วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Tax for Reduce the distribution in revenue II

             ระบบภาษีของไทยในภาพรวมไม่มีลักาณะของการจัดเก็บภาษีของประเทศไทยในภาพรวมไม่มีลักษณะของการจัดเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้าแต่อย่างใด การวิเคราะห์ในส่วนจองงานศึกษา จะพบว่าสาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้อัตราการจัดเ็ฐภาษีที่แท้จริงในภาพรวมของประเทไทยไม่มีการปรับตัวเพ่มขึนในช่วงราว 20 ปี ที่ผ่านมา น่าจะมีสาเหตุมาจากการปรับตัวลดลงของอากรนำเข้า-ส่งออก และโครงสร้างกาจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในช่วงเวลาดังกล่าวของประเทศไทยเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ลักษณะของการปรับตัวในอัตราจัดเก็บภาษีเงินไ้บุคคลธรรมดาในช่วงเวลาดังกล่าวของประเทศไทยเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ลักษระของการปรับตัวในอัตราการจัดเก็บภาษีที่แท้จริงในภาพรวมดังกล่าว มิได้เกิดขึ้นกับประเทศไทยแต่เพียงประเพทศเดียวเท่าน้น
            ตามนิยามในการศึกษาของ ลี โมเรโน่ ดอดสัน และ โรจชัย ชนินทร ประเทศไทยจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลาง ซึ่งจากข้อมูลเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจะเห็นว่าประเทศไทยมีการจัดเก็ฐภาษีในระดบที่ตำ่กว่าค่าเฉลียของกลุ่มประเทศที่มีรายได้ในระดับปานกลาง ซึ่งภาพรวมการจัดเก็บภาษีที่ไม่ได้แสดงถึงลักษระของการจัดเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า ยังคงเป้นลักษระร่วมกันของกลุ่มปรเทศรายได้ปานกลางนี้
         
เราสามารถคาดการณ์ได้ระดับหนึ่งว่า ผลกระทบจากการปรับตัวลดลงของอากรน้ำเข้-ส่งออกของประเทศไทยนั้นจะอยู่ในระดับที่ลดลงในอนาคต เนื่องจากสัดส่วนการจัดเก็บอากรนำเข้า-ส่งออำดังกล่าวในปัจจุบันมีระดับที่ลดลงดังกล่าวอาจสามารถทดแทนได้โดยการปรับตัวเพ่ิมขึ้นของภาษีมูลค่าเพ่ิม ตาการเติบโตของระบบเศณษฐกิจ
           การปรบโครงสร้างระบบภาษีของประเทศไทยเพื่อนำไปสู่การจัดเก็บในลักาณะอัจราก้ายหน้ามากขึ้นนั้นจำเป็นจะต้องพุ่งเป้าความสนใจไปที่การปรับโครงสร้างการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคลเป้นหลัก
           ในส่วนของโครงสร้างการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น ประเด็นที่น่าสใจน่าจะอยุ่ที่การสร้างความมีส่วนร่วมที่เพิ่มมากขึ้น โดยผ่านเครื่องมือ อาทิ
           - ยกเลิกรายการต่าลดหย่อหลายๆ ประเภททิ้งไป
           - ยกเลิกการยกเว้นการเก็บภาษีในขั้นรายได้แรกของผุ้มีเงินได้
           - การปรับเพิ่มฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมของประเทศ
           การปรับตัวเพ่ิมขึ้นของรายการค่าลดหย่อนประเภทต่างๆ ในขช่วงเวลาราว 20 ปีที่ผ่านมาได้มีส่วนทำให้ลักษรของการจัดเก็บภาษีในอัตราก้าหน้าของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่าสามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นแล้วยังเป้ฯที่เข้าใจได้ว่าผุ้ที่ใช้สิทธิค่าลดหย่อนหลายๆ ประเภท อาทิ การซื้อกองทุน การหักค่าดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน หรือการหักเบี้ยจ่ายกรมธรรม์ประกันชีวิต จะต้องเป้นผู้ที่มีรายได้สูงกวย่า สองหมื่นบาทต่อเดือนซึ่ง จากข้อมูลเป็นกลุ่มผู้มีรายได้สูงสุดร้อยละ 30 ของประเทศไทย การยกเลิกค่าลดหย่อนประเภทต่างๆ จะทำให้กลไกของการจัดเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้าามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งน่าจะมี่ส่วนช่วยให้ระบบภาษีของประเทศไทยสามารถทำหน้าที่ในการบกความเหลื่อมล้ำให้กับประเทศได้ส่วนหนึ่ง
           การยกเลิกการยกเว้นการเก็บภาษีในชั้นเงินได้สุทธิแรกขอผุ้มีเงินได้ ก็เป็นอีกองคประกอบหนึ่งที่น่าจะช่วยเพ่ิมการมีส่วนร่วมในกาจ่ายภาษีของผุ้มีรายได้ในประเทศไทยได้ โดยเนื่องจากเงินได้ที่จะถูกนำมาคำนวณเพื่อเป็นฐานนการคำนสณภาษีเวินได้บุคคลธรรมดานั้น จะอยุ่ใรูปของ เงินได้สุทธิ ภายหังการหักค่าใช้จ่าย ออกไปแล้วเงินได้สุทธิในส่วนนี้น่าจะเป้นส่วนที่เกินมาจากการใช้จ่ายต่างๆ ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ในกรณีที่รัฐบาลเห็นว่าค่าใช้จ่ายของประชาชนมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ก็น่าจะทำการปรับเงินหักค่าใช้จ่าย หรือค่าลดหย่อนส่วนบุคคลออกไปให้ัดเจนมากว่า
          การยกเว้นการเก็บภาษีในขั้นเงินได้สุทธิแรกนี้แท้จริงแล้วให้ประโยชน์กับกลุ่มผุ้มีรายได้สุทธิแรกนี้แท้จริงแล้วให้ประโยชน์กับกลุ่มผุ้มีรายได้สุงในระดับสูงกว่ากลุ่มผุ้มีรายได้ต่ำ นั่นคื อในกรณีที่ผุ้มีเงินได้สุทธิในปีนั้นเกินกว่า หนึ่งแสนห้าหมืนบาท จะได้รับการยกเว้นภาาีในขั้นเงินได้สุทธิแรกเต็มจำนวนเงิน ในขณะที่ผุ้มีเงินได้สุทธิในปีนั้นในระดับต่ำกว่า แสนห้าหมื่นบาทจะได้รับการยกเว้นภาษีในขั้นเงินได้ดังกล่าวเป้นจำวนเงินที่น้อยกว่า
         
จากการศึกษาของ แทนนิ และ ซี (2000) มีข้อสรุปประการหนึ่งว่า จากประสบกาณ์ของหลายๆ ประเทศการเพ่ิมประสิทะิภาพการทำงานของลักษระการจัดเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า สามารถทำได้ผ่าการลดจำนวนขั้นของภาษีลง ในขณะที่ลดรายการต่าลดหย่อนประเภทต่างๆ ลงไปพร้อมกันด้วย การลดความยุ่งยากในการคำนวณมูลค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในลักาณดังกล่าว จะช่วยให้การจัดเก็บภาษีเงินไ้บุคคลธรรมดาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะช่วยเสริมลักษระการจัดเก็บภาษีอัตราก้าวหน้าในโคงสร้างการจัดเก็บภาษีดังกล่าวได้
           การปรับเพิ่มฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในที่นี้ หมายถงการพยายามชักจูงให้ผุ้ที่มีรายได้ในระดับที่เขาข่ายการจายภาษีเงินได้บุคคลธรรม แต่อาจมีเงินได้จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจนอกระบบ ให้หันมยื่นแบบแสดงรายการนี้จะช่วยสร้างความเป้ฯธรรมในแนวนอนของระบบการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้เพิ่มมากขึ้น การปรับเพิ่มฐานภาษีในลักาณะนี้สามารถทำได้ผ่านการให้สิทธิประโยชน์บางประการแก่ผุ้ยืนแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษี อาทิก การเสนอบริการสาธารณะที่สำคัญบางประเภทให้กับผุ้ที่ยื่นแบบเสียภาษีเงินไ้ด้บุคคลธรรมดาเท่านั้น หรือ การเพ่ิมบทลงโทษและเพ่ิมการกวดขันในการตรจสอบผุ้ที่หลีกเลี่ยงกรยื่นแบบเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป้นต้น
            ในส่วนของการปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น มีประเด็นสำคัญอยู่สองประการ
            - ปรับปรุงการให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีให้กับนักลงุทนประเภทต่างๆ
            - การปิดกั้นช่องทางการหลบเลี่ยงภาษีผ่านความเหลื่อล้ำระห่างโครงสร้างการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล
            จากประสบการณ์ของหลายประเทศน้น การให้สิทธิประดยชน์างก้านภาษีไม่ได้ก่อให้เกิกดการไหลเข้าของการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพมากนักนอกจานั้นในปัจจุบนยงดุเหมือนว่ามีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนให้กับนักลงทุนหรือนิติบุคคลภายใน
ประเทศอีกด้วย สิทธิประดยชน์ทางภาษีดังกล่วก่อให้เกิดความไม่เป้นธรรมทางภาษีทั้งในแนวตั้งและแนวนอนโดยเจ้าของกิจการหรือผุ้ถือหุ้นสามัญในนิติตบุคคลที่ได้สิทธิประโยชน์ดังกล่าว ซึ่งมักจะเป้นกลุ่มผุ้มีรายได้สูงของประเทศสามารถได้รับรายได้จำนวนมกที่ได้รับการยกเว้นภาษีท้งจำนวน จากเงินปันผลของกิจการดังกล่าว
           ความแตกต่างระหว่างอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลกับอัตราภาษีขั้นสุงสุดของภาษีเงินได้บุคคลธรมดา อาจเป็นอีกขช่องทางหนึ่งที่ก่อให้เกิดการโอนย้ายถ่ายเทรายได้เพื่อการหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งกาารหลีกเลี่ยงในลักษณะนี้เป็นต้นเหตุของความไม่เป้นธรรมตามแนวนอนของระบบภาษีไทยนอกจากนั้นแล้วการหลีกเลี่ยงภาษีลักษณะดังกล่าวยังลดประสิทธภาพของลักษรการจัดเก็บภาษีอัตรก้าวหน้าอีกด้วย การปรับเปลี่ยนอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคคลจึงควคำนึงถึงช่องว่างระหว่งอัตราภาษีดังกล่าวกับอัตราข้นสูงสุดของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วยhttp://v-reform.org/tax-reform-for-equity/
             
