บัลแกเรียเป็นประเทศของฝ่ายมหาอำนาจกลางที่เจรจาสงบศึกในวันที่ 29กันยายน 1918 และตามมาด้วยจักรวรรดิออตโตมันเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 1918
หลังจากยุทธการวิตโตริโอ เวเนโต ของอิตาลีก็ทำให้ออสเตรีย-ฮังการีถึงจุดจบ การสลายตัวของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี กรุงบูดาเปสต์ ปราก และแซกเกร็บประกาศเอกราช การสงบศึกจัดการโดยทางโทรเลขกับฝ่า่ยสัมพันธมิตรในกรุงปารีส มีการลงนามในวิลลา กิอุสติ เมื่อวันที่่ 3 พฤศจิกายน 1918 ออสเตรียและฮังการีแยกกันลงนามสงบศึกหลังล้มล้างราชวงศ์ฮัมส์บูร์ก
ต้นปี 1917 เยอรมนีประสบปัญหาและความยุ่งยากหลายประการ เนื่องจากประเทศเยรมนีใช้เงินที่มีอยุ่ในการทำสงครามจนหมด เกิดการปั่นป่วนทางภาวะการเงินและเศรฐกิจของประเทศ เสบียงอาหารและวัตถุดิบที่ผลิตในประเทศไม่พอเลี้ยงทหารและประชาชน การติดต่อกับประเทศที่เป้นกลาง และพันธมิตรของตนถูกขัดขวางจากฝ่ายตรงข้าม โดยอังกฤษทำการปิดล้อมและขัดขวางการติดต่อของเยอรมนีกับโลกภายนอก ในขณะที่ฝ่ายพันธมิตรได้รับความช่วยเหลือจากอาณานิคมของตน และได้รับการสนับสนุนทางการเงินและอาวุธจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
แม้ในช่วงต้นเยอรมนีจะได้เปรียบคู่ต่อสู้ในหลายด้านแต่เมื่ออเมริกาประกาศสงครามกับเยอรมนีเนื่องจากสงครามเรือดำน้ำแบบไร้ขอบเขตของเยอรมนีสถานะการณ์จึงเปลี่ยนไป ปลายปี 1917 พันธมิตรของเยรมนีต่างพ่ายแพ้และเรียกร้องความช่วยเหลือจากเยอรมนี ทหารเยอรมันส่วนหญ่ทราบสถานการณ์ประเทศของตนเป็นอย่างดี
แม้ว่ารัสเซียจะออกจากสงครามและเยอรมนีถอนกำลังพลจากทางตะวันออกมาเสริมทางตะวันตกและทำการรุกครั้งใหญ่แต่เมื่อไม่ประสบความผลใดๆ เยรมนีจึงเริ่มถอย
8 สิงหาคม 1918 นายพล ฮินเดนบาร์ก และนายพล ลูเดนดอร์ฟแนะนำในห้รัฐบาลเยอรมันหาทางทำสัญญาสงบศึก
3 ตุลาคม 1918 เจ้าชาย แ็ม็กส์ ฟอน บาเดน Max von Baden ไดัรับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของจักรวรรดิเยอรมนี และติดต่อของทำสัญญาสงบศึกกับประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา วูดโร วิลสันในวันรุ่งขึ้น
เหตุการณ์ภายในประเทศเยอรมนี
8 สิงหาคม 1918 ทหารเยอมันไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของกองบัญชาการทหารสูงสุด ที่สั่งทหารว่างอาวุธ โดยเฉพาะทหารเรือไม่พอใจที่จะให้ทหารอังกฤษเข้ายึดเรือรบเยอรมัน
29 ตุลาคม 1918 ทหารเรือทำการจมเรือทั้งหมดของเยอรมันที่อยู่ ในฐานทัพ
4 พฤศจิกายน 1918 ทหารเรือและประชาชนในเมืองคีล Kiel ก่อความวุ่นวายและสามารถยึดครองเมืองคีลได้ ซึ่งเป็นเหตุให้ทหารและประชาชนในเมืองต่าง ๆ เอาเป็ยเยี่ยงอย่าง เกิดความวุ่นวายขึ้นในหลายเมือง นายพลฮินเดนบวร์ก โทรเลขติดต่อและทูลแนะนำให้จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ขณะนั้นทรงบัฐชาการรบอยู่ที่เมือสปา ในเบลเยี่ยม ให้ทรงสละราชสมบัติ พระองค์ทรงลังเล เจ้าชาย แม็ก วอน บาร์เดน ซึ่งเกรงจะเกิดจราจลเเละเป็นอันตรายต่อเชื้อพระวงศ์และพระมหากษัตริย์เองจึงประกาศการสละราชสมบัติของจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 และมกุฎราชกุมารเจ้าชายวิลเฮล์ม
ฟิลลิปป์ ชเดมันน์ Philipp Scheidemann ผู้นำสำคัญพรรคสังคมประชาธิปไตรเยอรมัน เรียร้องให้เยอรมนีมีการปกครองในระบอบสาธารณรัฐ Republik ในวันต่อมาเจ้าชาย Max von Baden จึงมอบตำแหน่างนายกรัฐมนตรีห้กับหัวหน้าพรรคสังคมประชาธิไตยเยอรมนี นายฟริคริคช์ เอเบอร์ท ในวันเดียวกันจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 เสด็จจากเมืองสปา ลี้ภัยทางการเมืองไปที่ประเทศฮอลแลนด์
11 พฤศจิกายน 1918 เวลา 11:00น. บนตู้รถไฟในคองเปียญ นายทัททิอัส แอสแบร์เกอร์ Matthias Erzberger ผู้แทนของประเทศเยอรมนีได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพกับผู้แทนของฝ่ายสัมพันธมิตร นายพลชาวฝรั่งเศส เฟอร์ดินานด์ ฟอค จึงเป็นอันยุติสงครามโลกครั้งที่ 1...
วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556
วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556
WWI:การตอบโต้
เยอรมนีเริ่มปฏิบัติการเกอเก็ทเธอร์ ที่เมืองท่าช่องแคบอังกฤษทางหนือ ทางใต้เริ่มปฏิบัติกรบบลอแชร์และยอร์ค ซึ่งเป้าหมายคือกรุงปารีส ปฏิบัติการมาร์นเริ่มภายหลังต่อมาโดยพยายามจะล้อมแรมส์และเร่ิมต้นยุทธการแม่น้ำมาร์นครั้งที่ 2
การตีตอบโต้ของสัมพันธมิตรได้ผลและกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการรุกร้อยวันในเวลาถัดมา
20 กรกฏา 1918 กองทัพเยอรมนีถูกผลักดันข้ามแม่น้ำมาร์นโดยไม่บรรลุวัตถุประสงค์ใดๆ
การรุกร้อยวันโดยฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มในวันที่ 8 สิงหารคม 1918 ในยุทธการอาเมียง ทัพอังกฤษ อยู่ทางปีกซ้าย ทัพฝรั่งเศสอยู่ทางปีกขวา โดยมีกองทัพน้อยออสเตรเลียและแคนาดาเป็นหัวหอกในการโจมตีตรงกลาง สามารถรุเข้าไป12 กิโลเมตรในดินแดนที่เยอรมนถือครองเพียงเจ็ดชัวโมง
20 สิงหา 1918 ฝรั่งเศสทางปีกขวาจับกุมเชลยศึก 8,000 คนปืนใหญ่ร้อยกระบอก และยึดครองที่ราบสูง Aisne ซื่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบและสามารถมองเห็นที่ต้องของเยรมนีทางเหนือ
ในขณะที่กองทัพอังกฤษทางปีกซ้ายรายงานว่าข้าศึกบนแนวรบลดจำนวนลงจากความสูญเสียและล่าถอย คำสังโจมตีด้วยรถถัง 200 คนเพื่อเปิดฉากยุทธการอัลแบ โดยมีจุดมุ่งหมายเจาะแนวรบข้าศึก เพื่อที่จะตีโอบปีกข้าศึกที่อยู่บนแนวรบ
แนวรบยาว 24 กิโลเมตรของทัพอังกฤษ สามารถสู้รบต่อไปทางปีกซ้ายและส่งผลให้ยึดอัลแบร์กลับคืนได้ในขณะเดียวกัน กองพลนิวซีแลนด์แห่งกองทัพที่ 3 และกองทัพออสเตรเลียนสามารถเจาะแนวและยึด Bapanme ได้จากเยอรมนี แลยังนำการรุกของกองทัพที่ 4 สามารถผลักดันแนวรบไปข้าหน้าและยึดเปรอนน์และมงแซ็ง-เกียงแต็ง ห่างไปทางใต้
สัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม แรงกดดัน ที่มีต่อข้าศึกนั้นหนักหน่วงและต่อเนื่อง บนแนวรบยาว 113 กิโลเมตร
2 กันยายน 1918 แคนาดาโอบล้อมแนวฮินเดนแบร์กด้านข้างโดยการเจาะที่ โวทัน Wotan ซึ่งส่งผลสะท้อนกลับตลอดแนวรบดานตะวันตก 6 กองทัพเยอรมนีต้องล่าถอย
เกือบสี่สัปดาห์หลัการสู้เร่ิมในวันที่ 8 สิงหาคม เชลยศึกเยรมนีถูจับกุมเกิน แสนนาย กองบัญชาการทหารสูงสุดเยรมนีตระหนักว่าพ่ายสงครามแล้วและพยายามบรรลุจุดจบอันน่าพอใจ ลูเดอร์ดอร์ฟฟ์ เสนอลาออกต่อไกเซอร์ แต่ทรงปฏิเสธ โดยทรงตอบว่า "ฉันเห็นว่าเราต้องทำให้เกิดสมดุล เราเกือบถึงขีดจำกัดอำนาจการต้านทานของเรา สงครามต้องยุติ"
สภาราชสำนักเยอรมันตัดสิใจว่า ชัยชนะในสนามรบไม่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว ออสเตรีย-ฮังการีเตือนว่า สามารถทำสงครามได้ถึงเดือนธันวาคมเท่านั้น
การตีตอบโต้ของสัมพันธมิตรได้ผลและกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการรุกร้อยวันในเวลาถัดมา
20 กรกฏา 1918 กองทัพเยอรมนีถูกผลักดันข้ามแม่น้ำมาร์นโดยไม่บรรลุวัตถุประสงค์ใดๆ
การรุกร้อยวันโดยฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มในวันที่ 8 สิงหารคม 1918 ในยุทธการอาเมียง ทัพอังกฤษ อยู่ทางปีกซ้าย ทัพฝรั่งเศสอยู่ทางปีกขวา โดยมีกองทัพน้อยออสเตรเลียและแคนาดาเป็นหัวหอกในการโจมตีตรงกลาง สามารถรุเข้าไป12 กิโลเมตรในดินแดนที่เยอรมนถือครองเพียงเจ็ดชัวโมง
20 สิงหา 1918 ฝรั่งเศสทางปีกขวาจับกุมเชลยศึก 8,000 คนปืนใหญ่ร้อยกระบอก และยึดครองที่ราบสูง Aisne ซื่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบและสามารถมองเห็นที่ต้องของเยรมนีทางเหนือ
ในขณะที่กองทัพอังกฤษทางปีกซ้ายรายงานว่าข้าศึกบนแนวรบลดจำนวนลงจากความสูญเสียและล่าถอย คำสังโจมตีด้วยรถถัง 200 คนเพื่อเปิดฉากยุทธการอัลแบ โดยมีจุดมุ่งหมายเจาะแนวรบข้าศึก เพื่อที่จะตีโอบปีกข้าศึกที่อยู่บนแนวรบ
แนวรบยาว 24 กิโลเมตรของทัพอังกฤษ สามารถสู้รบต่อไปทางปีกซ้ายและส่งผลให้ยึดอัลแบร์กลับคืนได้ในขณะเดียวกัน กองพลนิวซีแลนด์แห่งกองทัพที่ 3 และกองทัพออสเตรเลียนสามารถเจาะแนวและยึด Bapanme ได้จากเยอรมนี แลยังนำการรุกของกองทัพที่ 4 สามารถผลักดันแนวรบไปข้าหน้าและยึดเปรอนน์และมงแซ็ง-เกียงแต็ง ห่างไปทางใต้
สัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม แรงกดดัน ที่มีต่อข้าศึกนั้นหนักหน่วงและต่อเนื่อง บนแนวรบยาว 113 กิโลเมตร
2 กันยายน 1918 แคนาดาโอบล้อมแนวฮินเดนแบร์กด้านข้างโดยการเจาะที่ โวทัน Wotan ซึ่งส่งผลสะท้อนกลับตลอดแนวรบดานตะวันตก 6 กองทัพเยอรมนีต้องล่าถอย
เกือบสี่สัปดาห์หลัการสู้เร่ิมในวันที่ 8 สิงหาคม เชลยศึกเยรมนีถูจับกุมเกิน แสนนาย กองบัญชาการทหารสูงสุดเยรมนีตระหนักว่าพ่ายสงครามแล้วและพยายามบรรลุจุดจบอันน่าพอใจ ลูเดอร์ดอร์ฟฟ์ เสนอลาออกต่อไกเซอร์ แต่ทรงปฏิเสธ โดยทรงตอบว่า "ฉันเห็นว่าเราต้องทำให้เกิดสมดุล เราเกือบถึงขีดจำกัดอำนาจการต้านทานของเรา สงครามต้องยุติ"
สภาราชสำนักเยอรมันตัดสิใจว่า ชัยชนะในสนามรบไม่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว ออสเตรีย-ฮังการีเตือนว่า สามารถทำสงครามได้ถึงเดือนธันวาคมเท่านั้น
วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556
WWI:Hutier tactics
ปี 1918 แนวรบด้ารตะวันตก การรุกฤดูใบไม้ผลิมีจุดประสงค์เพื่อแยกกองัพอังกฤษและฝรั่งเศสออกจากกันด้วยการหลอกและการรุกหลายครั้ง โดยต้องการโจมตีอย่างเด็ดขาดก่อนที่กองกำลังสหรัฐขนาดใหญ่จะมาถึง เริ่มปฏิบัติการในวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1918 โดยโจมตีกองทัพอังกฤษที่อเมนส์และสารารถรุกเข้าไปได้ถึง 60 กิโลเมตรนับเป็นความสำเร็จที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน
การนำรูปแบบการรบเข้ามาใช้ในสงครามและเพื่อเจาะผ่านแนวสนามเพลาะของผรั่งเศสและัอังกฤษและประสบความสำเร็จ โดยตั้งชื่อยุทธวิธีนี้ตามชื่อพลเอกชาวเยรมนีคนหนึ่ง
โดยเป็นการแทรกซึมทหารราบขนาดเล็ก เข้าโจมตีจุดที่อ่อนแอ จุดสั่งการและพื้นที่ขนส่ง หลีกเลี่ยงการปะทะหนัก และเมื่อโดดเดียวพื้นที่เป้าหมายได้แล้วจึงส่งทหารราบเข้าบดขยี้ภายหลัง
แนวหน้าเคลื่อนตัวห่างจากกรุงปารีส 120 กิโลเมตรปืนใหญ่รถไฟยิงกระสุนเข้าใส่กรุงปารีส ชาวปารีสจำนวนมากต้องหลบหนี ความสำเร็จในครั้งจักพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ทรงประกาศให้วันที่ 24 มีนาคมเป็นวันหยุดราชการ เยอรมันจำนวนมากคิดว่าชัยชนะของสงครามอยู่แค่เอื้อม..แต่การหาเป็นเช่นนั้นไม่ หลายคนกล่าวว่าการหยุด 1 วันดังกล่าวเป็นจุดหักเหของสงคราม แต่อย่างไรก็ดีหลังจากหยุดราชการหนึ่งวันดังกล่าว การรุกของเยอรมนีหยุดชะงัก การขาดแคลนรถถัง ปืนใหญ่ ฝ่ายเยอรมนีจึงรุกต่อไม่ได้ ประกอบกับเส้นทางส่งกำลังบำรุงถูกยืออกไปอนเป็นผลจากการรุก
และยังมีผลมาจากการรบไล่ทหารจากออสเตรเลียซึ่งในขณะนั้นเป็นประเทศอาณานิคมของอังกฤษจำนวนสีกองพลที่ถูกไล่บดขยี้แต่สามารถหยุดยั้งการบดขยี้ของเยอรมันได้ กองพลออสเตรียเรียที่ 1 จึงถูกส่งเพื่อหยุดหยั่งยุทธวิธีของเยอรมนี
อเมริการมาถึงในช่วงที่ทหารของฝรั่งเศสและจักวรรดิอังกฟษร่อยหรอ สภาสงครามสูงสุดของกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้นที่การประชุมดูล็อง พลเอกฟอค ถูกแต่งตั้งเป็นผูบัญชาการกองกำลัง
ูฝ่ายสัมพันธมิตรสูงสุด มีบทบาทประสานงาน มากกว่าบัญชาการ เฮก เปแตง และเพร์รี้ยังคงควบคุมยุทธวิธีในส่วนของตน
กองบัญชาอังกฤษผรังเศสและสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่เป็นอิสระต่อกัน
การนำรูปแบบการรบเข้ามาใช้ในสงครามและเพื่อเจาะผ่านแนวสนามเพลาะของผรั่งเศสและัอังกฤษและประสบความสำเร็จ โดยตั้งชื่อยุทธวิธีนี้ตามชื่อพลเอกชาวเยรมนีคนหนึ่ง
