วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555
唐
ราชวงศ์ถัง
หลังการเสื่อมอำนาจของราชวงศ์ฮั่น แผ่นดินจีนจึงแตกเป็นก๊ก หรือเรียกว่ายุค สามก๊ก กระทั้ง สมุมาเอี๋ยน สถาปนาตนเองเป็นจิ้นอู่ตั้ ก่อตั้งราชวงศ์จิ้นตะวันตก แทนที่ราชวงศ์วุ่นของเฉาเขา หรือโจโฉ จิ้นตะวันตกปราบว่อก็กได้ รวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น ยุติยุคสามก๊ก ราชวงศ์จิ้นเปิดรับเผ่านอกต่านทางเหนือเข้ามาเป็นจำนวนมาก สุดท้ายหัวหน้าเผ่าชนเผ่าซงหนู หลิวหยวน ก็ประกาศตั้งตนเป็นอิสระ ยกกำลังเข้าบุลั่วหยาง นครหลวงของจิ้นตะวันตก จับจิ้นหวยตี้ เป็นตัวประกันและสำเร็จโทษในเวลาต่อมา
การล่มสลายของราชวงศ์จิ้นตะวันตก ทำให้แผ่นดินจีนโกลาหล ราชสำนักจิ้นย้ายฐานที่มั่นทางการปกครองและเมืองหลวงลงใต้ สถานการณ์ทางตอนเหนือวุ่นวายหนัก แผ่นดินแตกออกเป็นแว่นแค้วนต่างๆ โดยเรียกยุคนี้ว่า ยุคห้าชนเผ่าสิบหกแคว้น เป็นยุคสั้นๆ ที่เกิดการหลอมรวมทางวัฒนธรรมของชาวจีนเชื่อสายต่าง ๆ
ภาคเหนือของจีนตกอยู่ในภาวะจลาจลและสงครามชนเผ่า หัวหน้าเผ่าทั่วป๋าเซียน สถาปนาแคว้นเป่ยวุ่ย และตั้งนครหลวงที่เมืองผิงเฉิง (มณฑล ซันซีในปัจจุบัน) ยุติความวุ่นวายจากสงครามแย่งชิงอำนาจทางภาคเหนือ..
หยางเจียนปลดโจวจิ้งตี้จากบัลลังก์ สถาปนาวงศ์สุย จากนั้นกรีธาทัพลงใต้ ยิตุสภาพการแบ่งแยกเหนือใต้อันยาวนานของแผ่นดินจีนได้สำเร็จ
สุยเหลินตี้ฮ่องเต้ รวบรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่นได้อีกครั้ง แต่โอรส ไม่มีความสามารถ ทำให้เกิดเหตุการซ้ำรอยราชวงศ์ฉิน บรรดาผู้ปกครองหัวเมืองต่างตั้งตนเป็นใหญ่และแย่งอำนาจกัน ราชวงศ์สุยอยู่ได้เพียงสองรัชกาล..
ราชวงศ์ถัง
หลีหยวน หรือถังเกาจูฮ่องเต้ ขุนนางใหญ่ในสมัยสุย ได้ลุกฮือที่แดนไท่หยวน และได้บุตรชายคนรองหลีซื่อหมิน ทำการชนะศึกอย่างต่อเนื่อง ได้ตั้งราชธานี ที่เมืองฉางอัน ..สุดท้ายแล้ว หลี่ซื่อหมินขึ้นเป็นถังไถ่จงฮ่องเต้ และเริ่มยุคถัง ซึ่งรุ่งเรื่องเทียบได้กับยุคฮั่น เป็นยุคที่มีความรุ่งเรื่องทั้งทางด้าน แสนยานุภาพทางทหาร การค้า ศิลปะ…
เหตุการณ์ ณ ประตูเสวียนอู่เหมิน เป็นจุดเปลี่ยนส่งให้ฮ่องเต้ถังเกาจู่สละราชสมบัริตในที่สุดอันเนื่องมาจากแรงกดดันที่มาจากหลี่ซื่อหมิน โดยในปีต่อมา ฮ่องเต้ถึงเกาจู่สละราชสมบัริและหลี่ซื่อหมินก็ขึ้นเป็นฮ่องเต้
เหตุการณ์มีอยู่ว่า หลี่หยวน หรือ ถังเกาจู่ ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังมีทายาทที่เกิจากพระมเหสี 4 คน
- หลี่เจี้ยนเฉิง
- หลี่ซื่อหมิน
- หลี่เสวียนป้า(เสียชีวิตตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 ปี)
- หลีหยวนจี๋
เมื่อตั้งราชวงศ์ถังแล้ว ก็พระราชทานตำแหน่งให้บุตรทั้ง โดยแต่งตั้งหลี่เจี้ยนเฉิงเป็นรัชทายาท หลี่ซื่อหมินเป็น ฉินอ๋อง และหลีหยวนจี๋เป็นฉีอ๋อง
ด้วยความที่ทั้ง หลี่เจี้ยนและหลี่ซื่อหมิน ต่างเป็นผู้มีความสามารถและมักใหญ่ใฝ่สูง และต่างก็เปรียบเป็นมือซ้ายขวา ช่วยบิดาให้สามารถครองแผ่นดินได้สำเร็จด้วยกันทั้งคู่ ทำมห้เกิดการไม่ลงรอยกัน เกิดเป็นศึกสายเลือดในที่สุด
พี่น้องสามคนแบ่งเป็น สองฝ่าย ฝ่ายหนึ่ง หลีหยวนจี๋เข้ากับพี่ชายคนโตหลี่เจี้ยนเฉิง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง คือ หลีซื่อหมิน
ฝ่ายบิดา หลี่ยวน เมือรับทราบถึงความขัดแย้งระหว่างพี่-น้อง ที่รุนแรงกระทั้งเป็นศึกสายเลือดเช่นนี้ก็มิอาจเข้าข้างใครได้..
กระบวนการรุกไล่ของพี่ใหญและน้องเล็ก ต่อพีรอง นั้น มีตั้งแต่การทูลพระบิดาขอกำลังพลของหลีซื่อหมินไปอกรบจนไปถึงการร่วมือกับสนมคนโปรดของพระบิดาใส่ร้ายหลี่ซื่อหมินว่ากำลังคิดไม่ซื่อ
จนกระทั่งวันหนึ่ง หลี่ซื่อหมิน ถือโอกาสที่พี่ใหญ่และน้องสามเดินทางเวง วางกำลังและมือสังหารซุ่มไว้ที่ประตูเสวียนอู่ จากนั้นจึงลงมือขั้นเด็ขาดสังหารคนทั้งสอง…
จากนั้นเว่ยฉือจิ้นเต๋อก็เข้ากราบทูลกับฮ่องเต้ถังเกาจู่ ว่ารัชทายาทหลี่เจี้ยนเฉิง กับองค์ชายหลี่หยวนจี๋นั้นก่อกบฎ แต่ถูกฉินอ๋อง ระแค่ะระคายและจัดการก่อน..
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555
Silk Road
ทางสายไหม แต่เดิมใช้เป็นเส้นทางขนหยกจากโขตานเข้าสู้จีน(ปัจจุบัน โขตานอยู่ในมณฑลซินเกียง) พระโอรสพระเจ้าอโศกแห่งอินเดีย พระองค์หนึ่ง ตั้งอาณาจักรขึ้นที่นั้น ต่อมา กษัตริย์ฮั่น-วู่ตี่ของจีน ใช้เส้นทางนี้เชื่อมเมืองฉางอันกับกรุงโรม เพื่อนำกองเกวียนขนส่งไหมไปยังเปอร์เซีย
เส้นทางสายไหมเรื่มต้นจากเมืองฉางอันของจีน ผ่านเอเซียกลาง มายังตักศิลาแห่งคันธาระ เข้าสู่โยนกหรือแบคเตีรย ต่อไปยังแบแดด จนถึงชายฝั่งของทะเลเมติเตอเรเนียนเชื่อมต่กจักรวรรดิโรมัน อารยธรรมจีน อินเดีย และเปอร์เซียจึงถูกเชื่อมเข้าด้ยกันผ่านเส้นทางสายไหม
เส้นทางสายไหม คือเส้นทางการค้าของโลกยุคโบราณ เชื่อมต่ดจีนกับกรุงโรม เริ่มต้นจากนครซีอานหรือ ฉางอาน ในเขตลุ่มแม่น้ำหวงโฮ ผ่านตรงไปทิศตะวันตกเข้าสู่ นครตุงหวาง เส้นทางผ่านทะเลทรายทากลิมากัน ที่เมืองโคทานและเมืองกุจจะ ทางแยกใหญ่อยู่ที่เมืองคาชการ์ Khaksarและทุ่งเปอร์กาน่า Ferhana ใจกลางทวีปเอเซียพอดี เส้นทางแยกตะวันตกสู่นครซามาร์คานด์ (อุซเบกีสถานในปัจจุบัน) นครเมิร์ฟ ใช้เส้นางเลียบทะเลสาปแคสเปี้ยน เข้าสูนครฮามาดัน ปาล์ไมล่า ในเปอร์เซียโบราณ ไมสู่เมือง่ท่าอันติโอค ดามัสกันและเมืองท่าไทร์ที่ซีเรีย ก่อนจะลงทะเลเมดิเตอริเนียนเดินทางไปสู่กรุงโรม
อีกเส้นทางหนึ่ง แยกจากคาชการ์ ใจกลางทวีปเอเชี ลงมายังนครบุคครล่า Bukhara เส้นทางนี้เป็นเส้นทางผ้าไหมสายย่อยทางทิศใต้ เดินทางจากบุคคล่าลงสู่นครเบคเตรีย นครกปิศะหรอืเมืองเบคราม ในลุ่มแม่น้ำคาบูล Kapisa Bagram ประเทศอัฟกานิสถานในปัจจุบัน เข้าสู่เมืองบามิยาน Bamian นครปิศะและบามิยาน ในแค้วนคันธารราฐ เป็นจุดแวะพักถ่ายสินค้า ตลาดแลกเปลี่ยนสินค้า จุดพักแรม และทางสามแยกอีกจุดหนึ่งระหว่าง อินเดีย จีน และโรม
ทางแยกตะวันตกเดินทางไปสู่นครเฮรัต ไปเชื่อมกับเส้นทางไหมในเปอร์เซีย ส่วนทางทิศตะวันออกของนครบามิยานและนครกปิศะ เส้นทางสายไหมจะตัดผ่านช่อเขาไคเบอร์ ไปยับนครเปษวาร์ (ประเทศปากีสถานในปัจจุบัน)เข้าสู่นครตักศิลา นครแห่งวิทยาการและมหาวิทยาลัยในเขตลุ่มแม่น้ำสินธุ
เส้นทางผ้าไหมที่นครตักศิลา จะแยกออกเป็นสองเส้นทาง เส้นทางตะวันออกจะมุ่งหน้าเข้าสู้แคว้นปัญจาบ เข้าสู่นครมถุราในลุ่มน้ำยมุนาและเมืองต่างๆ ในลุ่มน้ำคงคา ออกสู่อ่าวเบงกอลที่แคว้นกามรูป(พิหาร) อีกเส้นทางหนึ่งจะเดินทางลงสู่ทิศใต้ ตามลำน้ำสินธุออกสู่ทะเลอาหรับ เป็ฯเส้นทางกองคาราวานการค้าทางน้ำสู้แคว้นทางทิศตะวันตกของคาบสมุทรอินเดีย เช่น แคว้นคุชราต เสาราษฎร์ และมหาราษฎร์ เป็นต้น
การสำรวจเส้นทางตะวันตกในครั้งแรกๆ เกิดขึ้นจากการรุกรานของพวกฉงนู ที่ตั้งถ่นฐานอยู่ทางตะวันตกเฉยงเหนือ เข้าไปในใจกลางทวีป เผ่าฉงนูเป็นเผ่าขนาดใหญ่สามารถปราบปรามชนเผ่าเร่ร่อนเผ่าอื่น หลายเผ่าได้เป็นผลสำเร็จ และเร่มหันกลับเข้ามารุกรานจีน ทำให้ชายแอนตะวันตกสั่นคลอน จักรพรรดิฮั่นวู่ตี้ จึงใช้นโยบายการทูตผสมผสามกับการทำสงคราม โดยสร้งความสัมพันธ์อันดีกับเผ่ายุชชิ คูซาน หรือ ชาวกูษณะ ..และเมืองตะวันตกมีเสถียรภาพ และความปลอดภัย จักรพรรดิฮั่นจึงส่งราชทูตและนักสำรวจ เอินทางไปสู่อาณาจักรปาเที่ยน เปอร์เซีย ซีเรีย ไปจนถึงกรุงโรม ความสัมพันธ์และการติดต่อกันระหว่างฮั่นและโรม ทำให้เส้นทางที่เคยสำตวจถูกเปิดใช้ขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีอาณาจักรศกะ ปาเที่ยในเอเซียกลางและแคว้นคันธารราฐ เป็นคนกลางของการติดต่อค้าขาย
ต่อมมชนเผ่ายุชชิหรือชาวกุษาณะแผ่อินทะพลเข้าครอบครองทุ่งเฟอร์กาน่า ซามาร์คานด์ แค้วนคันธาราฐ ขชายอิทธิพลไปถึงแคว้นปัญจาบ และแคว้นมคธราฐในลุ่มน้ำคงคาแทนอาณาจักรชาวปาเที่ยน เส้นมางสายผ้าไหมจึงเสถียรภาพขึนมาใหม่ พระเจ้ากนิษกะ ผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา สร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับจักรวรรดิของชาวกษาณะ
ในรัชสมัยพระเจ้าฮั่นเม่งตี่ พุทธซัฒนธรรมและศิลปวิทยาการจากดินเดียเริ่มเดินทางเข้าสู่ประทเศจีน มีการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาจีนเป็นครั้งแรก วัฒนธรรมจีนดั่งเดิมโดยเฉพาะลัทธิขงจื้อและลัทธิเต๋า ต่างยอมรับและปสมปสามกับพุทธศาสนาที่แผ่อิทธิพเข้ามาได้อยางลงตัว ..
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 9-11 เส้นทางสายผ้าไหม ยังคงเป็นเส้นทางสายหลักที่สำคัญในการเดินทางติดต่อค้าขาย และการและเปลี่ยนทางวัฒนธรมระหว่างภูมภาค อินเดียและจีน แต่ในบางครั้งก็ประสบปัญหาความปลอดภัย..
บางครั้งเส้นแยกทางตะวันออกของบามิยานกถูกตัดขาดจาก ตักศิลาและแคว้นปัญจาบ เมือฮั่นขาวเผ่าเร่ร่อนขนาดใหญ่จากทางตะวันตกเฉียงเหนือ ลุกลงมายุดครองและทำลายบ้านเมืองในอินเดียเหนือ บางอาณาจักรก็รอดพ้นจากการทำลายล้าง บางอาณาจัก บ้านเมืองคงเหลือแต่ซากปรักหักพัง แต่เส้นทางผ้าไหมสายใต้ก็ยังคงถูกใช้งานอยูเสมอๆ ในเวลาต่อมา โดยมีราชวงศ์คุปตะของอินเดีย อาณาจักรปาเที่ย กุษณะ ศกะ -ซินเถียน ต่างผลัดกันเข้าครอบครองแค้วนคันธารราฐ ที่เป็นเสมือนจุดกึ่งกลางของเส้นทางสายฝ้าไหมทางทิศใต้นี้เพื่อเป็นคนกลาง..