            
           

วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Tax for Reduce the distribution in revenue

          โดยทั่วไปแล้วภาษีเป็เนครืองมือของรัฐบาลเืพ่อให้บรรลุเป้าหมายหลายประการ เช่น เพื่อหารายไ้ด้ให้แก่รัฐบาล เพื่อส่งเสริมและจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางประเภท เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจนอกจากนี้ ภาษียังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการลดความเลหื่อมล้ำในการกระจายรายได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ความสำคัญของแต่ละเป้าหมายได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละข่วงเวลา ในส่วนนี้จึงเป้นการพิจารณาถึงแนวโน้มของวิวัฒนาการของนโยบายภาษีที่เกิขึ้นทั่วโลก
          นโยบายภาษีีพันาการอย่างชัดเจนในช่วงทศวรรษ 1980 โดยเป็นผลสืบเนื่องมาจากกรเปลี่ยนแปลงบริบทของการพัฒนาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นม การพัฒนาเศราฐกิจของประเทศต่างๆ มักดำเนินการโดยใช้นดยบายภาษีเป้นสำคัญกล่าวคือ รัฐบาบจะเข้าไปมีส่วนร่วมของประเทศต่างๆ มักดำเนินการโดยใช้นโยบายภาษีเป็นสำคัญ กล่าวคือ รัฐบาลจะเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจโดยให้ความสำคัญกับกระบวนการทำให้เป้นอุตสาหกรรม จึงต้องใช้นโยบายภาษีต่างๆ เข้ามาจัดการในฐานะที่เป็เนครื่องมือองนโบายกาพัฒนา เช่น การตั้งกำแพงภาษี โดยเพ่ิมอากรขาเข้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ การให้เงินอุดหนุนแก่ผุ้ผลิตวัตถุดิบ รวมตลอดจนการยเกว้นและลดหย่อนภาษีแก่บางภาคอุตสาหกรรมเป็นพิเศษ (เพื่อจูงใจให้มีการดำเนินกิจกรรมทางเศณาฐกิจในภาคอุตสาหกรรมที่รัฐบาลเห็นว่าจำเป้ฯต่อการพัฒนาประเทศนอกจากนี้ก็มักมีการเก็บภาษีอากรขอออกอัตราสูงๆ ในภาคเกษตรและภาคเหมืองแร่่
           
ต่อมได้เกิดความนิยมในการใช้นโยบายภาษีเพื่อเป็นเครื่องมือในการลบดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้โดยในช่วงประมณทศวรษ 1950-1960 นักวิชาการส่วนใหญ่มักมีควมเห้ฯว่า การใช้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราก้าวหน้าสูงๆ และการใช้ภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตาสูงๆ เป็นนโยายภาษีในอุดมคติ อีกทั้งยังมองว่าการจัดเก็บภาษีทางอ้อมมีความจำเป็นอยู่้างเพื่อเป็นแหล่งรายได้ของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรออกแบบนโยบายภาษีโดยให้ภาษีเงินไ้เข้ามาทอแทนภาษีทางอ้อมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ การออกแบบนโยยายภาษีในขณะนั้นไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงนโยายภาษีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ กล่าวคือ ถือว่าการออกแบบนโยบายภาษีเป็นเรื่องภายในประเทศ โดยแท้ึ่งอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า นโยบายภาษีในขณะนั้นมีเป้าหมายเพืยง 2 ประการ คือ เพื่อหารายได้มาสนับสนุนบทบยาทของรัฐในการพัฒนาเศรษฐกิจ และเพื่อกระจายรายไ้และความมั่งคั่ง ว฿่งการจัดเก็บภาษีในอัตราสูงมากทำให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ ในขณะนั้นสามารถใช้การลดหย่อนและยกเว้นภาษีมาเป็นเครื่องมือในการชักจูงให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนในภาคการผลิตที่จำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจได้
           ด้วยเหตุนี้แนวคิดในการใช้นโยบายภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการกระจยรายได้มักให้ความสำคัญกับบทบาทของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การออกแบบนโยายภาษีจึงเน้นไปที่การใช้อัตราภาษีก้าวหน้า และการปรับปรุงระบบการบริหารจัดเก็บภาษีให้ภาระภาษีกระจายไปยังบุคคลกลุ่มต่างๆ ในสังคมอย่างเปฯธรรมตามหลักความสามารถในการเสียภาษี ดังแนวคิดของ เฮจ ไซมอนส์ ที่มอวา "เงินได้" เป้นตัวชี้วัดความสามารถในการเสียภาษีที่ดีที่สุด ด้วยเหตุนี้นักวิชาการในขณะน้ั้นจึงมักเสนอให้รัฐบาลพยายามนำภาษีเงินได้บุคคบลธรรมดามาใช้แทนภาษีทางอ้อมขณะเดียวกันก็เสนอว่ ข้อดีของการใช้ภาษีเงินได้ในโครงสร้างอัตรก้าวหน้านั้น นอกจากจะช่วยลดความเหลื่อล้ำในการกระจายรายได้แล้ว ยังจะช่วยให้รัฐบาลมีรายได้เพ่ิมข้นมากเพียงพอที่จะทำให้รายจ่ายของรัฐบาลเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าอัตราการเจริญิเติบโตของเศราฐกิจ โดยมีนักชิวาการได้เสนอว่า การเจะเปลี่ยนจากประเทศกำลังพัฒนาไปสู่ประเทศพัฒนาแล้วนั้น รัฐบาบต้องมีการเก็บภาษี (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอัตราก้าวหน้า ) ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นคือ ในระดับรายได้ภาษีที่ประมาณ 25-30 ของ GDP
            ต่อมาเมื่อเกิดปรากฎการณ์เศณาฐกิจตกต่ำทั่วโลกในทศวรรษ 1970 นักเศรษฐศาสตร์เร่ิมเปลี่ยนการให้ความสำคัญของเป้าหมายการดำเนินนโยบยายภาษีจากเดิมที่เน้นการสร้างความเท่าเที่ยมกันไปเน้นที่การสร้างความเจริญเติบโตทางเศราฐกิจแทนแนวคิดดังกล่าวได้กลายเป็นแนวคิดกระแสหลักจนกระทั่งปัจจุบัน กล่าวคือ นักเศรษฐศาสตร์และผุ้กำหนดนดยาบยเศราฐกิจในแต่ละประเทศมักมีความเชื่อว่ อัตราภาษีที่สูงไม่เพียงแต่จะลอแรงจูงจในการทำงานและบิดเบือนกิจกรรมทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถทำให้บรรลุเป้าหมายในการสร้างความเท่าเที่ยมกันในการกระจายรายได้ได้ นนอกจากนี้ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆ และแรงกดดันในกาดึงดูดเงินลททุนจากต่างประเทศ (ซึ่งมีลักษณะไร้พรมแดนมากขึ้น) ได้ทำให้ทั้งประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาหัสมาให้ความสำคัญกับผลกระทบของระบบภาษีที่มีต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศมากขึ้น..
           