โดยเป็นการแทรกซึมทหารราบขนาดเล็ก เข้าโจมตีจุดที่อ่อนแอ จุดสั่งการและพื้นที่ขนส่ง หลีกเลี่ยงการปะทะหนัก และเมื่อโดดเดียวพื้นที่เป้าหมายได้แล้วจึงส่งทหารราบเข้าบดขยี้ภายหลัง
แนวหน้าเคลื่อนตัวห่างจากกรุงปารีส 120 กิโลเมตรปืนใหญ่รถไฟยิงกระสุนเข้าใส่กรุงปารีส ชาวปารีสจำนวนมากต้องหลบหนี ความสำเร็จในครั้งจักพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ทรงประกาศให้วันที่ 24 มีนาคมเป็นวันหยุดราชการ เยอรมันจำนวนมากคิดว่าชัยชนะของสงครามอยู่แค่เอื้อม..แต่การหาเป็นเช่นนั้นไม่ หลายคนกล่าวว่าการหยุด 1 วันดังกล่าวเป็นจุดหักเหของสงคราม แต่อย่างไรก็ดีหลังจากหยุดราชการหนึ่งวันดังกล่าว การรุกของเยอรมนีหยุดชะงัก การขาดแคลนรถถัง ปืนใหญ่ ฝ่ายเยอรมนีจึงรุกต่อไม่ได้ ประกอบกับเส้นทางส่งกำลังบำรุงถูกยืออกไปอนเป็นผลจากการรุก
และยังมีผลมาจากการรบไล่ทหารจากออสเตรเลียซึ่งในขณะนั้นเป็นประเทศอาณานิคมของอังกฤษจำนวนสีกองพลที่ถูกไล่บดขยี้แต่สามารถหยุดยั้งการบดขยี้ของเยอรมันได้ กองพลออสเตรียเรียที่ 1 จึงถูกส่งเพื่อหยุดหยั่งยุทธวิธีของเยอรมนี
อเมริการมาถึงในช่วงที่ทหารของฝรั่งเศสและจักวรรดิอังกฟษร่อยหรอ สภาสงครามสูงสุดของกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้นที่การประชุมดูล็อง พลเอกฟอค ถูกแต่งตั้งเป็นผูบัญชาการกองกำลัง
ูฝ่ายสัมพันธมิตรสูงสุด มีบทบาทประสานงาน มากกว่าบัญชาการ เฮก เปแตง และเพร์รี้ยังคงควบคุมยุทธวิธีในส่วนของตน
กองบัญชาอังกฤษผรังเศสและสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่เป็นอิสระต่อกัน
วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556
WWI:การเข้าร่วมสงครามของประเทศต่าง ๆ
นอกจากกลุ่มไตรภาคี และกลุ่มไตรสัมพันธมิตร ซึ่งเป็นมหาอำนาจในยุโรปที่แบ่งเป็นสองขั้วอำนาจเพื่อทำสงครามซึ่ง
กลุ่มไตรภาคีหรือ มหาอำนาจกลางได้แก่ จักรวรรดิเยอรมัน จักวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิออตโตมัน
กลุ่มไตรสัมพันธมิตรได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย
แล้วยังมีประเทศต่าง ๆ ที่ทยอยเข้าร่วมสงครามด้วยเหตุผลและแรงจูงใจที่ต่างกัน
อิตาลี เป็นพันธมิตรกับบเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี อิตาลีมีเจตนาของตนบนพื้นที่ออสเตีย จึงทำสัญญาอย่างลับ ๆ กับฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการลบล้างพันธมิตรเก่าอย่างส้นเชิง อิตาลีปฏิเสธการเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลางโดยอ้างว่าฝ่ายตนเป็นผู้กระทำผิด
ออสเตรีย-ฮังการี ได้เสนอในหอิตาลีวางตัวเป็นกลางโดยยื่นข้อเสนออาณานิคมตูนิเซียเป็นการตอบแทนแต่ทางสัมพันธมิตก็ยืนข้อเสนอเพื่อดึงอิตาลีมาเป็นพวกตนเช่นกัน จึงเป็นการนำมาซึ่งสนธิสัญญาลอนดอน หลังการรุกรานตุรกี อิตาลีจึงเข้าร่วมสงคราม โดยประกาศสงครามต่อออสเตรีย-ฮังการีในวันที่ 23 พฤษภาคม 1915 และอีก15 เดือนให้หลังจึงประกาศสงครามกับเยอรมนี
โรมาเนียเป็นอีกประเทศที่ประกาศตนเป็นกลางและให้เหตุผลว่าฝ่ายมหาอำนาจกลางเป็นผู้รุกรานและโรมาเนียไม่มีข้อผูกมัดที่เข้าสู่สงคราม
เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรสัญญาว่าจะยกดิอแนดขนาดใหญทางตะวันออกของฮังการี(ทรานซิลเวเนียและบานัท)ซึ่งมีประชากรโรมาเนียจำนวนมากอาศัยอยู่ใหแก่โรมานเนีย แลกเปลี่ยนกับกับการที่โรมาเนียต้องประกาศสงครามต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง..รัฐบาลโรมาเนียจึงสละความเป็นกลาง และเปิดฉากโจมตี ในวันที่ 27 สิงหาคม 1916 โดยได้รับความสนับสนุนส่วนหนึงจากรัสเซีย
โรมาเนียถูกบีบให้ลงนามสงบศึกหลังจากรัสเซียถอนตัวจาสงครามเนื่องจากการปฏิวัติเดือนตุลาคม เมือ วันที่ 9 ธันวาคม 1917
กองทัพโรมานเนียสถาปนาการควบคุมเหนือเบสซาราเบีย เมือกองทัพรัสเซียละทิ้งดินแดนดังกล่าว แม้การลงนามในสนธิสัญญาโดยรัฐบาลโรมาเนียและบอลเซวิค ให้กองทัพโรมาเนียถอนกำลังออกจากเบสซาราเบียภายในสองเดิน แต่โรมาเนียผนวกเบสซาราเบียเข้าเป็นดินแดนของตนโดยอาศัยอำนาจอยางเป็นทางการของมติที่ฝ่านโดยสภานิติบัญญัติท้องถิ่นของดินแดนในการรวมเข้ากับโรมาเนีย
โรมาเนียยุติสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลางอยางเป็นทางการโดยการลงนามในสนธิสัญญาบูคาเรศต์ ภายใต้สนธิสัญญากับกล่าว โรมาเนียมีข้อผูกมัดที่จะยุติสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลางและยกอินแดนบางส่วนให้แก่ ออสเตรีย-ฮังการี ยุตกิรควบคุมช่องเขาบางแห่ง และยกสัมปทานน้ำมันแก่เยอรมนี เพื่อแลกเปลี่ยนกับฝ่ายมหาอำนาจกลางจะรับรองเอกราชของโรมาเนียเหนือเบสซาราเบีย สนธิสัญญาดังกล่าวถูกทำลายลงในเดือนตุลา และโรมาเนียเข้าสู่สงครามอีกครั้งเมือวันที่ 10 พฤศจิกายน 1918 สนธิสัญญาจึงเป้นโมฆะตามเงื่อนไขของการสงบศึกที่คองเปียญ..
สหรัฐอเมริกา เดิมดำเนินนโยบายไม่แทรกแซง เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความขัดแย้งระหว่างประเทศและเป็นนายหน้าสันติภาพ เมื่อเรืออูเยอรมนีจมเรือโดยสารลูซิทาเนียของอังกฤษ ซึ่งมีชาวอเมริกันบนเรือ128 คน อเมริกาแสดงความอดกลั้น โดยประธานาธิบดีวิลสันได้สาบานว่า “อเมริกามีทิฐิมากเกินกว่าจะสู้” และเรียร้องให้ยกเลิการโจมตีเรือพลเรือน ซึ่งเยอรมันยอมตาม วิลสันพยายามเป็ฯไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทแต่ล้มเหลว เขาเตือนย้ำว่าอเมริกาจะไม่ทนต่อสงครามเรื่อดำน้ำไม่จำกัดขอบเขต.. อเมริกาประสบเหตุวินาศกรรมและสงสัยว่าเยอรมันอยู่เบื้องหลัง
มกราคม 1917 เยรอมนีทำสงครามเรือดำน้ำไม่จำกัดขอบเขตอีกครั้งรัฐมนตรีต่างประเทศ บอกแก่เม็กซิโก ผ่านโทรเลข..ว่า อเมริกมีแนวโน้มเข้าสู่สงครามหลังสงครามเรือดำน้ำไม่จำกัดขอบเขตเริ่มขึ้น และเชิญเม็กซิฏกเข้าสู่สงครามเป็นพันธมิตรของเยอรมนีต่อสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เยอรมนีจะส่งเงินให้เม็กซิโกและช่วยให้เม็กซิโกได้รับดินแดนเท็กซัส นิวเม็กซิโกและอริโซนาที่เม็กซิโกเสียไประหว่างสงครามเม็กซิฏ-อเมริกา สาธราณชนชาวอเมริกันมองว่าเป็นเหตุแห่งสงคราม
อินเดีย.. สหราชอาณาจักรได้รับความจงรักภักดีอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนจากภายในเหล่าผู้นำทางการเมืองกระแสหลัง ตรงข้ามกับอังกฤษซึ่งหวาดกลัวการปฏิวัติชาวอินเดีย ในความเป็นจริงกองทัพอินเดียมีกำลังพลเหนือกว่ากองทัพอังกกฤษเมือสงครามเริ่มต้นใหม่ ๆ อินเดียภายใต้การปกครองของอังกฤสนับสนุนความพยายามของสงครามของอังกฤษอย่างมากโดยการจัดหากำลังคนและทรัพยากร รัฐสภาอินเดียปฏิบัติเช่นนั้นด้วยหวังว่าจะได้รับสิทธิปกครองตนเอง อังฏฟษสรความผิดหวังให้แก่อินเดียกระทั่งนำไปสู่ยุคของมหาตมะคานธี..
กลุ่มไตรภาคีหรือ มหาอำนาจกลางได้แก่ จักรวรรดิเยอรมัน จักวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิออตโตมัน
กลุ่มไตรสัมพันธมิตรได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย
แล้วยังมีประเทศต่าง ๆ ที่ทยอยเข้าร่วมสงครามด้วยเหตุผลและแรงจูงใจที่ต่างกัน
อิตาลี เป็นพันธมิตรกับบเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี อิตาลีมีเจตนาของตนบนพื้นที่ออสเตีย จึงทำสัญญาอย่างลับ ๆ กับฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการลบล้างพันธมิตรเก่าอย่างส้นเชิง อิตาลีปฏิเสธการเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลางโดยอ้างว่าฝ่ายตนเป็นผู้กระทำผิด
ออสเตรีย-ฮังการี ได้เสนอในหอิตาลีวางตัวเป็นกลางโดยยื่นข้อเสนออาณานิคมตูนิเซียเป็นการตอบแทนแต่ทางสัมพันธมิตก็ยืนข้อเสนอเพื่อดึงอิตาลีมาเป็นพวกตนเช่นกัน จึงเป็นการนำมาซึ่งสนธิสัญญาลอนดอน หลังการรุกรานตุรกี อิตาลีจึงเข้าร่วมสงคราม โดยประกาศสงครามต่อออสเตรีย-ฮังการีในวันที่ 23 พฤษภาคม 1915 และอีก15 เดือนให้หลังจึงประกาศสงครามกับเยอรมนี
โรมาเนียเป็นอีกประเทศที่ประกาศตนเป็นกลางและให้เหตุผลว่าฝ่ายมหาอำนาจกลางเป็นผู้รุกรานและโรมาเนียไม่มีข้อผูกมัดที่เข้าสู่สงคราม
เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรสัญญาว่าจะยกดิอแนดขนาดใหญทางตะวันออกของฮังการี(ทรานซิลเวเนียและบานัท)ซึ่งมีประชากรโรมาเนียจำนวนมากอาศัยอยู่ใหแก่โรมานเนีย แลกเปลี่ยนกับกับการที่โรมาเนียต้องประกาศสงครามต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง..รัฐบาลโรมาเนียจึงสละความเป็นกลาง และเปิดฉากโจมตี ในวันที่ 27 สิงหาคม 1916 โดยได้รับความสนับสนุนส่วนหนึงจากรัสเซีย
โรมาเนียถูกบีบให้ลงนามสงบศึกหลังจากรัสเซียถอนตัวจาสงครามเนื่องจากการปฏิวัติเดือนตุลาคม เมือ วันที่ 9 ธันวาคม 1917
กองทัพโรมานเนียสถาปนาการควบคุมเหนือเบสซาราเบีย เมือกองทัพรัสเซียละทิ้งดินแดนดังกล่าว แม้การลงนามในสนธิสัญญาโดยรัฐบาลโรมาเนียและบอลเซวิค ให้กองทัพโรมาเนียถอนกำลังออกจากเบสซาราเบียภายในสองเดิน แต่โรมาเนียผนวกเบสซาราเบียเข้าเป็นดินแดนของตนโดยอาศัยอำนาจอยางเป็นทางการของมติที่ฝ่านโดยสภานิติบัญญัติท้องถิ่นของดินแดนในการรวมเข้ากับโรมาเนีย
โรมาเนียยุติสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลางอยางเป็นทางการโดยการลงนามในสนธิสัญญาบูคาเรศต์ ภายใต้สนธิสัญญากับกล่าว โรมาเนียมีข้อผูกมัดที่จะยุติสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลางและยกอินแดนบางส่วนให้แก่ ออสเตรีย-ฮังการี ยุตกิรควบคุมช่องเขาบางแห่ง และยกสัมปทานน้ำมันแก่เยอรมนี เพื่อแลกเปลี่ยนกับฝ่ายมหาอำนาจกลางจะรับรองเอกราชของโรมาเนียเหนือเบสซาราเบีย สนธิสัญญาดังกล่าวถูกทำลายลงในเดือนตุลา และโรมาเนียเข้าสู่สงครามอีกครั้งเมือวันที่ 10 พฤศจิกายน 1918 สนธิสัญญาจึงเป้นโมฆะตามเงื่อนไขของการสงบศึกที่คองเปียญ..
สหรัฐอเมริกา เดิมดำเนินนโยบายไม่แทรกแซง เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความขัดแย้งระหว่างประเทศและเป็นนายหน้าสันติภาพ เมื่อเรืออูเยอรมนีจมเรือโดยสารลูซิทาเนียของอังกฤษ ซึ่งมีชาวอเมริกันบนเรือ128 คน อเมริกาแสดงความอดกลั้น โดยประธานาธิบดีวิลสันได้สาบานว่า “อเมริกามีทิฐิมากเกินกว่าจะสู้” และเรียร้องให้ยกเลิการโจมตีเรือพลเรือน ซึ่งเยอรมันยอมตาม วิลสันพยายามเป็ฯไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทแต่ล้มเหลว เขาเตือนย้ำว่าอเมริกาจะไม่ทนต่อสงครามเรื่อดำน้ำไม่จำกัดขอบเขต.. อเมริกาประสบเหตุวินาศกรรมและสงสัยว่าเยอรมันอยู่เบื้องหลัง
มกราคม 1917 เยรอมนีทำสงครามเรือดำน้ำไม่จำกัดขอบเขตอีกครั้งรัฐมนตรีต่างประเทศ บอกแก่เม็กซิโก ผ่านโทรเลข..ว่า อเมริกมีแนวโน้มเข้าสู่สงครามหลังสงครามเรือดำน้ำไม่จำกัดขอบเขตเริ่มขึ้น และเชิญเม็กซิฏกเข้าสู่สงครามเป็นพันธมิตรของเยอรมนีต่อสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เยอรมนีจะส่งเงินให้เม็กซิโกและช่วยให้เม็กซิโกได้รับดินแดนเท็กซัส นิวเม็กซิโกและอริโซนาที่เม็กซิโกเสียไประหว่างสงครามเม็กซิฏ-อเมริกา สาธราณชนชาวอเมริกันมองว่าเป็นเหตุแห่งสงคราม
อินเดีย.. สหราชอาณาจักรได้รับความจงรักภักดีอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนจากภายในเหล่าผู้นำทางการเมืองกระแสหลัง ตรงข้ามกับอังกฤษซึ่งหวาดกลัวการปฏิวัติชาวอินเดีย ในความเป็นจริงกองทัพอินเดียมีกำลังพลเหนือกว่ากองทัพอังกกฤษเมือสงครามเริ่มต้นใหม่ ๆ อินเดียภายใต้การปกครองของอังกฤสนับสนุนความพยายามของสงครามของอังกฤษอย่างมากโดยการจัดหากำลังคนและทรัพยากร รัฐสภาอินเดียปฏิบัติเช่นนั้นด้วยหวังว่าจะได้รับสิทธิปกครองตนเอง อังฏฟษสรความผิดหวังให้แก่อินเดียกระทั่งนำไปสู่ยุคของมหาตมะคานธี..
วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556
WWI:Battlesship
อังกฤษแสดงให้เห็นถึงการเป็นจ้าวแห่งทะเลกว่าศตรวรรษในยุทธนาวีจัตแลนด์ เป็นการปะทะเต็มอัตราศึกของกองทัพเรือทั้งสองฝ่าย ใช้เวลา 2 วัน ในทะเลเหนือนอกคาบสมุทรจัตแลนด์ แม้ผลของยุทธนาวีไม่มีฝ่ายใดแพ้ชนะ แม้กองเรื่อเยอรมนี่สมารถหลบหนีกองเรืออังกฤษที่มีกำลังเหนือกว่า และถึงแม้จะสร้างความเสียหายให้แก่กองเรืออังกฤษได้มากกว่า แต่ในทางยุทธศาสตร์ ฝ่ายอังกฤษแสดงสิทธิในการควบคุมทะเล และกองเรือผิวน้ำส่วนใหญ่ของเยอรมนีถูกกักอยู่แต่ในท่ากระทั่งสงครามยุติ
เมื่อพระเจ้าไกเซอร์ที่ 2 ขึ้นครองราชย์ ทรงเป็นกษัตริย์ที่สนพระทัยและให้ความสำคัญในกิจการทหารเรือเป็นอยางมาก ทรงกำหนดนโยบาย พัฒนาสมุทานุภาพ เสริมสร้างกำลังทางทะเลเพื่อคุ้มครงอการค้าขายำบต่างชาติ อันจะเป็นหนทางของอาณาจักร เพื่อก้าวขึ้นสู่การเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกในที่สุด
ราชนาวีอังกฤษจับตาการเติบโตอย่างไม่กระพริบตาประเมินว่าจะเป็นปัญหาต่อตนหรือไม่ จึงมีการแข่งขันการเสริมสร้างกำลังทางเรือขนานใหญ่ระว่างสองประเทศ รวมถึงการแบ่งข้างตั้งกลุ่มขึ้นอย่างชัดเจนเพื่อให้การคุ้มครอง การค้าทางทะเลและเป็นเหตุผลหนึ่งของสงครามโลกครั้งนี้
เมื่อเข้าสู่สงคราม เยอรมันจึงตระหนักว่าแสนยานุภาพทางทะเลเทียบได้เพียงครึ่งของฝ่ายอังกฤษ และด้วยความได้ปรียบทางภูมิศาสตร์ ที่ตั้งเกาะอังกฤษสามารถปิดกั้นทางออกสู่ทะเลของฝ่ายเยอรมัน กองเรือทะเลลึกของเยอรมันจึงด้อยประสิทธิภาพ
ฝ่ายเยอรมันรับรู้ถึงข้อเสียเปรียบนี้ครั้นจะบุกเข้าสู้ซึ่งๆ หน้าก็เกรงกริ่งอยู่ จึงใช้วิธี “ร้องท้าหน้าค่าย” หว้งจะให้อักฤษออกมาสู้รบด้วยซึ่งก็เป็นไปดังที่ฝ่ายเยอรมันคาดไว้ แต่กองเรือที่ออกมารบของอังกฤษนั้น..
โดยประมาณที่มีการบันทึกไว้ เป็นการปะทะกันด้วยเรื่อผิวน้ำทั้งสิ้นทางฝ่ายอังกฤษมีประมาณ 150 ลำฝ่ายเยอรมันกว่า100ลำ เป็นการประทะในแบบเรือต่อเรือ ลำต่อลำ ปืนกระบอกต่อกระบอกคือเป็นการดวลกันนั้นเอง
ทางด้านขวัญและกำลังใจของทหารเยอรมนีไม่เป็นรองฝ่ายอังกฤษ ซึ่งเทคโนโลยีบางอย่างเหนือกว่าทางฝั่งอังกฤษด้วยซึ่งทางฝ่ายอังกฤษก็ยอมรับในประเด็นนี้(เรื่อต่อใหม่ทันสมัยกว่า) ฝ่ายเยอรมนีสูญเสียทหาร 2,500 นาย ฝ่ายอังกฤษสูญเสียกว่า 6,000 พันนายซึ่งส่งผลให้บรรดาทหารในกองเรือเกิดความฮักเหิมคะนองเพราะมองด้วยสายตาตนแล้วฝ่ายตนได้เปรียบ แต่ฝ่ายยุทธศาสตร์กับมองในทางตรงกันข้าม..เยอรมันจะสูญเสียไปมากว่านี้ไม่ได้แล้ว จึงเปรียนบทบาทจากการรุกเป็นเพียงการรุกรานจากกองทัพเรืออังกฤษ
จากเหตุผลดังกล่าวและความเหนือกว่าทั้งทางยุทธศาสตร์และจำนวนของอังกฤษ ฝ่ายบรรดาทหารซึ่งเห็นว่าจะต้องแพ้สงครามทั้งที่สงครามไม่แพ้จึงเกิดเป็นการสั่งสมและนำสู่การปฏิวัติรัฐประหาร การสละราชย์ของไกเซอร์ที่ 2 และนำมาสู่การสิ้นสุดของสงครามในที่สุด…
เมื่อพระเจ้าไกเซอร์ที่ 2 ขึ้นครองราชย์ ทรงเป็นกษัตริย์ที่สนพระทัยและให้ความสำคัญในกิจการทหารเรือเป็นอยางมาก ทรงกำหนดนโยบาย พัฒนาสมุทานุภาพ เสริมสร้างกำลังทางทะเลเพื่อคุ้มครงอการค้าขายำบต่างชาติ อันจะเป็นหนทางของอาณาจักร เพื่อก้าวขึ้นสู่การเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกในที่สุด
ราชนาวีอังกฤษจับตาการเติบโตอย่างไม่กระพริบตาประเมินว่าจะเป็นปัญหาต่อตนหรือไม่ จึงมีการแข่งขันการเสริมสร้างกำลังทางเรือขนานใหญ่ระว่างสองประเทศ รวมถึงการแบ่งข้างตั้งกลุ่มขึ้นอย่างชัดเจนเพื่อให้การคุ้มครอง การค้าทางทะเลและเป็นเหตุผลหนึ่งของสงครามโลกครั้งนี้
เมื่อเข้าสู่สงคราม เยอรมันจึงตระหนักว่าแสนยานุภาพทางทะเลเทียบได้เพียงครึ่งของฝ่ายอังกฤษ และด้วยความได้ปรียบทางภูมิศาสตร์ ที่ตั้งเกาะอังกฤษสามารถปิดกั้นทางออกสู่ทะเลของฝ่ายเยอรมัน กองเรือทะเลลึกของเยอรมันจึงด้อยประสิทธิภาพ
ฝ่ายเยอรมันรับรู้ถึงข้อเสียเปรียบนี้ครั้นจะบุกเข้าสู้ซึ่งๆ หน้าก็เกรงกริ่งอยู่ จึงใช้วิธี “ร้องท้าหน้าค่าย” หว้งจะให้อักฤษออกมาสู้รบด้วยซึ่งก็เป็นไปดังที่ฝ่ายเยอรมันคาดไว้ แต่กองเรือที่ออกมารบของอังกฤษนั้น..
โดยประมาณที่มีการบันทึกไว้ เป็นการปะทะกันด้วยเรื่อผิวน้ำทั้งสิ้นทางฝ่ายอังกฤษมีประมาณ 150 ลำฝ่ายเยอรมันกว่า100ลำ เป็นการประทะในแบบเรือต่อเรือ ลำต่อลำ ปืนกระบอกต่อกระบอกคือเป็นการดวลกันนั้นเอง
ทางด้านขวัญและกำลังใจของทหารเยอรมนีไม่เป็นรองฝ่ายอังกฤษ ซึ่งเทคโนโลยีบางอย่างเหนือกว่าทางฝั่งอังกฤษด้วยซึ่งทางฝ่ายอังกฤษก็ยอมรับในประเด็นนี้(เรื่อต่อใหม่ทันสมัยกว่า) ฝ่ายเยอรมนีสูญเสียทหาร 2,500 นาย ฝ่ายอังกฤษสูญเสียกว่า 6,000 พันนายซึ่งส่งผลให้บรรดาทหารในกองเรือเกิดความฮักเหิมคะนองเพราะมองด้วยสายตาตนแล้วฝ่ายตนได้เปรียบ แต่ฝ่ายยุทธศาสตร์กับมองในทางตรงกันข้าม..เยอรมันจะสูญเสียไปมากว่านี้ไม่ได้แล้ว จึงเปรียนบทบาทจากการรุกเป็นเพียงการรุกรานจากกองทัพเรืออังกฤษ
จากเหตุผลดังกล่าวและความเหนือกว่าทั้งทางยุทธศาสตร์และจำนวนของอังกฤษ ฝ่ายบรรดาทหารซึ่งเห็นว่าจะต้องแพ้สงครามทั้งที่สงครามไม่แพ้จึงเกิดเป็นการสั่งสมและนำสู่การปฏิวัติรัฐประหาร การสละราชย์ของไกเซอร์ที่ 2 และนำมาสู่การสิ้นสุดของสงครามในที่สุด…
วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556
WWI:บอลข่าน
ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระจักรพรรดิแม็กซีมีเลียน ของออสเตรีย-ฮังการี แล้วพระราชนัดดา อาร์คดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดิมานด์ ได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทสืบต่อจากอาณ์คดยุครูดอล์ฟ ซึ่งถูกลอบปลงประชนเมื่อเสด็จราษฎรที่กรุงซาราเจโว โดยชาวเซอร์เบียจึงนำมาสู่ภาวะสงคราม
การเคลื่อนไหวของเซอร์เบียมีรัสเซียคอยในการช่วยเหลืออยู่อิตาลีประกาศตัวเป็นกลางตั้งแต่เริ่มสงคราม เมื่อเริ่มสงครามกองทัพถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งบุกโจมตีเซอร์เบีย ขณะที่อีกส่วนโจมตีรัสเซีย การบุกเซอร์เบียนั้นไม่ประสบความสำเร็จ แต่การบุกรัสเซียสามารถเอาชนะรัสเซียได้ในสมรภูมิเล็มเบิร์ก และล้อมเมืองพริเซ็มมิวส์ได้แต่ก็ต้องถอนทัพออกในเดือนมีนาคม ปี 1915
23 พฤษภาคม 1915 อิตาลีประกาศสงครามต่อ ออสเตรีย-ฮังการี และประกาศสงครามต่อเยอรมันในสิบห้าเดือนให้หลัง
แม้ว่าในทางการทหาร อิตาลีจะมีความเหนือกวาทางด้านกำลังพลก็ตาม แต่ข้อได้เปรียบนี้ไม่ส่งผลดีแต่ประการในเนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่สลับซับซ้อนและยุทธศาสตร์และยุทธวีธีที่ใช้ด้วย ในช่วงสิบเดือนแรกของปี 1915 ออสเตรีย-ฮังการีใช้ทหารกองหนุนส่วนใหญ่สู้รบกับอิตาลี แต่ทูตเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการีสามารถชักชวนบัลแกเรียเข้าร่วมโจมตีเซอร์เบีย จังหวัดสโลวีเนีย โครเอเซียและบอสเนียของออสเตรีย-ฮังการีเป็นพื้นที่จัดเตรียมทหารให้แก่ออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งรุกรานเ.ซอร์เบียและสู้รบกับรัสเซีย อิตาลี มอนเตเนโกรเป็นพันธมิตรกับเซอร์เบีย
เซอร์เบียถูกยึดครองนานกว่าหนึ่งเดือนเล็กน้อย เมื่อฝ่ายมหาอำนาจกลางเริ่มโจมตีทางเหนือตั้งแต่เดือนตุลาคม อีกสีวนถัดมา บัลแกเรียร่วมโจมตีจากตะวันออก กองทัพเซอร์เบียเผชิญกับความพ่ายแพ้ ถอยทัพไปยังอัลเบเนีย และหยุดป้องกันที่การโจมตีของแบลแกเรีย ชาวเซิร์ปประสบความพ่ายแพ้ยุทธการโคโซโว มอนเตเนโกรช่วยคุ้มกันการล่าถอยของเซอร์เบียไปยังชายฝั่งเอเดรียติกในยุทธการมอยคอแวทส์ เมื่อวันที่ 6-7 มกราคม ปี 1916 แต่สุดท้ายก็ส่งผลให้ออสเตรียยึดครองมอนเตเนโกรเช่นเดียวกัน กองทัพเซอร์เบียถูกอพยพสูกรีซโดยทางเรือ
ปลายปี 1915 รัฐบาลฝรั่งศสและอังกฤษยกพลขึ้นบกที่ซาโลนิกาของกรีซ เพื่อเสนอความข่วยเหลือและกดดันรัฐบาลกรีซประกาศสงครามต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง พระมหากษัตริย์กรีซทรงนิยมเยอรมนี ทรงปลดรัฐบาลนิยมสัมพันธมิตรก่อนที่กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรจะมาถึง
ความร้าวฉานระหว่างกษัติรย์กรีซและสัมพันธ์มิตรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กรีซถูกแบ่งเป็นภูมิภาคซึ่งยังภักดีต่อกษัตริย์และจงรักภักดีต่อรัฐบาลเฉพาะการณ์หลังการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายนิยมกษัตริย์และฝ่ายสัมพันธมิตร พระมหากษัตริย์ต้องยอมสละราชย์ โดยราชโอรสองค์ที่ 2 ขึ้นครองราชย์และกรีซจึงรวมกันอีกครั้งและร่วมสงครามอย่างเป็นทางการโดยอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร กองทัพกรีซทั้งหมดถูกระดมและเริ่มเข้าร่วมในปฏิบัติการทางการทหารต่อฝ่ายมหาอำนาจกลางบนแนวรบมาซิโดเนีย
แนวรบมาซิโดเนียไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ กองทัพออสเตรีย-ฮังการี และเยอรมันถอนกำลัง กองทัพบัลแกเรียประสบความพ่ายแพ้เพียงครังเดียวและไม่กี่วันให้หลัง บัลแกเรียก็สามารถเอาชนะกองทัพกรีซและอังกฤษได้ที่ยุทธการดอเรียนแต่เพื่อป้องกันการถูกยึดครอง บัลแกเรียได้ลงนามสงบศึก เมื่อวันที่ 29 กันยายน 1918
โดยมีการสรุปว่าสมดุลทางยุทธศาสตร์และปฏิบัติการเอนเอียงไปทางฝ่านสัมพันธมิตรแล้วอย่างไม่ต้องสงสัยและหนึ่งวันหลังจากออกจากสงคราม ระหว่างการประชุมกับเจ้าหน้าทีรัฐ ยืนยันให้มีการเจรจรสันติภาพทันที
การหายไปของแนวรบมาซิโดเนียหมายความถึง ถนนสู่บูดาเปสต์และเวียนนาเปิดกว้าง เมื่อบัลแกเลียยอมจำนนเท่ากับฝ่ายมหาอำนาจกลางสูญเสียทหารราบ 278 กองพัน ปืนใหญ 1,500 กระบอกซึ่งเทียบเท่ากับกองพลของเยรมนีราว 25 -30 กองพล ซึ่งเคยยึดแนวดังกล่าวก่อนหน้านี้ กองบัญชาการสูงสุดของเยอรมนีจึงตัดสินใจส่ง 7 กองพลทหารราบ และ 1 กองพลทหารม้ามายังแนวหน้า กองกำลังเหล่านี้ไม่เพียงพอที่จะสถาปนาแนวรบขึ้นมาใหม่ได้อีก
บัลแกเรียBulgaria เป็นประเทศทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป มีชายฝั่งบนทะเลดำไปทางตะวันออก พรมแดนติดต่อกับประเทศกรีซและประเทศตุรกีทางใต้ เซอร์เบียและมาซิโดเนียทางตะวันออก และโรมาเนียทางเหนือตามแม่น้ำดานูบ ประกอบด้วยชนชาติสลาฟและชนชาติบัลการ์(ชนชาติยูเครนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในบอลข่าน)ถูกปกครองโดยอาณาจักรไบแซนไทน์และออตโตมันตามลำดับ
วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556
WWI:แนวร่วมกับข้อผูกมัด
สัญญาและประกาศฝ่ายสัมพันธมิตรที่ทำกับผู้แทนของประชาชนในตะวันออกกลางนำโดยอังกฤ ซึ่งได้ยิวและอาหรับ โดยมีจุดประสงค์ที่จะให้คนเหล่านี้เป็นฝ่ายเดียวกับสัมพันธ์มิตร สัญญาดังกล่าวระบุข้อควาที่แสดงความเห็นอกเห็นใจประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองของเติร์ก และจะช่วยให้ประชาชนเหล่านั้นมีสิทธิในการปกครองตนเองเมืองสงครามสิ้นสุด ซึ่งมีลักษณะผูกมัดตนเองอังกฤษจะต้องรับผิดชอบต่อคำสัญญาดังกล่าว 3 ประการด้วยกัน
ประการแรก เป็นสัญญาที่อังกฤทำกับผู้แทนฝ่ายอาหรับ โดยมีจุดมุ่งหมายคือให้อาหรับเป็ฯฝ่ายเดียวกับอังกฤษและอังกฤษจะช่วยให้อาหรับได้รับสิทธิของตนในตะวันออกกลาง
ประการที่ 2 เป็ฯสัญญาที่อังกฤษทำกับผู้แทนของฝ่ายยิวโดยมีความต้องการเหมือนกันคือให้ยิวเป็ยฝ่ายเดียวกับตน และอังกฤษก็จะช่วยให้ความหวังของยิวประสบผลสำเร็จนั้นคือ การสร้างประเทศชาติยิว
ประการที่ 3 เป็นคำสัญญาปลีกย่อยที่อังกฤษทำกับอาหรับหลายคนและรวมทั้งการที่ฝรั่งเศสเสนอข้อเรียกร้องให้อังกฤษตระหนักถึงความปรารถนาของฝรั่งเศสในการมีอิทธิพลในเลอวองบริเลอวอง บริเวณฝั่งตะวันออกของเมดิเติร์เรเนียน
การติดต่อโดยฝ่านจดหมายหลายฉบับระหว่างอาหรับ และอังกฤษ คือชารีฟ ฮุ่สเซน แห่งเมกกะ ผู้เป็นข้าราชภายใต้การปกครองของออตโตมัน และเซอร์เฮนรี่ แมคมาฮาน ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำอียิปต์ เป็นการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อตกลงที่เรียกว่าการติดต่อระหว่างฮุสเซน แมคมาฮอน ซึ่งในจดหมายเหล่านั้นได้บรรจุข้อความเกี่ยวกับการปฏิวัติของอาหรับและการเข้าร่วมสงครามของอาหรับโดยเป็นฝ่ายเดียวกับสัมพันธมิตร