ในยุคสมัยที่การค้าเฟื่องฟู ผู้คนจากหลายเผ่าพันธ์ ต่างภาษาและวัฒนธรรม เดินทางไปมาหาสู่ระหว่างกันโดยเส้นทางสายผ้าไหมที่เชื่อโลกยุคโบราณเข้าหากัน พ่อค้าวานิชจำนวนมากนำกองคาราวานสินค้าจากจีน โรมัน เอเซียกลาง อินเดีย ออกมาค้าขายแลกเปลี่ยนกับโลกภายนอก
เส้นทางสายไหมยังก่อให้เกิดปรากฎการณ์และเปลี่ยน ถ่ายทอด รับส่งและปสมปสานทางวัฒนธรรม ศาสนา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ความก้าวหน้าหลายด้านของจีนถูส่งไปยังโลกตะวันตก เช่นการถลุงเหล็ก การทำเครื่องเคลือบ การหล่อสำริด..ในขณะที่จีนก็รับสิ่งใหม่ๆ อาทิ พิชพรรณการละเล่นและดนตรีจากเอเชียตะวันตก รวมทั้งศิลปะวิทยการอีกมากมาย…
เส้นทางสายไหมเรื่มต้นจากเมืองฉางอันของจีน ผ่านเอเซียกลาง มายังตักศิลาแห่งคันธาระ เข้าสู่โยนกหรือแบคเตีรย ต่อไปยังแบแดด จนถึงชายฝั่งของทะเลเมติเตอเรเนียนเชื่อมต่กจักรวรรดิโรมัน อารยธรรมจีน อินเดีย และเปอร์เซียจึงถูกเชื่อมเข้าด้ยกันผ่านเส้นทางสายไหม
เส้นทางสายไหม คือเส้นทางการค้าของโลกยุคโบราณ เชื่อมต่ดจีนกับกรุงโรม เริ่มต้นจากนครซีอานหรือ ฉางอาน ในเขตลุ่มแม่น้ำหวงโฮ ผ่านตรงไปทิศตะวันตกเข้าสู่ นครตุงหวาง เส้นทางผ่านทะเลทรายทากลิมากัน ที่เมืองโคทานและเมืองกุจจะ ทางแยกใหญ่อยู่ที่เมืองคาชการ์ Khaksarและทุ่งเปอร์กาน่า Ferhana ใจกลางทวีปเอเซียพอดี เส้นทางแยกตะวันตกสู่นครซามาร์คานด์ (อุซเบกีสถานในปัจจุบัน) นครเมิร์ฟ ใช้เส้นางเลียบทะเลสาปแคสเปี้ยน เข้าสูนครฮามาดัน ปาล์ไมล่า ในเปอร์เซียโบราณ ไมสู่เมือง่ท่าอันติโอค ดามัสกันและเมืองท่าไทร์ที่ซีเรีย ก่อนจะลงทะเลเมดิเตอริเนียนเดินทางไปสู่กรุงโรม
อีกเส้นทางหนึ่ง แยกจากคาชการ์ ใจกลางทวีปเอเชี ลงมายังนครบุคครล่า Bukhara เส้นทางนี้เป็นเส้นทางผ้าไหมสายย่อยทางทิศใต้ เดินทางจากบุคคล่าลงสู่นครเบคเตรีย นครกปิศะหรอืเมืองเบคราม ในลุ่มแม่น้ำคาบูล Kapisa Bagram ประเทศอัฟกานิสถานในปัจจุบัน เข้าสู่เมืองบามิยาน Bamian นครปิศะและบามิยาน ในแค้วนคันธารราฐ เป็นจุดแวะพักถ่ายสินค้า ตลาดแลกเปลี่ยนสินค้า จุดพักแรม และทางสามแยกอีกจุดหนึ่งระหว่าง อินเดีย จีน และโรม
ทางแยกตะวันตกเดินทางไปสู่นครเฮรัต ไปเชื่อมกับเส้นทางไหมในเปอร์เซีย ส่วนทางทิศตะวันออกของนครบามิยานและนครกปิศะ เส้นทางสายไหมจะตัดผ่านช่อเขาไคเบอร์ ไปยับนครเปษวาร์ (ประเทศปากีสถานในปัจจุบัน)เข้าสู่นครตักศิลา นครแห่งวิทยาการและมหาวิทยาลัยในเขตลุ่มแม่น้ำสินธุ
เส้นทางผ้าไหมที่นครตักศิลา จะแยกออกเป็นสองเส้นทาง เส้นทางตะวันออกจะมุ่งหน้าเข้าสู้แคว้นปัญจาบ เข้าสู่นครมถุราในลุ่มน้ำยมุนาและเมืองต่างๆ ในลุ่มน้ำคงคา ออกสู่อ่าวเบงกอลที่แคว้นกามรูป(พิหาร) อีกเส้นทางหนึ่งจะเดินทางลงสู่ทิศใต้ ตามลำน้ำสินธุออกสู่ทะเลอาหรับ เป็ฯเส้นทางกองคาราวานการค้าทางน้ำสู้แคว้นทางทิศตะวันตกของคาบสมุทรอินเดีย เช่น แคว้นคุชราต เสาราษฎร์ และมหาราษฎร์ เป็นต้น
การสำรวจเส้นทางตะวันตกในครั้งแรกๆ เกิดขึ้นจากการรุกรานของพวกฉงนู ที่ตั้งถ่นฐานอยู่ทางตะวันตกเฉยงเหนือ เข้าไปในใจกลางทวีป เผ่าฉงนูเป็นเผ่าขนาดใหญ่สามารถปราบปรามชนเผ่าเร่ร่อนเผ่าอื่น หลายเผ่าได้เป็นผลสำเร็จ และเร่มหันกลับเข้ามารุกรานจีน ทำให้ชายแอนตะวันตกสั่นคลอน จักรพรรดิฮั่นวู่ตี้ จึงใช้นโยบายการทูตผสมผสามกับการทำสงคราม โดยสร้งความสัมพันธ์อันดีกับเผ่ายุชชิ คูซาน หรือ ชาวกูษณะ ..และเมืองตะวันตกมีเสถียรภาพ และความปลอดภัย จักรพรรดิฮั่นจึงส่งราชทูตและนักสำรวจ เอินทางไปสู่อาณาจักรปาเที่ยน เปอร์เซีย ซีเรีย ไปจนถึงกรุงโรม ความสัมพันธ์และการติดต่อกันระหว่างฮั่นและโรม ทำให้เส้นทางที่เคยสำตวจถูกเปิดใช้ขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีอาณาจักรศกะ ปาเที่ยในเอเซียกลางและแคว้นคันธารราฐ เป็นคนกลางของการติดต่อค้าขาย
ต่อมมชนเผ่ายุชชิหรือชาวกุษาณะแผ่อินทะพลเข้าครอบครองทุ่งเฟอร์กาน่า ซามาร์คานด์ แค้วนคันธาราฐ ขชายอิทธิพลไปถึงแคว้นปัญจาบ และแคว้นมคธราฐในลุ่มน้ำคงคาแทนอาณาจักรชาวปาเที่ยน เส้นมางสายผ้าไหมจึงเสถียรภาพขึนมาใหม่ พระเจ้ากนิษกะ ผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา สร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับจักรวรรดิของชาวกษาณะ
ในรัชสมัยพระเจ้าฮั่นเม่งตี่ พุทธซัฒนธรรมและศิลปวิทยาการจากดินเดียเริ่มเดินทางเข้าสู่ประทเศจีน มีการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาจีนเป็นครั้งแรก วัฒนธรรมจีนดั่งเดิมโดยเฉพาะลัทธิขงจื้อและลัทธิเต๋า ต่างยอมรับและปสมปสามกับพุทธศาสนาที่แผ่อิทธิพเข้ามาได้อยางลงตัว ..
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 9-11 เส้นทางสายผ้าไหม ยังคงเป็นเส้นทางสายหลักที่สำคัญในการเดินทางติดต่อค้าขาย และการและเปลี่ยนทางวัฒนธรมระหว่างภูมภาค อินเดียและจีน แต่ในบางครั้งก็ประสบปัญหาความปลอดภัย..
บางครั้งเส้นแยกทางตะวันออกของบามิยานกถูกตัดขาดจาก ตักศิลาและแคว้นปัญจาบ เมือฮั่นขาวเผ่าเร่ร่อนขนาดใหญ่จากทางตะวันตกเฉียงเหนือ ลุกลงมายุดครองและทำลายบ้านเมืองในอินเดียเหนือ บางอาณาจักรก็รอดพ้นจากการทำลายล้าง บางอาณาจัก บ้านเมืองคงเหลือแต่ซากปรักหักพัง แต่เส้นทางผ้าไหมสายใต้ก็ยังคงถูกใช้งานอยูเสมอๆ ในเวลาต่อมา โดยมีราชวงศ์คุปตะของอินเดีย อาณาจักรปาเที่ย กุษณะ ศกะ -ซินเถียน ต่างผลัดกันเข้าครอบครองแค้วนคันธารราฐ ที่เป็นเสมือนจุดกึ่งกลางของเส้นทางสายฝ้าไหมทางทิศใต้นี้เพื่อเป็นคนกลาง..
ในยุคสมัยที่การค้าเฟื่องฟู ผู้คนจากหลายเผ่าพันธ์ ต่างภาษาและวัฒนธรรม เดินทางไปมาหาสู่ระหว่างกันโดยเส้นทางสายผ้าไหมที่เชื่อโลกยุคโบราณเข้าหากัน พ่อค้าวานิชจำนวนมากนำกองคาราวานสินค้าจากจีน โรมัน เอเซียกลาง อินเดีย ออกมาค้าขายแลกเปลี่ยนกับโลกภายนอก
เส้นทางสายไหมยังก่อให้เกิดปรากฎการณ์และเปลี่ยน ถ่ายทอด รับส่งและปสมปสานทางวัฒนธรรม ศาสนา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ความก้าวหน้าหลายด้านของจีนถูส่งไปยังโลกตะวันตก เช่นการถลุงเหล็ก การทำเครื่องเคลือบ การหล่อสำริด..ในขณะที่จีนก็รับสิ่งใหม่ๆ อาทิ พิชพรรณการละเล่นและดนตรีจากเอเชียตะวันตก รวมทั้งศิลปะวิทยการอีกมากมาย…
Taxila
ที่มาของชื่อ ตักศิลา มีผู้รู้อธิบายไว้แตกต่างกัน เซอร์ จอห์น มาร์แชล นักโบราณคดีชาวอังกฤษ กล่าวว่า คำว่าตักศิลา แปลตรงตัวว่า หินขัด จึงน่าจะมีความหมายว่า เมืองหินตัด แต่อย่างไรก็ตาม ดร. อะหมัด ฮะซาน ดานี นักโบราณคดีชาวปากีสถานไ้ด้แย้งว่า คำทั้งสองสามารถแปลไดได้ว่า เนินเขาอันเป็นที่อยู่ของตักษะหรือตักกะ ซึ่งเป็นพญางูที่สำคัญในปกรณัมฮินดู ได้เช่นกัน โดยโยงเข้ากับชื่อภาษาเอร์เซียของเมืองว่า มาระกะลา ซึ่งหมายถึงป้อมบนเนินเขาพญางู ซึ่งคำแปลนี้สอดคล้องกับเรื่องราวในมหากาพย์มหาภารตะ...
มีสำนักอาจารย์ทิศาปาติโมกข์ สั่งสอนศิลปวิทยาต่างๆ แก่ศิษย์ที่เล่าเรียนในแถบดินแดนชมพูทวีป..บุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงหลายท่านที่สำเร็จการศึกษาจากที่แห่งนี้ อาทิ พระเจ้าปเสนทิโกศล หมอชีวกโกมารภัจจ์ และองคุลีมาล พันธุลกุมาร เจ้าชายมหานิ
การศึกษาในตักศิลาและแหล่งอื่นๆ ในอินเียสมัยโบาณนั้นไม่ได้มีลักษณะเป็นสถาบันการศึกษาที่มีโครงสร้างเป็นระเบียบชัดเจนเช่นทุกวันนี้ หากแต่เป็นการฝากตัวเข้าไปอยู่กับสำนักอาจารย์ต่าง ๆ จนกว่าจะจบหลักสูตร ซึ่งผู้ที่เข้ามาเรียนก็จะเป็นลูกหลานของครอบครัววรรณะสูงที่รำรวย นอกจากนี้ วิชาที่เปิดสอนก็จะไม่ใช่วิชาระดับพื้นฐาน ซึ่งสามารถเรียนได้ที่บ้าน แต่เป็นวิชาการข้นสูง อันได้แก่
พระเวททั้ง 4 และศิลปะ 18 คือ
- อังษรศาสตร์
- นิติศาสตร์
- นิรุกติศาสตร์(ว่าด้วยกำเนิดและวิวัฒนาการของคำ)
- ฉันทศาสตร์(ว่าด้วยการประพันธ์)
- รัฐศาสตร์
- ยุทธศาสตร์
- ศาสนศาสตร์
- โหราศาสตร์
- ชโยติศาสตร์หรือดาราศาสตร์
- คณิตศาสตร์
- คันธัพพศาสรต์(ว่าด้วยดนตรีและนาฎศิลป์)
- สัตวศาสตร์(ว่าด้วยเรื่องการศึกษาลักษณะของสัตว์)
- วาณิชศาสตร์(ว่าด้วยหลักการค้า)
- ภูมิศาสตร์
- โยคศาสตร์(ว่าด้วยกลศาสตร์)
- มายาศาสตร์(กลอุบายการรบ)
เมืองตักศิลากำเนิดขึ้นตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เป็นนครหลวงแห่งแค้วนคัฯธาระเห็นหนึ่งในบรรดา 16 แคว้นของชมพูทวีป ที่สถาปนาขึ้นโดยชาวอารยัน มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำแค้วนและรุ่งเรืองมานับพันปี มีความรุ่งเรื่องถึงขีดสุดในสมัย พระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ได้สร้างตักศิลาให้มีชื่อสเียกิติตศัพท์ขจรขจรยไปทั่ว พร้อมๆ ดับการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ต่อมาตักศิลก็ตกอยู่ภายใต้อารยธรรมอีกมากมายอาธ อารยธรรมกรีก อารยธรรมฮินดู
ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 ชนชาติเฮพธาไลต์ หรือชาวฮั่นได้ยกทัพมาตีอินเดียและทำลายทำให้ตักศิลาพินาศสาบสูญนับแต่นั้นมา
"อเล็กซานเดอร์พิชิตจักวรรดิเปอร์เซียได้ทั้งหมด พระองค์ไล่ตามความปรารถนาที่ต้องการเห็น "จุดสิ้นสุดของโลกและมหาสมุทรใหญ่ที่เบื้องปลาย"จึงยกทัพบุ อินเดีย แต่ต่อมาถูกบีบให้ต้องถอยทัพกลับโดยบรรดาทหารที่กำเริบขึ้นเนื่องจากเบื่อหน่ายสงคราม
เมื่อพ.ศ. 216 ทรงรบเข้ามาถึงกรุงตักกศิลา แคว้นคันธาระ เมืองที่มีชื่อเสียงด้านการศึกษาทั้งพุทธศาสนา และพราหมณ์ พระเจ้าอัพิราชไม่ทรงต่อต้านเพราะเห็นว่า ตนเองมีกำลังอำนาจไม่เข้มแข็งพอจะต้านศัตรูต่างแดนได้ จึึงเปิดเมืองต้อนรับอเล็กซานเดอร์ ซึ่งพรเองค์ก็เพียงให้ตักศิลาเป็นเมืองขึ้นต่อมาซิโดเนียเท่านั้นแล้วให้ปกครองตามเดิม แล้วทรงขอให้ตักศิลาส่งทหารมาช่วยรบปัญจาบ 5,000 คน ซึ่งพระเจ้าอัมพิราชาก็ยินยอม
เมื่อพระองค์ยกทัพเข้ามาทางภาคเหนือของอินเดียในปี พ.ศ. 217 โดยเข้าสู่บริเวฯลุ่ม แม่น้ำสินธุ แล้วบุกตะลุยลงมาสู่เมืองนิเกีย แค้วนปัญจาบ ในพระเจ้าโปรัส หรือ พอรุส หรือ พระเจ้า เปารวะ ซึ่งเป็นผู้เข้ามแข็งในการรบ มีพระสมญาว่า "สิงห์แห่งปัญจาบ" เมื่อได้รับแจ้งข่าวหบบรรดามหาราชแห่งอินเดียยว่ามีศึกชาวตะวันตก ผมสีทองตาสีฟ้า ยกทัพข้ามถูเขาฮินดูกูชเข้า ผ่ายอินเดียระดมกำลังพลทหารราบ ทหารม้า และรถศึก และกองทัพช้าง รอรับ กองทัพกรีกพร้อมทหารตักศิลาเป็นพันธมิตร
ทหารม้าของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ไม่เคยสู้รบกับช้า ประกอบกับเกิดความสับสนอลหม่านจึงบังเกิดความแตกตื่น ช้างศึกอาละวาดเหยียบทั้งทหารตนและทหารกรีก และ ทหารหอกยาวนับหมือนของพระอง๕ืพยายามต่อสู้อย่างเต็มความสามารถ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทหารหาออันมีระเบียบวินัยเกิดบ้าเลื่อดบุกตะลุย ทำร้ายไม่ว่าจะเป็นทหารฝ่ายใด การรบวันนั้นสิ้นสุดโดยการหย่าศึกา ทหารบาดเจ็บล้มตายทั้งสองฝ่ายแต่ถึงอย่างไรพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ก็ทรงได้รับชัยชนะ...
