบางคำที่เป็นภาษาไทยบ้างเช่น ฮัวใ(หัวใจป ภาษาอีสานบ้าง แลภาษาที่เรยกสิ่งของที่ไมีเคยมีมา สมัยโบราณ
            วัฒนธรรม ภารแต่งตัวของชาวเผ่าเผอ ในดั้งเดิม ผุ้ชายใส่เชิ้ตไม่มีคอปก สีกรม่่า กางเกงขายาวสีกรมท่า และมีผ้าขาวม้ามัดเอว ผุ้หญิง ใส่เสสื้อสีดำเทา ใส่ผ้าไหม สีดำ และสีกรมท่าหรือสีอื่นๆ และมีผ้าไหมพาดผ่านไหล่ซ้ายลงไปบรรจบกัน บริวเณ เอวด้านขวา คนเผ่าเผอแม้ทุกคนจะมีผิวเหลืองขาวเหมือนจีน
            คนเผ่าเอยชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ เห็นได้จากการปลูกบ้านเป็นกลุ่ม ลักษระของบ้านจะเป็นบ้านสองขั้น ใต้ถุ่นโล่งเพื่อใช้เลี้ยงควาย หรือวัว หลังคาจะทำจากฟางข้าว ผนังหรือกั้นหอ้งอจะเป็นไม่ไผ่สาน ซึ่งในปัจจุบันไม่มีให้เห็นแล้ว ส่วนเสาและพื้นบ้าน จะเป็นไม้เนื้องแข็งทั่วไป
             - บรู เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาาากลุ่มตระกุลมอญ-เขมร อพยพมาจากประเทสลาวเนื่องจากถูกกดขี่แล้วทำงานหนัก อีกทั้งยังต้องเสียภาษีให้แก่ฝรั่งเศสจึงอพยพข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ที่ฝั่งไทยริมแ่น้ำโขงที่ย้านเวินบึก ย้านท่าล้ง และย้านหลองครก อ.โขงเจียม จ.อบลราชะานี
               บ้านเวินบึก ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวบรุ ส่นใหญ่มีอาชพจักสานเครื่องใช้นครัวเรือนเช่น การสานหวด การจักตอก สานเสื่อเตย ทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ ชาวบรูนิยมล่าหมุป่า อีเห็นนกตะกวด บ่าง กระต่าย งู และอื่นๆ เพื่อเป็นอาหาร
              แต่ด้วยปัจจัยทางด้านเศราฐกิจทีุ่กคนต่างต้องอิ้นรนเพื่อความอยุ่รอดของปากท้องชาวบรูบ้านเวินบึกที่อยุ่ในวัยแรงงานก็อพยพไปทำงานต่างถ่ิน เมื่อไปอยู่ที่อื่นก็ต้องใช้ภาษาไทยกลางในการสื่อสารและเกิดความอายที่จะพูดภาษบรู จึงทำให้มีการพุดภาษาบรุลอน้อยลงแลยังมีการแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์เด็กที่เกิดมาเป็นลุกผสม คือ ผสมระหว่างคนบรูกับคนลาวบ้างคนบรูกับคนไทยย้าง พื่อแม่ไม่ได้พาลูกพูดภาษาบรู เด็กจึงพูดภาษาบรูไม่ได้
                - ชาวซำเร เป็นกลุ่มชนเดียวกับกลุ่มมอญ-เขมร ชนกลุ่มนี้จะอาศัยอยุ่ในป่าทางภาคตะวันออก พบในเขต อ.บ่อไปร จ.ตราด ปัจจุบันมีคนพูดภาษาดั้งเดิมของตนได้ไม่มาก นอกจากนี้ ยงพาวซำเรในจ.ฉะเชิงเทรา แต่ในปัจจุบันพูดภาาาดั้งเดิมไม่ได้แล้วและเชื่อกันว่า คำว่าสำเหร่ ก็น่าจะมาจากชนกลุ่มนี้ ซึ่งถุกกวาดต้อนมาจากกัมพูชาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์
           
 - กะวอง เป็นชื่อกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งที่ตั้งถ่ินฐานอยุ่มากที่ บ้านคลองแสง ม.3 ต. ด่านชุมพล อ.บ่อไร่ จ.ตราด โดยเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 70 ของคนในปมุ่บ้า ชาวกะซองส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกาตรกรรม บางส่วนยังใช้ชีวิตผูกพันอยู่กับป่า เช่น เก็บหารของป่า ได้แก่ ผลไม้ป่า ผักป่า เห็น สุนไพร มากินหรือขายเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
               ชาวกระซองมีวัฒนธรรมและภาษาพุดเป็นของตนเอง แต่ทว่าสถานการณืทางภาษาของชาวกะซองนั้นอยุ่ในภาวะวิกฤตขั้นสุดท้าย มีการใช้ภาษากะซองอยุ่น้อยมาก จำนวนคนพุดได้อยู่ในหลักสิบเท่านันและผู้ที่พูดได้นั้นล้วนอยู่ในวัยอาวุโส อายุมากว่า 60 ปีขึ้นไป ด้วยปรากฎการณ์เช่นนี้จึงทำให้คาดเดาถึงแนวโน้มต่อไปในอนาคตของภาษากะซองได้ว่าความวิกฤตของภาษาอาจทวีความรุนแรงมากขึ้น แลอาจสูญหายไปได้หากไม่มีการสืบทอดอย่างจริงจังดดยสาเหตุหลักที่ทำให้ภาษากระซองขาดการสืบทอดก็เนื่องมาจากการับอิทธิพลด้านการสื่อสารจากสื่อระแสหลักได้แก่ ภาษาที่รอบข้าง สื่อจากวิทยุ
โทรทัศน์ ดดยมิได้ทันระวังว่าภาษาของพรรพชนจะถูกกลนกลายไปกับกระแสเหล่านั้น อีกทั้งภาษากะซองมีแต่ภาษาพุด ไม่มีตัวหนังสือ ทำให้ไม่มีเครื่องมือทีจะบันทึกและถ่ายทอด ไม่รู้วิธีถ่ายทอดภาษาที่ถูกต้อง...(http://thailandethnic.m-society.go.th/..กลุ่มชาติพันธุ์ในภาาอาสดตรเอเชียติก)

 
           

วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Austro-Asiatic languages

            ภาษากลุ่มออสโตร-เอเชียติก เป็นภาษากลุ่มใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบางส่วนในอินเดีย และบังกลาเทศ ภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติกมีกาแพร่กระจายตั้แต่อินเดีย บังคลาเทศ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แยกจากกันด้วยบริเวณที่มีผู้พุโภาษาตระกูลอื่นอยู่ จึงเชื่อกันว่าภาษาตระกุลนี้เปนภาษาดั้งเดิมในเอเชียตะวันออกเแียงใต้และอินเดียตะวันออก ส่วนภาษากลุ่มอื่นในบรเวณนี้ได้แก่กระกูลอินโด-ยูโรเปียน ไท-กะได ดราวิเดียนและ จีน-ทิเบตเป็นผลจากการอพยพเข้ามา มีตัวอย่างคำในภาษาตระกูลออกสโตรเอเชียติกอยุ่ในตะกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่าในเนปสล ตะวันออก นักภาษาศาสตร์บางคนเชื่อว่า ภาษานี้เพี่ยวข้องกับตระกูลภาษาออสโตรนีเซียนและจัดเป็นตระกูลใหญ่ออสตริก
           