จดหมายฉบับแรกลงวันที่ 14 กรกฏาคม 1915 ฮุสเซนเรียกร้องให้อังกฤษพิจารณาถึงเอกราชของจังหวัดอาหรับหลายแห่งในดินแดนที่แบ่งแยกต่าง ๆ คือ ซีเรรีย อิรัก จอร์แดน อิสราเอล ซาอุดิอาระเบีย และส่วนหนึ่งของตุรกี แต่ในจดหมายของแมคมาฮอน ลงวันที่ 24 ตุลาคม 1915 ระบุว่าเอกราชดังกล่าวไม่รวมถึงท้องถิ่นที่มิใช้อาหรับแท้จริง ได้แก่ เมอร์ซิน และอเลกซานเครดตา และเมืองอื่น ๆ ในซีเรีย อันได้แก่ดามัสกัส ฮมอส์ ฮามา และอเลปโป อังกฤษอ้างว่ายังคงมีฐานะเข้มแข็งในดินแดนดังกล่าว ตลอดจนในบาซรา และแบกอดดในอิรัก ยังมีข้อความในจดหมายอีกลายฉบับซึ่งเป็นข้อความปกป้องผลประโยชน์ของฝรั่งเศส จดหมายฉบับสุดท้ายลงวันที่ 30 มกราคม 1916 ในขณะที่การปฏิวัติของอาหรับ เริ่มวันที่ 5 มุนายน 1916
จดหมายระหว่างฮุสเซ่นและแมมาฮอน จึงเป็ฯสิ่งที่ถูกเพ่งเล็งในรายละเอียดและถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก ไม่มีการพิทพ์อย่างเป็ฯทางการ กระทั่งปี 1939 หลังสงครามยุติ 21 ปี จึงมีการตั้งคณะกรรมการพิเศษอังกฤษและอาหรับ เพื่อพิจารณาหาคุรค่าความสำคัญของจดหมารย ที่มีต่อปาเลสไตน์
ในขณะเดียวกัน นอกจากอังกฤษจะทำสัญญากับอาหรับตามที่ระบุในจดหมายติดต่อดังกล่าวแล้ว อังกฤษยังได้ทำการเจรจาทำสัญญากับฝรั่งเศสและรัสเซีย ระหว่างปี 1915 และ 1916 เป็นข้อตกลงที่เรียกว่า ซิกเคส-พิคอท เป็นการพิจารณาถึงส่วนต่าง ๆ ของตะวันออกกลางซึ่งจะถูกแบ่งออกเป็น 5 ส่วนคือ
ฝั่งเอลวองทางตะวันออกของเมติเตอร์เรเนียนซึ่งฝรั่งเศสเรียกร้อง
ดินแดนภายในซีเรียฝรั่งเศสจะให้ความช่วยเหลือ
เขตปาเลสไตน์จะทำให้เป็นเขตระหว่างชาติ
ทรานส์จอร์แดน ซึ่งเป็นอินแดนอาหรับจะอยู่ภายใต้การักขาของอังกฤษและรวมถึงส่วนใหญ่ของอิรักด้วย
แบกแดด และบาซรา จะเป็นดินแดนที่อังกฤษควบคุม
แม้ข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นสัญญาลับ แต่ฝ่ายอาหรับก็ล่วงรู้ อูสเซนจึงยื่นข้อเสนอให้อังกฤษอธิบายสัญญาดังกบล่าว อังกฤษแจ้งว่า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตามไม่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ หรือจะใช้เป็นตัวแทรของสถานการณ์ได้ ทั้งนี้เพราะรัสเซียได้ถอนตนออกไปจากสงครา อย่างไรก็ตามเมื่อสงครามสิ้นสุดสัญญาดังกล่าวมีผลต่อซีเรียซึ่งฝรั่งเศสเองก็ต้องการ
“คำประกาศ บัลผอร์ The Balfour Declaration” เป็นคำประกาศเพื่อ “บ้านเกิดเมืองนอนของยิวในปาเลสไตน์” แทนที่จะกำหนดว่าปาเลสไตน์เป็น “บ้านเกิดเมืองนอนของประชาชนชาวยิว” และคำประการศนี้ยังกล่าวถึงสิทธิของผุ้มี่มิใช่ชาวยิวในปาเลสไตน และยิวในที่อื่น ๆ จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง ขณะเดียวกันฝ่ายมหาอำนาจกลางก็พยายามหาหนทางเพื่อขัดขวางความสนีบสนุนของฝ่ายสัมพันธมิตรที่มีต่อ “ไซออนนิสต์”
เมื่อสงครามเริ่มขึ้นองคการยิวประกาศตนเป็นกลาง แต่ยังคงมีสำนักงานในเยอรมนี การปฏิวัตจิรัศเซียได้เปลี่ยนสถานการณ์ในรัสเซีย โดยการนำยิวจำนวนมากมาสู่ตำแหน่างที่สำคัญของรัฐบาล ความรู้สึกที่รุนแรงในรัสเซียสำหรับการละทิ้งสงครามได้กลายเป็นเรื่องสำคัญของการปฏิวัติ ทั้งกระทรวงต่างประเทศอังกฤษและกลุ่มผุ้นำเยอรมันมีความเห็นตรงกันว่ายิวในรัสเซียเป็นผู้นำในการกระทำดังกล่าว เยอรมันจึงขอร้องแกมบังคับเติร์ก ซึ่งเป็นมมิตรกับตนในยอมแก่ยิว แต่เติร์กยังไม่ปฏิบัติตามเนื่องจากเกรงว่าจะทำให้อาหรับที่เป็นฝ่ายเดียวกับตนเกิดความไม่พอใจ แต่นี่สุดขณะที่กองทัพเติร์กออกจากปาเลสไตน์ก็เป็นการเปิดโอกาสใน “ไซออนนิสต์”เข้าสู่ปาเลสไตน์ดังคำประกาศบัลฟอร์
อังกฤษผู้ต้องการการสนับสนุนจากยิวจึงประกาศตัวเป็นฝ่ายเดียวกัย “ไซออนนิสต์” โดยเห็นว่า ทั้งยิวในอเมริก หรือในตะวันออกกลางก็กำลังเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ “มาร์ค ซิกเคซ” คิดว่าการที่อเมริกาว่างตัวเป็นกลางนั้นเป็นเพราะยิวที่เป็นฝ่ายเดียวกับเยอรมนีเป็นสาเหตุ นายกรัฐมนตรีอังกฤลอยด์ จอร์จ สังเกตว่า ความช่วยเหลืของยิวที่มีต่ออังกฤนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก และมีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อสัมพันธมิตรกำลังทรุด
ข้อผูกมัดที่มีต่ออาหรับ
เกี่ยวกับการยึดครองเมืองหลวงของอิรัก โดยข้อความสำคัญที่แสดงว่าอังกฤษผูกมัดตนเองกับอาหารับ มีดังนี้
“เชื้อชาติอาหรับอาจเติบโตขึ้นอีกครั้งเพื่อความยิ่งใหญ่และเพื่อชื่เสียงในหมู่ประชาชนของโลก เชื้อชาตินั้นจะรวมกันและรักกัน.. ดังนี้นข้าพเจ้าถูกบังคับให้เชื้อเชิญท่านโดยฝ่านผู้แทนอาวุโสและเป็นชนชั้นสูง ให้มีส่วนร่วมในการจัดการเกี่ยวกับงานด้านพลเรือนของท่าน ด้วยการร่วมมือกับผู้แทนฝ่ายการเมืองของอังกฤษ ผู้ซึ่งได้ร่วมมอกับกองทัพอังกฤษเพื่อว่าท่านอาจจะสามารถรวมกับเพื่อนของท่าน ในความปรารถนาของท่านที่จะสร้างชาติ”
สาส์นทีส่งแก่ชารีฟ อูสเซน “มหาอำนาจทั้ง 3 มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าเชื้อชาติอาหรับจะได้รับโอกาสอย่างเต็มที่อีกครั้งหนึ่ง ในการสร้างชาติในโลกนี้ ซึ่งสามารถทำสำเร็จได้โดยการรวมตัวกันของพวกอาหรับเอง ฝ่ายสัมพันธมิตรจะช่วยเหลือในด้ารการใช้ความคิ และยังกระตุ้นให้อาหรับร่วมกันพิจารณาว่า “มิตรภาพของยิวทั่วโลกที่มีต่ออาหรับนั้นเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่งในประเทศทั้งหมดที่ซึ่งยิวมีอิทธิพลทางการเมืองอยู่”
ซีเรีย “การประกาศต่อบุคคลทั้ง 7 Declaration to the Seven” อังกฤษยืนยันว่านโยบายของอังกฤษก็คือ “การพิจารณาเอกราชอธิปไตยโดยสมบูรณ์ของอาหรับ”ไม่ว่าดินแดนว่าจะกอ่นหรือระหว่างสงครมก็ตา ม และยังยืนยันวนโยบาย “สนับสนุนอาหรับในการต่อสู้เพื่อเอกราช”และยืนยันอีกครั้งเกียวกับ การยึดครองแบกอดดและเยรูซาเลมโดยกองทัพ ว่า “มันเป็นความปรารถนาของรัฐบาลของพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า รัฐบาลในอนาคตของดินแดนเหล่านี้ควรจะขึ้นอยู่กับความยินยอมของผู้ถูกปกครอง และนโยบายนี้จะดำเนินต่อไป โดยมีความสนับสนุนของรัฐบาลของพระเจ้าอยู่หัว
เซอร์ เอ็มันด์ อัลเลนบี แจ้งแก่อมีร์ ไฟซาล ว่า “ข้าพเจ้าเตือนความทรงจำของอามีร์ ไฟซาล ว่าฝ่ายสัมพนันธมิตรรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะตกลงกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง และจะกระตุ้นให้บุคคลเหล่านั้นมีความเชื่อถือในอังกฤษ”
คำประกาศร่วมกันของอังกฤษและฝรั่งเสศ “การสร้างรัฐบาลของประเทศชาติและการปกครองที่อำนาจของรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งโดยอิสระของประชาชนพื้นเมือง ไม่มีความปรารถนาที่จะบังคับสถาบันพิเศษเฉพาะใดๆ เหนือประชาชนของอินแดนเหล่านี้ สถาบันพิเศษเฉพาะจะต้องเป็นของเขาเองและโดยความช่วยเหลือเท่าเทียมกัน ซึ่งจะนำไปสู่รัฐบาลที่มีการปกครองอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นอิสระ ซึ่งเลือกโดยประชาชน
คำประกาศต่าง ๆข้างต้นทีฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งนำโดยอังกฤษให้ความหวังไว้แก่ฝ่ายอาหรับ ซึ่งคำประกาศพร้อมด้วยความสนับสนุนได้แพร่หลายไปอย่างกว้างขวางโดยการพิมพ์และการแจกใบปลิว อาจกล่าวได้ว่าจากคำประกาศเล่านี้ ทำให้ประชาชนมีแรงกระตุ้น และทำให้ความปรารถนาของพวกเขาอยู่ในระดับสู (มีความหวัง) ซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรนำโดยอังกฤษต้องรับผิดชอบต่อคำประกาศดังกล่าวที่มีต่ออาหรับ...
วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556
WWI:ชาตินิยมอาหรับ
นับแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 กระทั่งการปฏิวัติของพวกยังเติร์ก ชาวอาหรับที่นับถือคริสต์ศาสนาเท่านั้นที่ต้องการอิสรภาพ ส่วนชาวอาหรับมุสลิมปรารถนาเพียงการปฏิรูปและการให้อำนาจแก่ชาวอาหรับเท่านั้น
ชาตินิยมอาหรับส่วนใหญ่ เป็นศัตรูกับรฐบาลออกโตมัน ซารีฟ ฮุสเซน และโอรสอีกลายองค์เป็นผู้นำขบวนการชาตินิยมภายในเวลา 2-3 เดือนก่อนสงคราม โอรสของฮุสเซน องค์หนึ่งได้ตั้งกงสุลทั่วไปและแต่ตั้งชาวอังกฤษประจำไคโร การกระทำครั้งนี้สร้างความตึงเครียดระหว่าง ซารีฟและสุลต่านและนำเข้าสู่วิกฤต แต่ถ้าสุลต่านขับไล่ซารีฟด้วยสาเหตุนี้ย่อมเกิดการปฏิวัติแน่นอนเหตุเพราะซารีฟเป็นกษัตริย์ที่ได้รับความนิยมจากประชาชน
การต่อต้านจักรวรรดิและลัทธิชาตินิยมทั้งตุรกีและอาหรับเด่นชัดขึ้นเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1
สงครามในตะวันออกกลางปะทุหลังยุโรปเล็กน้อย อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามต่อออตโตมัน อังกฤษผนวกไซปรัส และประกาศให้อียิปต์เป็นดินแดนในอาณัติ ก่อนการประกาศสงครามกับเติร์กอังกฤษทั้งกองทัพบกและกองทัพเรือของอังกฤษจากอินเดียมุ่งสู่ลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟติส ในอิรักและได้รับความขช่วยเหลือจากคูเวต อังกฤษตอบแทนด้วยการให้อิสรภาพแคเวตและอยู่ภายใต้การอารักขาของอังกฤษต่อมาอังกฤษก็ยึดเมืองฟาโอในอีรักได้อีก
สุลต่านกาหลิบของจักรวรรดิออตโตมันประกาศสงครามศักดิ์สิทธิซึ่งสร้างความวิตกให้แก่ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศษเกี่ยวกับผลกระทบต่อชาวมุสลิมจำนวนมากในอินเดีย และในแอฟริกาเหนือ ชาวยุโรปที่นับถือลัทธิแพนอิสลาม หรือลัทธิความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอิสลาม และขอร้องมิให้สงครามขยายตัวไปมากกว่านี้ และคำนึงถึงอันตรายของการปฏิวัติมุสลิมด้วย
ซารีฟ ฮุสเซนแห่งเมกกะวางเฉยกับการประกาศสงครามศักดิ์สิทธิซึ่งเป็นโอกาสให้อังกฤษสามารถชักชวนซารีฟแห่งเมกกะให้สนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งก็ช่วยบรรเทาการข่มาขู่การปฏิวัติมุสลิมได้ สถานการณ์ดังกล่าวจึงเป็นจุดประสงค์ขึ้นพื้นฐาน ซึ่งอยู่เบื้องหลังการติดต่อระหว่างรัฐบาลอังกฤษกับซารีฟแห่งเมกกะ เป็นการติดต่อที่เรียกว่า จดหมายโต้ตอบระหว่าง ฮุสเซน-แมคมาฮอน Husain-Mcmahon Correspondence
ซึ่งทำให้อาหรับบางพวกเข้าสู่สงครามโดยเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร มีการปฏิวัติโดยฝ่านการแลกเปลี่ยนทางจดหมายหลายฉบับระหว่าง ปี 1915-1916 ได้จัดให้มีความผูกพันทางทหาร ซึ่งตั้งอยู่บนรากฐานของความเข้าใจทางการเมืองที่คลุมเคลือ และอังกฤษยังตกลงจะสนับสนุนเอกราชของอาหรับในทุกดินแดนที่ฮุสเซนเรียกร้อง
ฮุสเซนยอมรับรู้ความมีอำนาจสูงสุดของอังกฤษในเอเดนแต่ฮุสเซนยังข้องใจในดินแดนบางแห่ง..ดินแดนดังกล่าว แมคมาฮอนให้เหตุผลว่ามิใช่อาหรับอย่างแท้จริง แต่ซารีฟยืนยันว่าดินแดนเหล่านี้เป็นอาหรับอย่างแท้จริง ซารีฟให้เหตุผลว่าไม่ว่าอาหรับมุสลิมหรืออาหรับคริสเตียนเป็น "ผู้สืบเชื้อสายจาบิดาคนเดียวกัน" การขัดแย้งในเรื่องดังกล่าวนี้ต่อมาได้ก่อให้เกิดปัญหาปาเลสไตน์
สาเหตุอีกประกาศที่ทำให้อาหรับสนับสนุนฝ่ายไตรสัมพันธมิตรคือ ความไร้ความเมตตาของข้าหลวงออตโตมันและผู้บังคับบัญชาแห่งซีเรีย "เจมาล ปาซา" ในระยะแรกปาชาพยายามเอาชนะใจอาหรับโดยให้คำมั่นสัญญาต่าง ๆ เขาประกาศว่าอุดมการณ์ของอาหรับและเติร์กไม่ขัดแย้งกัน พวกเขาเป็นพี่น้องกัน และยังเรียกร้องให้ชาวอาหรับร่วมทำสงครามศักดิ์สิทธิเพื่อป้องกันศาสนาอิสลามด้วย
ชาวอาหรับไม่เชื่อ ปาชาจึงใช้วิธีรุนแรง
การถูกข่มขูจกาความกดดันทางทหารในคาบสมุทรและการประหัตประหารในซีเรียทำให้อาหรับเริ่มเสริมสร้างกองทหารของตนให้เข้มแข็งขึ้น การปฏิวัติของอาหรับมิได้หมายถึงขบวนการของกลุ่มชนจำนวนมากไม่มีการจลาจลผู้ครองอิรักมีความสงสัยในความสามารถของอาหรับในการต่อสู้เพื่อิสรภาพ ข้าหลวงอังกฤษประจำอินเดียพิจารณาการปฏิวัติอาหรับว่าเป็นสิ่งที่ไม่พอใจ เนื่องมาจากกลัวว่าความเป็นเอกราชของอาหรับอาจมีผลกระทบกระเทือนต่อแผรการณ์ของรัฐบาลบริติชอินเดีย ในการผนวกอิรักภาคใต้และอาจจะก่อให้เกิดการจลาจลในหมู่ชาวมุสลิมของรัฐบาลบริติชอินเดียในการผนวกอิรักภาคใต้และจะก่อให้เกิดการจลาจลในหมู่ชาวมุสลิม 90 ล้านคนในอินเดีย