เมื่อเสร็จศึกครั้งนี้ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ตระเตรียมยกทัพเข้าตีแค้วนมคธเนื่อจากได้สดับความาังคั่งสมบูรณ์ของมคธ แต่ทหารที่ร่วมศึกกับพระองค์ไม่ได้กลับบ้านกลับเมืองพากันเบื่อหน่ายการรบ โดยให้ความเห็นว่าถ้าตีมคธได้ก็คงตีแค้วนอื่นต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด ประกอบกับ ทหารบางคนลังเลและก่อกบฎไม่ยอมสู้รบ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ฯจึงจำพระทัยเลิดทัพกลับ..
ตักศิลาถูกทำลายหลายครั้ง เช่นพวกหูนะพวกฮั่น และที่สำคัญที่สุดถูกทำลายโดยกองทัพมุสลิมเนื่องจากตักศิลาเป็นเมืองหน้าด่านของอินเดีย...
วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555
Fifth Crusade.. Children Crusade..
Children Crucade
(วิจิพีเดีย)“สงครามครูเสดเด็ก”เป็นชื่อที่ใช้เรียกเหตุการณ์จินตนาการเเละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1212 ที่อาจจะประกอบด้วยบางอย่างหรือทุกอย่างที่เกิดขึ้นดังนี้
การเห็นมโนทัศน์ของเด็กเยอรมันและฝรั่งเศส ความประสงค์ที่จะเปลี่ยนมุสลิมในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้หันมารับคริสต์ศาสนา กลุ่มเด็กรวมตัวกันเดินทางสู่อิตาลี และเด็กถูกค้าเป็นทาส
งานศึกษาในปี ค.ศ. 1977 ตั้งข้อสงสัยถึงความเป็นจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและนักประวัติศาสตร์หลายคนในปัจจุบันเชื่อว่า ผู้ที่เข้าร่วมในเหตุการณ์(หรือส่วนใหญ่)มิใช่เด็กแต่เป็นกลุ่คนจนที่เร่ร่อนในเยอรมนี และ ฝรั่งเศส ที่บ้างก็พยายามจะไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือบ้างก็เพียงแต่ตั้งใจจะทำเหตุการณ์ที่บรรยายกันมาในประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นตำนานที่เล่าขานกันมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ..
สตีเฟนแห่งคลอยส์ อ้างว่าเห็นนิมิตจากพระเยซูที่ทรงเรียกร้องให้เขาระดมกองทัพเด็กเพื่อช่วงชิงดินแดนศักดิ์สิทธิ์เยรูซาเล็มกลับคืนมาจากชาวมุสลิม
หัวใจอันบริสุทธิ์ของเหล่าเด็ก ๆ จะเป็นพลังที่เหนือกว่าอาวุธใด ๆ และจะทำให้นครเยรูซาเลมกลับคืนมาเป็นของชาวคริสต์โดยปราศจากการนองเลือด
สติเฟนออกเทศนาผู้คนและทำให้ประชาชนชาวคริสต์จำนวนมากเกิดความเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาบอก สตีเฟนสามารถรวบรวมเด็ก ๆ ได้หลายพันคน จากหมู่บ้านต่าง ๆ ทั่วฝรั่งเศส เข้าร่วมในสงครามครูเสด ขณะเดียวกัน เรือ่งภาพนิมิตก็ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กชายชาวเยอรมัน วัย 12 ปี นามว่า นิโคลัส แห่งเมืองโคโลญ
นิโคลัจ ได้รับการสนับสนุนจากบิดาให้ออกเรียกระดมอาสาสมัครเด็กๆ ไปสมทบกับกองทัพของสตีเฟร ซึ่งในครั้งนั้น มีพ่อแม่ชาวฝรั่งเศสและเยอรมันจำนวนมากที่ส่งลูก ๆ ของพวกเขาเข้าร่วมกับสตีเฟนและนิโคลาส โดยเชื่อว่า ลูก ๆ ของพวกตนกำลังทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า
ด้วยความศรัทธา ทำให้เด็ก ๆ จำนวนเกือบหมื่นคนเข้าร่วมทัพครูเสด โดยเด็กจากหมู่บ้นจำนวนมากทั้งในฝรั่งเศสและเยอรมันต่างพากันไปเข้าร่วมจนหมด เด็กเหล่านี้เดินเรียงแถวด้วยความฮึกเฮิม ร้องเพลง สวดและเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะดลบันดาลให้ชัยชนะแก่พวกเขา..
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา นิโคลัสและเด็กๆ ชาวเยอรมันหลายพันคนล้มตายด้วยความหิวโหยและความหนาวเหน็บระหว่างข้ามเทือกเขา แอลป์ ในขณะที่ชะตากรรมของเด็ก ๆ ชาวฝรั่งเศสก็ไม่ดีไปกว่า เมื่อไปถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนีย สตีเฟนเชื่อว่าพระเจ้าจะบันดาลให้น้ำทะเลแยกจากกัน และกลายเป็นถนนให้ข้ามไป แต่เหตุการณ์ไม่เป็นเช่นนั้น
พ่อค้าสองคน อาสาจะพาเด็กไปส่งยังดินแดนปาเลสไตน์ เด็กๆ พากันยินดี
เรื่อที่เด็กๆ เดินทางไปนั้นพบกับพายุใหญ่ สตีเฟนและเด็กกว่าพันคนจมน้ำเสียชีวิต ส่วนพวกที่เหลือพ่อค้ากลับพาขึ้นฝั่งที่อเล็กซานเดรียในอียิปต็แทนที่จะเป็นปาเลสไตน์ตามที่สัญญา
พวกเด็กๆ ถูกขายให้พ่อค้าค้าทาส !
บรรดาพ่อแม่ได้รู้ถึงชะตากรรมของพวกลูก ๆ พวกเขาพากันโศกเศร้าและโกรธแค้น พ่อแม่ชาวเยอรมันในเมืองโคโลญได้กล่าวโทษ(หาคนรับผิดชอบ)พ่อของนิโคลาสและจับไปแขวนคอ
อันเป็นที่มาของนิทานปรับปรากล่าวถึงชายนักเป่าปี่ที่อาสากำจัดหนูให้ชาวเมืองแห่งหนึ่งโดยใช้เสียงปี่ของเขาเรียกให้พวกหนูกระโดดลงไปตายในแม่น้ำจนหมด ทว่าเมือนักเป่าปีขอรับค่าจ้างตามที่ตกลง ชาวเมืองกลับไม่ยอมจ่ายและขับไล่เขาออกไป ทำให้นักเป่าปี่โกรธมาก และในคือนหนึ่งเขาก็ใช้เสียปี่เรียกพวกเด็กๆ ทั้งหมดในเมืองออกมาจากนั้นก็นำเด็กๆ เหล่านั้นหายไข้ไปในหุบเขาโดยไม่มีใครพบพวดเด็กๆ นั้นอีกเลย..
Damietta ดาเมียตตา เป็นเมืองท่าและเมืองหลวงของอาณาจักรข้าหลวงแห่งโดมยัต ตั้งอยู่ตรงจุดที่แม่น้ำไนล์ไหลออกสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ราว 200 กิโลเมตรทางตอนเหนือของ ไคโร
ในสมัยอียิปต์โบราณ ดาเมียตตา มีชื่อวา “ทามิยัต”และลดความสำคัญในสมัยการปกครองของกรีกหลังจากการสร้างเมืองอเล็กซานเดรีย อับบาซียะฮฺ ใช้ อเล็กซานเดรีย อาเดน และซิราฟเป็นเมืองท่าสำหรับการเดินทางไปอินเดียและจีน
ในคริสต์ศตวรรษ ที่ 12-13 ดาเมียตตากลายมามีความสำคัญระหว่างสงครามครูเสด กองเรือจากราชอาณาจักรเยรูซาเลม พร้อมด้วยกองหนุนจกาจักรวรรดิไบแซนไทน์พยายามโจมตีแต่พ่ายแพ้ต่อ ซาลาดีน
ระหว่างการเตรียมตัวทำสงครามครูเสดครั้งที่ 5 จึงตกลงกันว่าควรยึดเมืองดาเมียตตา ซึ่งหมายถึงการควบคุมแม่น้ำไนล์และจากที่นั้นนักรบครูเสดก็มีความเชื่อว่าจะพิชิตอียิปต์ได้ และเป็นเส้นทางนำไปสู่ปาเลสไตน์ และเยรูซาเลมในที่สุด…
กล่าวคือ ดาเมียตตา เป็นชัยภูมิที่สำคัญต่อการศึกเพื่อยึดเยรูซาเลมกลับคืนมา…
ครูเสดครั้งที่ 5
สมเด็จพระสันตะปาปาโฮโนริอุสที่ 3 ทรงรวบรวมกองทัพครูเสดโดยการนำของ เลโอโปลด์ที่ 4 ดยุคแห่งออสเตรีย และสมเด็จพระเจ้าแอนดรูว์ที่ 2 แห่งฮังการี ต่อมาในปี ค.ศ. 1218 กองทัพเยอรมันนี นำโดยโอลิเวอร์แป่งโคโลญและกองกำลังหลายชาติที่ประกอบด้วยกองทัพชาวเนเธอร์แลนด์ เปลมมิช และฟรีเชียน ที่นำโดย วิลเลียมที่ 1 เคาท์แห่งฮอลแลนด์ มาร่วมในการโจมตี ดาเมียตตา
ในอียิปต์ฝ่ายครูเสดไปเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรสุลต่านแห่งรูม ในอานาโตเลียผู้โจมตีอัยยูบิคในซีเรียเพื่อที่จะป้องกันการสู้รบกับศัตรูพร้อมกันสองด้าน
หลังจากยึดเมืองท่าดามิเอตตาได้แล้วนักรบครูเสดก็เดินทัพต่อไปไคโร ในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 1221 แต่ต้องหันทัพกลับเพราะเสบียงร่อยหรอลง การจู่โจมยามกลางคืนของสุลต่าน อัล คามิล ทำให้ฝ่ายครูเสดเสียทหารเป็นจำนวนมาก อัล คามิกตกลงในสัญญาสงบศึกเเปดปีกับยุโรป
วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555
Pope Innocent III
ทรงเป็นพระสันตะปาปาที่สำคํยที่สุดองค์หนึ่งในยุคกลาง เป็นอีกผู้หนึ่งไม่คิดว่าจะเจริญเติบโตในวาติกัน เนื่องจากตระกูลท่านมีปัญหากับพระสันตะปาปาเซเลสทีน ที่ 3 ท่านอุทิศชีวิตให้กับการศึกษาและการเขียนหนังสือมากมายเกี่ยวกับเทววิทยา …และโดยไม่คาดคิด บรรดาพวกพระคาร์ดินัง เลือกท่านด้วยเสียงเป็นเอกฉันท์ให้ดำรงตำแหน่งสันตะปาปา เมือพระสันตะปาปาเซเลสทีนสิ้นพระชนม์ เมือพระองค์มีอายุเพียง 38 ปีเท่านั้น…
เมื่อได้รับตำแหน่งแล้วประกาศจุดยืนของสันตะปาปา ว่าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งพระคริสต์ (รองพระคริสต์) อยู่สูงกว่ามนุย์ใดๆ แต่ต่กว่าพระเจ้า..
Albigensian Crusade หรือ Cathar Crusade เป็นสงครามครูเสดที่ยาวนาน ริเร่มโดย สถาบันโรมันคาทอลิก ในการพยายามกำจัดคาธาร์ในบริเวฯลองเกอด็อก ที่ทางสถาบันถือว่าเป็นพวกนอกรีต เป็นสงครามที่เกี่ยวข้องกับฝรั่งเศสเป็นส่วนใหญ่..กล่าวคือ เมื่อ สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 ทรงใช้วิธีการทางการทูตในการพยายามลดอำนาจของลัทธิคาธาร์ ซึ่งได้รับผลเพียงเล็กน้อยและหลังจากตัวแทนพระองค์ถูกฆาตกรรมแล้วพระสันตะปาปาอินโนเซนต์จึงทรงประกาศครูเสดต่องลองเกอด็อก โดยการประกาศมอบดินแดนที่ได้มาให้แก่ขุนนางฝรั่งเศสที่จะยกเข้าช่วย ..สงครามนี้ยังมีบทบาทในการก่อตั้งลัทธิโมนิกัน และสถาบันการไต่สวนศรัทธาของยุคกลาง..
พระองค์ทรงปฏิรูประบบการบริหารสัตะสำนักใหม่ ทรงลังเลใจที่จะส่งกองทหารไปทำสงครามครูเสดกับพวกหัวรุนแรง อัลลีเจนเซียนฝรั่งเศส ทรงสนับสนุนคณะนักพรต (เท้าเปล่า)โดมิกันและฟรันซิสอย่างเต็มที่ แต่ในที่สุดก็ให้คำรับรองสงครามครูเสด ครั้งที่ 4
ซึ่งต่อมาแทนที่จะเดินเรือ่ไปสู้รบที่แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ กลับมุ่งไปที่คอนสแตนติโนเปิล และได้เข้าโจมตีโค่นบัลลังก์กษัตริย์ไบแซนไทน์ พระสันตะปาปาอินโนเซนต์ถูกบังคับให้รับผิดชอบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้..
ความบาดหมางในครั้งนี้ยากเกินกว่าจะผสานรอยร้อวได้ ชาวไบเซนไทน์ไม่ยอมอภัยในความผิดนี้ ..
พระสันตะปาปาอินโนเซ้นต์ที่ 3 พิสูจน์ให้เห็นว่ามีความพยายามในการบริหารบ้านเมือง พระองค์ทรงใช้อำนาจพระสันตะปาปาลงโทษกษัตริย์ที่ทำบาปหลายองค์ ที่สำคัญคือ ทรงประกาศ ว่ากฎหมายหลักของอังกฤษMagna Carta เป็นโมฆะ ถือว่าเป็นกฎหมายที่กำหนดโดยขุนนางและบารอนทั้งหลายของพระเจ้ายอห์น แห่งอังกฤษ โดยไม่มีหลักเกณฑ์ โดยใช้อำนาจข้อตกลงระหว่างอังกฤษและสันตะสำนัก ในปี ค.ศ.1215 ที่ว่าพระสันตะปาปามีสิทธิ์ในที่ดินที่เป็นของกษัตริย์อังกฤษ นอกนั้นทรงยังเป็นผู้เรียกประชุมสังคายนา ลาเตรัน และสั่งให้ชาวยิว และมุสลิมสวมเสื้อผ้าที่ทำให้ความแตกต่างว่าพวกเขาไม่ใช่คริสตชน…
Kings' Crusade..Third Crucade..