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน นโยบายเศณาฐกิจทีมุ่งเน้นความเจริญเติบโต ได้รับการยอมรับยมกขึ้น และแนวคิดเกี่ยกับบทบาทของรัฐบาลได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เน้นให้รัฐบาลมีบทยบาทในระบบเศรษฐกิจมาก ไปสู่แนวคิดตลาดเสรี ที่ต้องการให้รัฐบาบมีบทบาทในระบบเศณาฐกิจน้อยที่สุด โดยให้มีการลดขนาดของภาครัฐและให้มีการเปลี่ยนองค์กรของรัฐไปเป็นเอกชน มากขึ้น...
             ทิศทางของนโยบายภาษีรประการสุดท้ายที่เกิดขึ้นตั้งแต่ประมาณทศวรรษ 1980 เป้ฯต้นมา คือ การลดความสำคัญของการจัดเก็ฐภาษีในอัตราก้าวหน้ามากๆ เพื่อเป้าหมายในกากระจายรายได้ กล่าวคือ แนวคิดกระแสหลักมักมุ่งไปที่การเก็บภาษีเงินได้ที่มีโครงสร้างอัตราก้าวหน้าเพียงเล็กน้อย หรือเก็บในอัตราเดียว รวมตลอดจนการมุ่งเน้นเก็บภาษีมูลค่าเพ่ิมซึ่งมีฐานภาษีกว้างเป็นสำคัญ และเพื่อไม่ให้ภาษีมูลค่าเพ่ิมโดยให้มีกายกเว้นภาษีแก่สินค้าและบริการที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของประชาชน แนวคิดข้างต้นทำให้ภาษีมูลค่าเพ่ิมกลายเป็นรายไ้สำคัญของรัฐบาลของประเทศต่างๆ เกือบทั่วโฃกในปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็ทำให้อัตราภาษีเงินได้ทั้เงประเภทบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในประเทศต่างๆ ปรับลดลงมาก....http://v-reform.org/tax-reform-for-equity/

Progressive tax

          นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักส่วนใหย่ให้ความสำคัญกับการเจริญเติบโตทางเศราฐกิจโดยละเลยการแก้ไขปัญหาการกระจายรายได้ ซึ่งแนวความคิดดังกล่าวได้รับอิทธิพลมาจากงานยวิจัยคลาสนสิคของ ซิมมอน คัซเนทซ์ (1955) ซึ่งเสนอว่าแมื่อประเทศมีการพัฒนาทางเศราฐกิจและรายไ้ประชาชาาติต่อหัวเพ่ิมขึ้น ควาามไม่เท่าเที่ยมกันของการกระตสยรายได้จะเพ่ิมขึ้นเรื่องๆย จนกระทั่งรายได้เพ่ิมขึ้นถึงระดับหนึ่ง  การหระจายรวนได้จะเริ่มดีขึ้น เนื่องจากประทเศนั้นๆ จะมีการกำหนดนโยบายสาะารณะที่จะแก้ไขความไม่เท่าเที่ยมกันของการหระจายรายได้ แบบแผนความสัมพันะ์ที่อธิบายโดย คัซเนทซ์ นี้มักเรียกว่าความสัมพันธ์แบบ คัสเนทซ์
          ในกรณีของไทยนั้น ปราณี ทินกา (2545) ซึ่งทำการศึกษาคงามเลหื่อล้ำของการกระจายรายได้ในช่วง 2504 - 2544 พบว่า ลักษณะการกระจายรายไ้ของไทยมลักษณะเป็นส่นแรกของตัวยูหัวกลับเช่นเดียวกัน แต่เป้ฯตัวยูที่ลึกมากพอควร จนกระทั่งถึงระดับที่รัฐฐาลควรมีนโยบายและมาตรการการกระจายรายได้อย่างจริงจังแทนที่จะคิดอาศยกฃำกการไหลรินลงสู่เบื้องล่างจากการเติบโตของระบบเศรษฐกจแต่เพียงอย่งเดียวเหมือนช่นในอดีตที่ผ่านมา
          โดยทั่วไปแล้วนักเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมักเห็นว่า สังคมไม่มีรายได้ แต่ปัจเจกบุคคลเป็นผุ้สร้างรายได้ให้ตนเองรัฐบาลจึงไมควรเาทรัพยกากรจากบุคคลหนึ่งไปดอนให้แก่อีกบุคคลหนึ่งเืพ่อวัตถุประสงค์ในการกระจายรายได้ อันจะทไใ้หความมุ่งมั่นนลใการทำงานลดลง (เพราะเมื่อทำงานมาก มีรายได้มาก ก็ถูกเก็บภาษีมาก) อีกทั้งยังเป็นการสร้งแรงจูงใจให้หนีและเลี่ยงภาษีอีกด้วย นอกจากนั้นในบางกรณีที่ระบบประกันสังคมกว้างขวาง เกินไป  ก็จะทำให้คนในสังคมขี้เกี่ยจและไม่ประสงค์จะทำงน (เพราะถึงไม่ทำงานก็สามรถดำรงชีวิตอยู่ได้) นักเศรษฐศาสตร์กลุ่มนี้ซึ่งเชื่อในเสรีภาพของแต่ละบุคคล มักมีความเห็นว่า รัฐบาลไม่ควรมีบลทยาทในการกระจายรายได้ แต่ควรมีบทบาทในการคคุ้มครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเท่านั้น เช่น ป้องกันแและควบคุมมิให้มีการก่ออารชญากรรมและการผิดสัญญา อีกทั้งยังเชื่อว่า ความเท่าเที่ยมกันในด้านโอกาส มีความสำคัญมากกว่าควาทเท่าเที่ยมกันในด้านรายได้โดยนักเศรษฐศาสตร์กลุ่มนี้บางส่วนเชื่อว่า ความเป็นธรรมในการกระจายรายได้สามารถเกิดขึ้นได้หากตลาดมีการแข่งขันสมบูรณ์
           
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐกศาตรืกลุ่มนี้มัก๔ุกโจมตีในประเด็นสำคัญ กล่าวคือ ในสภาพความเป็นจริง ตลาดมีการผุกขาดนอกจากนี้ ผุ้ผลิตด ผุ้บริโภค และแรงงานต่างก็มิไดมีข้อมุลอย่งสมบุร์ ดังนั้น กาสร้างความเป็นธรรในการกระจายรายได้จึงควรเป้นเป้าหมายหนึ่งที่สำคัญในการดำเนินนโยบายโศรษบกิจของรัฐบาล ซึ่ง ธีรนาภ กาญจนอักษร ผุ้ล่วงลับไปแล้ว เคยให้ความเห็นว่า
           " เชื่อว่า ระบบทุนนิยมเสรีนั้นดี แต่การแข่งขันในปัจจุบันนั้นเร่ิมจากจุดที่ไมเ่ท่เที่ยมกัน ดังนั้นต้องมีกลไกบางอบย่างที่จะทำให้เกิดความสมดุลในบางเรื่อง คนที่มีโอกาสมาก เมื่อจะเข้าแข่งขันในสังคมก็จะได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ มาก แต่จะทำอย่างไรให้คนอ้อยโอกาสเข้ามาบ้างในวที่จะมีสิทธิ์ มีเสียง มีส่วยนร่วม การพึ่งกลไกการแข่งขชันเสรีอย่างเดียบางที่ก็ไม่ได้ผล "
            การหันมในใจควาแตกต่างของรายได้แสดงว่ นักศรษฐศาตร์มีคุณค่าบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่ากระกระจายรายได้ที่ไม่เทาเที่ยมกันหรือเลื่อมล้ำกันจนเกินไปนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม นักปรัชญาที่สำคัญในกลุ่มนี ซึ่งถือว่าเป้นผุ้ให้กำเนิดแนวคิดอรรถประโยชน์นิยม ซึ่งมองว่า เป้าหมายของรัฐบาลควรจะเป็นการแสดวงหาอรรถประดยชน์สูงสุดให้แก่ทุกคนในสงคมรวมกัน ดังนั้น รัฐควรทำหน้าทีในการกระจยรายได้ โดยการอดนเงินจากผุ้มีรายได้สูงมาให้ผุ้มีรายได้ต่ำ เนืองจากเชื่อในสมมติญฐานของการบลดน้อยถอยลงของอรรถประโยชน์ส่วนเพ่ิม นั่นคือ  การเสียสละเงิน 12 หน่วยจากผุ้มีรายได้สูง (อรรถประโยชน์ลดลงเพียงเล็กน้อย) มาให้ผุ้มีรายได้ต่ำ (อรรประดยชน์เพ่ิมขึ้นมาก ) จากทำให้สวัสดิการในสังคมดีขึ้น แนวคิดของนักปรัชญาอีกท่านหึ่งคอ จอห์น รอว์ ซึงมีความเห็นว่า ควมเป็นธรรมควรมีลักาณปลอดจากความคิดแบบอัตวิสัย ของแต่ละบุคคล และเห็นว่า ควรจะต้องให้ความช่วยเหลือแก่คนที่อยุ่ในฐานะที่ยากจนที่สุดในสังคมก่อน นั่นคือ แนวคิดนี้ให้นำ้หนึกกับกลุ่มคนจนที่สุดของสังคมมากว่าที่จะมาคำนึงถึงอรรประดยชน์โดยรวม
            การกระจายรายได้เป็นการสร้างความสมดุลระหว่างการยอมูญเสียประสิทธิภาพไปบางส่วน เพื่่อหใ้ได้มาซึ่งความเ่ท่าเที่ยมกัน ซึ่งการระบุจุดสมดุลดังกล่วสามารถถกเถียงกันได้อย่างไม่มีทางจบสิ้น หล่าวคือ นักเศรษฐศาสตร์เสรีนิยม ซึ่งชื่นชอบกับมิติด้านความมีประสทิธิภาย่อมประสงค์จะให้รับบาลมีบทบาทน้อยที่สุด
           ในระบบเศรษฐกิจ ในทางกลับกันนักเศรษฐศาสตร์พัมนาการมักประสงค์จะให้รัฐบาลเข้ามามีบทบาทในการสร้างโอากสให้แก่ประชาชนโดยการเพร่ิมโอากาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการศึกษา การสาธารณสุข และการจ้างงานได้
            ในประการสำคัญ ความเหลื่อล้ำในการกระจายราไ้ไม่ใช่กระบวการกติ แต่เป็นส่ิงที่สัคมเลื่อก ังนั้นจึงเกี่ยว้องกับปรัชญาและอุดมการณืของผุ้คนในสังคม ดังเช่นที่ อาร์โนว์ ฮาเบอเกอร์ ได้ขชี้ว่า การใช้นดยบายเืพ่อสร้างความเท่าเที่ยมในการกระจายรายได้ในแต่ละประเทศนั้น สวนหคึ่งก็ขึ้นอยุ่กับการสนับสนนุนของชนชั้นกลางในสังคมว่า เห้นความสำคัญของการลดความเลหื่อล้ำในการกระจายรายไ้หรือไม่
             อาทิ ผุ้จนในประเทศสหรัฐอเมริกาเชขื่อว่าความเหลื่อล้ำเป็นแรงจุงใจให้เศราฐกิจเจริญเติบโตจึง ไม่ได้ดำเนินมาตการลดความเลื่อมล้ำใ ในทางตรงกันข้าม หากพิจารณาประเทศที่เป้นตัวอย่งของการกระจายรายไ้ที่ดียุโรปเหนือ เช่น นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก เยอรมนี ประเทศเหล่านี้ล้วนแต่มีกระบวนการทางประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ตั้งแต่การตอสู้ทางอุดมการณ์ของขยวนการต่าง ๆทั้งฝ่ายสังคมนิยมและทุนนิยมโดยมีการปรับเลปี่ยนตลอดเวลา ทั้งนี้ ความเข้มแข็งของขวบนการรแรงงาน ของเกษตรกร ของกลุ่มต่างๆ ในสังคม ลวนเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ทางความคิดทั้งส้ิน อาจกล่าวได้ว่า ประเทศเหล่านี้เลหื่อกที่จะสร้างสัคมที่มีความเท่าเที่ยมกัน โดยผ่านกานรใช้นโยบายประกันสังคม นโยบายสุขภาพ นโยบายภาษี ฯลฯ ดังที่ ผาสุก พงษ์ไพจิต ได้ชี้ว่า ญี่ปุ่นและยุโรปเหนือเลื่อกที่จะมุ่งไปสู่ "สังคมเสมอหน้า" ด้วยสังคมเชื่อว่ ควาาเสมอหน้าทำให้สังคมมีสัจติสุขมากว่าดดยที่ในกรณีของญีปุ่น นั้น ความเจริญเติบโตทางเศราฐกิจก็ไม่ย่ิงหย่อนกว่ากรณีของสหรัฐอเมริกา
           