ชาตินิยมอาหรับส่วนใหญ่ เป็นศัตรูกับรฐบาลออกโตมัน ซารีฟ ฮุสเซน และโอรสอีกลายองค์เป็นผู้นำขบวนการชาตินิยมภายในเวลา 2-3 เดือนก่อนสงคราม โอรสของฮุสเซน องค์หนึ่งได้ตั้งกงสุลทั่วไปและแต่ตั้งชาวอังกฤษประจำไคโร การกระทำครั้งนี้สร้างความตึงเครียดระหว่าง ซารีฟและสุลต่านและนำเข้าสู่วิกฤต แต่ถ้าสุลต่านขับไล่ซารีฟด้วยสาเหตุนี้ย่อมเกิดการปฏิวัติแน่นอนเหตุเพราะซารีฟเป็นกษัตริย์ที่ได้รับความนิยมจากประชาชน
การต่อต้านจักรวรรดิและลัทธิชาตินิยมทั้งตุรกีและอาหรับเด่นชัดขึ้นเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1
สงครามในตะวันออกกลางปะทุหลังยุโรปเล็กน้อย อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามต่อออตโตมัน อังกฤษผนวกไซปรัส และประกาศให้อียิปต์เป็นดินแดนในอาณัติ ก่อนการประกาศสงครามกับเติร์กอังกฤษทั้งกองทัพบกและกองทัพเรือของอังกฤษจากอินเดียมุ่งสู่ลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟติส ในอิรักและได้รับความขช่วยเหลือจากคูเวต อังกฤษตอบแทนด้วยการให้อิสรภาพแคเวตและอยู่ภายใต้การอารักขาของอังกฤษต่อมาอังกฤษก็ยึดเมืองฟาโอในอีรักได้อีก
สุลต่านกาหลิบของจักรวรรดิออตโตมันประกาศสงครามศักดิ์สิทธิซึ่งสร้างความวิตกให้แก่ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศษเกี่ยวกับผลกระทบต่อชาวมุสลิมจำนวนมากในอินเดีย และในแอฟริกาเหนือ ชาวยุโรปที่นับถือลัทธิแพนอิสลาม หรือลัทธิความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอิสลาม และขอร้องมิให้สงครามขยายตัวไปมากกว่านี้ และคำนึงถึงอันตรายของการปฏิวัติมุสลิมด้วย
ซารีฟ ฮุสเซนแห่งเมกกะวางเฉยกับการประกาศสงครามศักดิ์สิทธิซึ่งเป็นโอกาสให้อังกฤษสามารถชักชวนซารีฟแห่งเมกกะให้สนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งก็ช่วยบรรเทาการข่มาขู่การปฏิวัติมุสลิมได้ สถานการณ์ดังกล่าวจึงเป็นจุดประสงค์ขึ้นพื้นฐาน ซึ่งอยู่เบื้องหลังการติดต่อระหว่างรัฐบาลอังกฤษกับซารีฟแห่งเมกกะ เป็นการติดต่อที่เรียกว่า จดหมายโต้ตอบระหว่าง ฮุสเซน-แมคมาฮอน Husain-Mcmahon Correspondence
ซึ่งทำให้อาหรับบางพวกเข้าสู่สงครามโดยเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร มีการปฏิวัติโดยฝ่านการแลกเปลี่ยนทางจดหมายหลายฉบับระหว่าง ปี 1915-1916 ได้จัดให้มีความผูกพันทางทหาร ซึ่งตั้งอยู่บนรากฐานของความเข้าใจทางการเมืองที่คลุมเคลือ และอังกฤษยังตกลงจะสนับสนุนเอกราชของอาหรับในทุกดินแดนที่ฮุสเซนเรียกร้อง
ฮุสเซนยอมรับรู้ความมีอำนาจสูงสุดของอังกฤษในเอเดนแต่ฮุสเซนยังข้องใจในดินแดนบางแห่ง..ดินแดนดังกล่าว แมคมาฮอนให้เหตุผลว่ามิใช่อาหรับอย่างแท้จริง แต่ซารีฟยืนยันว่าดินแดนเหล่านี้เป็นอาหรับอย่างแท้จริง ซารีฟให้เหตุผลว่าไม่ว่าอาหรับมุสลิมหรืออาหรับคริสเตียนเป็น "ผู้สืบเชื้อสายจาบิดาคนเดียวกัน" การขัดแย้งในเรื่องดังกล่าวนี้ต่อมาได้ก่อให้เกิดปัญหาปาเลสไตน์
สาเหตุอีกประกาศที่ทำให้อาหรับสนับสนุนฝ่ายไตรสัมพันธมิตรคือ ความไร้ความเมตตาของข้าหลวงออตโตมันและผู้บังคับบัญชาแห่งซีเรีย "เจมาล ปาซา" ในระยะแรกปาชาพยายามเอาชนะใจอาหรับโดยให้คำมั่นสัญญาต่าง ๆ เขาประกาศว่าอุดมการณ์ของอาหรับและเติร์กไม่ขัดแย้งกัน พวกเขาเป็นพี่น้องกัน และยังเรียกร้องให้ชาวอาหรับร่วมทำสงครามศักดิ์สิทธิเพื่อป้องกันศาสนาอิสลามด้วย
ชาวอาหรับไม่เชื่อ ปาชาจึงใช้วิธีรุนแรง
การถูกข่มขูจกาความกดดันทางทหารในคาบสมุทรและการประหัตประหารในซีเรียทำให้อาหรับเริ่มเสริมสร้างกองทหารของตนให้เข้มแข็งขึ้น การปฏิวัติของอาหรับมิได้หมายถึงขบวนการของกลุ่มชนจำนวนมากไม่มีการจลาจลผู้ครองอิรักมีความสงสัยในความสามารถของอาหรับในการต่อสู้เพื่อิสรภาพ ข้าหลวงอังกฤษประจำอินเดียพิจารณาการปฏิวัติอาหรับว่าเป็นสิ่งที่ไม่พอใจ เนื่องมาจากกลัวว่าความเป็นเอกราชของอาหรับอาจมีผลกระทบกระเทือนต่อแผรการณ์ของรัฐบาลบริติชอินเดีย ในการผนวกอิรักภาคใต้และอาจจะก่อให้เกิดการจลาจลในหมู่ชาวมุสลิมของรัฐบาลบริติชอินเดียในการผนวกอิรักภาคใต้และจะก่อให้เกิดการจลาจลในหมู่ชาวมุสลิม 90 ล้านคนในอินเดีย
วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556
WWI:ตะวันออกกลาง
ก่อนสงครามจะปะทุ2-3 ปีการแข่งขันของมหาอำนาจยุโรปเพื่อเข้ามามีอิทธิพลเหนือตะวันออกกลาง โดยมีจุดมุ่งหมายเดียกันคื อการได้สัมปทานอุตสาหกรรน้ำมันในตะวันออกกลาง โดยเป็นการแข่งขันระหว่างประเทศมหาอำนาจคือ อังกฤษ ฝรั่งเศษและเยอรมนีแม้ปัญหาดังกล่าวจะมิใช่สาเหตุสำคัญประการเดียวที่เป็นต้นเหตุแห่งสงคราม แต่ปัญหาในตะวันออกกลางมีความสำคัญมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องอุตสาหกรรมน้ำมัน โดยที่แต่ละประเทศต้องการมีอิทธิพลและผงประโยชน์แต่เพียงผู้เดียในอิรักโดยเฉพาะอังกฤษกับเยรมนี
ตะวันออกกลางเป็นดินแดนส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของจักวรรดิออตโตมัน ซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างขวางมาก แต่รัฐบาลของจักรวรรดิซึ่งเป็นเติร์กนั้นไม่มีประสิทธิภาพ กรทั่งยุโรปเรียกจักรวรรดินี้ว่าเป็น “คนป่วยของยุโรป”
เติร์กหนุ่ม(Young turk) เป็นกลุ่มทหารชั้นกลางมีการศึกษาและค่อนข้างหัวรุนแรงไม่พอใจสุลต่านอับดุล ฮามิดที่ 2 แห่งจัรวรรดิออตโตมันเนื่องจากการนำรัฐธรรมนูญมาใข้ให้อำนาจเด็ดขาดแก่สุลต่าน พวกเตอร์หนุ่มทำการปฏิวัติและสำเร็จ เติร์กหนุ่มจึงเป็นผู้ปฏิบัติการของรัฐบาลในระยะแรกเติร์กหนุ่มสามารถทำให้เกิดความสมานฉันท์โดยเฉพาะระหว่างเติร์กและอาหรับ แต่ตัวกระตุ้นที่สำคัญคือลัทธิตุรกีซึ่งความรู้สึกเช่นนี้ เกิดมานานแล้ว และก็เป็นสาเหตุอันหนึ่งที่นำไปสู่การปฏิวัติ
ความไม่พอใจที่แฝงอยู่ภายในใจของเติร์กหนุ่มเติบโตขึ้นประกอบกับความคิดที่ว่าเหตุใดจักรวรรดิออตโตมันจึงเป็นรวมของชนหลายเชื่อชาติ..แม้แต่บอลข่านก็เกิดลัทธิชาตินิยมของชนเชื่อชาติต่าง ๆ เช่น กรีก ชาตินิยมบัลแกเลีย ชาตินิยมโรมมาเนียนซึ่งลัทธิชาตินิยมบอลข่านนั้นมีศูนญ์รวมอยู่ทศาสนา
ในคริสตศตวรรษที่ 19 ชาวอาร์เมเนียน ซึ่งอยู่กระจัดกระจายบริเวณที่ราบสูงอาร์เมเนียทางทิศตะวันออกของตุรกี เป็นผุ้นำความคิดของลัทธิชาตินิยมมาสู่ใจกลางอาณาจักรออตโตมัน เป็นความคิดเกี่ยวกับความรู้สักของมนุษย์ชาติซึ่งเป็นแรงกระตุ้นให้พวกเตอร์กในจักรวรรดิสอบสวนเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของตนเอง ซึ่งเป็นความรู้สึกใหม่ แต่ก็ถูกสนับสนุนและผลักดันโดยความไม่พอใจที่ซ่อนอยู่ในใจของขาวเติร์กโดยไม่รู้ตัวดังนั้นแม้จะพยายามยุคสมัยแห่งการสามัคคีระหว่างเติร์กและอาหรับ และชนชาติอื่นๆ ในจักรวรรดิ แต่ความรู้สึกชาตินิยมก็ทำลายความพยายามดังกล่าวพวกเติร์กกลับทำจักวรรดิให้กลายเป็นตุรกี..การกระทำดังกล่าวของเติร์กเป็นแรงผลักที่ฝ่ายอาหรับต้องแสวงหาเอกลักษณ์ของตัวเอง และนำไปสู่ลัทธิชาตินิยมอาหรับในที่สุด..
คาบสมุทรอาหรับ ซีเรีย และอิรัก
เป็นการต่อสู้ที่รุนแรงและขมขื่น ต่อสู้ในระยะทางไกลและพื้นที่กว้างใหญ่ ด้วยกองทัพอันยิ่งใหญ่ แม้ว่ายุโรปจะมีการเตียมการณ์รบมาหลายปีก่อนสงคราม แต่ในการต่อสู้จริง นั้นเป็นลักษณะของการปฏิวัติโดยใช้เลห์กลทางทหาร
ในตอนต้น ๆ ของสงคราม ดังกฤษจะใช้ตะวันออกกลางเป็ฯแนวหน้าสำคัญ พยายามนำประเทศต่าง ๆ ในคาบสมุทรบอลข่านเข้าสู่สงครามโดยเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งถ้าเป็นจริงดังนั้นแล้ว ไม่เพียงแต่ประวัติศาสตร์ของตะวันออกกลางเท่านั้นทีจะเปลี่ยนแปลงแม้แต่ประวัติศาสตร์ของรัสเซียก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย
อังกฤษยกพลขึ้นบกที่แกลิลิโปลิ ขณะที่พวกเติร์ยังมั่นคงอยู่ หากกองทัพอังกฤษขึ้นฝั่งที่ซีเรียที่ซึ่งชาวอาหรับกำลังก่อจลาจลนั้นอาจทำให้สงครามในตะวันออกกลางระเบิดขึ้นเร็วกว่านี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามซีเรียก็มิได้ปฏิวัติ กองทัพเติร์กในทุกๆ แนวหน้าต่อสู้อย่างกล้าหาญและมีจุดมุ่งหมาย
กุมภาพันธ์ ปี 1915 กองทัพเติร์กได้ไปถึงคลองสุเอซ และในเดือนเดียวกัน ชนเผ่าเดียวกับเติร์กในอิหร่านทางตะวันตกได้ตัดท่อส่งน้ำมันถึงท่านเรื่อ เป็นการขทมขู่อังกฤษ และสร้างความเสียหายแก่อังกฤษ เท่ากับบอกว่าหากอังกฤษจะยึดครองตะวันออกกลางนั้น อังกฤษจะต้องมีกองทัพอันยิ่งใหญ่ประจำอยู่ในตะวันออกกลางตลอดเวลาของสงคราม
สิงหาคม 1915 กองทัพอังกฤษในภาคใต้ของอิรัก พยายามที่จะยึดครองแบกแดดซึ่งอยู่ทางตอนเหนือและบรรเทาความกดดันเรื่องปัญหาท่อส่งน้ำมัน ในการเคลื่อนพลครั้งนี้ทำให้เกิดการปะทะกับกองทัพเติร์กอันเข้มแข็งและอังกฤษได้รับความเสียหาย และถอยไปในเดือนธันวาคม ปีเดียวกัน กระทั่ง มีนาคม ปี 1917 ภายหลังการต่อสู้อันทำให้ทหารทั้งชาวอินเดียและอังกฤษล้มตายเป็นจำนวนมาก ในที่สุดอังกฤษก็สามารถยึดแบกแดดได้ ในขณะเดียวกันอียิปต์ซึ่งเป็นแนวหน้าอีกแห่งและมีการต่อสู้กันอย่างรุนแรง อังกฤษไม่ยอมรับคำแนะนำของอเมริกาที่เร่งเร้าให้เติร์กทำสันติภาพอยางมีเกียรติ
ธันวาคม ปี 1917 อังกฤษยึดเยรูซาเลมและตุลาคมปี ถัดมาก็สามารถยึดดามัสกัน เมืองหลวงของซีเรียได้ ในตอนเริ่มของสงครามนั้นอังกฤษไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่า การต่อสู้จะรุนแรงแต่ด้วยความฉลาดรอบคอบของอังกฤษ ที่ช่วยให้อังกฤษสามารถได้รับความสนับสนุนจากท้องถิ่นที่อังกฤษยึดครองได้ ตลอดจนข้อเสนอที่อังกฤษทำไว้กับ “ชารีฟ ฮุสเซน แห่งเมกกะ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1914 ซึ่งก็มีส่วนช่วยอังกฤษอยู่มาก…
ตะวันออกกลางเป็นดินแดนส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของจักวรรดิออตโตมัน ซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างขวางมาก แต่รัฐบาลของจักรวรรดิซึ่งเป็นเติร์กนั้นไม่มีประสิทธิภาพ กรทั่งยุโรปเรียกจักรวรรดินี้ว่าเป็น “คนป่วยของยุโรป”
เติร์กหนุ่ม(Young turk) เป็นกลุ่มทหารชั้นกลางมีการศึกษาและค่อนข้างหัวรุนแรงไม่พอใจสุลต่านอับดุล ฮามิดที่ 2 แห่งจัรวรรดิออตโตมันเนื่องจากการนำรัฐธรรมนูญมาใข้ให้อำนาจเด็ดขาดแก่สุลต่าน พวกเตอร์หนุ่มทำการปฏิวัติและสำเร็จ เติร์กหนุ่มจึงเป็นผู้ปฏิบัติการของรัฐบาลในระยะแรกเติร์กหนุ่มสามารถทำให้เกิดความสมานฉันท์โดยเฉพาะระหว่างเติร์กและอาหรับ แต่ตัวกระตุ้นที่สำคัญคือลัทธิตุรกีซึ่งความรู้สึกเช่นนี้ เกิดมานานแล้ว และก็เป็นสาเหตุอันหนึ่งที่นำไปสู่การปฏิวัติ
ความไม่พอใจที่แฝงอยู่ภายในใจของเติร์กหนุ่มเติบโตขึ้นประกอบกับความคิดที่ว่าเหตุใดจักรวรรดิออตโตมันจึงเป็นรวมของชนหลายเชื่อชาติ..แม้แต่บอลข่านก็เกิดลัทธิชาตินิยมของชนเชื่อชาติต่าง ๆ เช่น กรีก ชาตินิยมบัลแกเลีย ชาตินิยมโรมมาเนียนซึ่งลัทธิชาตินิยมบอลข่านนั้นมีศูนญ์รวมอยู่ทศาสนา
ในคริสตศตวรรษที่ 19 ชาวอาร์เมเนียน ซึ่งอยู่กระจัดกระจายบริเวณที่ราบสูงอาร์เมเนียทางทิศตะวันออกของตุรกี เป็นผุ้นำความคิดของลัทธิชาตินิยมมาสู่ใจกลางอาณาจักรออตโตมัน เป็นความคิดเกี่ยวกับความรู้สักของมนุษย์ชาติซึ่งเป็นแรงกระตุ้นให้พวกเตอร์กในจักรวรรดิสอบสวนเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของตนเอง ซึ่งเป็นความรู้สึกใหม่ แต่ก็ถูกสนับสนุนและผลักดันโดยความไม่พอใจที่ซ่อนอยู่ในใจของขาวเติร์กโดยไม่รู้ตัวดังนั้นแม้จะพยายามยุคสมัยแห่งการสามัคคีระหว่างเติร์กและอาหรับ และชนชาติอื่นๆ ในจักรวรรดิ แต่ความรู้สึกชาตินิยมก็ทำลายความพยายามดังกล่าวพวกเติร์กกลับทำจักวรรดิให้กลายเป็นตุรกี..การกระทำดังกล่าวของเติร์กเป็นแรงผลักที่ฝ่ายอาหรับต้องแสวงหาเอกลักษณ์ของตัวเอง และนำไปสู่ลัทธิชาตินิยมอาหรับในที่สุด..