จักรพรรดิเฟรดเดอริคที่ 1 แห่งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ |
พระจ้าริชาร์ดแห่งอังกฤษ |
พระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งฝรั่งเศษ |
ศอลาฮุดดี อัลอัยยูบีย์ หรือ ที่ชาวตะวันตกเรียกว่า ซาลาดิน เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ปกครองมุสลิมผู้มีชื่อเสียงที่สุดและเป็นสุลต่าลมุสลิมผู้ปกครองอียิปต์ ซีเรีย เยเมน และปาเลสไตน์ และเป็นผู้ก่อตั้ง ราชวงศือัยยูบีย์
อุโฆษ เศาะลาหุดดีน เป็นผู้รับตำแหน่งอุปราชในเมืองไคโร และขนามนามว่า อัลมาลิก อันนาศิร อัล-สุลฎอน เศาะลาหุดดีนยูสุฟ เป็นชาวเคริส เชื้อสายตุรกี ในขณะนั้นเคาะลีฟะหฺ สุขภาพไม่แบ็งแรง ป่วยหนัก เศาะลาหุดดีน ได้ประกาศอไนจของเคาลีฟะหฺแห่งแบกแดดเหนือดินแดนอียิปต์
ปี ค.ศ. 1170 เคาลีฟะหฺแห่งอียิปต์เสียชีวิต ลูกชายรับตำแหน่งแทน ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับ ลูกชายคนที่ 3 ของเซ็งกี ก็เสียชีวิตและลูกชาย ขึ้นครองตำแหน่งแทน..ในตอนนั้น โมกุล จึงเกิดความวุ่นวาย นุรุดดีนก็ได้ยกทัพมาช่วย
ต่อมา เคาลีฟะหฺแห่งอียิปต์ก็เสียชีวิตลงเนื่องจากสุขภาพไม่แข็งแรง เศาะลาหุดดีนจึงได้เป็นอุปราชของนูรุดดีน และได้ปกครองดินแดนอียิปต์ทั้งหมด
เมืองนูรุดดีนเสียชีวิต เศาะลาหุดดีนจึงมีอำนจเด็ดขาดในอียิปต์ หิจญาซ์ และยะมัน เมือนูรุดดีนเสียีวิต เศาะลาหุดดีนได้ส่งบรรณาการไปยังอัลมาลิกุศศอลิหฺ พวกขุนนางวางท่าทีกีดกัน ..เศาะลาหุดดีนส่งหนังสือไปตักเตือนขุนางว่าถ้าไม่เชื่อฟังจะเข้ามาปกครองดามัสกัส..
กระทั่งเศาะลาหุดดีนได้ปกครองเมืองดามัสกัสอย่างเด็ดขาด เคาะลีฟะหฺทางเมืองแบกอดดจึงตั้งให้เป็นสุลฎอน เจ้าเมืองผู้ครองนครต่าง ๆ พากันสวามิภักดิ์ เศาะลาหุดดีนจึงมีอิทธิพลเรื่อยมา
ริชาร์ด ที่ 1 แห่งอังกฤษ “ริชาร์ดใจสิงห์” เป็นโอรสอย่างถูกต้ององค์ที่สามของ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 2 แห่งอังกฤษ จึงไม่เคยคิดว่าจะได้ครองราช.. พระองค์ทรงเป็นโอรสของพระนางเอเลเนอร์แห่งอากีแตน “ราชนักรบ”ผู้มีเชื้อสายปรั่งเศส และเป็นหนึ่งในสตรีผู้มั่งคั่งที่สุดในยุโรป สมัยกลาง
ริชาร์ดเป็นโอรสองค์เล็กร่วมพระมารดาเดียวกันกับ มารีเอด ซองปาญจ์ และอเล็กซิส แห่งฝรั่งเศษ อีกทั่งยังเป็นพระอนุชาของวิลเลียม เค้าแห่งปัวติเยร์ เฮนรี่ยุวกษัติย์ และ มาทิลดา แห่งอังกฤษ เป็นพระเชษฐาของ จอฟฟรีที่ 2 ดยุคแห่งบริททานี เลโอนอรา แห่งอากิเตน โจอาน ปลองตานนต์ และจอห์น แห่งอังกฤษ
แม้จะประสูติในบอร์มอนต์ ออกซ์ฟอร์ด ในอังกฤษ แต่พระองค์ได้ถือเอาฝรั่งเศษเป็นประเทศบ้านเกิด เมือพระมารดาและพระบิดาแยกทางกันอย่างเป็นทาการ พระองค์อยู่ในการดูแลของพระมารดา… พระองค์ทรงมีรูปร่างหน้าตาดี โดดเด่นในกิจกรรมทางการทหาร และมีความสามารถทางการเมืองและการทหารตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ได้รับการยกย่องว่ากล้าหาญและเด็ดเดี่ยว …
ข่าวเรื่องเยรูซาเล็มถูกฝ่ายมุสลิมยึดกลับไป พระสันตะปาปาเกรกอรี่ ที่ 8 ทรงเรียกร้องให้ชาวคริสต์ทำสงครามศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง โดยในครั้งนี้ กองทัพครูเสดนำโดย หนึ่งจักรพรรดิ และสองกษัตริย์ คือ จักรพรรดิเฟรดเดอริคที่ 1 แห่งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พระจ้าริชาร์ดแห่งอังกฤษ และพระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งฝรั่งเศษ
จักพรรดิเฟรดเดอริก เคลื่อนทัพข้ามแม่น้ำคาไลแคดนัสในไซลิเซีย จักรพรรดิเฟรดเดอริก ทรงพลัดตกน้ำและสิ้นพระชนม์ ไพร่พลที้งสี่หมื่นกรจัดกระจาย ต่อมาภายหลังเกิดความวุ่นวายในฝรั่งเศษ พระเจ้าฟิลิปที่ 2 จึงถอนทัพกลับ จึงเหลือเพียงพระเจ้าริชาร์ดพระองค์เดียว พระเจ้าริชาร์ดทรงสงครามกับกองทัพซาลาดินอยางเข้มแข็งจนได้รับสมญานามว่า “ริชาร์ด ใจสิงห์” แม้ว่าจะไม่สามารถชิงเยรูซาเล็มกลับคืนมาได้ แต่ความกล้าหาญของพระอง์ก็ทำให้ชาลาดินยอมทำข้อตกลงสงบศึกและยินยอมให้ชาวคริสต์ไปจาริกแสวงบุญที่เยรูซาเล็มได้..
๋่Jerusalem
เยรูซาเลม ตั้งอยู่บนที่ราบสูงทางตอนใต้ของเทือกเขาจูเดียน มีอาณาเขตติดกับ ทะเลเดดซี Dead Sea ทางด้านตะวันออก และข้างฝั่งแม่น้ำจอร์แดนเป็นเทือกเขาโมอาบ Moab ที่แห้งแล้งทางตะวันตกกิดกบที่ราบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน Mediterranean Sea ห่างจากชายฝั่ง 58 กิโลเมตร ถนนหลวงเป็นเ้ส้นทางสู่เมืองเยริโค Jericho ห่างประมาณ57.6 กิโลเมตร ไปทางตะวันออกทางเหนือมุ่ง สู่จอร์แดนและทะเลสาบกาลิลี ถนนอาลอน Allon หรือ ยิกัล Yigal ตัดผ่านทะเลทรายยูเดียรนำสู่เมืองสะมาเรีย
- กว่าพันปีก่อนคริสตกาล กษัตริย์ได้ปรับปรุงเมืองนี้และสร้างพระวิหาร
- ชาวบาบิโลนยึดกรุงเยรูซาเลมทำลายพระวิหารและนำชาวยิวไปเป็นทาสในบาบิโลน
- ห้าสิบปีต่อมาชาวยิวได้กลับสู่กรุงเยรูซาเลมและสร้างพระวิหารขึ้นใหม่
- พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ได้ยึดกรุง เยรูซาเลม เมือครั้งนำทัพไปตีอียิปต์
- 168 ปี ก่อนครอสตกาล กษัตริย์อันติโอกุส เอปีฟาเนส ทำลายกำแพงกรุงเยรูซาเลม
- ชาวโรมยึดเมือง
- เฮโรดได้แต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ของชาวยิว พระองค์ทรงปรับปรุงกรุงเยรูซาเลม และสร้างกำแพงและพระวิหาร ขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระเยซูเจ้าดำรงพระชนชีพย์ ซึ่งชาวอารับไม่่ยอมรับในด้านประวัติศาสตร์ของคริสตชน เริ่มตั้งแต่สมัยพระเจ้าเฮโรดนี้..
- เยรูซาเลมถูกทำลายโดยจักรพรรดิตีตัส
- จักรพรรดิเอเดรียนสร้างขึ้นใหม่ตามแบบโรมัน ตั้งชื่อว่า "เอลีอา กาปีโตลียา" และสร้างสักการสถาน บนซากของสักการสถานของชาวยิว และของชาวคริสต์ และยิวถูกห้ามเข้าโรมเด็ดขาด
- จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 เปลี่ยนกรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองคริสต์
- ชาวเปอร์เซีย ยึดกรุงเยรูซาเลม..
- และตกอยู่ในอำนาจอาหรับปี พ.ศ.1179 (ค.ศ.636) ซึ่งได้รักษาอำนาจนี้เป็นเวลากว่า 500 ปี
- ชาวครูเสดยึดเมื่อง และกลับเป็นที่ตั้งของอาณาจักรละติน
- ซาลาดินยึกรุงเยรูซาเลมในสงครามครูเสด เมืองตกอยู่กับเติร์กและปกครองเมืองเป็นเวลา 400 ปี
- เมืองสงครามโลกครั้งที่ 2 พันธมิตรเป็นฝ่ายชนะสงคราม ได้ยึดเมืองเยรูซาเลมและให้อังกฤษปกครอง
- ปี พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) เกิดสงครามระหว่างยิวและอาหรับ กรุงเยรูซาเลมถูกแบ่งดินแดนเป็นเยรูซาเลมตะวันตก ปกครองโดยอิสราเอง และเยรูซาเลมตะวันออก ปกครองโดยจอร์แดน และเป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอลในส่วนที่เป็นเยรูซาเลมตะวันตก ระหว่างสงครา 6 วัน เยรูซาเลมตะวันออกจึงตกอยู่ในการปกครองของอิสราเอลอย่างเป็นทางการ สถานการณ์ปัจจุบันยังยืดเยื้อ..
วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555
Second Crusade
สงครามครูเสดครั้งที่ 2 เป็นสงครามที่เริ่มจากยุโรปในปีค.ศ. 1145 ในการโต้ตอบการเสียอาณาจักรเอเดสสาในปีก่อนหน้านี้
สงครามครูเสดครั้งใหม่นี้เกิดขึ้นจากความพ่ายแพ้ของ เอเดสสาฐานรักษาการณ์ทางเหนือของอูเตอร์ แมร์
ระบบศักินา “ฟิวดัล”ที่พวกครูเสดนำมาใช้ในเอเซียไมเนอร์นี้ “ระบาด”ในหมู่พวกมุสลิมเช่นกัน พวกมุสลิมชนชาติต่าง ๆ ในตะวันออกกลางต่างก็แก่งแย่งถืออำนาจกัน แตกออกเป็นหลายนคร
เซ็งกี หังหน้าวมุสลิมจากโมซูล ผู้มีกองทัพเข้มแข็งมุ่งหมายที่จะรวบรวมดินแดนชาวมุสลิมในพื้นที่ชายฝั่งทะเล พวกอูเตรอแมร์เพิกเฉยต่อภัยคุกคามนี้ แต่คริสตชนในตะวันตกกลับลุกฮือเพราะเกรงกลัวชาวมุสลิมจะรุกรานต่อไป
อาณาจักรเอเดสสาเป็นอาณาจักรครูเสดอาณาจักรแรกที่ก่อตั้งขึ้นระหว่างสงครามครูเสดครั้งที่ 1 และเป็นอาณาจักรแรกที่ล่ม
สงครามครูเสดครั้งที่ 2 ได้รับการประกาศโดยสมเด็จพระสันตะปาปายูจีนที่ 3 และเป็นสงครามครูเสดครั้งแรกที่นำโดยพระมหากษัตริย์ยุโรปที่รวมทั้งพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศส ซึ่งถือเอาสงครามครูเสดเป็นฉากบังหน้า เพื่อปิดบังซ่อนเร้นการกระทำอันโหดร้ายต่อพลเมืองที่เป็นกบฎต่อพระองค์ และพระเจ้าคอนราดที่ 3 แห่งเยอรมันนี พร้อมด้วยการสนับสนุนของขุนนางสำคัญต่างๆ
รวมถึงมเหสีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 คือ อิเลเนอร์ แห่งอาควิเตน…ได้เข้าร่วมกองทัพด้วย
ในยุโรป ผู้มีบทบาทสำคัญในการปลุกระดมผู้คนให้ร่วม ในกองทัพครูเสด คือ นักบุญเบอร์นาร์ดแห่งแคลร์โว (Bernard of Chairvaux) ซึ่งเป็นบุคคลฝ่ายศาสนาทีมีชื่อเสียงในเวลานั้น
แม้ว่าท่าน จะสละทางโลกแล้ว แต่ความปรีชาฉลาดของท่านและความพยายามไม่ลดละในการปกครองความถูกต้องเที่ยง แท้ของศาสนาได้ทำให้ท่านเป็นที่ปรึกษาของพระสันตปาปาและบรรดากษัตริย์ เมื่อท่านจับจ้องสายตาไปที่กษัตริย์คอนราด และพูดถึงวันพิพากษาอันน่าพรั่นพรึง ซึ่งรอคอยผู้ที่เพิกเฉยต่อการแบกกางเขน จักรพรรดิแห่งเยอรมันก็ไม่มีทางเลื่อก…
นักบุญเบอร์นอาร์ดไม่สงวนถ้อยคำ แม้รู้ว่าคนส่วนใหญ่ในกลุ่มนักรบครูเสดเป็นขโมย ฆาตกรหรือพวกตลบแตลง ท่านก็ยังชื่นชมต่อการจากไปของพวกเขายุโรปไม่ความยินดีที่พวกเขาจากไป และปาเลสไตน์ยินดีที่ได้รับพวกเขา พวกเขามีประโยชน์ทั้งสองทาง…
กองทัพของทั้งสองพระองค์แยกกัน เดินทางข้ามยุโรปไปยังตะวันออกกลางหลังจากข้ามเข้าสู่ดินแดนของจักรวรรดิไบแซน์ในอานาโตเลียแล้ว กองทัพทั้งสองต่างก็ได้รับความพ่ายแพ้ต่อเซลจุคเติร์ก (ซีเรียคอ้างว่า จักรพรรดิมานูเอลที่ 1 โคมเนนอส แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ทรงมีส่วนในความพ่ายแพ้ครั้งนี้โดยทรงสร้างอุปสรรคแก่การเดินหน้าของกองทัพทั้งสองโดยเฉพาะในอานาโตเลีย และทรงเป็นผู้สั่งการโจมตีของ)
กองทัพที่ร่อยหรอที่เหลือของพระเจ้าหลุยส์และพระเจ้าคอนราดก็เดิทางต่อไปยังกรุงเยรูซาเลม และก็เข้าโจมตีดามัสกัน ตามคำแนะนำที่ไม่สมควร สงครามครุเสดครั้งที่ 2 จบลงด้วยความล้มเหลวและชัยชนะของฝ่ายมุสลิม และเป็นสงครามที่นำไปสู่การเสียกรุงเยรูซาเลม และสงครามครูเสดครั้งที่ 3 ในเวลาต่อมา..