 หากพิจารณาเปฑาะเครื่องมือทางด้านภาษีนั้น นโยบายภาษีไม่ว่าจะเป็นในช่วงเวลาใดหรือในสถานที่ใดก็ตามล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของการสร้างสมดุลใหห้เกิดขึ้นระห่างเงื่อนไขของความมีประสิทธภาและความเท่าเที่ยมกันทั้งส้ิน ดังเช่นที่งานเขียนจำนวนมากได้พยายามจะตอบคำถามเกี่ยกับการออกแบบภาษีเพื่อนำไปสู่ความสมดุลดังกล่ว ซึงในทางปฏิบัติแล้ว ปัจจัยทางการเมืองไมเ่พียงแต่จะเป็นปัจจัยหนึงในการสร้างคึวามสมดุลเท่านั้น หากแต่เป็นปัจจัยที่คีอบงำทังหลักการของประสิทะิภาพและลัการของความเท่าเที่ยมกันอีกด้วย
            ด้วยเหตุนี้การพิจารณาในมิติเชิงเศรษฐศาสตร์การเมืองของภาษีอากรจึงเป็นเรื่องสำคัญ ดังตัวอย่างของการก่อกำเนินดระบบภาษีก้าวหน้าในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่ง สติฟ เวีซแมน ได้ชี้ให้เห็นว่า วิกฤตเศรษฐกิจและสงครามต่างก็เป็นปัจจัยทีก่อกำเนินภาษีเงินได้ที่มีโครงสร้างกาวหน้า ดดยการสร้างความเห็นพ้อง ได้มีการพัฒนามาเป็นลำดับในช่วงทศวรรษ และที่สำคัญข้อถกเถียงที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลาดังกล่าว มิใช่เป็นการถกเถียงเกี่ยวกับระบบภาษีโดยตรง หากแต่เป็นการภกเถียงเกี่ยวกับคำภถามที่ว่า สังคมแบบใดที่ชาวอเมริกันต้องการ....
         http://v-reform.org/wp-content/uploads/2012/10/Full-Paper_tax_pan.pdf

วันพุธที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2560

≠ ( part 2)

             ในอดีต การ "สงเคราะห์" อาจจะ่งผลดีทางอารมณ์ความรู้สึก ทั้ง "ผู้สงเคราะห์" และ "ผู้รับสงเคราะห์" เพราะนอกจากช่วงเวลาแวบเดียวของการรับการสงเคราะห์แล้ว ขีีวิตของ "ผู้รับสงเคราะห์" ไม่ได้พ้องพานเข้าำปเกี่ยวข้องอะไรกับ "ผู้สงเคราะห์" เลย ดังนั้น การเป็นคนไร้ศักดิ์สรีรอรับของบริจาคจึงเป้นเรื่งอที่รับได้ รวมทั้ง "ผู้รับการสงเคราะห์" ก็รูสึกได้ถึงวาระพิเศษที่ได้รับการสงเคราะห์
           
ที่สำคัญ ความสัมพันธ์ลักษณะนี้คือ ลักษณะเด่นหนึ่งในความเป็นไทย ที่ปลูกฝงกันมา ที่ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน และเป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบบ "ผุ้ใหญ่-ผู้น้อย"
             ในช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในชนบท ก่อให้เกิดการประกอบอาชีพในลักษณะใหม่ซึ่งทำให้มาตรฐานการดำรงชีวิตปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ความสามารถในการครอบครองสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องปกติธรรมดาไป หากท่านผุ้อ่านได้มีโอากสไปเดินเล่นตามห้างสรรพสินค้าหรือซูเปอร์มาเก็ตต่างจังหวัดจะพบเห็นถึงความสามารถในการคีอบครองสินค้าอุปโภค-บริโภคขยยตัวมากขึ้นอย่างมากมาย นีเป็นเหตุผลว่าทำไมห้างสรรพสินึ้า แลซูเปอร์มาร์เก็ตขยายตัวออกหัวเมืองไกลมากขึ้นตามลำดับ
             ความเปลี่ยนแปลงทางเศราฐกิจนี้ ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างลึกซึ้งด้วย โดยเแาพอย่างยิ่งการให้ความช่วยเหลือในรูปแบบของการให้ความ"สงเคราะห์" ลักษณะเดิมกลายเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นและการรับของสงเคราะห์เป็นเรื่องของการไร้ซึ่งศักดิ์ศรีไป
            หากสำรวจกันจริงๆ ในเขตพื้นที่ที่มีความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจเข้ามข้นนั้น หากมีพิธีการให้การสงเคราะห์ จะพบว่าจำนวนผุ้ที่เข้ารับการสงเคราะห์นั้นน้อยลง และมักจะเป็นการเกณฑ์หรือขอร้องจากเจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ มากขึ้น แม้ว่าคนในพื้นที่นั้นอาจจะยังคงมีความยากจน หรือมีรายได้ไม่สูงมากนักก็ตาม ยกเว้นว่าในเขตห่างไกลมากๆ หรือในช่วงเวลาวิกฤติภัยธรรมชาติ การรับของแจกจึงไม่ใช่เรื่องพิเศษที่ควรจะรำลึกถึงบุญคุณผุ้ให้อีกต่อไป หากแต่เป็นเรื่องไร้ความหมายมากขึ้นๆ ที่สำคัญ นอกจากไร้ความมหายแล้ว ยังแฝงด้วยความรุ้สึกว่าถุกดูหมิ่นศักดิ์ศรีอีกด้วย
           กล่าวไ้ว่ ความเปลี่ยนแปลวทางเศรษฐกิจ ได้ทำให้เปลี่ยนแปลงลักษณะของความยากจน จากคยาม "ยากจนสมบูรณ์" มาสู่ความ "ยากจนเชิงสัมพัทธ์" และความเปลี่่ยนแปลงนี้ได้ทำให้ความคิดทางด้านความสัมพันธ์ทางสังคมเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
           ความ"ยากจนสมบูรณ์" ต้อการและยอมรับการสงเคราะห์แต่ความ "ยากจนเชิงสัมพันธ์" ต้อวการโอากสและความเท่าเที่ยมกัน
           ในเขชตพื้นที่ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี ระบบอุปถัมภ์ในชนบทที่ครังหนึ่งเคยเ็นการจัดความสัมพันธ์ทงสังคมเชิงผู้ใหญ่ ผู้น้อยและเป็นเชิวสงเคราะห์ ก็ต้องปรับเปลี่ยนอย่างลึกซึ้ง จากเดิมที่สามารถเรียกร้องความจงรักภักีได้ยาวนาน ก็เป็นเพียงแลกเปลี่ยนความจงรักภักดีกันเป็นครั้งๆ ไป จนอาจจะกล่วได้ว่าได้สูญเสียลักษณุะสำคัญของระบบอุปถัมภ์ไปหมดแล้ว
          ในขณะที่ความเจริญเติบโตทางเศราฐกิจผลักให้ประเทศไทยเข้าสู่กลุ่ม "ประเทศที่มีรายได้ปานกลาง" ในนิยามของธนาคารโลก ขณะที่ผลประโยชน์ในภาคเกษตรตกอยู่กับพ่อค้าคนกลางและบิรษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเกษตรมากกว่าเกษตรกรรายย่อย ส่งผลให้ประชาชนในชนบทดิ้นรนแสวงหารายได้ทางอื่นนอกภาคเกษตร ครหลายล้านคนย้ายเข้ามาทำงานในตัวเมือง มีรายได้จากการเกษตรน้อยลงอย่างต่อเนื่อง
           ผศ.ดร. อภิชาติ สถิตนิรามัย จากคณธเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร ขยายความผลพวงของปรากฎการณ์นี้ที่มีต่อลักษณะของ "ระบบอุปถัมภ์" ในชนบทว่า
         