 นักภาษาศสตร์โดยทั่วไปจัดภาษานี้เป็นสองกลุ่มหญ่คือภาษากลุ่มมุนดาที่พบในอินเดียตะวันออกและอินเดียกลางบางส่วนของบังกลาเทศและภาษากลุ่มมอญ-เขร ที่พบในเอเชียตตะวันออกเแียงใต้ อินเดียตะวันออกเฉียงเหนือและหมู่เกาะนิดโคบาร์จากภาษาในตระกุลน้ทั้งหมด 168 ภาษาอยู่ในกลุ่มมอญ-เขมร 147 ภาษาและอยู่ในกลุ่มมุนดา 21 ภาษาการแบ่งย่อยลงไปอีกมีความแตกต่างดังนี้
             - มุนดา มุนดาเหนือ( กอร์กู, เคอร์วาเรียน), มุนดาใต้ (คาเรีย-จวา, โกราปุต มุนดา)
             - มอญ-เขมร ภาษาเขมร, เปียริก, ภาษาในกลุ่มบะห์นาริก, ภาษากลุ่มกะตู, ภาษากลุ่มเวียตติก(รวมภาษาเวียดนาม)
             - มอญ-เขมรเหนือ ภาษากาสี(รัฐเมฆาลัย, อินเดีย), ประหม่อง, ขมุ,
             - มอญ-เขมรใต้ ภาษามอญ, อัสเลียน, นิโคบาร์  และยังมีการแบ่งดดยใช้ข้อมูลจากการใช้คำศัพท์ร่วมกัน...
             กลุ่มชติพันธุ์ในภาษาออสโตรเอเชียติก ประกอบด้วย
             - ส่วย ปลายพุทธศตวรรษที่ 19 ชาวกุยในแค้วนอัสสัมถูกรุกรานโดยชนเผ่าอนารยะจนบางส่วน
ต้องละทิ้งถ่ินฐานอพยพข้ามลงมาตามลำน้ำโขง เคยเป็นอาณาจักรหนึ่ง ถิ่นฐานเดิมอยู่างตอนเหนือของเมืองกัมปงธม ประเทศกัมพูชา ในราวพุทธศตวรรษที่ 20 เคยส่งทูตมาต้าขายกับอยุธยา เคยช่วยกษัตริ์เขมรปราบกบฎต่อมาเขมรได้ใช้อำนาจทางการทหารปราบชาวกูยและผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งกับเขมร ด้วยความชอบความอิสระและชอบกาผจญภัย ได้อพยพขึ้นเหนือ เข้าสู่เมืองอัตตะบือแสนปแ แค้วนจำปาศักดิ์ และสารวัน ทางตอนใต้ของลาว แต่ก็ถูกเจ้าเมืองศรีสัตนาคนหุต (เมืองเวียงจันทน์) ประาบปรามและขับไล่จึงพากันอพยพตามแม่น้ำโขงมาตั้งรกรากอยู่แถบอิสานทางด้านแก่งสะพือ อำเภอโขงเจียม ได้แยกย้ายตั้งรกรากปลูกบ้านเรือนอยู่แถบนี้
           ชาวส่วยเรียกตัวเองว่า กูย, โกย หรือสวย แปลว่า "คน" ใช้ภาษา "กูย" เป็นเอกลักษณ์ในการสื่อสาร ชาวกุยนับถือศาสนาพุทธผสมและเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ เจ้สที่ ในชุมชนจะมีศาลผี,เจ้าที่ประจำหมู่บ้น ทุกหมู่บ้นเรียกวา่ "ผละโจ๊ะ" จะมีการบวงสรวงเจ้าที่เรียกว่า "แซนผละโจ๊"" (เซ่นผีหรือเจ้า)..การตั้งหลักแหล่งโดยส่วนมากจะพบ ตามลุ่มแม่น้ำโขงทุกๆ สายน้ำที่แตกสายน้ำออกไป เช่น อุบล ท่าตูม โพธิ์ศรีสุวรรณ เมืองจันทร์ ห้วยทับทัน ...
         
-ขมุ แปลว่า "คน" เป็นคำที่ชาวชมุใช้เรียกตนเอง คำว่าขมุ จึงเป็นทั้งชื่อของเผ่าและภาษาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึงเป็นแหล่งใหญ่ของชาวขมุมีคำที่เรียกว่าชาวขมุ อยู่ 2 คำคือ "ข่า" หมายถึง ข้า ทาส ผุ้รับใช้ เป็นคำที่คนลาวทัวไปใช้เรียกชาวขมุและชนกลุ่มน้อยที่พูดภาษากลุมมอญ-เขมร แต่เป็นคำที่ชาวขมุไม่ยอมรับ มีอกีคำหนึ่งซ่งเป็นคำที่ทางรัฐบาลลาวใช้เรียกชนกลุ่มน้อยเชื้อสายมอญ-เขมร คือคำว่า ลาวเทิง "ลาวบนที่สุง" ซึ่งเป็นคำที่รวกลุ่มชนต่างไ ให้เป็นประชาชนลาว ดดยใช้คำว่าลาวเทิง เพื่อแยกให้ต่างจากคนที่พูดภาษาลาวแลตระกูลไทยอืนไ ที่นิยมอยู่ใจเขตที่ราบลุ่ม ซึงเรียกว่า ลาวลุ่ม และชาวม้งซึ่งเรียกว่า ลาวสุง นดยบายรวมพวกนี้เกิดจากการที่รัฐลบาลลาวเห็นความสำคัญของชนกลุ่มน้อยในประเทศซึ่งมีเป็ฯจำนวนมากและเป็นกำลังสำคัญของชาติในด้านต่างๆ ด้วยเหตุนี้ชาวขมุในลาวรวมทั้งชาวขมุที่อพยพเข้ามาใเมืองไทย บางรั้งจึงเรียกตนเองวาเป็น ลาวเทิงและภาษาลาวเทิง
             ชาวขมุ ตั้งถ่ิกระจายอยุ่ในพื้นที่กว้างในริเวณตอนเหนือของอาเซียนตะวันออกเฉียงใต้ได้แก่ บริเวณทางเหนือของประเทไทย ทงเหนือของประเทศเวียดนาม ภาคเหนือของสาะารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และทางต้ของประเทศจีน  ชาวขมุแบ่งได้เป็นหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีลักษณะการใช้ภาษาและวัฒนธรรมความเป็นอยุ่ การปฏิบัติตน แตกต่างกันออกไปมากบ้งน้อยบ้างคำที่ใช้เรียกชาวขมุด้วยกันเองแต่ต่างกลุ่มกัน คือคำว่า ตม้อย และถ้าหากต้องการเจาะกลุ่ม ก็จะใช้ลักษณะเฉพาะของลุ่มนั้นๆ ต่อท้าย เช่น ตม้อยปูลว (ชาวขมุขากหมู่บ้านปูลวง), ตม้อยดอย(ชาวขมุจากเขตภูเขา)
             - ข่าพร้าว กล่มข่าพร้าวอพยพมาจากฝังซื้อยแม่น้ำโขง ในเขตจังหวัดดัตตะปือขอวลาว เข้ามาอยุ่ในเขตอำเภอชานุมานและเขมราฐ จ.อุบลราชธานี นอกจานี้ยังได้อพยพไปตั้งถ่ินฐานอยู่ในเขต จ.นครราชสีมาด้วย มักเรียกันว่า "ข่าตองออง"
            - ญัฮกุร หรือ เนียะกุล ชาวบนเรียกตนเองว่า "เนียะกุล" หรือ "ญัฮกุล" มีความหมายว่าคนภูเขา เป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ตามไหล่เขาหรือเนินเตี้ๆ แถบบริเวณด้านในของริมที่ราบสูงโคราช จ.นครราชสีมา จ.ชัยภุมิ และเพชรบุรณ์ ที่มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดชัยภุมิ อย่างน้อยสามชั่วอายุคนนอดีตมักมีการย้ายถิ่นที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว แม้ปัจจุบันจะตั้งหลักแหลงที่แน่นอนแต่การไปมาหาสู่เยี่ยม
เียนและการนับเครือญาติในหมุ่ชาวบน ในบริเวณสามจังหวัด ยังคงมีอยู่ปัจจุบันชวบนอาศัยอยุ่หนาแน่นที่สุดที่บ้านน้ำลาด หมุ่ที่ 4 ต.นายางกลัก อ.เทพสถิตย์ จ.ชัยภูมินอกจากนี้บังมีที่บ้านวังกำแพง ในอ.บ้ายเขว้า บ้านท่าโป่ง บ้านห้วยแย้ อ.หนองวัวละเหว บ้านสะพานหิน บานสะพานยง อ.เทพสถิตย์ ..อ.ปักธงชัย จ.นคราราชสีมาแงะบ้านห้วยไคร้ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์
              ลักษณะชาวบน มีผิวค่อนข้างดำตาโตกว่าคนไทย แต่ไม่ต่างจากคนไทยมากนักรูปร่างสูงปานกลาง ผุ้หญิงจะหน้าตาดี การดำรงชีวิตของชาวบน ตั้งบ้านเรือนอยู่กันเป็นกลุ่ มีบางพวกอพยพหนีเข้าไปอยู่ในป่าลึกหรือบนภูเขาสูงขึ้นไป ชาวบ้านใช้แสงไฟจากตะเกียงเป็นส่วนใหญ่ อาศยแหล่งน้ำตามะรรมชาติอยู่ในบริเวณหมู่บ้าน ฤดูแล้งจะใช้น้ำซับซึ่งมีตลอดปี ชาวบนมีอาชีพทำไร่ปลูกข้าตามไหล่เขา...
  - ชอง คนชอง เป็นคนดั้งเดิมกลุ่มหนึ่งของดินแดจภาคตะวันออกของประเทศไทย อาศัยอยู่ในจ.ฉะเชิงเทรา ระยอง จันทบุรี และตรด คนชองมีภาษาพุดที่เป็นเอกลักษณ์ คือ ภาษาชอง ซึ่งเป็นภาษาในตะรกูลออสโตรเอเชียติก กลุ่มมอญ-เขมร สาขาเปียริก ปัจจุบันพบภาษาชองพูดกันมากที่สุดในเขตกิ่งอำเภอคิชฌกูฎ จ.จันทบุรี ซึ่งแต่เดิมมีคนพูภาษาชองมาในอ.โป่งน้ำร้อน และอ.มะขาม จ.จันทบุรี..ชาวชองมีภาษาและวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ทว่าในปจจุบัน ภาษาและวัฒนธรรมชาวชองกำลังอยุ่ในภาวะวิกฤตเนื่องจากมีคนพุดภาษาชองเพียง 4-5 พันคนเท่านั้นรวมทั้งการขาดการสืบทอดจากคนรุ่นหลัง
             - ลัวะ เป็นกลุ่มชาติพันธ์หนึ่งที่อาศัียอยุ่ตามเชิงเขา ถูกจัดให้อบู่ในกลุ่มชาวไทยภูเขา ลัวะมีชื่อเรียกต่างๆ กัน เช่น ชาวม่านเรียกชนเผ่าถ่ินว่า ลัวะ ซึ่งเป็นคนละเผ่าพันธุ์กับลัวะในจ. เชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน นักมานุษยวิทยาได้จัดให้ชนเผ่าลัวะ อยุ่ในกลุ่่มภาษาออสโตรเอเชียติกสาขาย่อย มอญ-เขมร  ซึ่งอยุ่ในกลุ่มตระกูลภาษาเดรียกับชาวิ่ินชาวชมุ และมระบรี(ผีตองเหลือง)แต่ชาวลัวะเรียกตนเองว่า ละว้าหรือว้า ซึ่งเป็นชนชาติที่มีพื้นเพเดิมอยุ่ในแหลมอินโดจีน ดดยเฉพาะทงตอนกลางแหลมอินโดจีน โดยเแฑาะที่ละว้าปุระ คือ เมืองลพบุรีปัจจุบัน แล้วอพยพขึ้นไปทางเหนือโดยยึดลำน้ำปิงเป็น
แนวทางการเดินทาง พวกแรกๆ ได้อพยพขึ้น ไปตั้งถ่ินฐานอยุ่ตามฝั่งแม่น้ำคง(สาละวิน) ในรัฐไทยใหญ่  (รัฐฉาน)ของพม่า ส่วนพวกที่ตามมาที่หลังก็พากันตั้งถ่ินฐานกระจัด กระจายอยุ่ตามลุ่มแม่น้ำปิงในประเทศไทยเรียกพวา ว้าเชิ้ด ไทยเราเกรียกพวกนี้ว่า ลัวะ พวกลัวะส่วนใหญ่ตั้ง ภูมิลำเนา ที่บ้านเวียงหนองล่อง อ.ป่าซาง จ.ลำพูน บ้านแม่เหียะ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่..คนลัวะผิวคล้ำกว่าคนไทยทั่วไป ผุ้ชายสูงประมาณ 160 เซนติเมตร ผู้หญิงสุงประมาณ 150 เซนติเมตร ใบหน้ากว้างแบนริมฝีปากหนา เส้นผมสีดำเป็นคลื่นแนบหนังศรีษะ ชอบเจาะหูเพื่อใส่ลานหู ผุ้ชายตัดมสั้น ผู้หญิงไว้ผมยาวเหล้ารวบเป็นมวยไว้ที่่ท้ายทอย ส่วนเด็กๆ โกรศรีษะหมด
              - ปะหล่อง เป็นชนกลุ่มน้อยพวกหนึ่ง นับเป็นหนึ่งใน 56 กลุ่มชาติพันธ์ในประเทศจีนนอกจานี้ยังีชาวปะหล่องอาศัยอยุ่ในประเทศพม่า และมีบางส่วนที่อพยพเข้ามาประเทศไทยบริเวณชายแดน ใกล้คอยอ่างชาง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ชาวปะหล่องพูดภาาาตระกุลมอญ-เขมรเรียกว่า ภาษาปะหล่อง
             