ส่วนพวกครูเสดที่มาจากยุโรปเหนือ ก็ได้เคลื่อทัพจนถึงโปตุเกส แล้วได้ร่วมมือกับกษัตริย์อัลฟอลโซ เพื่อโจมตีนครลิสบอนและขับไล่พวกมุสลิมออกจาเมืองในปี 1147
สาเหตุอีกประการเป็นเรื่องเงินทอง สันตะปาปามีค่าใช้จ่ายสำหรับพันธกิจต่าง ๆ เช่น การจัดหาผู้แทนทางการทูตไปประจำในดินแดนคริสต์ในตะวันออก ดังนั้เน พระศาสนจักรจึงเริ่ม “ขาย”พระคุณการุณย์ (indulgence) ซึ่ง จะผ่อนผันหรือยกเลิกการรับโทษของวิญญาณในไฟชำระในตอนแรกพวกครูเสด “ซื้อ”หรือ รับเอาการผ่อนผันนี้สำหรับคนในครอบครัวและเพื่อนที่ล่วงลับ ต่อมาการ จ่ายเงินนี้ก็ซื้อสิทธิ์ไม่ต้องไปรบในสงครามครูเสด จึงมีคนยอมจ่ายเงินเพื่อให้คนอื่นไปรบแทน หรือให้เงินตามที่กำหนดแก่ศาสนจักร ซึ่งจะหาคนมาทำหน้าที่แทนการปฏิบัติเช่นนี้แพร่หลายไปทั่วได้ทำให้ผู้คนเปลี่ยนทัศนคติในเรื่องสงคราม ครูเสดอย่างมากประชาชนเริ่มเห็นว่าสงครามครูเสดเป็นเรื่องน่ารำคาญที่แทรก เข้ามาในชีวิต …
สงครามครูเสดครั้งใหม่นี้เกิดขึ้นจากความพ่ายแพ้ของ เอเดสสาฐานรักษาการณ์ทางเหนือของอูเตอร์ แมร์
ระบบศักินา “ฟิวดัล”ที่พวกครูเสดนำมาใช้ในเอเซียไมเนอร์นี้ “ระบาด”ในหมู่พวกมุสลิมเช่นกัน พวกมุสลิมชนชาติต่าง ๆ ในตะวันออกกลางต่างก็แก่งแย่งถืออำนาจกัน แตกออกเป็นหลายนคร
เซ็งกี หังหน้าวมุสลิมจากโมซูล ผู้มีกองทัพเข้มแข็งมุ่งหมายที่จะรวบรวมดินแดนชาวมุสลิมในพื้นที่ชายฝั่งทะเล พวกอูเตรอแมร์เพิกเฉยต่อภัยคุกคามนี้ แต่คริสตชนในตะวันตกกลับลุกฮือเพราะเกรงกลัวชาวมุสลิมจะรุกรานต่อไป
อาณาจักรเอเดสสาเป็นอาณาจักรครูเสดอาณาจักรแรกที่ก่อตั้งขึ้นระหว่างสงครามครูเสดครั้งที่ 1 และเป็นอาณาจักรแรกที่ล่ม
สงครามครูเสดครั้งที่ 2 ได้รับการประกาศโดยสมเด็จพระสันตะปาปายูจีนที่ 3 และเป็นสงครามครูเสดครั้งแรกที่นำโดยพระมหากษัตริย์ยุโรปที่รวมทั้งพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศส ซึ่งถือเอาสงครามครูเสดเป็นฉากบังหน้า เพื่อปิดบังซ่อนเร้นการกระทำอันโหดร้ายต่อพลเมืองที่เป็นกบฎต่อพระองค์ และพระเจ้าคอนราดที่ 3 แห่งเยอรมันนี พร้อมด้วยการสนับสนุนของขุนนางสำคัญต่างๆ
รวมถึงมเหสีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 คือ อิเลเนอร์ แห่งอาควิเตน…ได้เข้าร่วมกองทัพด้วย
ในยุโรป ผู้มีบทบาทสำคัญในการปลุกระดมผู้คนให้ร่วม ในกองทัพครูเสด คือ นักบุญเบอร์นาร์ดแห่งแคลร์โว (Bernard of Chairvaux) ซึ่งเป็นบุคคลฝ่ายศาสนาทีมีชื่อเสียงในเวลานั้น
แม้ว่าท่าน จะสละทางโลกแล้ว แต่ความปรีชาฉลาดของท่านและความพยายามไม่ลดละในการปกครองความถูกต้องเที่ยง แท้ของศาสนาได้ทำให้ท่านเป็นที่ปรึกษาของพระสันตปาปาและบรรดากษัตริย์ เมื่อท่านจับจ้องสายตาไปที่กษัตริย์คอนราด และพูดถึงวันพิพากษาอันน่าพรั่นพรึง ซึ่งรอคอยผู้ที่เพิกเฉยต่อการแบกกางเขน จักรพรรดิแห่งเยอรมันก็ไม่มีทางเลื่อก…
นักบุญเบอร์นอาร์ดไม่สงวนถ้อยคำ แม้รู้ว่าคนส่วนใหญ่ในกลุ่มนักรบครูเสดเป็นขโมย ฆาตกรหรือพวกตลบแตลง ท่านก็ยังชื่นชมต่อการจากไปของพวกเขายุโรปไม่ความยินดีที่พวกเขาจากไป และปาเลสไตน์ยินดีที่ได้รับพวกเขา พวกเขามีประโยชน์ทั้งสองทาง…
กองทัพของทั้งสองพระองค์แยกกัน เดินทางข้ามยุโรปไปยังตะวันออกกลางหลังจากข้ามเข้าสู่ดินแดนของจักรวรรดิไบแซน์ในอานาโตเลียแล้ว กองทัพทั้งสองต่างก็ได้รับความพ่ายแพ้ต่อเซลจุคเติร์ก (ซีเรียคอ้างว่า จักรพรรดิมานูเอลที่ 1 โคมเนนอส แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ทรงมีส่วนในความพ่ายแพ้ครั้งนี้โดยทรงสร้างอุปสรรคแก่การเดินหน้าของกองทัพทั้งสองโดยเฉพาะในอานาโตเลีย และทรงเป็นผู้สั่งการโจมตีของ)
กองทัพที่ร่อยหรอที่เหลือของพระเจ้าหลุยส์และพระเจ้าคอนราดก็เดิทางต่อไปยังกรุงเยรูซาเลม และก็เข้าโจมตีดามัสกัน ตามคำแนะนำที่ไม่สมควร สงครามครุเสดครั้งที่ 2 จบลงด้วยความล้มเหลวและชัยชนะของฝ่ายมุสลิม และเป็นสงครามที่นำไปสู่การเสียกรุงเยรูซาเลม และสงครามครูเสดครั้งที่ 3 ในเวลาต่อมา..
ส่วนพวกครูเสดที่มาจากยุโรปเหนือ ก็ได้เคลื่อทัพจนถึงโปตุเกส แล้วได้ร่วมมือกับกษัตริย์อัลฟอลโซ เพื่อโจมตีนครลิสบอนและขับไล่พวกมุสลิมออกจาเมืองในปี 1147
สาเหตุอีกประการเป็นเรื่องเงินทอง สันตะปาปามีค่าใช้จ่ายสำหรับพันธกิจต่าง ๆ เช่น การจัดหาผู้แทนทางการทูตไปประจำในดินแดนคริสต์ในตะวันออก ดังนั้เน พระศาสนจักรจึงเริ่ม “ขาย”พระคุณการุณย์ (indulgence) ซึ่ง จะผ่อนผันหรือยกเลิกการรับโทษของวิญญาณในไฟชำระในตอนแรกพวกครูเสด “ซื้อ”หรือ รับเอาการผ่อนผันนี้สำหรับคนในครอบครัวและเพื่อนที่ล่วงลับ ต่อมาการ จ่ายเงินนี้ก็ซื้อสิทธิ์ไม่ต้องไปรบในสงครามครูเสด จึงมีคนยอมจ่ายเงินเพื่อให้คนอื่นไปรบแทน หรือให้เงินตามที่กำหนดแก่ศาสนจักร ซึ่งจะหาคนมาทำหน้าที่แทนการปฏิบัติเช่นนี้แพร่หลายไปทั่วได้ทำให้ผู้คนเปลี่ยนทัศนคติในเรื่องสงคราม ครูเสดอย่างมากประชาชนเริ่มเห็นว่าสงครามครูเสดเป็นเรื่องน่ารำคาญที่แทรก เข้ามาในชีวิต …
First Crucade
สงครามครูเสดครั้งแรกเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1095
“ Let the truce of god be observed at home and let the arms of the Christians be direct to congue tring the infidels.”
“ด้วยบัญชาของพระเจ้า ให้เจ้าหยุดยั้งการทำสงครามกันเอง และให้เขาเหล่านั้นหันมาถืออาวุธมุ่งหน้าไปทำลายผู้ปฏิเสธ(มุสลิม)”
ประกฎว่าโป๊ปรวบรวมคนได้ถึง 150,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝรั่งเศสไปร่วมทำสงครามครูเสด จะเห็นว่าในบรรดาชายชาวยุโรปที่กระเหี้ยนกระหือรือในการทำสงครามครูเสดมาที่สุดก็คือชาวฝรั่งเศษ
ในขณะที่ทัพครูเสดกำลังจะยกมารบกับอิสลาม ก็ได้มีกองทัพของประชาชนผู้มีศรัทธาแรงกล้าเดินทัพมาก่อนแล้วในปี ค.ศ. 1094 ตามคำชักชวนของ ปีเตอร์ นักพรต (Peter of Amines) เขาผู้นี้ได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วยุโรป เพื่อป่าวประกาศเรื่องราวการกดขี่ของชาวเติร์กต่อชาวคริสเตียนในปาเลสไตน์ ซึ่งหาได้เป็นความจริงไม่
นักรบครูเสดชาวนา ผู้รณรงค์ประการชวนเชื่อเรื่องครูเสดสามารถกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกศรัทธาแท้จริงได้ ความศรัทธานี้เริ่มมาจากการปฏิรูปศาสนจักรในศตวรรษก่อน ประชาชนจำนวนมากได้ก้าวออกจากสภาพแวดล้อมชีวิตที่คุ้นเคย และเดินทางแสวงบุญไกลๆ ไปยังสุสานของนักบุญเปโตรในโรม สุสานนักบุญยากอบในคอนพอสเทลา และนักบุญมาระโกในเวนิส หลายคนได้เดิดทางต่อไปยังแผ่นดินศักดิ์ ปสานกับความร้อรในการแสงบุญ การประกาศชวนเชื่อได้เร้าใจชาวคริสต์ตะวันตกถึงจุดที่เร้าร้อน ในขณะที่คนในเมืองและพวกชนชั้นสูงกำลังวางแผนที่จะส่งกองทหารเป็นทางการ ประชาชนธรรมดาก็ลุกฮือขึ้นด้วยตัวเอง
ทางฝ่ายทหาร ต้นปี 1097 กำลังทหาร 4 กองทัพ ได้มาบรรจบกันที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลโดยทางภาคพื้นดินและเดินเรือ ในจำนวนนี้มีทั้งชาวฝรั่งเศส โปรวังซาล เฟลมิงก์ เยอรมัน ซิซีเลียน และที่น่าเกรงขามที่สุดก็คือพวกนอร์มัน พวกเขาเป็นสัญจรและนักต่อสู้โดยสัญชาตญาณ…กองทัพครูเสดได้ยึดเอเชียไมเนือร์กลับมา และพวกเขาได้โจมตีต่อไปทางใต้เพื่อชัยชนะของพวกเขาเอง พวพิชิตได้เมืองใหญ่ๆ ของเอเดสซา ในอาร์เมเนีย อันทีโอค และทริโพลีในซีเรีย แล้วภายหลังการล้อมตีอยู่ห้าสัปดาห์ กองทัพครูเสดก็บรรลุถึงชัยชนะขั้นสุดท้ายคือกรุงเยรูซาเล็ม มีการรบสู้อย่างดุเดือด ถนนสายต่างๆ แดงฉานไปด้วยเลือด นักรบครูเสดพนมมือลคุกเข่าภาวนาที่สุสานอันเคยวางพระวรกายของพระคริสต์ พวกเขาสะอื้นไห้ด้วยความปีติ..
“ Let the truce of god be observed at home and let the arms of the Christians be direct to congue tring the infidels.”
“ด้วยบัญชาของพระเจ้า ให้เจ้าหยุดยั้งการทำสงครามกันเอง และให้เขาเหล่านั้นหันมาถืออาวุธมุ่งหน้าไปทำลายผู้ปฏิเสธ(มุสลิม)”
ประกฎว่าโป๊ปรวบรวมคนได้ถึง 150,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝรั่งเศสไปร่วมทำสงครามครูเสด จะเห็นว่าในบรรดาชายชาวยุโรปที่กระเหี้ยนกระหือรือในการทำสงครามครูเสดมาที่สุดก็คือชาวฝรั่งเศษ
ในขณะที่ทัพครูเสดกำลังจะยกมารบกับอิสลาม ก็ได้มีกองทัพของประชาชนผู้มีศรัทธาแรงกล้าเดินทัพมาก่อนแล้วในปี ค.ศ. 1094 ตามคำชักชวนของ ปีเตอร์ นักพรต (Peter of Amines) เขาผู้นี้ได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วยุโรป เพื่อป่าวประกาศเรื่องราวการกดขี่ของชาวเติร์กต่อชาวคริสเตียนในปาเลสไตน์ ซึ่งหาได้เป็นความจริงไม่
นักรบครูเสดชาวนา ผู้รณรงค์ประการชวนเชื่อเรื่องครูเสดสามารถกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกศรัทธาแท้จริงได้ ความศรัทธานี้เริ่มมาจากการปฏิรูปศาสนจักรในศตวรรษก่อน ประชาชนจำนวนมากได้ก้าวออกจากสภาพแวดล้อมชีวิตที่คุ้นเคย และเดินทางแสวงบุญไกลๆ ไปยังสุสานของนักบุญเปโตรในโรม สุสานนักบุญยากอบในคอนพอสเทลา และนักบุญมาระโกในเวนิส หลายคนได้เดิดทางต่อไปยังแผ่นดินศักดิ์ ปสานกับความร้อรในการแสงบุญ การประกาศชวนเชื่อได้เร้าใจชาวคริสต์ตะวันตกถึงจุดที่เร้าร้อน ในขณะที่คนในเมืองและพวกชนชั้นสูงกำลังวางแผนที่จะส่งกองทหารเป็นทางการ ประชาชนธรรมดาก็ลุกฮือขึ้นด้วยตัวเอง
ปีเตอร์นับเป็นเลิศในฐานะผู้จุดไฟ บรรดาชาวไร่ชาวนาทั่งทั้งผรั่งเศสและไรน์แลนด์ ทิ้งคราดไถออกรวมตัวกัน ในไม่ช้ากลุ่มชาวนาผรั่งเศส 2 กอง และเยอรมัน 3 กอง ก็เริ่มหลั่งไหลไปยังหุบเขาดานูบกองทัพชาวนานี้นังรวมเกือบ 50,000 คนรวมทั้งวคนในครอบครัวของพวกเขาทั้งหมด พวกเด็กเล็กๆ ในกลุ่มจะถามอย่างซื่อๆ เมื่อเดินทางไปถึงเมืองแต่ละเมืองว่า ใช่กรุงเยรูซาเล็มหรือเปล่า
ในหมู่ชาวเยอรมัน ความฝังใจที่จะฆ่าคนนอกศาสนาทุกคนได้เกิดขึ้นก่อนที่ขบวนจะออกจากแผ่นดินของพวกเขา พวกยิวแห่งสเปเออร์ เมนซ์ วอร์ม และมืองอื่นๆต่างเป็นเป้าหมาย อาร์คบิชอบแห่งโคโลนจ์ ให้ที่ลีภัยแก่ชาวยิวนับพันๆ แต่พวกนักรบครูเสดชาวนาพังประตูเข้าไปและสังหารคนจำนวนมาก ไกลออกไปทางตะวันออก นับรบครูเสดชาวนาอีกกลุ่มมุ่งสายตาความโกรธแค้นไปยัคลังเก็บข้าวสาลีที่บุลกาเรีย และพวกเขาตัดสินใจว่าชาวบุลกาเรียก็เป็นคนเลวร้าย ทว่า หลังจากทนถูกสัหารหมู่และปล้นสดมภ์ พวกบุลกาเรียก็โจมตีกลับ พวกเขาเข่นฆ่า พวกมาจากตะวันตกเหล่านนี้ขณะที่นอนหลับอยู่ข้างแคมป์ไฟ และทำให้บ่อน้ำทั้งหลายไม่สามารถดื่มได้ ด้วยการโยนซากแกะเน่าลงไป
กล่าวกันว่ากองทัพนี้เป็นกองทัพของประชาชนมากกว่ากองทัพของทหารที่จะไปทำสงคราม เพราะมีผู้นำที่เป็นบาทหลวงและสามัญชนธรรมดาปราศจากความรู้ในการรบ และมิได้มีอาวุธที่ครบครัน ปรากฎว่ากองทัพที่เป็นกองทัพนี้ส่วนใหญ่มาถึงเพียงฮังการี เพราะเมือขาดอาหารลงก็จะทำการปล้นสะดม
ทางฝ่ายทหาร ต้นปี 1097 กำลังทหาร 4 กองทัพ ได้มาบรรจบกันที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลโดยทางภาคพื้นดินและเดินเรือ ในจำนวนนี้มีทั้งชาวฝรั่งเศส โปรวังซาล เฟลมิงก์ เยอรมัน ซิซีเลียน และที่น่าเกรงขามที่สุดก็คือพวกนอร์มัน พวกเขาเป็นสัญจรและนักต่อสู้โดยสัญชาตญาณ…กองทัพครูเสดได้ยึดเอเชียไมเนือร์กลับมา และพวกเขาได้โจมตีต่อไปทางใต้เพื่อชัยชนะของพวกเขาเอง พวพิชิตได้เมืองใหญ่ๆ ของเอเดสซา ในอาร์เมเนีย อันทีโอค และทริโพลีในซีเรีย แล้วภายหลังการล้อมตีอยู่ห้าสัปดาห์ กองทัพครูเสดก็บรรลุถึงชัยชนะขั้นสุดท้ายคือกรุงเยรูซาเล็ม มีการรบสู้อย่างดุเดือด ถนนสายต่างๆ แดงฉานไปด้วยเลือด นักรบครูเสดพนมมือลคุกเข่าภาวนาที่สุสานอันเคยวางพระวรกายของพระคริสต์ พวกเขาสะอื้นไห้ด้วยความปีติ..