เมื่อเงินได้ส่วนใหญ่มาจากนอกภาคเกษตร สิ่งทนี้อย่งน้อยก็หมายความว่า แหล่งเงินได้ของชาวชนบทมีหลายแหล่งมากขึ้นรวมทั้งแหล่งเิงนกุ้ในระบบ เช่น กองทุนหมุ่บ้าน กลุ่มออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ก็เพ่ิมขึ้นด้วย ดังนั้นชาวชนบทจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพิงผุ้อุปถัมภ์ในภาคการเกษตรน้อยลบงด้วย ในอีกด้านหนึ่งนโยบายประชานิยมหลายแบบก็ทำให้ชาวชนบทไม่จำต้องพึ่งพิงผู้อุปถัมภ์ท้องถ่ินอีกต่อไป พุดอีกแบบคือ นโยบายประชานิยมทำหน้าที่แทนผุ้อุปถัมภ์ดั้งเดิม ในแง่นี้ ชาวชนบทส่วนใหญ่จึงหลายเป็นเสรชนที่หลุดออกจากเครือข่ายอุปถัมภ์แบบเดิมๆ แล้ว เขาไม่มีความจำเป็ฯใดๆ ที่จะต้องเชื่อฟังหัวคะแนนอีกต่อไป
          นอกจากระดับ "ความยากจนสัมพันธ์" (ความเลื่อล้ำ) จะส่งผลต่อความรุ้สึกว่าภาวะนี้ "รับไม่ได้" มากกว่าในอดีตแล้ว บรรดา "คนจน" และคนเฉียดจน" ในไทย ของประชากรทั้งประเทศ หรือ 19.6 ล้านคน) ยังมีความไม่มั่นคงในชีวิตสูงกว่าครึ่งศตวรรษก่อน เนื่องจากการดำรงชีวติของพวกเขาต้องพึ่งพาอาศัยระบบตลาดมากว่าเดิม
          ย้อนหลังกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2505 ประเทศไทยยังมีป่าไม้ราว 17.1 ล้านไร่ หรือร้อยละ 53.3 ของพื้นที่ทั้งประเทศสภาพแวดล้อมโดยรวมยังอุดมสมบูรณ์ คนในชนบทถึงแม้จะมีรายได้ต่ำก็ยังสามารถพึ่งพาธรรมชาติได้มาก ทั้งการหาอาหารและนำทรัพยากรมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในครัวเรือน ทำให้อยู่ได้อย่งไม่ขัดสนถึงแม้จะมีเงินสดน้อยก็ตาม
         ห้าทศวรรษหลังจากปี 2505  ประชากรไทยเพ่ิมขึ้นกว่า 2.3 เท่า ป่าไม้และสิ่งแวดล้อมถูกทำลายไปกว่าครึ่ง ไม่สามารถเป็นแหล่งยังชีพของผุ้คนได้เหมือนเคย ระบบเศราฐกิจเข้าสุ่ทุนนิยมอุตสาหกรรมและสังคมบริโภคนิยมอย่างเต็มตัว คนทุกระดับใช้จ่ายเพื่อการบริโภคมากขึ้น นอกจานี้คาครองชีพ (เงินเฟ้อ) ก็เพิ่มสูงขึ้นในเวลาเดียวกัน ส่งผลให้กำลังซื้อที่แท้จริงเพ่ิมขึ้นน้อยกว่ารายได้ที่เป็นตัวเงิน ทั้งหมดนี้หมายความว่า ถึงแม้คนไทยโดยเฉลี่ยจะมีรายไ้มากขึ้น "คนจน" และ "คนเฉียดจน" ก็น่าจะมีความไม่มัี่นคงในชีวิตสูงกว่าสมัยที่ปู่ย่าตายายของพวกเขายังเด็ก...

          บางส่วนจาก "ความเหลื่อมล้ำ ฉบับพกพา", โดย สฤณี อาชวานันทกุล.

           ถ้าหากความเฃื่อมล้ำเกิดจาพฤติกรรมส่วนบุคคลล้วนๆ เราก็คงไม่มองว่าความเเหลื่อมล้ำระหว่างบุคคลทั้งสองนี้เป็น "ปัญหา" ที่ควรได้รับการแก้ไข แต่ในโลกแห่งความจริงความเลหื่อมล้ำไม่ว่าจะมิติใดก้ตามมัจะเป็นผลลัพธ์ ของเหตุััจัยต่าง ๆที่สลับซับซ้อนและซ้อนทับกัน หลายปัจจัยอยู่ นอกเหนือการกระทำของปัจเจก และเป็น "ปัญหาโครงสร้าง"ของสังคม
            มุมมองเรื่องความเหลื่อมล้ำว่ามิติใดเป็น "ปัญหา" บ้างและถ้าเป็นปัญหาเราควรแแก้ไข "อย่างไร" นั้นเป็ฯเรื่องที่ถกเถียงกันได้มาก แต่ประเด็นหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คื สังคมที่มีความเลื่อมล้ำสูงเป็นสังคมที่คนรู้สึกว่า "ไม่น่าอยู่" เพราะรู้สึกว่าคนจนขยับฐานะลำบากไม่ว่าจะขยันเพียงใด เพราะช่วองว่างใหญ่มาก ส่วนคนรวยที่ "เกิดมารวย" ก็ใช้ความมั่งคีั้งสะสมที่บิดามารดามอบให้เป็นมรดกสร้างความมั่งคั่งต่อไปได้อย่างง่ายดาย
            ความเลื่อมล้ำเป็น "ปัญหา" ในสังคมเพราะคงไม่มีใครอยากอยุ่ในสังคมที่สถานภาพและฐานะของผุ้คนถูกตอกตรึงตั้งแต่เกิด เพราะทุกคนเลื่อกเกิดไมได้ แต่อยากมีสิทธิแลเสรีภาพในการเลื่อกทางเดินชีวิตของตัวเอง ถ้าหากความเลื่อมล้ำส่วนหนึ่งเป้นผลลัพธ์ขอปัญาเชิงโครงสร้าง เราก็ย่อมบรรเทาหรือกำจัดมันได้ด้วยการแห้ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านั้น
           
นพ.ประเวศ วะสี กล่าวใปี พ.ศ.2544 ว่า "คนไทยควรจะทำความเข้าใจว่า ความยากจนไม่ไ้เกิดจากเวรกรรแต่ชาติปางก่อน แต่เกิจากโครงสร้างที่อยุติธรรมในสังคม ต้องทำความเข้าใจโครงสร้างและช่วยกันปฏิรุปโตรงสร้างที่ทำให้คนจน"
             นิธิ เอียวศรีวงศ์ : ความเหลื่อมล้ำอาจเกิดได้ 4 ด้านด้วยกัน คือเหลื่อมล้ำทางสิทธิ-โอกาส-อำนาจ-ศักดิ์ศรี ไม่จำเป็นว่าความเหลื่อล้ำท้ง 4 ด้านนี้ต้องเกิดขึ้นจากกฎหมายเพียงอย่างเดียว ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากแนวทางการปฏิบัติ หรือพูดให้กว้างกว่านั้นคือเกิดในทาง "วัฒนธรรม"มากกว่
            เช่นคนที่ไม่มีหลักทรัพย์ย่อมเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ยาก ไม่มีกฎหมายใดบังคับว่าธนาคารต้องให้กู้ได้เฉพาะผู้ที่มีหลักทรัพย์แต่ธนาคารกลัวเจ๊ง จึงเป้ฯธรรมดาที่ต้องเรียกหลักทรัยพืค้ำประกันเงินกู้ ในขณธเดียวกัน ธนาคารไทยไม่เห็นความจำเป็นจะทำไมโรเครดิตกับคนจน เพราะแค่นี้ก็กำไพอแล้วจึงไม่มีท้งประสบการณ์และทักษะที่จะทำ แม้รู้ว่าจะมีลูกค้าจำนวนมหึมารออยู่ก็ตาม..นี้คือโลกทัศน์ของในธนาคารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "วัฒนธรรม"
             "ความเหลื่อมล้ำ" ทางเศณาฐกิจนั้นมีอยู่จริง และตนิงจนน่าวิตกด้วย เพราะมันถ่างกว้างขึ้นอย่างน่าตกใจตลอดมา แต่เป็นหนึ่งใน "ความเหลื่อล้ำ" ด้านโอกาส ด้านอำนาจ ด้านสิทธิ จนทำให้คนส่วนหใหญ่ด้อยศํกดิ์สรี ไม่ใช่เรื่องจน-รวยเพียงด้านเดียว
             หรือในทางกลับกัน เรพาะมีอำนาจน้อย จึงถูกคนอื่นแย่งเอาทรัพยากรที่ตัวใช้อยุไปใช้ เหรือต้องคำพิพากษาว่าทำให้โลกร้อน ต้องเสียค่าปรับเป็นล้าน ทำมาหากินด้วยทุกษะทีตัวมีต่อไปไม่ได้ จึงหมดปัญญาหาส่งลูกเรียนหนังสือ ในที่สุดก็จนลง สิทธิก็ยิ่งน้อยบง โอกาสก็ยิ่งน้อยลง อำนาจก็ย่ิงน้อยลง และศักดิ์ศรีก็ไม่มีใครนับขึ้นไปอีก
              อีกด้านหนึ่งที่ลืมไม่ได้เป็นอันขาดคือ "ความเหลื่อมล้ำ" เป็นความรู้สึกนะครับ ไม่ใช่ไปดูว่าแต่เดิมเอ็งเคยได้เงินแค่วันละ 50 เดี่๋ยวนี้เองได้ถึง 200 แล้วยังจะมาเหลื่อล้ำอะไรอีก..
              เหตุผลร้อยแปดที่ทำให้ความพอใจในตนเองของแต่ละคนหายไป จะดูแต่รายได้ที่เป็นตัวเงินอย่างเดียวก็ไม่มีวันเข้าใจ เพราะความพอใจในตนเองนั้นมีเลื่อนไขทางสังคม วัฒนธรรมกำกับอยู่ด้วยเสมอ ยกเว้นแต่พระอริยบุคคล...(บางส่วนจาก นิธิเอียวศรวงศ์ "ความเหลื่อมล้ำ"มติชนสุดสัปดาห์ ฉบัยวันที่ 27 สิงหาคม -2 กันยายน 2553 ฉบับที่ 1567)
           