ในปี ค.ศ. 1949 ชาวปะหล่องในประเทศจีน มีชื่อเรียกว่า Benglong ครั้นในปี ค.ศ. 1985 มีชื่อเรียกใหม่ว่า เต๋อะ อ๋าง ตามคำเรียกร้องของสมาชิกในกลุ่มชิตพันธ์ุ บ้านเรื่อนส่วนหใญ่ของชาวปะหล่องทำจากไม่ไผ่ แต่โครงเป็นไม้จริง ประตูหันหนาไปทางทิศตะวันออก แต่ละครอบครัวมีบ้านของตนเอง มักเป็นบ้านสองชั้น ผุ้หญิงปะหล่องแต่งกายแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นปกติจะมีเสื้อกั๊กสีดำ หรือขาวทับด้านนอก ตกแต่งด้วยแถบกำมะหยี่หลากสี และนิยมนุ่งผ้าถุง ผู้ชายปะหล่องสวมเสื้อกั๊กสีชขาวหรือกรมท่า กางเกงขายาว ขาบานๆ นอกจากนี้ยังโพกศรีษะด้วยผ้าขาวหรือดำ ในบางท้องถิ่น ชาวปะหล่องยังนิยมสักบนร่างกายเป็นรูปเสือ นก หรือ ดอกไม้...(to be contineus)

วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560

The Languages

             ภาษาสวนใหญ่สามารถจะจำแนกให้อยู่ในตระกูลของภาษา ซึ่งจะเรียกว่า "กลุ่มภาษา" กลุ่ม
ภาษาที่มีการจักกลุ่มอย่างชัดเจน จะเป็นหน่วยทางวิวัฒนาการ กล่าวคือ ทุกสมาชิกจะสืบทอดมาจากบรรพบุรุษเดี่ยวกันส่วนใหญ่แล้ว ภาษาบรรพบุรุษมักจะไม่เป็นที่รู้จักโดยตรง เนื่องจากภาษาส่วนใหญ่จะมีระวัติของการเชียนสั้นมาก อย่างไรก็ดี เป็นไปได้ที่จะค้นพบคุณสมบัติต่างๆ ของภาษาบรรพบุรุษ โดยใช้วิธีการเปรียบเทียบ เป็นวิธีการสร้างใหม่ที่คิดโดย นักภาษาศาสตร์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 คือ เอากุสต์ ชไลเกอร์ ซึ่งสามารถแสดงถึงสถานภาพของกลุ่มภาษาของกลุ่มจำนวนมากที่จะได้กล่าวถึงต่อไป
            ตระกูลของภาษาสามารถแบ่งย่อยเป็นหน่วยที่เล็กลงไปอีก ซึ่งมักจะเรียกหน่วยย่อยว่า "สาขา" (เนื่องจากประวัติของกลุ่มภาษามักจะเขียนเปนแผนผังต้นไม้)
            บรรพบุรุาของกลุ่มภาษา (หรือสาขาของภาษา) เรียกวา "protolanguage" ได้เป็นภาษาที่รู้จักในสมัยประวัติศาสตร์ ด้วยเหตุนี้ ภาษาย่อยตามมณฑลชนบทต่างๆ ของภาษาละตินทำให้เกิดตระกูลภาษาโรมานซ์ปัจจุบัน ฉะนั้น ภาษาโปรโต-โรมานซ์จะค่อนข้างเหมือนกับภาษาละติน (ถ้าไม่ใช้ภาษาละตินที่นักเขียนคลาสสิกใช้เขียน) และภาษาย่อยของภาษานอร์สโบราณ เป็นบรรพบุรุษของภาษานอร์เวย์,ภาษสวีเดน, ภาษาเดนมาร์กและภาษาไอซ์แลนด์ ภาษาที่ไม่สามารถจัดได้อย่างแน่นอนลงไปในกลุ่มภาษาใดๆ เรียกว่า ภาษาโดดเดี่ยว language isolate
            กลุ่มภาษาในเอเชียตะวันออก, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแถบแปซิฟิก ประกอบด้วย
            ตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก เป็นภาษากลุ่มใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบางส่วนของอินเดียและบังคลาเทศ ชื่อนี้มาจากคำในภาษาละตินี่แปลว่า "ใต๋" และชื่อทวีปเอเชียในภาษากรีกดังนั้นชื่อของภาษาตระกูลนี้จึงหมาถึงเอเชียใต้ ใบรรดาภาษากลุ่มนี้ทั้งหมด ภาษาเวียดนาม ภาษาเขมร และภาษามอบ เป็นภาษาที่มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ยาวนาน และเฉพาะภาษาเวียดนาม กับภาษาเขมรเท่านั้นที่เป็ฯภาษาทางการภาษาที่เหลือมักเป็นภาษาที่พูดโดยชนกลุ่มน้อย
         
 ภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติกมีการแพร่กระจายตั้งแต่อินเดีย บังคลาเทศ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แยกจากกันด้วยบริเวณที่มีผุ้พูดภาษาตระกูลอื่นอยู่ จึงเชื่อกันว่าภาษาตระกูลนี้เป็นภาษาดั้งเิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียตะวันออก ส่วนภาษากลุ่มอื่นในบริเวณนี้ได้แก่ตระกูลอินโด-ยูโรเปียน ไท-กะได ดราวิเดียนและจีน-ทิเบต เป็นผลจากการอพยพเข้ามา มีตัวอย่างคำในภาษาตระำูลออสดตรเอเชียติกอยู่ในตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่าในเนปาลตะวันออก นักภาษาศาสตร์บางคนเชื้อว่า ภาษานี้
เกี่ยวข้องกับตระกูลภาษาออสโตรนีเซียนและจัดเป็นตระกูลใหญ่ออสตริก
            นักภาษาศาสตร์โดยทั่วไปจัดภาษานี้เป็นสองกลุ่มใหญ่คือ ภาษากลุ่มมุนดา ที่พบในอินเดียตะวันออกและอินเดียกลางกับบางสวนของบังกลาเทศและภาษากลุ่มมอญ-เขมร ที่พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดียตะวันออกเฉียงเหนือและหมู่เกาะนิโคบาร์ จากภาษาในตระกูลนี้ทั้งหมด 168 ภาษา อยู่ในกลุ่มมอญ-เขมร 147 ภาษาและอยู่ในกลุ่มมุนดา 21ภาษา
            ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน เป็นตระกูลภาษาที่มีผุ้พูดกระจายไปทั่วหมู่เกาะในเอเชียตะวันออกเแียงใต้และมหาสมุทรแปซิฟิก มีจำนวนน้อยบนผืนแผ่นดินของทวีปเอเชีย อยุ่ใระดับมาตรฐานเดียวกับตระกูลภาษาอินโด-ยุโรป และตระกูลภาษายูราลิก คือสามารถสืบหาภาษาดั้งเดิมของตระกุลได้
           คำว่าออสโตรนีเซียนมาจากภาษาละติน austro (ลมใต้) รวมกับภาษากรีก nesos (เกาะ) ตระกุลภาษานี้ได้ชื่อนี้ เพราะส่วนมากใช้พูดในบริเวณหมู่เกาะ มีเพียงไม่กี่ภาษา เช่น ภาษามลายู และภาษาจาม ที่ใช้พุดบนผืนแผ่นดิน สมาชิกของตระกูลนี้มีถึง 1,268 ภาษา หรือ ประมาณ 1 ใน 5 ของภาษที่รุจักกันทั่วโลก การแพร่กระจายจากแหล่งกำเนิดของภาษาถือว่ากว้างไกล เริ่มตั้งแต่เกาะมาดากัสการ์ ไปจนถึงเกาะทางตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก ภาษาราปานูอี ภาษามาลากาซี และภาษาฮาวาย เป็นภาษาที่ใช้พูดตามรอบนอกของขอบเขตที่มีการใช้ภาษาตระกูลนี้
          ภาษาตระกูลนี้มีสาขามากมาย ส่วนมากพบในไต้หวัน ภาษากลุ่มเกาะฟอร์โมซาในไต้หวันเป็ฯสาขาหลักของภาษาในตระกุลนี้ มีถึง 9 สาขา ภาษาที่ใช้พูดนอกเกาะฟอร์โมซ่าทั้งหมดอยุ่ในภาษากลุ่มมาลาโย-โพลีเนเซีย ซึ่งบางครั้งเรียกว่าภาษานอกเกาะฟอร์โมซา
           ภาษาในตระกูลนี้มีผู้พูดมากกว่า 4 ล้านคนได้แก่ ภาษาชวา ภาษามลายู ภาษาซุนดา ภาษาตากาล็อก ภาษาเซบัวโน ภาษามาลากาซี ภาษามาดูรา ภาษาอีโลกาโน ภาษาฮิลิกายนอน ภาษานิมังกาเบา ภาษาบาตัก ภาษาบิโกล ภาษาบันจาร์ ภาษาบาหลี
           ภาษาในกลุ่มนี้ที่เป็นภาษาราชการได้แก่ ภาษาอินโดนีเซีย ภาษาตากาล็อก ภาษามลายู ภาษามาลากาซี(มาดกัสการ์)  ภาษาเตตุม (ติมอร์-เลสเต), ภาษาฟิจิ (ฟิจิ), ภาษาซามัว (ซามัว), ภาษาตาฮี
ดี(เฟรนซ์โปลินีเซีย), ภาษาตองกา(ตองกา), ภาษากิลเบิร์ต (คิริบาส), ภาษามาวรี (นิวซีแลนด์), ภาษาชามอร์โร(กวมและหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา) ภาษามาร์แชลล์(หมู่เกาะมาร์แชลล์), ภาษานาอูฐ (นาอูฐ) ภาษาฮาวาย (รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา)
           ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต เป็นตระกูลของภาษาที่รวมภาษาจีนและตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่ามีสมาชิกทั้งสิ้น 250 ภาษา ส่วนใหญ่เป็นภาษาเอเชียตะวันออก มีจำนวนผุ้พูดเป็นอันดับสองของโลกรองจากภาษากลุ่ม อินโด-ยูโรเปียน ภาษาในตระกูลนี้มีลักษณะร่วมกันคือมีเสียงวรรณยุกต์
            สมมติฐานจีน-ทิเบต ที่จัดภาษาจีนเข้าเป็นกลุ่มย่อยของกระกูลภาายาย่อยทิเบต-พม่า เพราะมีความสัมพันธ์ระหวางภาษาจขนกับภาษาทิเบต เช่นลักษณะคู่ขนานระหว่างภาษาจนโบราณกับภาษาทิเบตสมัยใหม่ และมีรากศัพท์ที่คล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตามสมมติฐานนี้มี้อโต้แย้งคือความชัดเจนของรากศัพท์ที่คล้ายคลึงกันระหว่างภาษาจีนกับภาษากลุ่มทิเบตยังไม่ชัดเจนพอและจากการสร้างภาษาทิเบต-พม่าดั้งเดิมโดยใช้ข้อมุลจากวรรณคดีภาษาทิเบตและพม่า และข้อมุูลจากภาษาจิ่งโปและภาษาไมโซ พบว่าภาษาจีนมีลักษณะที่จะเป็นภาษาลุกหลานของภาษาทิเชต-พม่าดั้งเดิมน้อย สมมติฐานนี้จึงยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย
             ตระกูลภาษาไท-กะได หรือที่รู้จักกันในนาม กะได ขร้าไท หรือ ขร้า-ไท เป็นตระกูลภาษาของภาษาที่มีเสียงวรรณยุกต์ที่พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตอนใต้ของประเทศจีน ในช่วงแรก ตระกุลภาษาไทกะไดเคยถูกกำหนดให้เป็นอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ทิเบต แต่ปัจจะบันได้แยกมาเป็นอีกตระกูลภาษาหนึ่งและยังมีผุ้เห็นว่าตระกูลภาษาไทกะไดนี้มีความสัมพันธืกับตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน โดยอยู่ในกลุ่มภาษาที่เรียกว่า "ออสโตร-ไทย" หรือ จัดเป็นตระกูลภาษาใหญ่ออสตริก
           โรเจอร์ เลลนช์ ได้กล่าวว่า ถ้าข้อจำกัดของความเชื่อมต่อของตระกูลภาษาออสโตร-ไทยมีความสำคัญมาก แสดงว่าความสัมพันธ์ทัี้งสองตระกุลอาจไม่ใช่ภาษาที่เป็ฯพี่น้องกัน กลุ่มภาษากะได อาจเป็นสาขาของภษาตระกุลออสโตรนีเซียนที่อพยพจากฟิลิปปินส์ไปสู่เกาะไหหลำ แล้วแพร่สู่จีนแผ่นดินใหญ่ ในขณะที่สาขาไดของภาษากลุ่มกะไดมีการปรับโครงสร้างใหฒ่โดยได้รับอิทธพลจากกลุ่มภาษม้ง-เมี่ยนและภาษาจีน
              โลร็อง ซาการ์ ได้เสนอว่า ภาษาไท-กะได ดั้งเดิมได้เกิดขึ้นในยุคต้นของตระกูลภาษาออสโตรนีเซียนที่อาจจะอพยพกลับมาจากตะวันตกเฉียงเหนือของไต้หวัน ไปยังชายฟั่งตะวันออกเฉียงใต้ของจีน หรือจากจีนไปไต้หวันและเกิดการพัฒนาของภาษาตระกุลออสโตรนีเซียนบนเากะนี้ ความสัมพันตธ์ระหว่างภาษาตระกูลออกสดตรนีเซียนและไทกะไดอาจจะอธิบายได้จากคำศัท์ที่ใกล้เคียงกัน คำยืมในยุคก่อนประวัติศาสตร์และอื่นๆ ที่ยังไม่รู้ นอกจากนั้นภาษาตระกุลออสโตรนีเซียนอาจจะมีความสัมพันธ์กับระกูลภาษาจีน-ทิเบตซึ่งมีจุดเร่ิมต้นในบริเวณชายฝั่งของจีนภาคเหนือและภาคตะวันออก
            ความหมากหลายของตระกูลภาษาไท-กะไดในทงตอนใต้ของประเทศจีนบ่บอกถึงมีความสัมพันธ์กับถิ่นกำเนิดของภาษา ผุ้พูดภาษาสาขาไทอพยพจากตอนไต้ของจีนลงทางใต้เข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่ครั้งโบราณ เข้าสู่ดินแดนที่เป็นประเทศไทยและลาวบริเวณนี้เป็นบริเวณที่พบผุ้พูดภาษาในตระกุลภาาาออสโตเอเซียติก
            ชื่อ "ไท-กะได" มาจากการจัดแบ่งตระกุลภาษาออกเป็นสองสาขาคือ "ไท" และ "กะได" ซึ่งเลิกใช้แล้ว เนื่องจากกะไดจะเป็นกลุ่มภาษาที่เป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีกลุ่มภาษาไทรวมอยุ่ด้วยในบางบริบทคำว่ากะไดจึงใช้เรียกตระกูลภาษาไท-กะไดทั้งตระกูล แต่บางบริบทก็จำกัดการใช้คำน้ำให้แคบลง โดยหมายถึงกลุ่มภาษาขชร้าที่เป็นส่วนหนึ่งของกรุกูลภาษานี้
            ตระกูลภาษาม้ง-เมี่ยน เป็นตระกูลภาษเล็กๆที่ใช้กัทางตอนใต้ของประเทศจีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใช้พูกดันในแถบภูเขาสูงตอนใต้ของจีน เชนในมณฑล กุ้ยโจว หูหนาน ยูนนาน เสฉวน กวางสี และมณฑลหูเป่ย ที่เรียกกันว่า ชาวเขาในขณะที่ชาวจีนฮั่นตั้งถ่ินฐานอยู่ตามลุ่มแม่น้ำ เมื่อ 300-400 ปีที่ผ่านมา ชาวม้งและเมียนจำนวนมากได้อพยพเข้ามาตั้งถ่ินฐานในประเทศไทย ลาว เวียดนาม และพม่า และเนื่องจาสกสงครามอินโดจีน ชาวม้งบางส่วนได้ลี้ภัยจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศ
          กลุ่มภาษาปาปัว เป็นกลุ่มของภาษาที่ใช้พูด่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกที่มไ่ใช่ตระกุลภาษาออสโตรนีเซียนและกลุ่มภาษาออสเตรเลีย ซึ่งเป็นการจัดกลุ่มที่ไม่ได้เน้นถึงความสัมพัธ์ทางด้านพันธุกรรมหรือภาษาศาสตร์
           ลักษณะของภาษา ส่วนใหญ่ใช้พูดในบริเวณเกาะนิวกินี (ซึ่งถูกแบ่งเป็นประเทศปาปัวนิวกีนีและจังหวัดปาปัวกับจังหวัดอิเรียนจายาตะวันตกของอินโดนีเซีย) นอกจากนั้น ยังมีผุ้พูดในหมู่เกาะบิสมาร์ก เกาะบังเกนวิเล และหมู่เกาะโซโลมอน ทางตะวันออก และในอัลมาเฮรา เกาะติมอร์ และหมู่เกาะฮาลอร์ ทางตะวันตก ภาษาเมเรียม มิร มีผุ้พูพดตามแนวชายแดนของออสเตรเลีย ทางตะวันออกของช่องแคบทอร์เรส เป็นหลุ่มภาษาปาปัวเพียงภาษาเรียวที่ได้รับการยอมรับห้เป็นภาษาราชการในติมอร์-เลสเต
เกาะนิวกีนีี ถือว่าเป็นบริเวณที่มีความหลากหลายของภาษามากแห่งหนึ่งของโลก นอกจากกลุ่มภาาาออสดตนนีเซียนแล้ว ังมีภาษาเอกเทศอีกเกือบ 800 ภาษา ที่แบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ ได้เกือบ 60 กลุ่ม ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องที่ชัดเจนกับกลุ่มภาษาอื่น กลุ่มของภาาาที่ใหญ่ที่สุดนบริเวณนี้คือ กลุ่มภาษาทรานส์-นิวกีนี ที่ประกอบดวยกลุ่มภาษาปาปัส ซึ่งพบในบริเวณที่สูงของเกาะนิวกีนี การศึกษากลุ่มภาาาปาปัวทำได้ไม่เกินหนึ่งในสี่และต้องมีการความสัมพันธ์กับกลุ่มภาษานี้ต่อไป
           หลายภาษาใหมุ่เกาะฟลอเรส และเกาะใหลเคียงโดยเฉพาะเกาะซาวู เคยถูกจัดเป็นภาษาในตระกูลออสโตรนีเซียน แต่มีคำศัพท์พื้นฐานที่ไม่อยุ่ในตระกุลออสเตรนีเซียนจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นจุดเเริ่มต้นของการยืมคำระหว่างกัน..th.wikipedia.org.."ตระกูลภาษา

วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2560

LifeStyle ASEAN (Thailand)

          คนไทยคือกลุ่มชาติพันธ์ุซึ่งพูดภาษาไทยกฃลาง หรือมี เชื้อชาติไทยสยามผสมอยู่ ส่วนใหญ่อาหสัญอยุ่ในประเทศไทย และอาศัยอกระจายอยู่ในประเทศอื่นทั่วโลก โดยคนไทยส่วยใหญ่นับถือศาสนาพุทธ รองลงมาคือ ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์ ในความหมายทางชาติพันธ์ุ ใช้เฉพาะเจาะจงถึงคนไทยภาคกลาง หรือเดิมเรียกว่า ชาวสยาม แต่ในความหายมุมกว้าง สามารถหมายคึถงามครอบคลุมถึงกลุ่มชาติพันธ์ุไทย อื่นๆ ทั้งนอกและในราชอาณาจักร เช่น ไทยโคราช ไทยอีสาน ไทยโยเดีย หรือไทยเกาะกง เช่นกัน
             ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทยเป็นพุทธศาสนิกชน นิกายเถรวาท ซึ่งในปัจจุบันศาสนาพุทธในประเทศไทยได้ผสมผสานเข้ากับความเชื้อพื้นบ้าน อย่างเช่น การตั้งศาลพระภูมิเจาที่ กรถือฤกษ์ นอกจากนี้จำนวนประชากรชาวไทย-จีน ขนาดใหญ่ที่อพยพเข้ามาในประเทศก็นับถือทั้งศานนาพุทธและประเพณีตั้งเดิม วัดพุทธในประเทศเอกลักาณ์ที่เจดีย์สัทองสุง แลบะสถาปัตยกรรมพุทธในประเทศไทยคล้ายคลึงกับในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดดยเฉฑาะอย่างยิ่ง กัมพูชาและลาว ึ่งมีภุมิหลังทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ร่วมกัน อิสลามมีผุ้นับถือทางภาคใจ้ของประเทศคิดเป็นประชากรร้อยละ 30.4 ของประชากรที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ และคริสต์ศาสนาเป็นลำดับต่อมา..(th.wikipedia.org..ไทยสยาม,ศาสนาในประเทศไทย)
             เมืองไทยมีความอุดมสมบูรณืในด้านทรัพยากรธรรมชาติ เป็นอุ่ข้าวอู่น้ำ อีกทั้งคนไทยสมัยก่อนรู้จักนำพืชผักสมุนไพรที่หาได้ง่ายมาประงแต่งเป็นเมนูอาหารรับประทานภายในครอบครัว ส่งผลให้วิถีการใช้ชีวิตของคนไทยสอดคล้องกับวิถีความเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ซึ่งคนในสมัยก่อนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่ายเพราะรู้จักนำสมุนไพรในท้องถ่ิน ที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคและใช้บำรุงร่างกายมาปรุงอาหารอีกด้วย..(https://infothaifood.wordpress.com..วัฒนธรรมการรับประทานอาหารของคนไทย)
             อาหารไทยที่เป็นที่รุ้จักของคนต่างชาติ อาทิ ต้มยำกุ้ง เป็นอาหารที่ครบเครื่องมาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรุงหรือเครื่องเทศก็มรเต็มในเมนูนี้ยิ่งใส่เนื้อสัตว์ลงไปทานได้อร่อยมาขึ้น เป็นเมนูที่หาทานได้ง่ายมีรสชาติครบรส เปรียว หวาน เค็ม เผ็ด ได้อย่างลงตัว บางครั้งก็ทำเป็นน้ำข้น
            ผัดไทย เป็นอาหารที่ทานได้ง่ายมีเครื่องเทศมากมาย ย่ิงเป็นผัดไทยกุ้งสด เป็นอะไรที่เข้ากันเป็นอย่างมาก เป็นอาหารที่ไม่เผ็ดร้อยจนเกินไปจึงเป็นเมนูที่ชาวต่างชาติชอบทานเป็นอย่างมาก
         

 ส้มตำ เป็นอาหารยอดนิยมของคนไทยและยังดังไกลถึงต่างแตน ส้มตำจะมีหลากหลายชนิดมีทั้ง ตำไทย ตำปู ตำโคราช ตำถั่งว ตำแดง เป็นต้น
             ต้มข่าไก่ เป็นเมนูคล้ายกับต้มยำไก่และต้มยำกุ้ง โดยที่ต้มข่าไก่จะมีกะทิมาเกี่ยวข้องในส่วนของน้ำให้รสชาติที่อร่อยหอมหวาน มัน กลมกล่อมเป็นอย่างมาก
              แกงเขียวหวานไก่ เป็นอาหารที่นิยมในหมู่คนไทยและต่างชาติ เป็นเมนูที่หาทานได้ง่ายและตัวขอแกงเขียวหวานสามารถทานคุ่กับข้าวและขนมจีนได้เป็นอย่างดี ด้วยรสชาติของเครื่องเทศที่มีสวนผสมของน้ำกะทิจึงทำให้เมนูนี้มีรสชาติที่อร่อยลงตัว พร้อมกับความเผ็ดที่พอดี เพราะชาวต่างชาติส่วนใหญ่จะไม่ชอบทานเผ็ดมากนักจึงเป็นเมนู่ที่ตอบโจทก์..(http://www.ietr.org/10-อันดับ-อาหารไทยที่ชาวต่างชาติชื่นชอบ)
            ทางด้านการกีฬาของไทยนั้น กีฬาที่เป็นที่นิยมของคนไทยอาทิ ชกมวย แบตมินตัน ตะกร้อ วอลเลย์บอล ฟุตซอล ฟุตบอล เป็นต้น
           
 มวยไทย เป็นกีฬาประจำชาติของไทยและเป็นที่รุ้จักกันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ กีฬามวยไทย เป็นศิลปะการต่อสุ้ป้องกันตัวที่สามารถนำไปใช้ได้ทังในเชิงกีฬาและการต่อสุ้จริงๆ ศิลปะประเภทนี้มีมาตั้งแต่โบลราณกาลบรรพบุรุษของชาติไทยไได้ฝึกฝนอบรมสั่งสอนกุลบุตรไว้เพื่อป้องกันตัวและป้องกันชาติ ชายฉกรรจ์ของไทยได้รับกาฝึกฝนวิชามวยไทยแทบทุกคน นักรบจะไดัรับการฝึกฝนอบรมศิลปะประเภทนี้อย่างชัดเจน เพราะการใช้อาวุธรบในสมัยดบราณ เชน กระบี พลอง ดาบฯลฯ ถ้ามีความรุ้วิชามวย ประกอบด้วยแล้วจะทำให้เกิดประโยชน์ แต่เดิมศิลปะมวยไทยมีมีชั้นเชิงสุงมักจะฝึกสอนกันในบรรดาเจ้านายชั้นผุ้ใหญ่ หรือเฉพาะพระมหากษัตรยิ์และขุนนางฝ่ายทหารเท่านั้น ต่อมาจึงได้แพร่หลายไปถึงสามัญชน..(project532.wordpress.com/..กีฬาประจำประเทศไทย)
          การแต่งกายประจำชาติไทย สำหรับชุมประจำชาติอย่างเป็นทางการของไทย รุ้จักกันในนาม่
ว่า"ชุดไทยพระราชนิยม" โดยชุดประจำชาติสำหรับบุรุษจะเรียกว่า "เสื้อพระราชทาน"สำหรับสุภาพสตรีจะเป็นชุดไทยที่ประกอบด้วยสไบเฉียง ใช้ผ้ายกมีเชิงหรือยกทั้งตัว ซิ่นมีจีบยกข้งหน้า มีชายพกใช้เข็มขัดไทยคาดส่วนท่อนบนเป็นสไบ จะเย็บให้ติดกับซ่ินเป็นท่อนเดี่ยวกันหรือ จะมีผ้าสไบห่มต่างหากก็ได้ เปิดบ่าข้างหนึ่ง ชายสไบคลุมไหล่ ท้ิงชายด้านหลังยาวตามที่เห็นสมควรความสวยงานอยู่ที่เนื้อผ้าการเย็บและรูปทรงของผุ้สวมใส่..(sites.google.com..การแต่งการประจำชาติไทย)
         