นับแต่นั้นมานามนักรบครูเสดก็ให้มโนภาพที่น่ายกย่อง เรื่องความกล้าหาญของพวกเขาไม่เป็นที่กังขา แต่ทว่า นักรบครูเสดมาจากดินแดนที่มีความเจริญน้อยกว่า รุปลักษณ์อัศวินที่อุ้ยอ้าย และไม่องอาจ ประกอบกับความประพฤติของพวกครูเสดไม่ใช่แบบอย่างที่ควรยึดถือ พลเมืองของกรุงคอนสแตนติโนเปิลรังเกียจนิสัยโง่ทึ่มของพวกเขา พวกนักรับครูเสดตื่นตะลึงกับเมืองคอนสแตนติโนเปิลอันอลังการ ความมั่งคั่งของคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งเป็นสิ่งล่อใจอย่างยิ่ง และพวกครูเสด ก็ไม่ระงับใจที่จะปล้นและขโมย พระธิดาของจักรพรรดิ ตราหน้าผู้มาสู่เมืองของเธอว่าเป็นพวกผมสีทองที่โหดเหี้ยม และ หิวเงินเสมอ
จักรพรรดิ รู้สึกถึงอันตรายของพวกอนารยชนร่วม 50,000 คนที่มาถึงเมืองของพระองค์ พระองค์บังคับให้พวกผู้นำของพวกเขาปฏิญาณตนจงรักภักดีและปฏิญาณที่จะให้พระองค์เป็นผู้ครอบครองดินแดนที่พวกเขาอาจยึดได้
แต่ในไม่ช้า จักรพรรดิอาเล็กซีอุสก็กระทำสิ่งซึ่งพวกครูเสดถือว่าเป็นการทรยศ ในการล้อมรบที่เมือนิเชอา พวกเติร์กกำลังจะยอมแพ้แตะพระจักรพรรดิ์ได้ตกลงกับอย่างลับๆ กับศัตรูให้ยุติการสู้รบ จากนั้น พระอง๕ก็สั่งให้กองทัพครูเสดเคลื่อนทัพต่อไป จริงๆแล้ว ความคิดเรื่องสงครามศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งแปลกประหลาดในความคิดของพวกไบเซนไทน์ เมือพวกครูเสดสำนึกถึงความจริงเช่นนี้
พวกครูเสดจึงเป็นอิสระที่จะดำเนินการตามจุดมุ่งหมายที่ฝั่งใจพวกเขา คือ สร้างอาณาจักรของพวกเขาเองในตะวันออก….
ครูเสดนอร์เวย์ : Norwegian Crusade เมือสงครามครูเสดครั้งที่ 1 ผ่านไปพระเ้จ้าซิเกิร์ดที่ 1 แห่งนอร์เวย์พระเจ้าซิเกิร์ดที่ 1 ทรงเป็นมหากษัตริย์ยุโรปองค์แรกที่เข้าร่วมสงครามครูเสดที่เสด็จไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์และมิได้พ่ายแพ้ในยุทธการใดๆ ทั้งสิ้น ลักษณะการต่อสู้แบบกองโจร ปล้นสดมและทำลายทรัพย์สินของไวกิ้งก่อนหน้นี้นแตก่การกระทำครั้งนี้เป็นการกระทำเพื่อครุสต์สาสนาฉะนั้นจึงถือกันว่าเป็นสิ่งที่ "ควร"
วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555
There'noting inside
how can you see into my eyes like open doors leading you down into my core where I’ve become so numb without a soul my spirit sleeping somewhere cold until you find it there and lead it back home (Wake me up) Wake me up inside (I can’t wake up) Wake me up inside (Save me) call my name and save me from the dark (Wake me up) bid my blood to run (I can’t wake up) before I come undone (Save me) save me from the nothing I’ve become now that I know what I’m without you can't just leave me breathe into me and make me real bring me to life (Wake me up) Wake me up inside (I can’t wake up) Wake me up inside (Save me) call my name and save me from the dark (Wake me up) bid my blood to run (I can’t wake up) before I come undone (Save me) save me from the nothing I’ve become Bring me to life (I've been living a lie, there's nothing inside) Bring me to life frozen inside without your touch without your love darling only you are the life among the dead all this time I can't believe I couldn't see kept in the dark but you were there in front of me I’ve been sleeping a thousand years it seems got to open my eyes to everything without a thought without a voice without a soul don't let me die here there must be something more bring me to life | เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาฉัน เหมือนประตูที่เปิดอยู่ได้อย่างไรกัน นำเธอดิ่งลงสู่ใจกลางฉัน ที่ซึ่งฉันไม่มีความรู้สึกใด ไร้ซึ่งวิญญาณ จิตของฉันหลับไหล อยู่ที่ที่เยือกเย็นที่ไหนสักแห่ง จนกว่าเธอจะหามันเจอ และนำมันกลับบ้าน (ปลูกฉันให้ตื่น) ปลุกฉันที่ถูกจองจำไว้ภายในให้ตื่นขึ้นมา (ฉันตื่นเองไม่ได้) ปลุกฉันที่ถูกจองจำไว้ภายในให้ตื่นขึ้นมา (กอบกู้ฉันขึ้นมา) เรียกชื่อฉัน และช่วยฉันไว้จากความมืด (ปลูกฉันให้ตื่น) ทำให้เลือดฉันไหลเวียน (ฉันตื่นเองไม่ได้) ก่อนที่ฉันจะล่มจม (กอบกู้ฉันขึ้นมา) ช่วยฉันจาก การกลายเป็นคนไร้ซึ่งตัวตน เพราะฉันเพิ่งรู้ว่า ฉันอยู่โดยปราศจากอะไร เธอทิ้งฉันไม่ได้ หายใจเข้ามาในตัวฉัน และทำให้ฉันมีตัวตน นำฉันไปสู่ความมีชีวิตชีวา (ปลูกฉันให้ตื่น) ปลุกฉันที่ถูกจองจำไว้ภายในให้ตื่นขึ้นมา (ฉันตื่นเองไม่ได้) ปลุกฉันที่ถูกจองจำไว้ภายในให้ตื่นขึ้นมา (กอบกู้ฉันขึ้นมา) เรียกชื่อฉัน และช่วยฉันไว้จากความมืด (ปลูกฉันให้ตื่น) ทำให้เลือดฉันไหลเวียน (ฉันตื่นเองไม่ได้) ก่อนที่ฉันจะล่มจม (กอบกู้ฉันขึ้นมา) ช่วยฉันจาก การกลายเป็นคนไร้ซึ่งตัวตน นำฉันไปสู่ความมีชีวิตชีวา (ฉันมีชีวิตอยู่แบบแสแสร้งแกล้งทำอยู่เรื่อยมา, ภายในไม่มีความหมายใด) จงนำฉันไปสู่ความมีชีวิตชีวา ข้างในถูกแช่แข็ง ปราศจากสัมผัสของเธอ ปราศจากความรักจากเธอ ที่รัก เธอเท่านั้นคือสิ่งมีชีวิต อยู่ท่ามกลางคนตาย ตลอดเวลานี้ ฉันไม่สามารถเชื่อ ฉันมองไม่เห็น อยู่ในความมืดมน แต่เธออยู่ตรงนั้น อยู่ตรงหน้าฉัน ฉันหลับไหลเรื่อยมา ราวกับว่าเป็นพันปี ต้องเปิดตาฉันขึ้นมา สู่ทุกสิ่งทุกอย่าง ปราศจากความคิด ปราศจากเสียง ปราศจากวิญญาณ อย่าปล่อยให้ฉันตายอยู่ตรงนี้ ต้องเป็นบางอย่างที่มากกว่านั้น จงนำฉันไปสู่ความมีชีวิตชีวา |
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555
Crusade
สงครามครูเสด หรือ อัลฮุรุบอัศศอลีบียะหฺหรือ อัลฮัมลาส อัศศอลีบียะหฺ แปลว่า สงครามไม้กางเขน คือสงครามระหว่างศาสนา ซึ่งอาจหมายถึงสงครามระหว่าชาวคริสต์ต่างนิกายด้วยกันเอง แต่โดยส่วนใหญ่มักหมายถึงสงครามครั้งสำคัญระหว่างชาวมุสลิมและชาวคริสต์ ในช่วงศตวรรษที่ 11-13
ชาวเติร์ก เป็นคนส่วนใหญ่ของตุรกีในปัจจุบันมีพื้นเพดั้งเดิมเป็นชนเผ่าเร่ร่อนแบ่งเป็นหลายเผ่าเป็นหลายเผ่าด้วยกัน เดิมที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขาอัลไตในเอเซียกลาง กระทั่งในราวศตวรรษที่ 6 เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติและการเมือง ทำให้ชาวเตร์กต้องเร่ร่อนไปในดินแดนต่าง ๆ
ชาวเติร์กเผ่าหนึ่งคือเผ่าเซลจุก เลือกอพยมายังพื้นที่”อนาโตเลีย”(ดินแดนตะวันตกเฉียงใต้ของเอเซียที่เชื่อมต่อระหว่างเอเซียกับยุโรป ปัจจุบันคือพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศตุรกี) และได้พยายามเข้าตีเมืองเมืองอิซนิก ที่อยู่ใกล้กรุงคอนสแตนโนเปิล แห่งอาณาจักรไบแซนไทน์ เพื่อยึดเป็นเมืองหลวง แต่ว่าไม่สามารถตีเมืองได้จึงถอยไปปักหลักอยู่ในอานาโตเลียตอนกลาง พร้อมสถาปนาอาณาจักแห่งแรกของตนขึ้น โดยเลือกเอาเมืองคอนยาเป็นราชธานี
จุดเริ่มต้นของสงครามครูเสด คือ หลังจากพระเยซูครัสต์สิ้นพระชนม์ แผ่นดินที่พระเยซูคริสต์มีชีวิตอยู่ คือ เมืองเบธเลเฮม เมืองนาซาเธ และเยรูซาเล็มถูกเรียกว่าเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ชาวคริสเตียนจะเดินทางไปแสวงบุญที่เมืองเหล่านี้อย่างไรก็ตามเมืองเหล่านี้บางเมืองก็เป็นสถานที่สำคัญของชาวซัลจู๊ค(มุสลิม)ด้วยเช่นกัน เมื่อมุสลิมเข้ามามีอำนาจ ครอบครองซีเรีย และเอเชียไม่เนอร์ของไบแซนไทน์ ชัยชนะของซัลจูค(มุสลิม)ในการยุทธที่นามซิเคอร์ทเป็นการขับไล่อำนาจของไบแซนไทน์ออกจากเอเชียไมเนอร์ และไม่กี่ปีต่อมาซัลจู๊ล(มุสลิม)ก็ตีเมืองนิคาเอจากไบแซนไทน์ได้อีก
ชนวนเหตุของสงครามครูเสดคือการคุกคามทางทหารต่อเมืองคอนสแตนติโนเปิลปราการทางตะวันออกของชาวคริสต์ เมืองนี้ตั้งขึ้นโดยคอนสแตนติน จักรพรรดิโรมันองค์แรกที่กลับใจมาเป็นคริสต์ ผู้สืบราชสมบัติต่อจากคอนสแตนติน บนบังลังก์ปห่งไบเซนไทน์ต้องรับมือกับผุ้รุกรานทุกพวกจากเอเชีย พวกไผเซนไทน์เรียกผู้รุกรานเหล่านี้ว่า ซาราคีโนส(Sarakeaos)แปลว่า ชาวตะวันออก และคำว่า ซาราเซ็น (Sarasen)ก็ได้กลายเป็นคำที่ทำให้เกิดมโนภาพถึงนักรบที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง พวกผู้รุกรานเหล่านี้พวกหลังสุด ดุร้ายที่สุดและเป็นมุสลิมผู้มีศรัทธา คือพวกเซลจุก เติร์ก พวกเขาตีชาวไบเซนไทน์นับพันๆ แตกพ่ายในการรบใกล้แมนซีเคอร์ท พวกเซลจุก เติร์กได้ยึดเอาดินแดนของอาณาจักรไบเซนไทน์ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง
จักรพรรดิแห่งไบแซนไทน์ทรงตื่นตระหนกเพราะอิสลามกำลังเข้าใกล้กรุงคอนสแตนติโนเปิล จึงได้ขอความช่วยเหลือไปยังโป๊ปเกรกอรี่ที่ 7 แห่งกรุงโรม ให้ชาวคริสเตียนช่วยปราบเติร์ก ซึ่งสันตะปาปาก็ตอบรับการของความช่วยเหลือ เพราะนั้นเท่ากับว่า ศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ยอมรับอำนาจของสันตะปาปา ซึ่งเป็นผู้นำของนิกายโรมันคาทอลิกโดยสิ้นเชิง อันเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครูเสด
(คริสตจักรอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ เรียกโดยย่อว่า คริสจักรออร์ทอดอกซ์ หรือ คริสตจักรไบแซนไทน์ เป็นคริสจักณที่ใหญ่เป็นที่สองของคริสต์สาสนาในโลก คริสตจักรนี้ปฏิบัติตามหลักการทางเทววิทยาอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่สมัยศาสนาคริสต์ยุคแรก โดยแบ่งเป็นคริสจักรย่อย ๆ แต่ละคริสตจักรมีอัครบิดรหรือมุขนายกเป็นของตนเอง ผู้มีหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ประเพณีของศาสนจักร และสามารถสืบสายกลับไปได้ถึงอัครทูตของพระเยซูโดยเฉพาะนักบุญแอนดรูย์)
แรงจูงใจที่สำคัญ คือ กษัตริย์ผรังเศสและเยอรมันต้องการดินแดนเพิ่ม อัศวันและขุนางต้องการผจญภัยแสดงความกล้าตามอุดมคติ ทาสต้องการเป็นอิสระ เสรีชนต้องการความรำรวยและแสดงศรัธทาต่อศาสนา รวมทั้งความพยายามของพระสันตะปาปาในอันทีจะรวมคริสต์ศาสนานิกายออร์โธดอกซ์ให้เข้ากับนิกายโรมันคาทอลิก ภายใต้การบัคับบัญชาของตนผู้เดียว
พระสันตะปาปาเกรกกอรี่ที่ 7 ได้เรียกร้องร้องให้ทำสงครามครูเสด กล่าวถึงควมจำเป็นที่จะต้องทำเพราะเป็นคำสั่งของพระเจ้า แต่ทว่าได้สิ้นพระชนม์ก่อน จักรพรรดิแห่งไบแซนไทน์ได้ขอร้องทำนองเดียวกันไปยังพระสันตะปาปาคนใหม่ คือ เออร์บานที่ 2 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทรงเรียกร้องให้ประชาชนทำสงครามครูเสดเพื่อกอบกู้สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ คือ กรุง เยรูซาเล็มคืนจากอิสลาม… คำปราศัยของประสันตะปาปา..