คาบสมุทรอาหรับ ซีเรีย และอิรัก
เป็นการต่อสู้ที่รุนแรงและขมขื่น ต่อสู้ในระยะทางไกลและพื้นที่กว้างใหญ่ ด้วยกองทัพอันยิ่งใหญ่ แม้ว่ายุโรปจะมีการเตียมการณ์รบมาหลายปีก่อนสงคราม แต่ในการต่อสู้จริง นั้นเป็นลักษณะของการปฏิวัติโดยใช้เลห์กลทางทหาร
ในตอนต้น ๆ ของสงคราม ดังกฤษจะใช้ตะวันออกกลางเป็ฯแนวหน้าสำคัญ พยายามนำประเทศต่าง ๆ ในคาบสมุทรบอลข่านเข้าสู่สงครามโดยเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งถ้าเป็นจริงดังนั้นแล้ว ไม่เพียงแต่ประวัติศาสตร์ของตะวันออกกลางเท่านั้นทีจะเปลี่ยนแปลงแม้แต่ประวัติศาสตร์ของรัสเซียก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย
อังกฤษยกพลขึ้นบกที่แกลิลิโปลิ ขณะที่พวกเติร์ยังมั่นคงอยู่ หากกองทัพอังกฤษขึ้นฝั่งที่ซีเรียที่ซึ่งชาวอาหรับกำลังก่อจลาจลนั้นอาจทำให้สงครามในตะวันออกกลางระเบิดขึ้นเร็วกว่านี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามซีเรียก็มิได้ปฏิวัติ กองทัพเติร์กในทุกๆ แนวหน้าต่อสู้อย่างกล้าหาญและมีจุดมุ่งหมาย
กุมภาพันธ์ ปี 1915 กองทัพเติร์กได้ไปถึงคลองสุเอซ และในเดือนเดียวกัน ชนเผ่าเดียวกับเติร์กในอิหร่านทางตะวันตกได้ตัดท่อส่งน้ำมันถึงท่านเรื่อ เป็นการขทมขู่อังกฤษ และสร้างความเสียหายแก่อังกฤษ เท่ากับบอกว่าหากอังกฤษจะยึดครองตะวันออกกลางนั้น อังกฤษจะต้องมีกองทัพอันยิ่งใหญ่ประจำอยู่ในตะวันออกกลางตลอดเวลาของสงคราม
สิงหาคม 1915 กองทัพอังกฤษในภาคใต้ของอิรัก พยายามที่จะยึดครองแบกแดดซึ่งอยู่ทางตอนเหนือและบรรเทาความกดดันเรื่องปัญหาท่อส่งน้ำมัน ในการเคลื่อนพลครั้งนี้ทำให้เกิดการปะทะกับกองทัพเติร์กอันเข้มแข็งและอังกฤษได้รับความเสียหาย และถอยไปในเดือนธันวาคม ปีเดียวกัน กระทั่ง มีนาคม ปี 1917 ภายหลังการต่อสู้อันทำให้ทหารทั้งชาวอินเดียและอังกฤษล้มตายเป็นจำนวนมาก ในที่สุดอังกฤษก็สามารถยึดแบกแดดได้ ในขณะเดียวกันอียิปต์ซึ่งเป็นแนวหน้าอีกแห่งและมีการต่อสู้กันอย่างรุนแรง อังกฤษไม่ยอมรับคำแนะนำของอเมริกาที่เร่งเร้าให้เติร์กทำสันติภาพอยางมีเกียรติ
ธันวาคม ปี 1917 อังกฤษยึดเยรูซาเลมและตุลาคมปี ถัดมาก็สามารถยึดดามัสกัน เมืองหลวงของซีเรียได้ ในตอนเริ่มของสงครามนั้นอังกฤษไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่า การต่อสู้จะรุนแรงแต่ด้วยความฉลาดรอบคอบของอังกฤษ ที่ช่วยให้อังกฤษสามารถได้รับความสนับสนุนจากท้องถิ่นที่อังกฤษยึดครองได้ ตลอดจนข้อเสนอที่อังกฤษทำไว้กับ “ชารีฟ ฮุสเซน แห่งเมกกะ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1914 ซึ่งก็มีส่วนช่วยอังกฤษอยู่มาก…
วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556
WWI: แอฟริกา
ชาวยุึโรปส่วนใหญไม่สนใจแอฟริกา เนื่องจากดอนแดนตอนเหนือของแอฟริกาที่อยู่ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลทรายซาฮารา เป็นที่ดินที่มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่นจึงไม่มีที่ว่างพอให้ชาวยุโรปเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ และทางแอฟริการใต้ซึ่งมีทรัพยกรธรรมชาตินั้นเป็นเมืองปิดซึ่งห้ามคนแปลกห้าเข้าเมือง ในขณะที่แอฟริกากลางเป็นป่าดงดิบไม่มีใครรู้จักดินแดนแห่งนี้มาก่อน ชาวยุโรปจึงไม่กล้าเสี่ยงลงทุนด้านเกษตรกรรมในแอฟริกา
หนึ่งในข้ออ้างในการเข้ายึดครองแอฟริกาคือชาวอังกฤษคิดว่า อังกฤษจะต้องยึดครองเส้นทางที่จะไปยังประเทศอินเดียเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคง ทั่้งทางด้านการเมืองและการค้า อังกฤษจึงพยายามกีดกันฝรั่งเศสเข้ามามีอิทธิพลในอียิปต์ แต่แล้วอังกฤษก็ดำเนินนโยบายผิดพลาดโดยยอมให้นักวิศวกรฝรั่งเศสทำการขุดคลองสุเอซ เพราะเมื่อคลองสุเอซสำเร็จลงผู้ที่เฝ้าอยู่ตรงคอคอดปากคลองสุเอซ คือฝรั่งเศสและชาวอียิปต์ ซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดิน อังกฤษจึงเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมืองในทวีปแอฟริกา โดยให้ความสำคัญกับอียิปต์และลุ่มแม่น้ำไนล์ว่าเป็นบริเวณที่มีความสำคัญอันดับหนึ่งของแอฟริกา
สมัยล่าอาณานิคม ยุโรปมีการประชุมเพื่อทำการแบ่งแอฟริกา โดยจัดขึ้นที่กรุงเบอลิน เยรมนีเมื่อปี 1884 การประชุมครั้งนี้ชื่อว่า การปรุชุมแห่งเบอร์ลินเกี่ยวกับคองโก มีผู้แทนจาก 12 ประเทศเข้าร่วมประชุม ส่วนใหญ่เป็นประเทศในยุโรป มีเพียง อเมริกาและและตุรกีที่ไม่อยู่ในทวีปยุโรป
บริสมาร์คเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะผลักดันให้เยอรมนีมีบทบาทในระดับโลก และต้องการที่จะขัดขวางความมักใหญ่ใฝ่สูงของฝรั่งเศส อย่างไรก็ดี บิสมาร์คเห้นว่าฝรั่งเศสควรจะได้รับดินแดนบางส่วนเพื่อเป็นการทดแทนกับการที่ฝรั่งเศสต้องเสียแคว้นเอลซาส โลธริงแกนให้กับเยอรมัน เื่พื่อป้องกันการฝูกใจเจ็บจากฝรั่งเศส นอกจากนี้บิสมาร์คยังพบทางออกที่ดีที่จะไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเยอมนีและอังกฤษ(ในขณะนั้นอังกฤษเป็นประเทศมหาอำนาจ ในขณะที่เยอรมนีเพิ่งจะสร้างประเทศ) บิสมาร์คมองเห็นประโยชน์อันมหาศาลจากการแบ่งดินแดนที่อยู่ลึกเข้าไปในทวีปแอฟริกา
สาเหตุที่สำคัญอีกประการที่ทำให้เกิดการจัดการแบ่งปันแอฟริกา จัดขึ้นที่เมืองเบอร์ลินซ์ คือ พระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 กษัตริย์แห่งเบลเยี่ยมทรงพยายามทำให้เกิดสถานการณ์ต่าง ๆ ในดินแดนแถบลุ่มน้ำคองโก สืบเนื่องมาจากพระองค์มีความสนพระทัยและปรารถนาที่จะครอบครองดินแดนส่วนในของทวีปแอฟริกาเป็นอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้ประเทศต่างๆ ทราบความปรารถนา พระองค์จึงจัดตั้งองค์การนานาชาติภายใต้พระนามแฝงว่า "สมาคมนานาชาติแห่งแอฟริกา"โดยมีจุดประสงค์ของสมาคม เพื่อทำการค้นคว้าทางวิชาการเกี่ยวกับการช่วยเหลือมนุษย์ร่วมโลก..ในแอฟริกาสำหรับประเทศต่าง ๆ ของยุโรป
โดยว่าจ้างนักสำรวจชาวอังกฤษ คือ สแตนเลย์ ซึ่งแปลงสัญชาติเป็นอเมริกัน ทำการสำรวจลึกเข้าไปภายในโดยเริ่มจากแม่น้ำคองโก เข้าไปมีเนื้อที่กว่า สองล้านห้าแสนตารางกิโลเมตร ดอนแดนเหล่นี้กลายเป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 แห่งเบลเยี่ยม แต่พระองค์ทรงเป็นหนีรัฐบาลเบลเยี่ยมเป็นเงินจำนวนมากที่กู้มาใช้ในการสำรวจ พระองค์ไม่สามารถหาเงินคือนได้ รัฐบาลเบลเยียมจึงสั่งยึดแคว้นคองโกเป็นของรัฐ
ยุโรปเกรงว่า เบลเยี่ยมจะกองโดยและผูกขาดผลประโยชน์ และหวาดเกรงเยอรมันและเบลเยี่ยมจะมีอิทธิพลและยึดครองดินแดนส่วนในของทวีปแอฟริกาเป็นจำนวนมาก ซึงจะกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ของประเทต่างๆ ที่เพิ่งจะได้รับในแอฟริกา จึงเกิดความตรึงเครียดและความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน
ผลของการประชุมคือ ให้คองโกเป็นรัฐอิสระ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 แห่งเบลเยี่ยม) แต่จะต้องเปิดตลาดเสรีสำหรับการค้าของนานาชาติ,ให้สิทธิในการเดินเรือในแม่น้ำคองโกและแม่น้ำไนเจอแก่นานาชาติ,ประกันเสรีภาพของชาวพื้นเมือง,ยุติการมีทาสและการค้าทาสทั่วโลก,วางกฎเกฎฑ์เกี่ยวกับการค้าอาวุธในแอฟริกากลางแบ่งเขตอิทธิพลของมหาอำนาจต่าง ๆ , แบ่งดินแดนที่เหลืออยู่ลึกเข้าไปในพื้นทวีป
ดังนั้นในสงครามโลกครั้งนี้ แอฟริกาจึงเป็นเขตสงครามที่ประเทศเจ้าอาณานิคมต่าง ๆ ซึ่งเป็นคู่สงครามด้วยกันทั้งนั้นจะต้องปกป้องผลประโยชน์ของตนในแอฟริกา
การปะทะกันครั้งแรกๆ ของสงครามเกิดในกองทัพอาณานิคมอังกฤษ ฝรั่งเศษและเยอรมนี กองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษรุกรานโตโกแลนด์ อันเป็นดินแดนในอารักขาของเยอรมนี..
กองทัพเยอรมนีในแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้ โจมตี แอฟริการใต้ การต่อสู้ประปรายและป่าเถื่อนดำเนินจนกระทั่งสงครามสิ้นสุด
กองทัพอาณานิคมเยอรมันในแอฟริกาตะวันออกของเยอรมี นำโดยพันเอก พอล เอมิล ฟอน เลทโท-เวอร์เบค สู้รบในสงครามกองโจรและยอมจำนนสองสับดาห์หลังสัญญาสงบศึกมีผลใช้บังคับในยุโรป
*สงครามกองโจร เป็นการปฏิบัติการทางการทหารและกึ่งทหาร โดยใช้กำลังรบนอกแบบ กำลังประชาชนในดินแดนที่ฝ่ายตรงข้ามยึดครอง หรือในดินแดนของฝ่ายตรงข้าม มีทหารหน่วยรบพิเศษเป็นผู้กำกับดูแลและให้คำแนะนำสำหรับสงครามกองโจรนั้นถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติทางทหารโดยเปิดผยของกลุ่มก่อความไม่สงบ หรือขบวนการต่อต้านติดอาวุธ ภารกิจที่มอบให้กองโจรทำได้แก่ การซุ่มโจมตี การวางระเบิด และการลอบสังหาร โดยกำลังรบของกลุ่มต่อต้านที่ผ่านกระบวนการจัดตั้งแล้วสามารถปฏิบัติการทางทหารในลักษณะที่กล่าวมาได้โดยกำลังของตนเองเพียงลำพัง ส่วนใหญ่แล้วลักษณะของการปฏิบัติการจะเป็นการขัดขวางเส้นทาง การรบกวนการติดต่อสื่อสารและขัดขวางการซ่อมบำรุงของฝ่ายข้าศึกด้วยการวางทุ่นระเบิด กับระเบิด นอกจากนี้กองโจรอาจถูกใช้ในการรวบรวมข่าวสารอีกด้วย
หนึ่งในข้ออ้างในการเข้ายึดครองแอฟริกาคือชาวอังกฤษคิดว่า อังกฤษจะต้องยึดครองเส้นทางที่จะไปยังประเทศอินเดียเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคง ทั่้งทางด้านการเมืองและการค้า อังกฤษจึงพยายามกีดกันฝรั่งเศสเข้ามามีอิทธิพลในอียิปต์ แต่แล้วอังกฤษก็ดำเนินนโยบายผิดพลาดโดยยอมให้นักวิศวกรฝรั่งเศสทำการขุดคลองสุเอซ เพราะเมื่อคลองสุเอซสำเร็จลงผู้ที่เฝ้าอยู่ตรงคอคอดปากคลองสุเอซ คือฝรั่งเศสและชาวอียิปต์ ซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดิน อังกฤษจึงเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมืองในทวีปแอฟริกา โดยให้ความสำคัญกับอียิปต์และลุ่มแม่น้ำไนล์ว่าเป็นบริเวณที่มีความสำคัญอันดับหนึ่งของแอฟริกา
สมัยล่าอาณานิคม ยุโรปมีการประชุมเพื่อทำการแบ่งแอฟริกา โดยจัดขึ้นที่กรุงเบอลิน เยรมนีเมื่อปี 1884 การประชุมครั้งนี้ชื่อว่า การปรุชุมแห่งเบอร์ลินเกี่ยวกับคองโก มีผู้แทนจาก 12 ประเทศเข้าร่วมประชุม ส่วนใหญ่เป็นประเทศในยุโรป มีเพียง อเมริกาและและตุรกีที่ไม่อยู่ในทวีปยุโรป
บริสมาร์คเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะผลักดันให้เยอรมนีมีบทบาทในระดับโลก และต้องการที่จะขัดขวางความมักใหญ่ใฝ่สูงของฝรั่งเศส อย่างไรก็ดี บิสมาร์คเห้นว่าฝรั่งเศสควรจะได้รับดินแดนบางส่วนเพื่อเป็นการทดแทนกับการที่ฝรั่งเศสต้องเสียแคว้นเอลซาส โลธริงแกนให้กับเยอรมัน เื่พื่อป้องกันการฝูกใจเจ็บจากฝรั่งเศส นอกจากนี้บิสมาร์คยังพบทางออกที่ดีที่จะไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเยอมนีและอังกฤษ(ในขณะนั้นอังกฤษเป็นประเทศมหาอำนาจ ในขณะที่เยอรมนีเพิ่งจะสร้างประเทศ) บิสมาร์คมองเห็นประโยชน์อันมหาศาลจากการแบ่งดินแดนที่อยู่ลึกเข้าไปในทวีปแอฟริกา
สาเหตุที่สำคัญอีกประการที่ทำให้เกิดการจัดการแบ่งปันแอฟริกา จัดขึ้นที่เมืองเบอร์ลินซ์ คือ พระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 กษัตริย์แห่งเบลเยี่ยมทรงพยายามทำให้เกิดสถานการณ์ต่าง ๆ ในดินแดนแถบลุ่มน้ำคองโก สืบเนื่องมาจากพระองค์มีความสนพระทัยและปรารถนาที่จะครอบครองดินแดนส่วนในของทวีปแอฟริกาเป็นอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้ประเทศต่างๆ ทราบความปรารถนา พระองค์จึงจัดตั้งองค์การนานาชาติภายใต้พระนามแฝงว่า "สมาคมนานาชาติแห่งแอฟริกา"โดยมีจุดประสงค์ของสมาคม เพื่อทำการค้นคว้าทางวิชาการเกี่ยวกับการช่วยเหลือมนุษย์ร่วมโลก..ในแอฟริกาสำหรับประเทศต่าง ๆ ของยุโรป
โดยว่าจ้างนักสำรวจชาวอังกฤษ คือ สแตนเลย์ ซึ่งแปลงสัญชาติเป็นอเมริกัน ทำการสำรวจลึกเข้าไปภายในโดยเริ่มจากแม่น้ำคองโก เข้าไปมีเนื้อที่กว่า สองล้านห้าแสนตารางกิโลเมตร ดอนแดนเหล่นี้กลายเป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 แห่งเบลเยี่ยม แต่พระองค์ทรงเป็นหนีรัฐบาลเบลเยี่ยมเป็นเงินจำนวนมากที่กู้มาใช้ในการสำรวจ พระองค์ไม่สามารถหาเงินคือนได้ รัฐบาลเบลเยียมจึงสั่งยึดแคว้นคองโกเป็นของรัฐ
ยุโรปเกรงว่า เบลเยี่ยมจะกองโดยและผูกขาดผลประโยชน์ และหวาดเกรงเยอรมันและเบลเยี่ยมจะมีอิทธิพลและยึดครองดินแดนส่วนในของทวีปแอฟริกาเป็นจำนวนมาก ซึงจะกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ของประเทต่างๆ ที่เพิ่งจะได้รับในแอฟริกา จึงเกิดความตรึงเครียดและความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน
ผลของการประชุมคือ ให้คองโกเป็นรัฐอิสระ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 แห่งเบลเยี่ยม) แต่จะต้องเปิดตลาดเสรีสำหรับการค้าของนานาชาติ,ให้สิทธิในการเดินเรือในแม่น้ำคองโกและแม่น้ำไนเจอแก่นานาชาติ,ประกันเสรีภาพของชาวพื้นเมือง,ยุติการมีทาสและการค้าทาสทั่วโลก,วางกฎเกฎฑ์เกี่ยวกับการค้าอาวุธในแอฟริกากลางแบ่งเขตอิทธิพลของมหาอำนาจต่าง ๆ , แบ่งดินแดนที่เหลืออยู่ลึกเข้าไปในพื้นทวีป
ดังนั้นในสงครามโลกครั้งนี้ แอฟริกาจึงเป็นเขตสงครามที่ประเทศเจ้าอาณานิคมต่าง ๆ ซึ่งเป็นคู่สงครามด้วยกันทั้งนั้นจะต้องปกป้องผลประโยชน์ของตนในแอฟริกา
การปะทะกันครั้งแรกๆ ของสงครามเกิดในกองทัพอาณานิคมอังกฤษ ฝรั่งเศษและเยอรมนี กองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษรุกรานโตโกแลนด์ อันเป็นดินแดนในอารักขาของเยอรมนี..
กองทัพเยอรมนีในแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้ โจมตี แอฟริการใต้ การต่อสู้ประปรายและป่าเถื่อนดำเนินจนกระทั่งสงครามสิ้นสุด
กองทัพอาณานิคมเยอรมันในแอฟริกาตะวันออกของเยอรมี นำโดยพันเอก พอล เอมิล ฟอน เลทโท-เวอร์เบค สู้รบในสงครามกองโจรและยอมจำนนสองสับดาห์หลังสัญญาสงบศึกมีผลใช้บังคับในยุโรป
*สงครามกองโจร เป็นการปฏิบัติการทางการทหารและกึ่งทหาร โดยใช้กำลังรบนอกแบบ กำลังประชาชนในดินแดนที่ฝ่ายตรงข้ามยึดครอง หรือในดินแดนของฝ่ายตรงข้าม มีทหารหน่วยรบพิเศษเป็นผู้กำกับดูแลและให้คำแนะนำสำหรับสงครามกองโจรนั้นถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติทางทหารโดยเปิดผยของกลุ่มก่อความไม่สงบ หรือขบวนการต่อต้านติดอาวุธ ภารกิจที่มอบให้กองโจรทำได้แก่ การซุ่มโจมตี การวางระเบิด และการลอบสังหาร โดยกำลังรบของกลุ่มต่อต้านที่ผ่านกระบวนการจัดตั้งแล้วสามารถปฏิบัติการทางทหารในลักษณะที่กล่าวมาได้โดยกำลังของตนเองเพียงลำพัง ส่วนใหญ่แล้วลักษณะของการปฏิบัติการจะเป็นการขัดขวางเส้นทาง การรบกวนการติดต่อสื่อสารและขัดขวางการซ่อมบำรุงของฝ่ายข้าศึกด้วยการวางทุ่นระเบิด กับระเบิด นอกจากนี้กองโจรอาจถูกใช้ในการรวบรวมข่าวสารอีกด้วย
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556
WWI:ราซีย์สกายาฟิดิรัตซียา
ในสมัย "ซาแห่งสันติภาพ" หรือซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย เนืองจากสามารถแ้ปัญหาจากการปฏิวัติทุกรูปแบบ ทางด้านต่างประเทศรัสเซียดำเนินนธยบายเป็นมิตรกับจักวรรดิเยอมนีและจักวรรดิออตโตมัน กระทั่งเกิดปัญหารเรืองดินแดนในคาบสมุทรบอลข่าน รสเซียจึงเปลี่ยนนโยบายไปเป็นมิตรกับฝรั้่งเศสและอังกฤษ กลุ่มต่อต้านระบบกษัตริย์ได้หายไปอย่างรวดเร็ว มีเพียงกลุ่มหนึ่งได้พยายามวางแผนลอบปลงพระชนม์ แต่ถูกขัดขวางโดยตำรวจลับรัสเซีย นักศึกษาจำนวนหนึ่งถูกแขวนคอ รวมทั้งอเล็กซานเดอร์ อุลยานอฟ ซึ่งเป็นพี่ชาย วลาดีมีร์ เลนิน ซึ่งอีกหลายปีต่อมาใช้เวลาส่วนใหญ่กับขบวนการปฏิวัติใต้ดอน เพื่อล้างแค้นให้พี่ชาย
อเล็กซานเดอร์ที่ 3 สเด็จสวรรคต เมือพระชนมายุได้ 49 พรรษา มกุฎราชกุมารนิโคลัสขึ้นเป็ฯซษร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย ทรงเป็นจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของรัสเซีย ทรงครองราชย์พร้อมกับการเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสไม่สามารถตกลงอะไรกันได้กับอังกฤษ และได้รับการกล่าวขานว่าเป็นจักรพรรดิที่อ่อนแดไม่สามารถจักการกับสถานการณ์ที่ปั่นป่วนของประเทศพ่ายแพ้การรบทางเรือในสางครามรัสเซ๊ย-ญี่ปุ่น และทรงเข้าบัญชาการรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 รัสเซียประกาศสงครามกับมหาอำนาจกลางเมือวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1914 โดยเข้ากับฝ่ายไตรสัมพันธมิตร ทำการรบแนวรบด้านตะวันออก
แนวรบด้านตะวันออกและตะวันตกนั้นแม้จะแยกกันทางภูมิศาสตร์แต่เหตุการณ์ในเขตสงครามทั้งสองมีอิทธิพลต่อกันเป็นอย่างมาก
แนวรบทางด้านตะวันออกใหญ่กว่าแนวรบทางตะวันตกมาก เขตสงครามจำกัดขอบเขตอยางหยาบ ๆ โดย ทะเลบอลติก ทางตะวันตก มินสก์ทางตะวันออก เซนต์ปีเตอร์เบิร์กทางเหนือ และทะเลดำทางใต้ คิดเป็นระยะทางกว่า 1,600 กิโลเมตร ซึ่งมีผลอย่างรุนแรงต่อธรรมชาติของสงคราม เนื่องจากแนวรบยาวความหนาแน่นของทหารต่ำกว่าแนวรบด้านตะวันตก และแตกง่ายกว่า และเมื่อแตกแล้วเป็นการยากสำหรับฝ่ายตั้งรับที่จะส่งกำลังหนุนมาช่วย กล่าวคือฝ่ายป้องกันในแนวรบด้านตะวันออกไม่มีข้อได้เปรียบเหมือนกับแนวรบด้านตะวันตก
สงครามเริ่มโดยการรุกรานปรัสเซีย และจังหวัดกาลิเซียของออสเตรีย-ฮังการี ความพยายยามแรกของรัสเซียประสบความล้มเหลว แต่สามารถควบคุมกาลิเซียเกือบทั้งหมดได้ ซึ่งเป็นผลให้เยอรมันต้องแบ่งทหารส่งมาทางตะวันออก
ความสนใจหลักของการสู้รบไปอยู่ที่ส่วนกลางของโปแลนด์ทางตะวันออกของแม่น้ำวิลตูลา ในยุทธการแม่น้ำวิลตูลา ฝ่ายเยอรมนีประสบความสำเร็จเล็กน้อยแต่สามารถกันรัีสเซียให้อยู่ในระยะที่ปลดภัยได้
ในปี 1915 กองบัญชาการเยอมนีตัดสิใจทุ่มเทความพยายามส่วนใหญ่บนแนวรบด้านตะวันออกและย้ายกองกำลังขนาดใหญ่มาจากตะวันตก ฝ่ายมหาอำนาจกลางเริ่มด้วยการรุกกอลิซขทอร์นอฟในกาลิเซีย หลังยุทธการทะเลสาบมาซูเรียกำลังเยอรมนีและออกเตรีย - ฮังการีในแนรบด้านตะวันออดำนเนินการอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาร่วมกันไม่นานการรุกจะเปลี่ยนไปเป็นการคืบหน้าโดยทั่งไปกละตามด้วยการล่าถอยทางยุทธศาตร์ของกองทัพรัสเซีย (สาเหตุของการผันกลับนี้เกิดจากข้อผิดพลาดในแง่ยุทธวิธี )
กลางปี 1915 รัสเซียถูกขับออกจากโปแลนด์และถูกผลักดันหลายร้อยกิโลเมตรจากชายแดนของระเทศมหาอำนาจกลาง ปลายปีเดียวกันนี้ เยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการีสามารถหยุดยั้งการบุกของรัสเซียได้
ปี 1916 ในเดือนมิถุนายน รัสเซียมีอกองพลทหารราบ 140 กองพลในขณะที่ออสเตรียและเยอมันีมี 105 กองพล กองทหารม้ารัสเซีย 40 กองพลในขณะที่ฝ่ายมหาอำนาจกลางมี 22 กองพล การระดมอุตสาหกรรมและการเพ่ิมการส่งออก จึงส่งผลให้รัสเซียเป็นฝ่ายบุกต่อไปได้
การโจมตีครั้งใหญ่บนแนวรบด้านตะวันตกเฉียงใต้โดยการนำของพลเอกอเล็กเซย์ บรูซิลอฟ (เรียกว่าการรุกของบรูซิลอฟ)เริ่มขึ้นในเดือนมิถุนา โดยเป้าหมายการโจมตีคือส่วนของแนวรบที่ควบคุมโดยออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งประุสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจในช่วงแรกกองทัพรัสเซียรุกเข้าไปลึก 50-70 กิโลเมตร จับกุมเชลยได้หลายแสนคน และปืนใหญ่อีกหลายร้อยกระบอก
การมาถึงของกองหนุน ความพ่ายแพ้ของโรมาเนีย ความล้มเหลวของพันธมิตรตะวันตกในการสั่นสะเทือนการป้องกันของเยอรมนีทำให้การรุกของรัสเซียสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน
14 สิงหาคม ค.ศ. 1916 โรมาเนียเข้าสู่สงครามโดยอยู่ฝ่ายไตรพันธมิตร และทำการรุกประสบความสำเร็จกระทั่งเดือนกันยน โรมาเนียเริ่มประสบความสูญเสียอย่างหนักและพ่ายแพ้หลายครั้ง เนื่องจากยุทโธปกรณ์และขาดความช่วยเหลือจากรัสเซีย
ปี 1917 กองทัพเยอมันสามารถสมทบกับกองทัพออสเตรีย-ฮังการีในทรานซิลวาเนียและกรุงบูชาเรสต์ถูกขึดโดยฝ่ายมหาอำนาจกลางในเดือนธันวาคม ไม่นานนักความไม่สงบก็แผ่กระจายไปทั่งรัสเซีย ขณะที่ซาร์แห่งรัสเซียยังคงบัญชาการรบอยู่แนวหน้า จักรพรรดินีอเล็กซานดราซึ่งไร้ความสามารถในการปกครองไม่สามารถปราบปรามกลุ่มประท้วงได้และนำไปสู่การฆาตกรรม"รัสปูติน" ปลายปี 1916
มีนาคม 1917 การชุมนุมที่กรุงเซนต์ปีเตอร์เบิร์กลงเอยด้วยการสละราชบัลลังก์ของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย และการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวซึ่งมีความอ่อนแอและแบ่งปันอำนาจกับกลุ่มสัคมนิยมเปโตรกราดโซเวียต การจัดการดังกล่าวสร้างความสับสนและนำไปสู่ความวุ่นวายทั้งในแนวหน้าและในแผ่นดินรัสเซีย กองทัพรัสเซียด้อยประสิทธิภาพลงกว่าเดิม
สงครามและรัฐบาลชั่วคราวของรัศเซียไม่เป็ฯนิยมของประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ ความไม่พอใจดังกล่าวได้นำไปสู่การขึ้นครองอำนาจของพรรคบอลเชวิค นำโดย วลาดีนีย์ เลนิน ซึ่งให้สัญญากับชาวรัสเซียว่าจะดึงรัสเซียออกจากสงครามและทำให้รัสเซียกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
ชัยชนะของพรรคบอลเชวิคในการปฏิวัติเดืิอนตุลาคม ตามด้วยการสงบศึกชั่วคราวและการเจรจากับเยอมนี ซึ่งในตอนแรก พรรคบอลเชวิคปฏิเสธข้อเสนอของเยรมนี แต่เมื่อกองทัพเยอมันีบุกถึงยูเครน เขาจึงต้องยอมเซ็นสัญญาเบรสต์-ลีโตเวส เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 1918 ซึ่งทำให้รสเซียออกจาสงครา และยอมยกดินแดนในแก่ฝ่ายมหาอำนาจกลาง...
อเล็กซานเดอร์ที่ 3 สเด็จสวรรคต เมือพระชนมายุได้ 49 พรรษา มกุฎราชกุมารนิโคลัสขึ้นเป็ฯซษร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย ทรงเป็นจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของรัสเซีย ทรงครองราชย์พร้อมกับการเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสไม่สามารถตกลงอะไรกันได้กับอังกฤษ และได้รับการกล่าวขานว่าเป็นจักรพรรดิที่อ่อนแดไม่สามารถจักการกับสถานการณ์ที่ปั่นป่วนของประเทศพ่ายแพ้การรบทางเรือในสางครามรัสเซ๊ย-ญี่ปุ่น และทรงเข้าบัญชาการรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 รัสเซียประกาศสงครามกับมหาอำนาจกลางเมือวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1914 โดยเข้ากับฝ่ายไตรสัมพันธมิตร ทำการรบแนวรบด้านตะวันออก
แนวรบด้านตะวันออกและตะวันตกนั้นแม้จะแยกกันทางภูมิศาสตร์แต่เหตุการณ์ในเขตสงครามทั้งสองมีอิทธิพลต่อกันเป็นอย่างมาก
แนวรบทางด้านตะวันออกใหญ่กว่าแนวรบทางตะวันตกมาก เขตสงครามจำกัดขอบเขตอยางหยาบ ๆ โดย ทะเลบอลติก ทางตะวันตก มินสก์ทางตะวันออก เซนต์ปีเตอร์เบิร์กทางเหนือ และทะเลดำทางใต้ คิดเป็นระยะทางกว่า 1,600 กิโลเมตร ซึ่งมีผลอย่างรุนแรงต่อธรรมชาติของสงคราม เนื่องจากแนวรบยาวความหนาแน่นของทหารต่ำกว่าแนวรบด้านตะวันตก และแตกง่ายกว่า และเมื่อแตกแล้วเป็นการยากสำหรับฝ่ายตั้งรับที่จะส่งกำลังหนุนมาช่วย กล่าวคือฝ่ายป้องกันในแนวรบด้านตะวันออกไม่มีข้อได้เปรียบเหมือนกับแนวรบด้านตะวันตก
สงครามเริ่มโดยการรุกรานปรัสเซีย และจังหวัดกาลิเซียของออสเตรีย-ฮังการี ความพยายยามแรกของรัสเซียประสบความล้มเหลว แต่สามารถควบคุมกาลิเซียเกือบทั้งหมดได้ ซึ่งเป็นผลให้เยอรมันต้องแบ่งทหารส่งมาทางตะวันออก
ความสนใจหลักของการสู้รบไปอยู่ที่ส่วนกลางของโปแลนด์ทางตะวันออกของแม่น้ำวิลตูลา ในยุทธการแม่น้ำวิลตูลา ฝ่ายเยอรมนีประสบความสำเร็จเล็กน้อยแต่สามารถกันรัีสเซียให้อยู่ในระยะที่ปลดภัยได้
ในปี 1915 กองบัญชาการเยอมนีตัดสิใจทุ่มเทความพยายามส่วนใหญ่บนแนวรบด้านตะวันออกและย้ายกองกำลังขนาดใหญ่มาจากตะวันตก ฝ่ายมหาอำนาจกลางเริ่มด้วยการรุกกอลิซขทอร์นอฟในกาลิเซีย หลังยุทธการทะเลสาบมาซูเรียกำลังเยอรมนีและออกเตรีย - ฮังการีในแนรบด้านตะวันออดำนเนินการอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาร่วมกันไม่นานการรุกจะเปลี่ยนไปเป็นการคืบหน้าโดยทั่งไปกละตามด้วยการล่าถอยทางยุทธศาตร์ของกองทัพรัสเซีย (สาเหตุของการผันกลับนี้เกิดจากข้อผิดพลาดในแง่ยุทธวิธี )
กลางปี 1915 รัสเซียถูกขับออกจากโปแลนด์และถูกผลักดันหลายร้อยกิโลเมตรจากชายแดนของระเทศมหาอำนาจกลาง ปลายปีเดียวกันนี้ เยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการีสามารถหยุดยั้งการบุกของรัสเซียได้
ปี 1916 ในเดือนมิถุนายน รัสเซียมีอกองพลทหารราบ 140 กองพลในขณะที่ออสเตรียและเยอมันีมี 105 กองพล กองทหารม้ารัสเซีย 40 กองพลในขณะที่ฝ่ายมหาอำนาจกลางมี 22 กองพล การระดมอุตสาหกรรมและการเพ่ิมการส่งออก จึงส่งผลให้รัสเซียเป็นฝ่ายบุกต่อไปได้
การโจมตีครั้งใหญ่บนแนวรบด้านตะวันตกเฉียงใต้โดยการนำของพลเอกอเล็กเซย์ บรูซิลอฟ (เรียกว่าการรุกของบรูซิลอฟ)เริ่มขึ้นในเดือนมิถุนา โดยเป้าหมายการโจมตีคือส่วนของแนวรบที่ควบคุมโดยออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งประุสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจในช่วงแรกกองทัพรัสเซียรุกเข้าไปลึก 50-70 กิโลเมตร จับกุมเชลยได้หลายแสนคน และปืนใหญ่อีกหลายร้อยกระบอก
การมาถึงของกองหนุน ความพ่ายแพ้ของโรมาเนีย ความล้มเหลวของพันธมิตรตะวันตกในการสั่นสะเทือนการป้องกันของเยอรมนีทำให้การรุกของรัสเซียสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน
14 สิงหาคม ค.ศ. 1916 โรมาเนียเข้าสู่สงครามโดยอยู่ฝ่ายไตรพันธมิตร และทำการรุกประสบความสำเร็จกระทั่งเดือนกันยน โรมาเนียเริ่มประสบความสูญเสียอย่างหนักและพ่ายแพ้หลายครั้ง เนื่องจากยุทโธปกรณ์และขาดความช่วยเหลือจากรัสเซีย
ปี 1917 กองทัพเยอมันสามารถสมทบกับกองทัพออสเตรีย-ฮังการีในทรานซิลวาเนียและกรุงบูชาเรสต์ถูกขึดโดยฝ่ายมหาอำนาจกลางในเดือนธันวาคม ไม่นานนักความไม่สงบก็แผ่กระจายไปทั่งรัสเซีย ขณะที่ซาร์แห่งรัสเซียยังคงบัญชาการรบอยู่แนวหน้า จักรพรรดินีอเล็กซานดราซึ่งไร้ความสามารถในการปกครองไม่สามารถปราบปรามกลุ่มประท้วงได้และนำไปสู่การฆาตกรรม"รัสปูติน" ปลายปี 1916
มีนาคม 1917 การชุมนุมที่กรุงเซนต์ปีเตอร์เบิร์กลงเอยด้วยการสละราชบัลลังก์ของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย และการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวซึ่งมีความอ่อนแอและแบ่งปันอำนาจกับกลุ่มสัคมนิยมเปโตรกราดโซเวียต การจัดการดังกล่าวสร้างความสับสนและนำไปสู่ความวุ่นวายทั้งในแนวหน้าและในแผ่นดินรัสเซีย กองทัพรัสเซียด้อยประสิทธิภาพลงกว่าเดิม
สงครามและรัฐบาลชั่วคราวของรัศเซียไม่เป็ฯนิยมของประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ ความไม่พอใจดังกล่าวได้นำไปสู่การขึ้นครองอำนาจของพรรคบอลเชวิค นำโดย วลาดีนีย์ เลนิน ซึ่งให้สัญญากับชาวรัสเซียว่าจะดึงรัสเซียออกจากสงครามและทำให้รัสเซียกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
ชัยชนะของพรรคบอลเชวิคในการปฏิวัติเดืิอนตุลาคม ตามด้วยการสงบศึกชั่วคราวและการเจรจากับเยอมนี ซึ่งในตอนแรก พรรคบอลเชวิคปฏิเสธข้อเสนอของเยรมนี แต่เมื่อกองทัพเยอมันีบุกถึงยูเครน เขาจึงต้องยอมเซ็นสัญญาเบรสต์-ลีโตเวส เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 1918 ซึ่งทำให้รสเซียออกจาสงครา และยอมยกดินแดนในแก่ฝ่ายมหาอำนาจกลาง...
วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556
WWI:U-boat
u-boat ฝูงหมาป่าแห่งท้องทะเล เรือพิฆาต หรืออะไรก็ตามแต่ เรือยู ทำหน้าที่หลักในการตัดเสบียงที่ขนส่งทางท้องทะเล เรือยูเป็นเรือดำนำกองทัพเรื่อเยอรมนี
นายพลแทพลิทซ์ ผู้มีบทบาทสำคัญในการขยายกองทัพเรือเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่กล้าตัดสินใจที่จะเสี่ยงนำกำลังทางทะเลออกต่อสู้กับราชนาวีอังกฤษ
กองทัพเรือเยอรมันจึงใช้เรื่อดำน้ำ(ยู-โบสต์)ทำสงครามกับอังกฤษ โดยเน้นการใช้เรื่อดำน้ำเข้าโจมตีทำลายเมืองตาอมชายฝั่งทะเลอังกฤษ
...เยอรมันไม่เคยประสบความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์ทางทะเลกับอังกฤษ
ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1915 เรื่อเดินทะเล ลูซินาทาเนีย ถูกตอร์ปิโดของเรือดำน้ำเยอรมันจมลง มีชาวอเมริกันเสียชีวิต 139 คน เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมันกับอเมริกาเลวลงถึงขั้นจะประกาศสงคราม แต่อย่างไรก็ดีเยอรมันอ้างว่าเรือลูซิทาเนียทำการลักลอบขนสัมถาระทงหหารจากสหรัฐมาสู่เกาะอังกฤษ
ในเดือนมีนาคา ปี 1916 เรือยูจมเรื่อซัสเซ็กส์ ซึ่งสร้างความโกรธแค้นต่ออเมริกาเป็นอย่างมาก เยอรมันจึงยุตินโยบายการใช้เรือดำน้ำแบบไม่จำกับขอบเขตชั่วคราว
นโยบายการใช้เรือดำน้ำในเชิงรุกของเยอรมนี
ในปี 1916 ปฏิบัติการทำลายเส้นทางลำเลียงของข้าศึกโดยใช้เรือดำน้ำของฝ่ายเยอรมันได้สร้างความหวาดกลัวให้กับกองเรือของประเทศฝ่ายพันธมิตรเป็นอยางมาก เพราะทั้งเรือสินค้าและเรือรบได้ถูกทำลายลุงถึงประมาณ 300,000 ตันต่อเดือนในตอนใกล้าจะสิ้นปี 1916 การตัดสินใจใช้เรือดำน้ำอย่างไม่มีขอบเขตของฝ่ายเยอรมันส่งผลกระทบต่ออังกฤษเป็นอย่างมาก อังกฤษขาดแคลนอาหารที่ส่งจาสหรัฐ ในยุทธวิธีดังกล่าวยังสร้างความเสียหายต่ออเมริกาด้วยเช่นกัน
และจากยุทธวิธีนี้เองซึ่งเยอรมันเชื่อว่าจะสามารถบังคับอังกฤษให้ยอมแพ้ก่อนที่อเมริกาจะข้าร่วมสงคราม แต่แล้วในที่สุดอเมริกาก็นประกาศเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายไตรพันธมิตร ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายไตรพันธมิตรเป็นอย่างมาก
วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556
WWI:Schlieffen Plan
Wrolde War One หรือสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งบางที่ก็เรียกว่า The Great War
สมรภูมิในยุโรป
แนวรบด้านตะวันตก
แผนชลีเฟน Schlieffen Plan
เป็นเวลาหลายปีก่อนสงคราม เสนาธิการทหารเยอรมัน หลายคนต่างคาดการณ์ว่า ในอนาคตเยอรมันต้องเผชิญศึก 2 ด้านพร้อมกัน โดยทางตะวันตกเยอรมันต้องต่อสู้กับฝรั่งเศส และทางตะวันออกคือรัสเซีย
นายพล อัลเฟรด กราฟ ฟอน ชลีเฟน เมื่อเข้ารับตำแหน่งเสนาธิการ ได้ประเมินสถานการณ์ และมีแนวคิทีตรงอข้ามกับอดีตเสนาธิการที่ผ่านๆ มา โดยเห็นว่า เยอรมันควรเผด็จศึกทางด้านตะวันตกก่อน(ฝรั่งเศส)โดยเคลื่อนทัพผ่านอ้อมแนวป้องกันอันแข็งแกร่งผ่านเบลเยี่ยมซึ่งขณะนั้นวางตัวเป็นกลาง ปิดล้อมปารีส หลังจากนั้นจึงย้ายกำลังรบไปยังรัสเซีย
จากแผนยุทธการดังกล่าวชลีเฟนกำหนดกำลังรบเป็น 8 ส่วน 7 ส่วนบุกผ่านเบลเยี่ยม เข้าทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศสบุกยึดปารีส กำลังอีก 1ส่วนจะอยู่ทางใต้ คอยระวังเมืองอุตสาหกรรมสำคัญของเยอรมัน ในแผนการนี้ชลีเฟนเห็นว่าอาจจะได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงที่เมือง Liege และ Namur จึงวางแผนที่จะเดินทัพ เข้าไปในเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นตอนเหนือของเบลเยี่ยมด้วย เพื่อเดินทัพเลียบฝั่งทะเลช่องแคบอังกฤษ แล้ววกลงมาทางตะวันออกเพื่อปิดล้อมปารีสและป้องกันกองทัพฝรั่งเศสจากแนวรบหวนกลับเข้ามาช่วย ซึ่งเชื่อว่าหากปิดล้อมปารีสแล้วฝรั่งเศสจะยอมจำนนในเวลาอันสั้น
ต่อมาได้มีการปรับแผนอันเนื่องมาจากการที่ต้องใช้ทหารจำนวนมากในแผนนี้ โดยให้ปีกขวาที่จะต้องอ้อมกรุงปารีสทางตะวันกตเปลี่ยนเส้นทางเข้ากรุงปารีสจากทางเหนือ และเสริมกำลัง ทางปีกซ้ายให้แข็งแกร่งขึ้น การปรับแผนได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเมื่อ ฟอน ชลีเฟนเกษียรอายุแล้ว ผุ้ที่เข้าดำรงตำแหน่งเสนาธิการคนถันมาคือ มอลเก้(Helmuth von Moltke Yonger )ซึ่งเห็นว่าสถานการต่างๆ เปลี่ยนแลงตลอดเวลา การเดินทัพผ่านแนวป้องกันเบลเยี่ยมคงไม่ยาก แต่ถ้าเดินทัพเข้าเนเธอร์แลนด์ด้วยปีก ขวาของกองทัพเยอรมันก็เท่ากับละเมิดประเทศที่เป็นกลางถึง 2 ประเทศจึงเห็นว่าควรหลีกเลี่ยงการส่งปีกขวาเข้าเนเธอร์แลนด์ นอกจากนี้ยังเห็นว่ารัสเซียเริ่มมีกำลังทหารที่เข้มแข็งจึงความเตรียมกำลังส่วนหนึ่งป้องกันแคว้นAlsace-Lorraine ซึ่งเป็นแหลงถ่านหินและอุตสาหกรรมหนักของเยอรมัน
แม่ทัพใหญ่เยอรมันดำเนินการตามแผนการของชลีเฟน เบลเยียมถูกยึดครองอย่างรวดเร็ว กองทัพเยอมันสามารถเดินทัพมุ่งตรงสู่กรุงปารีส
นายพลจอฟร์ Joffre ผุ้บัญชาการทหารฝรั่งเศสบุกโจมตีที่มั่นของเยอรมันในแค้งลอร์เรนดังคาดการณ์ เยอรมันจึงต้องแบ่งกำลังบางส่วนไปเสริมที่รอเล้นและอีกบางส่วนไปสมทบในปรัสเซียตะวันออกเอพื่คอยต้อนทานการบุกของรัสเซีย
ความผิดพลากจากการแบ่งกำลังปารีสจึงรอพ้นการถูกยึดครอง เมื่อไม่เป็นไปดังแผนการฝ่ายไตรพันธมิตรสามารถรวมตัวกันได้ในแนวรบด้านตะวันตกและรบชนะกองทัพเยอรมันในบริเวณลุ่มแม่น้ำมาร์น Battle of the Marnในเดือนกันยายน 1914 ถึงแม้เยอรมันจะเป็นฝ่ายแพ้ในการรบบริเวณลุ่มแม่น้ำมาร์น แต่เยอรมันยังสามารถยึดครองลักเซมเอร์กและดินแดนส่วนใหญ่ของเบลเยียมไว้ได้กรทั่งยุติสงคราม
ผลจากความล้มเหลวในสมรภูมิลุ่มแม่น้ำมาร์น นายพลฟอกเกนเฮน Falkenhayn ได้เข้าดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แทนนายพลโมลเก้ และทั้งสองฝ่ายต่างทำอะไรกันได้ไม่มากนักในสมรภูมินี้
สมรภูมิในยุโรป
แนวรบด้านตะวันตก
แผนชลีเฟน Schlieffen Plan
เป็นเวลาหลายปีก่อนสงคราม เสนาธิการทหารเยอรมัน หลายคนต่างคาดการณ์ว่า ในอนาคตเยอรมันต้องเผชิญศึก 2 ด้านพร้อมกัน โดยทางตะวันตกเยอรมันต้องต่อสู้กับฝรั่งเศส และทางตะวันออกคือรัสเซีย
นายพล อัลเฟรด กราฟ ฟอน ชลีเฟน เมื่อเข้ารับตำแหน่งเสนาธิการ ได้ประเมินสถานการณ์ และมีแนวคิทีตรงอข้ามกับอดีตเสนาธิการที่ผ่านๆ มา โดยเห็นว่า เยอรมันควรเผด็จศึกทางด้านตะวันตกก่อน(ฝรั่งเศส)โดยเคลื่อนทัพผ่านอ้อมแนวป้องกันอันแข็งแกร่งผ่านเบลเยี่ยมซึ่งขณะนั้นวางตัวเป็นกลาง ปิดล้อมปารีส หลังจากนั้นจึงย้ายกำลังรบไปยังรัสเซีย
จากแผนยุทธการดังกล่าวชลีเฟนกำหนดกำลังรบเป็น 8 ส่วน 7 ส่วนบุกผ่านเบลเยี่ยม เข้าทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศสบุกยึดปารีส กำลังอีก 1ส่วนจะอยู่ทางใต้ คอยระวังเมืองอุตสาหกรรมสำคัญของเยอรมัน ในแผนการนี้ชลีเฟนเห็นว่าอาจจะได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงที่เมือง Liege และ Namur จึงวางแผนที่จะเดินทัพ เข้าไปในเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นตอนเหนือของเบลเยี่ยมด้วย เพื่อเดินทัพเลียบฝั่งทะเลช่องแคบอังกฤษ แล้ววกลงมาทางตะวันออกเพื่อปิดล้อมปารีสและป้องกันกองทัพฝรั่งเศสจากแนวรบหวนกลับเข้ามาช่วย ซึ่งเชื่อว่าหากปิดล้อมปารีสแล้วฝรั่งเศสจะยอมจำนนในเวลาอันสั้น
ต่อมาได้มีการปรับแผนอันเนื่องมาจากการที่ต้องใช้ทหารจำนวนมากในแผนนี้ โดยให้ปีกขวาที่จะต้องอ้อมกรุงปารีสทางตะวันกตเปลี่ยนเส้นทางเข้ากรุงปารีสจากทางเหนือ และเสริมกำลัง ทางปีกซ้ายให้แข็งแกร่งขึ้น การปรับแผนได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเมื่อ ฟอน ชลีเฟนเกษียรอายุแล้ว ผุ้ที่เข้าดำรงตำแหน่งเสนาธิการคนถันมาคือ มอลเก้(Helmuth von Moltke Yonger )ซึ่งเห็นว่าสถานการต่างๆ เปลี่ยนแลงตลอดเวลา การเดินทัพผ่านแนวป้องกันเบลเยี่ยมคงไม่ยาก แต่ถ้าเดินทัพเข้าเนเธอร์แลนด์ด้วยปีก ขวาของกองทัพเยอรมันก็เท่ากับละเมิดประเทศที่เป็นกลางถึง 2 ประเทศจึงเห็นว่าควรหลีกเลี่ยงการส่งปีกขวาเข้าเนเธอร์แลนด์ นอกจากนี้ยังเห็นว่ารัสเซียเริ่มมีกำลังทหารที่เข้มแข็งจึงความเตรียมกำลังส่วนหนึ่งป้องกันแคว้นAlsace-Lorraine ซึ่งเป็นแหลงถ่านหินและอุตสาหกรรมหนักของเยอรมัน
แม่ทัพใหญ่เยอรมันดำเนินการตามแผนการของชลีเฟน เบลเยียมถูกยึดครองอย่างรวดเร็ว กองทัพเยอมันสามารถเดินทัพมุ่งตรงสู่กรุงปารีส
นายพลจอฟร์ Joffre ผุ้บัญชาการทหารฝรั่งเศสบุกโจมตีที่มั่นของเยอรมันในแค้งลอร์เรนดังคาดการณ์ เยอรมันจึงต้องแบ่งกำลังบางส่วนไปเสริมที่รอเล้นและอีกบางส่วนไปสมทบในปรัสเซียตะวันออกเอพื่คอยต้อนทานการบุกของรัสเซีย
ความผิดพลากจากการแบ่งกำลังปารีสจึงรอพ้นการถูกยึดครอง เมื่อไม่เป็นไปดังแผนการฝ่ายไตรพันธมิตรสามารถรวมตัวกันได้ในแนวรบด้านตะวันตกและรบชนะกองทัพเยอรมันในบริเวณลุ่มแม่น้ำมาร์น Battle of the Marnในเดือนกันยายน 1914 ถึงแม้เยอรมันจะเป็นฝ่ายแพ้ในการรบบริเวณลุ่มแม่น้ำมาร์น แต่เยอรมันยังสามารถยึดครองลักเซมเอร์กและดินแดนส่วนใหญ่ของเบลเยียมไว้ได้กรทั่งยุติสงคราม
ผลจากความล้มเหลวในสมรภูมิลุ่มแม่น้ำมาร์น นายพลฟอกเกนเฮน Falkenhayn ได้เข้าดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แทนนายพลโมลเก้ และทั้งสองฝ่ายต่างทำอะไรกันได้ไม่มากนักในสมรภูมินี้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...