ชีวิตยามค่ำคืนที่กรุงเทพนอกจากถนนข้าวสารที่เป็นรู้จักกันเป็นอย่างดีของชาวต่างชาติแล้ว หรืออาร์ซีเอ ที่เป็นผับทีเป็นแหล่งชุมนุมมีวัยรุ่นวัยโจ๋ หรือถนนรัชดาที่มีผับ และสภานที่บัญเทิงสำหรับผุ้ใหญ่และกิจกรรมอีกมากมายแล้ว จะขอนำผับกลางใจเมืองที่จัดเต็ทั้งควสามสนภ และเครื่องดื่มหลากหลายชนิดเริ่มต้นด้วย
          Muse มิวส์ แหล่งแฮงค์เอ้าท์สุดฮอตในย่านทองหล่อที่นักท่องราตรีรุ้จักกันเป็นอย่างดี ร้านนี้นอกจากมีโซนผับในแดนซืกระจายแบบสนุกสุึดเหวี่ยงกันด้านล่างแล้ว บนดาดฟ้าชั้นสามยังมีบาร์ให้นั่งดินเนอร์ฟังเพลงเบาๆ ตลอดทั้งคืนอีกด้วย
          Lizm ลิซึ่ม ผับแนวสบายๆ ที่ชวนให้คุณสนุกสนานไปกับเสียงเพลง ทั้งแบบเล่นสด สลับเปิดแผ่นด้านในร้านแบ้งพื้นที่เป็น 2 โซน คือ โซนดนตรีสด และโซนฮิปฮอป แถมบางวันบังมีเพลงสกามาเล่นให้ฟังแบบสนุกสนานด้วย ร้านนี้ถ้าใครชอบความสนุึกสนานแนะนำให้จองโต๊ะด้านล่าง แต่ถ้านั่งฟังเพลงแบบชิลล์ๆ เลือกนั่งข้างบนจะเพลินกว่า
          Funky Villa ฟังกี้ วิลล่า ที่นี่ครบสุตรด้วยความสนุกสและบรรยากาศ นอกจากออกแบบตัวร้านเป็นสไตล์บ้านพักสุดชิคแล้ว ฟังกี้ วิลล่า ยังเป็ฯแหล่งชุมนุมทางแฟชันที่ทุกคนมาร้านนี้ต้องแต่งตัวประชันกันแบบสุดฤทธิ์สุดเดช เหมาะสำหรับนักดื่มที่ขอบความทันสมัย และสีสันความสนุกแบบเต็มๆ
       
 Escobar เอสโคบาร์ เป็นผับสุชิคที่มีลูกค้ามาอุดหนุนความสนุกันแน่นร้านเกือบทุกวัน อยู่ในโซนเดี่ยวกับร้านนั่งเล่น วันจันทร์ถึงพฤหัสบดี ทางร้านจเน้นดนตรีฟังแบบสบายๆ ส่วนช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์จะเน้นเพลงสนุกสนานคึกคัก ทั้งฮิปฮอป อาร์แอนด์บี ฯลฯ ให้แดนซ์ักนแบบกระจาย
        Route 66 รูท 66 ผับดังในตำนานย่าน RCA ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ผับที่ป๊อปฯที่สุดในประทเศไทย รูท 66 แบ่งโซนตามความชอบของนักท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็น .โซนไม่สูบบุหรี่ สำหรับคนไม่ชอบควันบุหรี่ โซน สำหรับสาวกฮิปฮอป โซน สำหรับคนชอบฟังเพลงสบายๆ โซน สำหรับขาเเด็นซ์สุดฤทธิ์ และโซนสำหรับชาวโซเซียนเน็คเวิร์ค เพราะมี ไว-ฟาย บริการฟรีตลอดทั้งคืน..(http://travel.sanook.com..5 ผับสุดชิคในกรุงเทพฯ)
         
           

วันพุธที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2560

LifeStyle ASEAN (Filippine)

         
            ชาวฟิลิปปินส์มีระบบคิดและวัฒนธรรมคล้ายชาวตะวัตรตก เพราะเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกมานานมักไม่ค่อยหลงไปกับกระแสสินค้าแบรนด์เนมราคาแพงแต่มีความซื้อสัตย์ต่อแบรนด์สินค้าที่เลือกแล้วสุง มีรสนิยมค่อนข้างหลากหลาย เน้นความเรียบง่าย สะดวก เหมาะสมกับรายได้ ใส่ใจการดูแลสุชภาพ การดูแลความสวยงามแลผิวพรรณ ชาวฟิลิปปินส์นิยมรับประทานอาหารนอกบ้านเ็นหลักแนวโน้มนิยมซื้อสินค้าเพื่ออำนวยความสะดวกสบายมากขึ้นโดยเฉพาะรถยนต์และอุปกรณืเทคโนโลยี เช่น ดทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ชนิดต่างๆ
           คนไทยน่าจะเข้าใจลักษณะนิสัยของคนฟิลิปปินส์ได้ไม่ยากเพราะมีอุปนิสับยคล้ายคนไๆทยมากนเรืองการเป้นคนร่าเริง รักความสนุกสนาน ชอบเข้าสังคม บุคลิกสบายๆ แต่มีความต่างคือ คนฟิลิปปินส์มีความพร้อมที่จะเข้าใจความเข้าใจความเป็นสากลมากกว่ามความเป็นประชากรโลกสูงมาก บุคลิกและระบบคิดเหมือนฝรั่งที่หน้าตาเป็นเอเชีย คนฟิลิปปินส์ไม่นิยมซื้อสินค้าออนไลน์ ชอบไปเลือกซื้อสินค้าด้วยตนเอง..(http://www.rd.go.th.."ไลฟ์สไตล์ รสนิยม และวัฒนธรรมของคนประเทศต่างๆ ในเอเชีย")
           ชาวพื้นเมืองฟิลิปปินส์ มีความเชื่อถือในพระเจ้าที่เรียกว่า Bathalang  Majkapall เชื่อว่าพรเจ้าเป็นผู้สร้างโลก นอกจากนี้ยังมีเทพเจ้าอื่นๆ อีกมาก ที่มีอำนาจรองลงมา
           คนพื้นเมือง จะมพิธีทางศาสนาด้วการสวนดมนต์ และบูชายัญต่อเทพเจ้า และส่ิงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โดยมีนักบวชนิกายนั้นๆ เป็นผู้ทำพิธี
           นอกจากเทพเจ้าแล้ว ชาวพื้นเมืองยังนับถือสิ่งที่เป็ฯธรรมชาิ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ดาวตก ผีพุ่งใต้ และรวมไปถึงการนับถือบุชาสัตว์บางชนิด เช่น นก และจรเข้ เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีต้นไม้ใหญ่ ที่มีอายุมาก แม้น้ำ ก้อนหิน ที่ถูกธรรมชาติตกแต่งไว้อย่างสวยงาน และแปลก
           นอกจากนั้น ยังเชื่อว่าเมื่อตายไปแล้ว วิญญาณก็จะต้องท่องเที่ยว จะได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าคนนันมีพฤติกรรมดี สวนผุ้ที่กระทำชั่ว ดุร้าย โหดเหี้ยม ไม่ยุตธรรมต่้อเพื่อมนุษย์ ก็จะถูกพระเจ้าลงโทษ  และนำไปสู่นรก ความเชื่อในยุคโบราณดังกล่าวยังคงมีอยุ่ เป็นมรดกสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันสังเกตเห็นได้จากงานเทศกาล และะิธีการต่างๆ ของชาวฟิลิปปินส์
          ศาสนาอิสลาม เร่ิมเข้ามาสู่คนเพ้เมืองฟิลิปปินส์ เมื่อคริสตศตวรรษที่ 14 ดดยชนชาวอาหารับได้เ้ามาระหว่างที่มีการติดต่อค้าขายกับฟิลิปปินส์ ปัจจุบันศาสนอาสลามเริ่มมีบทบาทและอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชาวฟิลิปปินส์เป็นอย่างมาก พวกนี้จะเรียกตนเองวา ดมโรซึ่งอยุ่ทางตอนใต้ของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งอยู่เกาะมินดาเนา และเกาะซูลู เป็นส่วนมาก
          ศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาะอลิค เป็นนิกายที่สเปญนำเข้าเผยแพร่ในฟิลิปปินส์ ในระหวางที่สเปญปกครองฟิลิปปินส์ คนฟิลิปปินส์ ให้การรยอมรับนับถือนิกายนี้มากและศาสนาคริสต์มีอิทธิพลในวิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของชาวฟิลิปปินส์มาก นอกจากนี้การนับถือศาสาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิค ยังสาสามารถมีสิทธิในการยกเว้นภาษี และได้รับผลประโยชน์อื่นๆ อีกด้วยเพราะบาทหลวงจะเป็นผุ้คอยปกป้องบุคคลเหล่านั้นตลอดเวลา ด้วยสาเหตุดังกล่าว คริสตศาสนา จึงเป้ฯศาสนาประจำชาติ ของฟิลิปปินส์ในปัจจุบัน นิกายโรมันคาธอลิค มีผุ้นับถือประมาณร้อยละ 83 นิกายโปรเตสแตนท์ประมาณร้อยละ 3 รวมเป็นประมาณร้อยละ 86
       