“ด้วยพระบัญชาของพระเจ้า ให้เจ้าหยุดยั้งการทำสงครามกันเอง และให้เขาเหล่านั้นหันมาถืออาวุธมุ่งหน้าไปทำลายผู้ปฏิเสธ(มุสลิม)
เมือเริ่มสงครามนั้นชาวมุสลิมได้ครอบครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ ผู้นำโลกอิสลามได้เข้ายึดครองดินแดนแห่งนี้ซึ่งเป็นยุคของเคาะหฺลีฟะหฺอุมัร อาณาจักรอิสลามทีเป็นสถานที่สำคัญของสามศาสนาได้แก่ อิสลาม ยูได และคริสต์ ในปัจจุบันคือ ประเทศ “อิสราเอล” ชาวมุสลิมครอบครอง เมืองนาซาเรธ เลธเลเฮม และเมืองสำคัญทางศาสนาอีกหลายเมือง
ชาวเติร์ก เป็นคนส่วนใหญ่ของตุรกีในปัจจุบันมีพื้นเพดั้งเดิมเป็นชนเผ่าเร่ร่อนแบ่งเป็นหลายเผ่าเป็นหลายเผ่าด้วยกัน เดิมที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขาอัลไตในเอเซียกลาง กระทั่งในราวศตวรรษที่ 6 เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติและการเมือง ทำให้ชาวเตร์กต้องเร่ร่อนไปในดินแดนต่าง ๆ
ชาวเติร์กเผ่าหนึ่งคือเผ่าเซลจุก เลือกอพยมายังพื้นที่”อนาโตเลีย”(ดินแดนตะวันตกเฉียงใต้ของเอเซียที่เชื่อมต่อระหว่างเอเซียกับยุโรป ปัจจุบันคือพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศตุรกี) และได้พยายามเข้าตีเมืองเมืองอิซนิก ที่อยู่ใกล้กรุงคอนสแตนโนเปิล แห่งอาณาจักรไบแซนไทน์ เพื่อยึดเป็นเมืองหลวง แต่ว่าไม่สามารถตีเมืองได้จึงถอยไปปักหลักอยู่ในอานาโตเลียตอนกลาง พร้อมสถาปนาอาณาจักแห่งแรกของตนขึ้น โดยเลือกเอาเมืองคอนยาเป็นราชธานี
จุดเริ่มต้นของสงครามครูเสด คือ หลังจากพระเยซูครัสต์สิ้นพระชนม์ แผ่นดินที่พระเยซูคริสต์มีชีวิตอยู่ คือ เมืองเบธเลเฮม เมืองนาซาเธ และเยรูซาเล็มถูกเรียกว่าเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ชาวคริสเตียนจะเดินทางไปแสวงบุญที่เมืองเหล่านี้อย่างไรก็ตามเมืองเหล่านี้บางเมืองก็เป็นสถานที่สำคัญของชาวซัลจู๊ค(มุสลิม)ด้วยเช่นกัน เมื่อมุสลิมเข้ามามีอำนาจ ครอบครองซีเรีย และเอเชียไม่เนอร์ของไบแซนไทน์ ชัยชนะของซัลจูค(มุสลิม)ในการยุทธที่นามซิเคอร์ทเป็นการขับไล่อำนาจของไบแซนไทน์ออกจากเอเชียไมเนอร์ และไม่กี่ปีต่อมาซัลจู๊ล(มุสลิม)ก็ตีเมืองนิคาเอจากไบแซนไทน์ได้อีก
ชนวนเหตุของสงครามครูเสดคือการคุกคามทางทหารต่อเมืองคอนสแตนติโนเปิลปราการทางตะวันออกของชาวคริสต์ เมืองนี้ตั้งขึ้นโดยคอนสแตนติน จักรพรรดิโรมันองค์แรกที่กลับใจมาเป็นคริสต์ ผู้สืบราชสมบัติต่อจากคอนสแตนติน บนบังลังก์ปห่งไบเซนไทน์ต้องรับมือกับผุ้รุกรานทุกพวกจากเอเชีย พวกไผเซนไทน์เรียกผู้รุกรานเหล่านี้ว่า ซาราคีโนส(Sarakeaos)แปลว่า ชาวตะวันออก และคำว่า ซาราเซ็น (Sarasen)ก็ได้กลายเป็นคำที่ทำให้เกิดมโนภาพถึงนักรบที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง พวกผู้รุกรานเหล่านี้พวกหลังสุด ดุร้ายที่สุดและเป็นมุสลิมผู้มีศรัทธา คือพวกเซลจุก เติร์ก พวกเขาตีชาวไบเซนไทน์นับพันๆ แตกพ่ายในการรบใกล้แมนซีเคอร์ท พวกเซลจุก เติร์กได้ยึดเอาดินแดนของอาณาจักรไบเซนไทน์ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง
จักรพรรดิแห่งไบแซนไทน์ทรงตื่นตระหนกเพราะอิสลามกำลังเข้าใกล้กรุงคอนสแตนติโนเปิล จึงได้ขอความช่วยเหลือไปยังโป๊ปเกรกอรี่ที่ 7 แห่งกรุงโรม ให้ชาวคริสเตียนช่วยปราบเติร์ก ซึ่งสันตะปาปาก็ตอบรับการของความช่วยเหลือ เพราะนั้นเท่ากับว่า ศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ยอมรับอำนาจของสันตะปาปา ซึ่งเป็นผู้นำของนิกายโรมันคาทอลิกโดยสิ้นเชิง อันเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครูเสด
(คริสตจักรอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ เรียกโดยย่อว่า คริสจักรออร์ทอดอกซ์ หรือ คริสตจักรไบแซนไทน์ เป็นคริสจักณที่ใหญ่เป็นที่สองของคริสต์สาสนาในโลก คริสตจักรนี้ปฏิบัติตามหลักการทางเทววิทยาอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่สมัยศาสนาคริสต์ยุคแรก โดยแบ่งเป็นคริสจักรย่อย ๆ แต่ละคริสตจักรมีอัครบิดรหรือมุขนายกเป็นของตนเอง ผู้มีหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ประเพณีของศาสนจักร และสามารถสืบสายกลับไปได้ถึงอัครทูตของพระเยซูโดยเฉพาะนักบุญแอนดรูย์)
แรงจูงใจที่สำคัญ คือ กษัตริย์ผรังเศสและเยอรมันต้องการดินแดนเพิ่ม อัศวันและขุนางต้องการผจญภัยแสดงความกล้าตามอุดมคติ ทาสต้องการเป็นอิสระ เสรีชนต้องการความรำรวยและแสดงศรัธทาต่อศาสนา รวมทั้งความพยายามของพระสันตะปาปาในอันทีจะรวมคริสต์ศาสนานิกายออร์โธดอกซ์ให้เข้ากับนิกายโรมันคาทอลิก ภายใต้การบัคับบัญชาของตนผู้เดียว
พระสันตะปาปาเกรกกอรี่ที่ 7 ได้เรียกร้องร้องให้ทำสงครามครูเสด กล่าวถึงควมจำเป็นที่จะต้องทำเพราะเป็นคำสั่งของพระเจ้า แต่ทว่าได้สิ้นพระชนม์ก่อน จักรพรรดิแห่งไบแซนไทน์ได้ขอร้องทำนองเดียวกันไปยังพระสันตะปาปาคนใหม่ คือ เออร์บานที่ 2 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทรงเรียกร้องให้ประชาชนทำสงครามครูเสดเพื่อกอบกู้สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ คือ กรุง เยรูซาเล็มคืนจากอิสลาม… คำปราศัยของประสันตะปาปา..
“ด้วยพระบัญชาของพระเจ้า ให้เจ้าหยุดยั้งการทำสงครามกันเอง และให้เขาเหล่านั้นหันมาถืออาวุธมุ่งหน้าไปทำลายผู้ปฏิเสธ(มุสลิม)
เมือเริ่มสงครามนั้นชาวมุสลิมได้ครอบครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ ผู้นำโลกอิสลามได้เข้ายึดครองดินแดนแห่งนี้ซึ่งเป็นยุคของเคาะหฺลีฟะหฺอุมัร อาณาจักรอิสลามทีเป็นสถานที่สำคัญของสามศาสนาได้แก่ อิสลาม ยูได และคริสต์ ในปัจจุบันคือ ประเทศ “อิสราเอล” ชาวมุสลิมครอบครอง เมืองนาซาเรธ เลธเลเฮม และเมืองสำคัญทางศาสนาอีกหลายเมือง
วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555
อายะฮฺ
"การสู้รบนั้นได้ถูกกำหนดแก่พวกเจ้าแล้ว ทั้งๆ ที่มันเป็นที่รังเกียจแก่พวกเจ้า
และอาจเป็นไปได้ว่าการที่พวกเจ้ารังเกียจสิ่งหนึ่ง ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีแก่พวกเจ้า
และก็อาจเป็นไปได้ว่าการที่พวกเจ้าชอบสิ่งหนึ่ง ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เลวร้ายแก่พวกเจ้า
และอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดีแต่พวกเจ้าไม่รู้"
อัล-บะกอเราะฮ.2:216
สำหรับการเผยแพร่ศาสนาอิสลามเป็นไปอย่างยากลำบากในเพาะต้องหลบๆ ซ่อนๆ จากพวกปฏิเสธศรัทธาชาวมักกะฮฺ พวกกุเรซ(ตระกูลเครือญาติของท่านนบีในนครมักกะฮฺ)พยายามทำทุกวิถีทางที่จะขัดขว้างการเติบโตของอิสลามแทนความเชื่อเดิมๆ ที่พวกตนยึดถือ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงถูกปองร้าย กลั่นแกล้ง กล่าวหา หรือแม้กระทั่งลอบสังหาร
ช่วงเวลาเดียกันบรรดาอัครสาวกก็ได้รับการทารุณกรรม ด้วยวิธีที่ไร้มนุษยธรรมเพื่อบังคับในละทิ้งอิสลาม และกลับสู่ศาสนาเดิม
เหตุการณ์เป็นดังนี้ตลอดระยะเวลา 13 ปี แต่ อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ยังไม่ทรงอนุมัติให้มีการตอบโต้ ต่อสู้ใดๆ แต่ยังคงให้สนองตอบด้วยการอดทนอดกลั้น และ้ให้เชื่อมั่นและยำเกรงพระเจ้า การครั้งนี้ยิ่งกลับทำให้จำนวนมุสลิมเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ
กระทั่ง ท่านร่อซูล ศ็อลลััลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ได้รับคำสั่งให้ทำาการลี้ภัย อพยพ จากนครเมกกะฮฺ สูนครมาดีนะฮฺ
อายะฮฺ(บัญญัติ) จึงถูกประทานลงมาซึ่งเป็นอายะฮฺแรกที่อนุญาตให้ทำการต่อสู้กับการถูกข่มเหงรับแก
ช่วงเวลาเดียกันบรรดาอัครสาวกก็ได้รับการทารุณกรรม ด้วยวิธีที่ไร้มนุษยธรรมเพื่อบังคับในละทิ้งอิสลาม และกลับสู่ศาสนาเดิม
เหตุการณ์เป็นดังนี้ตลอดระยะเวลา 13 ปี แต่ อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ยังไม่ทรงอนุมัติให้มีการตอบโต้ ต่อสู้ใดๆ แต่ยังคงให้สนองตอบด้วยการอดทนอดกลั้น และ้ให้เชื่อมั่นและยำเกรงพระเจ้า การครั้งนี้ยิ่งกลับทำให้จำนวนมุสลิมเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ
กระทั่ง ท่านร่อซูล ศ็อลลััลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ได้รับคำสั่งให้ทำาการลี้ภัย อพยพ จากนครเมกกะฮฺ สูนครมาดีนะฮฺ
อายะฮฺ(บัญญัติ) จึงถูกประทานลงมาซึ่งเป็นอายะฮฺแรกที่อนุญาตให้ทำการต่อสู้กับการถูกข่มเหงรับแก
วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555
Opium Wars
ฝิ่นเป็นยาเสพย์ติดที่ชาวจีนติดกันอย่างงอมแงมและติดกันมานาน ใน สมัยราชวงศ์ชิง รัชกาลจักรพรรดิหย่งเจิ้น เคยมีดำริที่จะทำการปราบปรามฝิ่นแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ชาวจีนส่วนใหญ่ยังติดฝิ่นเรื่อยมา
ฝิ่นนำเข้ามาขายในประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ชิงโดยอังกฤษนำเข้าในนามบริษัทอีสต์อินเดีย จำกัดแต่ด้วยวิธีทางเมืองของจีน ทำให้อังกฤษค้าขายกับจีนลำบาก อังกฤษขาดดุลการค้ากับจีน จังหาวิธีด้วยการนำข้าฝิ่นมาขายโดยอ้างว่าฝิ่นเป็นยา ต่อมาชาวจีนจึงติดฝิ่นงอมแงม ประเทศที่ค้าฝิ่นกับจีน ได้แก่ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และรัฐเซีย โดยมีการนำเขาอย่างมโหราฬ ทั้งที่ทางการประกาศห้ามจำหน่ายและสูบฝิ่น แต่ราษฎรทั่งประเทศติดฝิ่น เงินทองหมดไปกับการสูบฝิ่น วิธีการของอังกฤษคือ ใช้กำลังทหารคือกองเรือข่มจีน และติดสินบนพวกขุนนางกังฉินชั้นสูง
รัชสมัยจักรพรรดิเต้ากวง พรองค์มีเจตนารมณ์อย่างแรงกล้าที่จะทำการปราบฝิ่น ทรงแต่งตั้งหลินเจ๋อสวีเป็นตรวจราชการ สอง มณทฑ เป็นผู้นำในการกวาดล้างฝิ่นจากแผ่นดินจีย หลิน’รู้ว่าอังกฤษปลูกฝิ่นที่อินเดียมานานแล้ว แต่การปราบปรามการค้าฝิ่นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก จึงต้องใช้กฎหมายของประเทศ ประกาศให้ชุมชนตางชาติทราบว่า การค้าฝิ่นเป็นการผิดกฎหมายของจีน ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย พวกพ่อค้าจีนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับต่างชาติรู้ถึงการประกาศของหลิน..พวกเขาจึงระมัดระวังตัว
ขณะนั้น กับตันเรืออังกฤษ ชาล์ส เอลเลียต และนายวิลเลียม จอร์ดีน อยู่ที่มาเก๊าได้ประกาศลาออกจากบริษัทเพื่อเดินทางกลับอังกฤษ
เอเลียตพยายามทุกวิถีทางทั้งติดสินบนและใช้กำลังข่มขู่แต่ไม่เป็นผล
หลินบีบบังคับทางอังกฤษโดยการดึงคนงานทั้งหมดของจีนออกจาโรงงานของอังกฤษ แต่ทางอังกฤษก็ไม่ยอมออกจากโรงงาน
เมือเอเลียตถูกบีบบังคับ จึงแสดงความรับผิดชอบ แต่เห็นจะเป็นการตอบโต้ที่หลินก็คาดไม่ถึงโดยการรับซื้อฝิ่นทั้งหมดจากพ่อค้าชาวอังกฤษที่อยู่ในกวางตง และทำหนังสือไปบอกแก่หลิน แจ้งจำนวนฝิ่นทั้งหมดที่มีอยู่ คือ 20,283 หีบ ราคา กว่า สองล้านปอนด์ ส่งมอบให้หลินเพื่อนำไปทำลาย แต่การนี้เอเลียต ได้ทำการโอนฝิ่นทั้งหมดเป็นของรัฐบาลอังกฤษ
หลินทำการทำลายฝิ่น หลินพยายามกวาดล้างให้ถึงต้นต่อคือแหล่งปลูกฝิ่นหรือที่อินเดีย พยายามหาแหล่งข่าวการขนฝิ่น และมีหนังสือถึงพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งอังกฤษ เพื่อให้อังกฤษยุติการค้าและโรงงานผลิตฝิ่น แต่จดหมายไม่ถูกเปิดอ่าน
เอลเลียต หลังจากที่ทำสัญญาส่งฝิ่นแล้วเขาออกคำสังให้ชาวอักฤษรวมทั้งคนในบังคับอังกฤษออกจากกว่างตงทั้งรวมทั้งให้นำรือสินค้าทั้งหมดออกจากแม่น้ำเพิร์ลรวมทั้งมาเก๊า และฮ่องกง ด้วย ทั้งนี้เพื่อให้พ่อค้าชาวจีนเห็นเป็นจริง และรอคำตอบจากลอนดอน
เมื่ออังกฤษถอนตัวออกไปแล้วราคาฝิ่นถีบตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้มีการลักลอบขนฝิ่นมาขาย
เกิดเหตุการณืลูกเรืออังกฤษชกต่อยกับคนจีน ทำให้คนจีนถึงแก่ความตาย ซึ่งกามกฎหมายกว่างตงต้องขึ้นศาลจีน แต่เอลเลียตไม่ยอม เอลเลียตได้พิพากษาโดยใช้กฎหมายอังกฤษ ให้จำคุกตามโทษานโทษทั้งหกคนและสุดท้ายได้รับการปล่อยตัว พ้นผิดทังหมด ทำให้หลิน..ไม่พอใจ
จากกรณีนี้หลินจึงนำเอามาเป็นขอ้อ้างเพื่อจะควบคุมชาวต่างชาติ เชาสั่งให้ชาวอังกฤษหยุดทำการค้าขายที่กว่างตง …
หลังจากเหตุการนี้เกิดการปะทะทางเรื่อระหว่างจีนกับอังกฤษ การกล่าวอ้างของเอลเลียตที่เป็นฝ่ายเปิดฉากยิง คือนาทหารจีนไม่มีอำนาจที่จะอนุญาตให้ซื้ออาหารและน้ำได้นอกจากหลินคนเดียว .. การเปิดศึกครั้งนี้จึงกลายเป็นสงครามฝิ่นไปในที่สุด
ในปี พ.ศ. 2385 กองทัพอังกฤษบุกเข้ายึดเมืองนานกิงได้ กระทั้งในทีสุดจีนจำเป็นที่ต้องเจรจาสงบศึกกับอังกฤษ ที่เมือนานากิงนั้เอง และยอมเซ็นสันธิสัญญาที่ชาวจีนถือเป็นความอัปยศที่สุด คือ สนธิสัญญานานกิง
เนื้อหาในสนธิสัญญาฉบับนี้ อังกฤษบังคับให้จีนเปิดเมืองท่าตามชายทะเลเพื่อค้าขายอับอังกฤษ รวมทั้งขอสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเหนือดินแดนจีน คนที่ถือสัญชาตอังกฤษ จะไม่ต้องขึ้นศาลจีน รวมทั้งสิทธิใดๆ ที่อังกฤษได้ ต่างชาติอื่นๆ ก็ต้องได้ด้วยแม้ว่าเนื่อหาของสนธิสัญญานี้ จีนจะเสียเปรียบอย่างมาก แต่จีนก็จำต้องเซ็นสัญญา..