แนวคิดหลักว่าด้วยความเหลื่อมล้ำ
             ถึงที่สุดแล้ว คำถามที่ว่า ความเหลื่อล้ำในสังคมด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านเศราฐฏิจนั้นเป็น "ปัญหา" ที่เราต้องหาทางแก้ไขหรือไม่ และถ้าต้องแก้ควรใช้วิธีอะไร เป็นคำถามที่ขึ้นอยุ่กับอุดมกาณ์หรือจุยืนของคนในสังคม ปัจจุบันมีสำนักคิดหใญ่ 3 แห่งที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายและวิวาทะสาธารณธในกรอบของระบบเศราฐกิจแบบทุนนิยม ได้แก่ เสรีนิยม ความยุติธรรมทางสังคม และสมรรถภาพมนุษย์ ความแตกต่างระหว่างสำนัคิดทั้ง 3 ส่วนอยู่ที่การให้น้ำหนักกับ "เสีรภาพของปัจเจก" และความยุติธรรมในสังคม" ไม่เท่ากัน
             สำนักคิดทั้ง 3 นี้มีความ "เท่าเทียมกันทางศีลธรรม" กล่าวคื อไม่มีชุดหลักเกณฑ์สัมบูรณ์ใดๆ ที่จะช่วยเราตัดสินได้ว่าสำนักคิดใด "ดีกว่า" หรือ "เลวกว่า"กัน เนื่องจากต่างก็มีจุดยืนทางศีลธรรม้ดวยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ให้นำหนักกับคุณต่าหรือคุณธรรมต่างๆ ไม่เท่ากัน การตัดสินว่าจะเชื่อหรือประยุกต์ใช้แนวคิดของสำนักคิดใดสำนักคิดหนึ่งจึงน่าจะตั้งอยุ่บนการประเมินผลได้และผลเสียของแต่ละเแนวคิดเปรียบเที่ยบกับสภาพเศณาฐกิจและสัคมที่เป้นจริง มากกว่าการใช้มาตรวัดทางศีลธรรมไดๆ ที่เป็นนามธรรมดดยไม่คำนนึงถึงสถานการณ์จริง...
         
ความเหลื่อมล้ำกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย
            มุมองของคนเกี่ยวกับความเหลื่อล้ำแต่ละด้านว่าอะไรเป็น "ปัญหา" และถ้าเป็นปัญหาควรแก้ไข "อย่างไร" นั้นไม่ได้เป็นส่ิงที่หยุดนิ่งตายตัว ท่าผันแปรไปตามการเปลี่ยนแปลงทางเศณาฐกิจแลสะสังคม
            สินค้าอุปโภคบริโภคที่คนมองว่าเป็นเรื่่องปกติธรรมดาในวิถีชีวิตปัจจุบัน ไม่ใช่สิ่งทีอยู่นอกเหนือจินตนาการของคนไทยส่วนใหญ่ เนื่องจากการเติบโตทางเศณาฐกิจของไทยซึ่งสามารถเติบโตเฉลี่ยถึงร้อยละ 7 ต่อปี เป้นเวบลานานหว่า 25 ปี ส่งผลให้ "ความยากจนเชิงสัมบูรณ์" ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ความเจริญเติบโตทางเศณาฐกิจ ประกอบกับการขยายตัวของบริการทางการเงิน สงผลให้แม้แต่ประชากรที่มีรายได้เพียง สีถึงห้าพันบาท ต่อเดือนก็สามารถมีสิ่งอำนวนความสะดวกสมัยใหม่นอกเหนือจากปัจจัยสี่ ได้อย่างไม่ลำบาก
           การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่กล่าวถึงข้างต้นทให้ปัจจุบัน "ความยากจนสัมพัทธ์" มีน้ำหนักมากว่า "ความยากจนสัมบูรณ์" ในการประกอบสร้างเป็น "ความเหลื่อมล้ำที่คนรู้สึก" แต่ความเหลื่อล้ำที่คนรุ้ึกนั้นก็ใขช่ว่าจะรู้สึกเหมือนกันหมดในบทความเรื่อง "ความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมในสังคมไทย" ในหนังสือพิมพ์ กรุเพทธุรกิจ พฤษภาคม 2553 รศ.ดร. อรรถจักร์ สัตยนุรักษ์ จากคณธมนุษยศาสตร์ ม.เชียวใหม่ ได้อธิบายมุมมองเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำที่แตกต่างกันมากระหว่างชนชั้นไว้อย่างชัดเจนดังต่อไปนี้
         
"ถึงวันนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าความเหลื่อมล้ำทางเศณาฐกิจ เป็นรากฐานของความขัดแย้งในสังคมไทย เพียงแต่ว่ามุมมองของความเหลื่อล้ำนี้แตกต่างกันไปตามสถานะและชนชั้น
            ชนชั้นนำและชนชั้นกลางที่ได้รับประโยชน์จากความเหลื่อมล้ำนี้ จะเห็นว่สังคมไทยรับรู้เรื่องนีดีอยุ่แล้ว และรัฐก็พยายามชวยเหลืออยุ่ และมักจะสรุปว่าสภาพความเหลื่อมล้ำก็ดีกว่าเดิมมาก แม้วากลุ่มนี้จะมีความปรารถนาดีต่อคนจนอยุ่ แต่ก็เป็นลักษณะของการ "มองลงต่ำ" หรือเป็นการเห็นและช่วยคนจนในรูปแบบของการ "ก้มหัว" ลงไปช่วยเหลือเป็นหลัก รูปแบบการ "ก้มหัว" ลงไปช่วยเหลือคนจนปรากฎ ก็คือ การ "สงเคราะห์" เป็นครั้งเป็นคราวไป...(To be Countinue...)

             - "ความเหลื่อมล้ำ ฉบับพกพา" โดย สฤณี อาชวานันทกุล, หน้า 17-33
         
         

วันอังคารที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Income Distribution