  หลังจากที่สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทในการปกครองฟิลิปปินส์แล้ว สหรัฐฯ ได้ให้สิทธิและเสรีภาพแก่ชาวฟิลิปปินส์อย่างมาก และเปิดโอกาสให้ประชาชน มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา และได้นำเอานิกายดปรเตสเตนท์เข้ามาเผยแพร่ในฟิลิปปินส์ด้วย
             จากสถิติของประชกรที่นับถือศาสนาต่างๆ นอกจากศานาคริสต์ แล้ว มีผุ้นับถือศาสนาอิสลามประมาณร้อยละ 4 ไม่นับถือศาสนาใดประมาณร้อยละ 2..(https://sites.google.com..ประเทศฟิลิปปินส์ ศาสนา)
              อาหารฟิลิปปินส์ ประกอบด้วยอหาร วิธีการเตรียมและประเพณีการรับประทานอหารที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศฟิลิปปินส์ รูปแบบของการทำอาหารและอาหารที่เกี่ยวข้องมีการพัฒนาตลาดระยะหลายศตวรรษจากวัฒนธรรมดั้งเดิมของกลุ่มชนที่พูดภาษาในตะกูลออสโตรนีเซียนผสมกับอาหารสเปนและโปรตุเกส จีน อเมริกัน และอาหารอื่นๆ ในเอเชียที่ปรัีบให้เข้ากับส่วนผสมพื้นเมืองและความนิยมในท้องถิ่น
             คนฟิลิปปินส์รับประทานอาหารวันละ 5 รอบ คือ เช้า เที่ยง ค่ำ และอาหารว่างระหว่างวันช่วงสายและบ่ายที่เรียกว่า เมอร์เยียนดา อหารจานหลักของชาวฟิลิปปินส์คือข้าวเช่นเดี่ยวกัยชาวไทย จาน
กับข้าวของฟิลิปปินส์มัมีรสอ่อนไม่เผ็ดร้อนเหมือนกับประเทสอื่นๆ ในเขตเพื่อนบ้าน และเน้นรับประทานอาหารที่ทำจากเนื้อมากกว่าผักทั้งเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ และเนื้อปลา โดยชาวฟิลิปปินส์นิยมบริโภคหมูหัน หรือและปลานวลจันทร์ และผักที่ได้รับความนิยมในการบริโภคได้แก่ แครอท มะเขือเทศ ใบมะรุม ใบมันเทศผักบุ้งคนฟิลิปปินส์สมัยหม่นอยมรับประทานอาหารฟาสท์ฟู้ดจานด่วน เช่น ข้าวไก่ทอด สปาเกตตี้ พิซซ่า เบเกอรี่จากกลุ่มเครือร้านอาหารอเมริกัน เชน แมคโดนัลด์ เคเอฟซีสตาร์บัค ดดยระยะหลังมีการสร้างแบรนด์ร้านอาหารท้องถ่ินซึ่งมีเจ้าของเป็นชาวฟิลิปปินส์ที่มัเปดให้บริการ 24 ชัวโมง เช่น ร้านฟาสท์ฟู้ดไก่ทอด ร้านอาหารฟิลิปปินส์ ที่มีสาขาอยุ่ทั่วประเทศ
           อาหารเช้าแบบพื้นเมืองในฟิลิปปินส์ได้แก่ ปันเดซิล ขนมปังม้วนขนาดเล็ก เกซอง ปูตี ชีสขาว , ซัมโปราโด โจ๊กข้าว, ซีนางัก ข้าวผัดกระเทียม, และเนื้อสัตว์ ปลา และไข่เค็ม กาแฟ เป็นที่นิยมดื่มเช่นกัน
           เมเรียนดา เป็นคำที่มาจากสเปน ใช้เรียกอาหารว่างที่นิยมรับประทานตอนบ่าย ซึ่งมีตัวเลือกมากมาย เช่น การแฟ ขนมปัง และเพสตรีหลายชนิด (ขนมที่ทำจากข้าวเหนี่ยว) อาหารบางชนิดวช้รับประทานในช่วงเมเายนดา เช่น ก๋วยเตี่ยวผัด ปูลาบอก (เส้นก๋วยเตี๋ยวจากข้าวผัดกับซอสกุ่ง) ..
         
 ปุลูตันเป็นอหารประเภทใช้มือหยิบรับประทาน เป็นของว่างที่รับประทานคู่กับเหล้าหรือเบียร์ ปูลูตันที่ปรุงดดยการทอด เช่น ชิชาร์โรน เป็นหมูที่ทอดจนกรอบ บางส่วนเป็นอาหารย่าง เช่น อีซอว์เป็นไส้หมูหรือไก่นำไปต้มแล้วย่าง
           ขนมปังและเพสตรี สำหรับเบเการีท้องถ่ินของฟิลิปปินส์ ปันเดซัล โมบาย และเอ็นซายมาดาเป็นขนมที่มีขายทั่วไป บันเดซัลมาจากภาษาสเปน นิยมรับประทานกับกาแฟ ทำเป็นรูปขนมปังม้วนโรยด้วยเหล้ขนมปังก่อนอบ แต่ไม่ได้มีรสเค็ม โมนายเป็นขนมปังที่แน่น เอนชายมาดา มาจากภาษาสเปน..(th.wikipedia.org/wiki/อาหารฟิลิปปินส์)
          อโดโบ้า Adobo เป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยม ของประเทศฟิลิปปินส์ เป็นอาหารที่มีต้นกำเนิดมาจาก ภาคเหนือของฟิลิปปินส์ และเป็นที่นิยมของนักเดินทางหรือ นักเดินเขา อโดโบ้ทำจากหมูหรือไก่ที่ผ่านกรรมวิธีหมักและปรุงรสโดยจะใส่ซีอิ๊วขาว น้ำส้มสายชู กระเที่ยมสับ ใบกระวาน  พริกไทยดำ นำไปทำให้สุกโดยใส่ในเตาอบ หรือทอด และรับประทานกับข้าว
           sinigang ซึ่งเป็นจานซุปรสเปรี้ยว จานสามารถปรุงสุกกับทุกชนิดของปลาและเน้อแม้ปรุงสุกแล้วกับมะขามและผัก นอกจากนี้ยังพบทั่วไปในฟิลิปปินส์รับประทานอาหารร่วมกับ อโดโบ
         
 Sisig คือ หัวหมุนำไปต้นกับเครื่องเทศจนเปื่อยแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก นำมาผัดอีกครั้ง จัดเป็นอาหารยอดนิยมอีกจานของชาวฟิลิปปินส์
           ในด้านกีฬาจะเห็นได้จากกีฬาบาสเก็ตชอบ ซึ่งจัดเป็นกีฬายอดนิยมของชาติ กีฬาทำชื่อเสียงให้กับฟิลิปปินส์อื่นๆ ได้แก่ ชกมวย ว่ายน้ำศิลปะการต่อสู้ นักมวยที่ทำชือเสียงในระดับนานาชาติ เช่น แมนนี่ ปาเกียว, เเชมป์เปี้ยนบิลเลียด ได้แก่ เอฟเฟรน เรเยส, เเชมป์เปี้ยนหมากรุกได้แก่ เออกีส เทอเร่, กีฬาบาสกตบอลฟิลิปปินส์มีทีมอาชีพและมีการจัดการแข่งขันที่มีบริษัทและองค์กรสนับสนุนอย่างดีและมีผุ้ชมหนาตา
            ชีวิตยามค่ำคืนในเมืองหลวงของฟิลิปปินส์หรือมะนิลานั้น เป็นเมืองที่มีความเคลื่อนไหวมากที่สุดในเอเซีย ไนท์คลับ บาร์ ที่ฟังเพลง ผับ หรือจะดื่มหร้อมกับฮัมเพลงคลอไปกับวงดนตรีและนักร้องฟิลิปปินส์ที่แสดงสดตามโรงแรมหรู สำหรัฐผู้ที่ชอบเสียงโชคบริเวณใกล้ๆ เดอะเบย์ หรือที่ NAIA TERMINAL 3 มีคาสิโน คอมเพล็กอยู่ นกเขตมะนิลาคาสิโนมีอยู่ที่แองเจลลิส โอลองกาโป ทาเกเต เซบู ฯลฯ..(http://www.philippinetourism.in.th..ฟิลิปปินส์)

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...