           การกระจายรายได้ หมายถึงการแบ่งสันปันส่วนผลผลิตมวลรวมของประเทศ ในหมู่ประชากรของประเทศ โดยใช้เป็นปัจจัยชี้วัดความเท่าเที่ยมทางสังคม ความเท่าเที่ยมทางเศราฐกิจ และการพัฒนาเศราฐกิจอย่างสมดุล
           การกระจายรายได้เป็นัชนีตัวหนึ่งที่ใช้ในการวัดค่าความไม่เท่าเที่ยมทางเศราฐกิจ ซึ่งมิใช่เรื่องเดียวกันกับความยากจน ความไม่เท่าเที่ยมในเชิงเศรษฐกิจที่วัดโดยใช้การกระจายรายได้นั้นจะดูจากการแบ่งสันปันสวนผลผลิตมวลรวมของประเทศโดยแบ่งประชาชนออกเป็นส่วน แล้วดุว่าประชาชนสวนที่ได้รับรายได้สูงสุดนั้นได้ับรายได้มากว่า ประชาชนส่วนที่ได้รับรายได้น้อยที่สุดเ่าไร แลวคิดออกมาเป้นสัดส่วนที่บ่งชี้ความมไ่เท่าเที่ยมทางเศรฐกิจ
           ดังนั้น แม้จะมีความไม่เท่าเที่ยมทางเศราฐกิจก็มิได้หมายคึวามว่าจะมีความยากจนเพราะประชาชนส่วนที่มีรายได้น้อยที่สุดอาจจะมีรายได้เหือเส้นความยากจน หรือแม้แต่มีชีวิตความเป็นอยุ่ที่ดีก็ได้ เพรียงแต่มีรายได้น้อยกว่าประชาชนที่มีรายได้มากที่สุดของประเทศอย่างมากเท่านั้น โดยวิธีการคิดคำนวณเช่นนี้อาจมิได้คำนึงถึง หรือละเลยส่ิงที่เรียกว่า "ช่อง่างระหว่างรายได้" อันเกิดมาจากการกระจายรายได้ที่ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งทำให้ความแตกต่างระหว่งผุ้ที่มีรายได้มากที่สุด กับผุ้ที่มีรายได้น้อยที่สุดของประเทศไทย มีความแตกต่างกันหล่ายยเท่า เพราะประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่อยู่เหนือระดับเส้นความยากจนก็อาจเป็นประเทศที่มีช่องว่างในการกระจายรายได้สูงหลายสิบเท่าได้ด้วยเช่นกัน
            วิธีที่นิยมใช้กันในการวัดการกระจายรายได้คือค่าสัมประสิทธิ์จีนี ซึ่งเป้นวิะีวัดการกระจายทางสถิติวิธีหนึ่ง ค่านี้จะบ่งชี้การกระจายรายได้โดยคิดออกมาเป้นอัตราส่นการกระจายรยได้ระหว่าง 0 กับ 1 "0" หมายถึงประชากรทั้งหมดมีรายได้เท่าเที่ยมกันอย่างแท้จริง และ "1" หมายถึงถ การเหลื่อมล้ำสมบูรณ์แบบซึ่งมีบุคคลเพียงคนเดียวมีรายได้ทังหมดขณะที่คนที่เหลือไม่มีรายไ้ดเลย (องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ) สัมประสิทธิ์จีนี จะถูกเปลี่ยนเป็นร้อยละเพื่อคิดเป็นดัชนีจีนีสำหรับวัดการกระจายรายได้ เช่น ประเทศเอยรมนีมีสัมประสิทธิ์จีนี จากการกระจายรายได้เท่ากับ 0.283 ดัชนีจีนีของเยอมนีจะเท่ากับร้อยละ 28.3
            ดัชนีจีน จะทำการชี้ยวัดการกระจายรายได้เพื่อวัดความเท่าเที่ยมทางเศราฐกิจของทังประเทศ ส่วนอัตราส่วนคนรวยคนจนที่แบ่งประชาชนออกเป็นกลุ่มๆ นั้นจะให้ข้อมูลของความแตกต่างระหว่างคนที่มีรายไ้มากที่สุดกับทคนที่มีรายได้น้อยที่สุดว่าความไม่เท่าเทียมมีความรุนแรงเพียงใด (โครงการ
พัฒนาแห่งสหประชาชาติ) เมื่อเรานึกถึงรูปภาพแก้วแชมเปญ เราสามารถเห็นภาพของปัญหาการกระจายรายได้และการถือครองทรัพยากรของประขากรโลกที่ไม่เป็นธรรม กล่าวคือ คนรวยที่สุด 20 เปอร์เซ็นต์ มีสวนแบ่งในด้านรายได้และทรัพยากรเพียง 1.4 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น ภาพแก้วแชมเปนปากกว้างและก้านเรียวเล็ก สะท้อนความไม่สมดุลในการกระจายรายได้ของประชากรโลกได้เป็นอย่างดี
           ดัชนีจีนีของประเทศไทย ซึ่งจัดทำโดยสหประชาชาติในปี ค.ศ.2013  อยู่ที่ 0.4 ส่วนสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐอเมิรกาให้ค่านในปีเดียวกันไว้ที่ 0.536  ทั้งนี้ค่าความเหลื่อมล่้ำในการกระจยรายได้ของประเทศถูกตั้งไว้ตั้งแต่ 0-1 โดยยิ่งมีค่าเพ่ิมจาก 0 มากเท่าไหร่ก็ย่ิงแสดงให้เห็นถึวความเลื่อมล้ำในการกระจายรายได้มาเท่านั้น
           ปัจจัยจำนวนมากสามารถก่อให้เกิดความไม่เท่าเที่ยมของรายได้ ตั้งแต่โคงสร้างทางสังคม เพศ เชื้อชาติ วัฒนธรรมการศึกษาทักษะของกแรงงาน จนถึงนโยบายของภาครัฐ อย่างนโยบายด้านภาษี นโยบายเศณาฐฏิจ นโยบายแรงงาน นโยบายการเงิน รวมถึงระบบเศราฐกิจ เทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติในการผลิต จนถึงอิทธิพลจากโลกาภิวัตน์แต่โดยพื้นฐนแล้วการกระจายรายได้ที่ไม่เท่าเที่ยมhttps://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89
กันนั้นมีสาเหตุมาจากธรรมชาติของการสั่งสมต้นทุนทางเศณาฐกจของผุ้เข้าแข่งขันในระบบตลาดเสรีทีจะได้เรียบผุ้ที่มีต้นทุนทางเศณาฐกิจที่น้อยกว่าอยุ่แล้ว ปัจจัยอื่นๆ จึงเป็นเพยงตัวเร่ง และขยายควาไม่เท่าเที่ยมดังกล่าวนี้ให้มากและรุรแรงมากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น สำหรับประเทศไทยนั้น สาเหตุสำคัญที่ตุ้นให้ความไม่เท่าเทียมนั้น สำหรับประเทศไทยนั้น สาเหตุสำคัญที่กระตุ้นให้ความไม่เท่าเที่ยมดังกล่าวนี้ทวีความรุนแรงมากย่ิงขึ้นก็คือ ความไม่เท่าเที่ยมในโอกาศทางการศึกษา ซึ่งส่งผลให้ประชากรส่วนใหญ่ต้องกลายเป้นประชาชนผู้รายได้ต่ำ และมีโอกาสเข้าสู่ระบบเศราฐฏิจขนาดใหย่เพื่อแสวงหาความมั่งคั่งและความเจริญก้าวหน้าทางเศณาฐฏิจได้น้อยกว่าคนอื่นๆ แม้รัฐบาลจะพยายามแก้ไขปัญหาด้วยการจัดให้มีการศึกษาภาคบังคับ และโครงการค่าเรียนฟรีแล้วก็ตา แต่ด้วยข้อจำกันางเศราฐฏิจของครอบครัวที่บีบบังคับ ทำให้ผุ้คนเหล่านี้ท้ายที่สุต้องผันตัวมาเ็นแรงงานรับจ้างที่มีรายได้ต่ำปัญหาที่ว่านี้ถูกสงต่อไปยังบุตรหลานรุ่นต่อๆไปของพวกเขา ในขณะที่ผุ้มีรายไ้สูงก็จะสามารถเข้าถึงและขยับขยายโอากสในการแสวงหาความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจได้อยู่เสมอ และส่งต่อโอกาสที่ว่านี้ไปยังลูกหลานได้ด้วยเช่นกัน ความแตกต่างในโอากสทางการศึกษาผลิตซ้ำความเหลื่อมล้ำดังกล่าวนี้ให้ห่างมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนมองว่าความเลหื่อมล้ำที่ถุกผลิตซ้ำส่วนหนึ่งเพราะรัฐไม่มีการจัดเก็บภาษีที่ดิน และภาษีมรดกในอัตราก้าวหน้า หากสามารถบังคัยช้กฎหมายภาษีทั้งสองประเภทได้ ช่องว่างในการถือครองทรัพย์สินคื อที่ดิน และการส่งต่อความมั่งคั่งคือมรดก ก็จะลดลงจาเดิม และจะสามารถตอบโจทย์ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของปัญหารการกระจายรายไ้ดของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี...

วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Tax and Reducing social gap

         ระบบภาษีถือเป็นกลไกที่มีความสำคัญยิ่งในการบริหารและพัฒนาประเทศ และมีความเกี่ยวของสัมพันธ์กับการลดความเหลื่อมล้ำทงเศณาฐกิจโดยตรง ในแง่หนึ่งภาษีคือแหล่งรายได้สำคัญที่สุดของรัฐบาล รายได้จาากภาษีมีควาสัมพันธ์โดยตรงกับโครงสร้างรายจ่ายภาครัฐ หากรัฐบาลมีความต้องการทีจะใช้จ่ายภาครัฐ หากรัฐบาลมีความต้องการที่จะใช้จ่ายเพ่ิมขึ้น ก็มีควาจำเป็นที่จะต้องเก็บภาษีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในแง่่นั้นนโยบายภาษีจึงมีผลต่อความสามารถในการดำเนินนโยบายต่างๆ เืพ่อลดความ
เหลื่อมล้ำในสังคมในอีกแง่หนึ่ง นโยบายภาษีสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการลดความเลื่อมล้ำไ้ในตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ ทั้งนี้ระบบภาษาีที่ดีควรเป้ฯระบบที่สามารถสร้างความเป้นธรรมให้กับประชาชนทุกคนในประเทศได้
            บทความนี้จะกล่าวถึงสถานการภาพรวม การวิเคราะห์ปัญหาความเหลื่อล้ำในระบบภาษีของประเทศไทยในปัจจุบัน และแนวทางในการปฏิรูประบบภาษาีให้มีความเป็นธรรม และเป็นเครื่องมือลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านการสรุปองค์ควมรู้จากงานศึกษาของนักเศราฐศาสตร์และนักวิชาการรุ่นหมสามท่าน ได้แก่ คร. ภาวิน สิริประภานุกูล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐ่ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในงานศึกษารเื่อง "ระบบภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ" (2554), ดร. ปัณณ์ อนันอภิบุตร หัวหน้าฝ่ายพัฒนโครงร้างภาษี สำนักนโยบายภาษี สำนักงานเสราฐกจิการคลัง กรทรวงการคลัง ในงาน
ศึกษาเรื่อง "การปฏิรูปภษาีเพื่อสังคมไทยเสมอหน้า" (2555) และคุณสฤณี อาชว่านั้นทกุล นักเขียนอิสระผุ้เขียนหลังสื่อ "ความเหลื่อมล้ำฉบับพกพา"(2554) ซ฿่งงานศ฿กษาทั้งสามช้ินนีเป็นงานช้ินล่าสุดที่น่ำเสนอประเด็นต่างๆ เีก่ยวกับระบบภาษีของไทยอย่างครอบคลุม ทำให้ผุ้อ่านเข้าใจสาถนการณ์ปัญหาและความสำคัญของระบบภาษีต่อการลดควมเหลื่อมล้ำของสังคมได้เป็นอย่างดี
               ระบบภาษีและควมเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ในช่วง ประมาณ 5 ทศวรรษที่ผ่านมา ถึงแม้ประเทศไทยจะมีอัตราการเจริญเติบโตของเศราฐกิจค่อนข้างสุง จากการปรับโครงสร้างทางเศราฐกิจสู่ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ แต่ความเหลื่อล้ำในการกระจายรายได้ยังคงเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ กล่าวคือ ผลประโยชน์จากการเจริญเติบโตทางเศราฐกิจไทยส่วนใหย๋ตกอยุ่กับคนกลุ่มเล็กๆ ในสงคม..ซึ่งโดยทั่วไปแล้วความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้เป็นส่ิงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการพัฒนาเศณาฐกิจของประเทศ แต่ความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ที่สูงเกินไป อาจส่งผลให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจ และทำลายความมันคงของระบบทุนนิยมประชาธิปไตยได้
            เครื่องมือทางการคลังนั้นแบ่งออกำป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือเครื่องมือด้านรายนรับซึ่งคือภาษี และเครื่องมือด้านรายจ่าย ซึ่งคือการใช้จ่ายผ่านงลประมาณผ่านโครงการและนโยบายต่างๆ เครื่องมือสองประเภทนี้เป็นเสมอนเหรียญสองด้านที่แยกชขาดจากกันไม่ได้ ในประเทศซึ่วงบประมาณของรัฐบาลพึ่งพิงรายๆด้จากภาษีเป้นสวนใหญ่เช่นประเทศไทย
          ที่ผ่านมารัฐบาลไทยไม่สามารถใช้เครื่องมือด้านรายจ่ายในการลดความเลื่อมล้ำของสังคดดยตรงได้ไม่มากนัก ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 งบประมาณยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคมคุณภาพชีวิต และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม คิดเป็นสัดส่วนเพียงประมาณร้อยละ 8 ของจีดีพี เท่านั้น ในขณะทีค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการของโลกมีค่าเฉลี่ยอยุ่ที่ร้อยละ 13.2 ทั้งที่การมช้จ่ายต่างๆ มีความสำคัญอย่งยิงต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชน ดดยเฉาพะอย่างยิ่งคนจนและผุ้ด้อยโอากสทางสังคม เหตุผลส่วนหนึ่งอาจมาจากการไม่ให้ความสำคัญของรัฐบาลเอง แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลมีข้อจำกัดในการใช้งบประมาณรายจาย ซึ่งเป็นผลจากความจำกัดของรายได้จากภาษี โดยเฉพาะอยางยิ่งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
            ท่ามกลางปัญหาการพัฒนาเศรษฐกิจไทยที่ขาดการกระจายผลประดยชน์จากากรเจริญเติบโตทางเศราฐกิจอย่งเท่าเทียม ประกอบกับยความจำกัดในการใช้มาตรการรายจ่ายภาครัฐเพื่อแก้ปัญหาความเลหื่อมล้ำนี้เอง มาตรการทางภาษี คือกลไกทางการคลังทมี่มีความสำคัญอย่างยิ่งและไม่ควรถูกละเลยในการเติมเต็มช่องว่างและแก้ปัญหาต่างๆ ดังกล่าว
          แต่..ระบบภาษีที่พึงปรารถนานั้นควรมีหน้าตาอย่างไร ในทางทฤษำีระบบภาษาีที่ดีนั้นควรเป้นระบบที่มีคุณสมบัติต่างๆ เืพ่อบรรลลุเป้าหมายที่หลาหลาย เช่น ควรสร้างรายได้ที่สร้างรายได้ให้เพียงพอกับต่อการใช้จ่ายของรัฐบาล ควรสร้างควาบิดเบือนให้กับระบบเศรษฐกิจที่น้อยที่สุด ควรเอื้อให้เกิดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ควรมีความง่ายและก่อให้เกิดต้นทุนในการบริการจัดการที่น้อยทีุ่สด และที่สำคัญ ซึ่งเป้นคุณสมบัติที่อยุ่ในความสนใจของบทความช้ินนี้คือ ระบบภาษาีควรมีความเป้ฯธรรมต่อประชาชนทุกคนในประเทศ
         
 ระบบภาษีที่มีความเป็นธรรม
           แนวคิดเกี่ยวกับระบบภาษีเป็นธรรมสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่ แนวคิดการจัดเก็บภาษีตามหลักผลประโยชน์ และแนวคิดการจัดเก็บภาษีตามความสามารถในการจ่าย ทั้บงองรูปแบบนี้มีเหตุผลที่ได้รับประโยชน์ต่างๆ เหล่านั้นในระดับที่นอยกว่า อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้มีความขชัดแย้งเป้าหมายในการลดความเลหื่อล้ำในสังคม ดังนั้นบทความนี้จึงให้ควาใสใกับแนวคิดความเป็นธรรมในลักษณที่สองมากกว่า ซึ่งตามหลักการนี้ ระบบภาษีที่เป็นธรรมควรนำมาซึ่งการจัดเก็บภาษีในระดับที่สูงกว่จากผุ้จ่ายภาษีที่มีความสามารถในการจ่ายที่สูงกว่า โดยไม่คำนึงถึงประดยชน์ที่ผุ้เสียภาษาีแล่ละคนได้รับเป็นการแยกการพิจารณาระบบภาษาีออกจากกิจกรรมและภาษีในระดับที่สูงกว่จากผุ้จ่ายภาษีที่มีความสามารถในการจ่ายที่สุงกว่า โดยไม่คำนึ่งถึงประดยชฯน์ที่ผุ้เสียภาษีแต่ละคนได้รับ เป้ฯการแยกการพิจารณาระบบภาษีออกจากิจกรรมและมาตรการต่างๆ ของรัฐยาล การจัดเก็บภาษีตามหลักการนี้จึงมีความสอดคล้องกับบทบาทของภาษีมในฐานะเป้นเครื่องมือในกาลดความเหลื่อมล้ำโดยตรง
           ตามหลักการการจัดเก็บภาษีบนฐานแนวคิดความสามารถในการจ่าย ระบบภาษีที่เป้นธรรมควรมีลักาณมีความเป้นธรรมตามแนวนอน และมีความเป้นธรรมตามแนวดิ่ง โดยระบบภาษาีที่มีความเป้ฯธรรมตามแนวนอนนั้น (ุ้เสียภาษีที่มีความสามารถในการจายเท่าเที่ยมกันควรต้องจ่ายภาษีในระดับที่เท่กัน ในขณะที่ระบบภาษาีที่ความเป้นธรรมดามแนวดิ่ง ผุ้ที่มีความสามารถในการจ่ายภาษีมีมากว่าควรต้องรับภาระในการจ่ายภาษีในระดับที่สูงกว่า ทั้งนี้รัฐบาบลมีความจำเป้นที่จะต้องมีมาตวัด "ความสสามารถในการจ่าย" ที่เป็นธรรมให้แก่ผุ้จ่ายภาษีทุกคน ซึ่งดดยทั่วไปแล้วความสามารถในการจ่ายของผุ้เสียภาษีจะถูกวัดจากตัวแปรหลัก 3 รูปแบบ ได้แก่ รายได้ของผุ้จ่ายภาษี, ระดับการบริโภคของผุ้จ่ายภาษีและระดับความมั่งคั่ง ของผุ้จ่ายภาษี
            ภาษีในฐานเครื่องมือในการลดความเหลื่อมล้ำ แนวคิดในการใช้นโยบายภาษีเป็นเครื่องมือในการลดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้เร่ิมเป็นที่นิยมในช่วงประมาณ ทศวรรษที่ 1950-1960 โดยให้ความสำคัญกับการเก็บภาษีจากฐานเงินได้ในอัตราก้าวหน้าสูงๆ ทั้งนี้เพราะรายได้ เป็นสิ่งสะท้อนถึงฐานะและความสามารถทางเศราฐกิจของบุคคลในการเสียภาษีได้ดีที่สุด ภายใต้แนวคิดนี้ รัฐบาลควรออกแบบระบบภาษีให้การเก็บภาษีบนฐานรายได้ซึ่งเป้นภาษีทางตรง ทดแทนภาษีทางอ้อมให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้ภาษีเป็นเครื่องมือในการลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ในประเทศ และสร้างรายรับให้กับรัฐบาลมากที่สุด
            ภายหลังวิกฤติเศราฐกิจโลกในทศวรรษ 1970 นักเศรษฐศาสตร์เร่ิมเปลี่นเป้าหมายของนโยบายภาษีมาสู่การส่งเสริมให้เกิดสร้างความเจริญเติบโตทางเศณาฐกิจแทน ภายใต้แนวคิดนี้รัฐบาลมุ่งเก็บภาษีรายได้ในอัตราก้ายหน้าเพียงเล็กน้อย หรือเก็ฐในอัตราเดียว เพื่อเชื่อว่าการจัดเก็ฐภาษีเงินได้ในอัตราก้าวหน้า จะส่งผลบั่นทอนแรงจูงใจในการทำงาน อันจะส่งผลลบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการคิดค้นนวัตกรรมในภาคธุรกิจ รฐบบาลจึงหันมาให้ความสำคัญกับการเก็บภาษีมูลค่าเพ่ิมซึ่บมีฐานภาษีกว้างและสามารภจัดเก็บได้ง่ายกว่าแทน แนวคิดลักษณะนี้ได้กลายมาเป็นแนวคิดนโยบายภาษีกระแสหลักในหลายประเทศทุกวันนี้ ดดยเฉาพะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศไทยด้วย....http://v-reform.org/v-report/tax_review1/
           

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...