Cold War
สงครามเย็น เป็นการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มประเทศ 2 กลุ่มที่มีอุตมการณ์ทางการเมืองและระบอบการเมืองต่างกัน เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายหนึ่งคือ สหภาพโซเวียต เรียกว่า ค่ายตะวันออก ซึ่ง ปกครองด้วยระบอบคอมมิงนิสต์ อีกฝ่ายหนึ่ง คือ สหรัฐอเมริกา และกลุ่มพันธมิตร เรียกว่า ค่ายตะวันตก ซึ่งปกครองด้วยระบอบเสระประชาธิไตย ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวทั้งสองฝ่ายได้แข่งขันในด้านการสะสมอาวุธ เทคโนโลยีอวกาศ "การจารกรรม" เศรษฐกิจ และ “สงครามตัวแทน”
จารกรรม คือการล้วงความลับจากคู่แข่งหรือศัตรูเพื่่อให้เปรียบทางการทหาร การเมือง หรือเศรษฐกิจ
จารชน คือ บุคคลที่รัฐส่งไปล้วงความลับจากศัตรูหรือฝ่ายที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นศัตรู โดยเฉพาะอย่างยิ่งความลับทางการทหาร แต่แาจรวมถึงการล้วงความลับจากตางบริษัท เรียกว่า จารกรรมทางอุตสาหกรรม..
โดยทั่วไป จารกรรมกระทำโดยพลเมืองของประเทศเป้าหมาย ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการกบฎ หลายประเทศถือว่าจารกรรมเป็นความผิดอาญา ต้องได้รับโทษประหารชีัวิตหรือจำคุตลอดชีวิต เช่น สหรัฐอเมริกากำหนดห้จารกรรมเป็นความผิดอาญาขั้นอุกฤษฎ์โทษ สหราชอาณาจักร จาชนต่างชาติจะได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 14 ปีภายใต้ พระราชบัญญัติความลับของราชการ..
ในระหว่างสงครามเย็น มีความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับจารกรรมบ่อยครั้ง ส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับความลับด้านอาวุธนิวเคลียร์ ปัจจุบันใช้สายลับกับการค้ายาเสพติดโดยผิดกฎหมาย และ การก่อการร้าย
การจารกรรม เป็นกิจกรรมทางการข่าวที่มีอันตรายต่อชาติที่ถูกกระทำทั้งในยามปกติและยามสง
คราม ฝ่ายที่ถูกระทำจังต้องใช้ความพยายามอยางเต็มที่ในการต่อต้าน ทำลายล้างข่ายงานจารกรรมนั้นให้หมดสิ้นไป ซึ่งเป็นสายงานด้านการต่อต้านข่าวกรอง
สงครามเกาหลี
เป็นความขัดแย้งทางทหารระหว่างสาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี(เกาหลีเหนือ)กับสาธารณรัฐเกาหลีใต้ โดย เกาหลีเหนือได้รับการสนับสนุนทางการทหารจากสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหภาพโซเวียต ส่วนเกาหลีใต้ได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนจกาองค์การสหประชาชาติ
สงครามครั้งนี้เป็นผลมาจากการแบ่งแยกประเทศเกาหลีงการเมืองด้วยข้อตกลงของฝ่ายสัมพันธมิตรในการปลดอาวุธกองทัพญี่ปุ่นเมือสิ้นสุดสงครามมหาเอเซียบุรพา กล่าวคือ บริเวฯคาบสมุทรเกาหลีอยู่ภายใต้กาปกครองของจักรวรรดิญีปุ่น กระทั้งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญีปุ่นประกาศยอมจำนนต่อสหรัฐอเมริก คณะผู้บริหารญีปุ่นฝ่ายอิมริกได้แบ่งให้กองทัพสหรัฐอเมริกาเข้าปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในเขตตั้งแต่เส้นขนานที่ 38 องศาเหนือลงมาส่วนบริเวฯที่อยู่เหนืเส้นขนานที่ 38 องศาเหนือนั้นอยู่ในความควบคุมของสหภาพโซเวียต
ความล้มเหลวในการจัดการเลือกตั้งอยางเสรีในคาบสมุทรเกาหลีทำให้ความแตกแยกของประเทศเกาหลีทั้งสองฝั่งร้าวลึกผระเทศเกหลีฝั่งเหนือได้จัดตังรัฐบาลคอมมิวนิสต์ เส้นขนานที่ 38 องศาเหนือ ได้กลายเป็นเส้นแย่งแดนระหว่างเกาหลีโดยปริยาย…
สงครามเวียดนาม
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ขบวนการเวียดมินห์ ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยโฮจิมินห์ เป็นผู้นำระยะแรก การดำเนินการนั้น เพียงเพื่อหวังว่าจะขับไล่ญี่ปุ่นออกจากประเทศไปเท่านั้น แต่ในปีค.ศ. 1944 พวกเวียดมินห์ตังกองปัฐชาการกองโจรขึ้นได้โดยได้รับการสนับสนุนกำลังและอาวุธจากสหรัฐฯ
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน คือ ญี่ปุ่นได้ปลดอาวุธและขังทหารฝรั่งเศสประจำอินโดจีน จึงเป็นเหตุทำให้ฝรั่งเศสนั้นเสียศักดิ์ศรีมาก เพราะขณะเกิดเรื่องนี้ ญี่ปุ่นกำลังจะแพ้สงคราม ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ขาวเวียนามกลุ่มต่างๆ ดิ้นรนเพื่อเอกราช…
กลุ่มเวียดมินห์นั้นได้สั่งให้ประชาชนต่อต้านญี่ปุ่น ได้ผลดีมากในทางภาคเหนือของประเทศ โดยมีเจตนาแอบแฝงคือป้งกันไม่ให้ฝรั่งเศสกลับมามีอำนาจในเวียดนามอีก จัรพรรดิเบาไต๋ได้สละตำแหน่งประมุข แล้วจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว และวประกาศเอกราชในเวลาต่อมา ความสำเร็จในการยึดอำนาจในครั้งนี้ทำให้พวกคอมมิวนิสต์ที่ปะปนอยู่ในหมู่ชาตินิยมเวียนามสามารถตั้งตนในหมู่คณะชั้นนำของขบวนการปฏิวัติได้อีก
มหาอำนาจผู้ชนะสงครามได้เข้ายึดครองเวียดนาม โดยมีอังกฤษเข้ายึดครองภาคใต้ของเวียดนาม จีนคณะชาติยึดครองทางภาคเหนือของเวียดนาม สำหรับฝรั่งเศษมีทหารเล็กน้อยได้มาถึงไซง่อน แล้วไปยึดตึกที่ทำการของรัฐบาล รื้อฟื้นอำนาจของฝรั่งเศสใหม่
โฮจิมินห์พยายามที่จะเอาชนะฝรั่งเศส โดยเล็งเห็นความเสียเปรียบ จึงได้ทำการรวบรวมชาวเวียดนามที่มีหัวชาตินิยมไปเป็นพวก และเพื่อเป็นการปกปิดการหนุนหลังคอมมิวนิสต์ พร้อมกับแสดงให้ประชาชนเห็นว่าเป็นขบวนการผู้รักชาติโดยสั่งยุบพรรคคอมมิวิสต์อย่างเปิดเผย และจัดตั้ง แนวแห่งชาติ ขึ้นแทน ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์นั้นได้กลายเป็นองค์กรใต้ดิน ดำนินการอย่างลัลๆ ต่อมาเป็นเวลานาน…
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555
Three Kingdom
กวนอูแทนคุณ
เมือครั้งโจโฉยกทัพเรือเพื่อจะมาตีเกงจิ๋ว ในครั้งนั้นซุนกวน และจิ่วยี่รวมถึงขุนนางทั้งหลายจะไม่ทำการสู้รบ ยังตกลงความมิได้ ทางฝ่ายเล่าปี (จ๊กก๊ก) เห็นว่าหากซุนกวนยอมสวามิภักดิ์แผ่นดินย่อมตกเป็นของโจโฉ จึงสงขงเบ้งไปหาซุนกวนและจิวยี่
ขงเบ้งต้องเจรจาและเกลี้ยกล่อมพร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่าหากสวามิภักดิ์ต่อโจโฉเท่ากับยกแผ่นดินในโจโฉ กระนั้นก็ไม่เป็นผล ขงเบ้งจึงว่าแก่ซุนกวนและจิวยี่เป็นทำนองว่า ถ้าเช่นนั้นก็ยก แม่นางเกี้ยวทั้งสอง ซึ่งมีรูปงามและเป็นเมียของซุนกวนและจิวยี่ให้โจโฉจึงหมดเรื่อง กล่าวต่อว่าอันที่จริงโจโฉต้องการแผ่นดินเกงจิ๋ว ที่ยกทัพมาหมายจะได้แม่นางสองเกี้ยวเท่านั้น เมือซุนกวนและจิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงตัดสินใจทัพสงครามกับทัพโจโฉ…
เมือกองทัพเรือโจโฉ บุกเข้ามาจิวยี่เป็นแม่ทัพเข้าต่อสู้กับทัพโจโฉ ด้วยทัพโจโฉมีลี้พลจำนวนมากและมีทหารเอกเป็นจำนวนมากจึงมิหาวิธีที่จะไปรบอย่างไร จึงผูกอุบายเชิญขงเบ้งว่าจะปรึกษาการสงครามแก่โจโฉ โดยให้พี่ชายขงเบ้ง คือ จูกัดกิ๋นมาเชิญโจโฉไปยังกองทัพ
โจโฉรู้ว่าการครั้งนี้ร้ายมากว่าดี แต่จำต้องไป โจโฉบอกวิธีการเอาชนะกองทัพเรือแก่จิวยี้ว่า ไฟและลม ให้เตรียมไฟไว้ด้วยขงเบ้งได้ทำอุบายให้ทัพเรือโจโฉโยงเรือติดกัน หากลำหนึ่งไหม้ไฟก็จะลามไปยังลำอื่นๆ ที่นี้ก็เหลือเพียงลมซึ่งต้องทำพิธีเรียกลม อันที่จริงขงเบ้งมีความรู้ทางภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ และพยากรณ์ศาสตร์จึงรู้ว่าเดือนใด ปีใด และวันใดลมสลาตันจะพัดมา เมือใกล้ถึงวันทีลมสลาตันจะมา จึงให้จัดทำพิธีและหาทางหนีทีไล่ …
เมือเหตุการณ์เป็นไปดังนี้ทัพเรือโจโฉจึงแตกพ่ายให้แก่จิวยี่
ซุนกวนซึ่งมาตั้งทัพอยู่ ครั้นเห็นแสงเพลิงไหม้ทัพโจโฉจึงรู้ว่าจิวยยี้ชนะกองทัพโจโฉ จึงให้ลกซุนจุดเพลิงขึ้นเป็นสัญญาณ โจโฉและทหารน้อยใหญ๋พากันหนี พอเห็นว่าไกลจากแสงไฟแล้วจึ่งรู้สึกโล่งใจ
โจโฉหัวเราะ สามครั้ง เหตุที่โจโฉหัวเราะ คือ เมื่อถึงที่ที่จะให้ทหารมาซุ่มโจมตี หรือที่คับขันโจโฉมิเห็นทหารจึงหยันความคิดของขงเบ้งและจิวยี่ แต่เมื่อสิ้นเสียงหัวเราะของโจโฉคราใดทหารฝ่ายตรงข้ามจำต้องมาล้อมจับโจโฉทุกทีไป
ในครั้งที่ หนึ่ง จูล่งเป็นผู้มาทำการดักจับโจโฉหนีไปได้
ในครั้งที่ สอง เตียวหุยทำการจับตัวโจโฉ และโจโฉหนีไปได้ ทหารทั้งปวงแตกหนีไป
ในครั้งที่ สาม กวนอูจับตัวได้ และหลีกทางให้โจโฉทำการหลบหนี
“ฝ่ายกวนอูครั้นเปิดทางให้โจโฉแล้ว จึงคุมทหารกลับมาถึงหน้าค่ายแฮเค้าพร้อมกันกับเตียวหุย จูล่ง ในขณะนั้นเตียหุย จูล่งได้ทหารแลม้ากับเครื่องศัสตราวุธสิ่งทของต่างๆ เข้าไปให้ขงเบ้ง ขงเบ้งครั้นรู้ว่ากวนอูมาถึงหน้าค่ายจึพาเล่าปี่ทำเป็นออกไปรับ แล้วว่าแก่กวนอูว่า
ขงเบ้ง: ตัวเราว่าท่านผู้มีน้ำใจช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินไปได้ศีรษะโจโฉซึ่งเป็นศัตรูราชสมบัติมา เราออกมารับท่านสด้วยความยินดี (กวนอูได้ฟังดับนั้นก็นิ่งอยู่ )
ขงเบ้ง: ท่านน้อยใจเราหรือว่าไม่ไปรับถึงกลางทาง แล้วว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เหตุใดจึงไม่บอกข่าวให้เรารู้ก่อนจะได้ไปรับกวนอู ..
กวนอู: ข้าพเจ้าจะมารับโทษขงเบ้งแกล้งถามว่า ท่านไปไม่พบโจโฉ จะกลับมาเอาศีรษะเราหรือ ..
กวนอู :ข้าพเจ้าไปนั้นพบโจโฉเหมือนคำท่าน แต่ข้าพเจ้าหามีผีมือไม่ โจโฉจึงหนีไปได้
ขงเบ้ง(หัวเราะ): อันตัวโจโฉหนีไปได้นั้นก็ตามทีเถิด แต่ท่านยังจับทหารมาได้บ้างหรือไม่
กวนอู: ถึงทหารโจโฉนั้นข้าพเจ้าก็จับไม่ได้
ขงเบ้ง(ทำเป็นโกรธ):ตัวท่านไปพบโจโฉแล้ว หากคิดถึงคุณเขาอยู่ จึงมิได้เอาศรีษะมานั้นโทษท่านใหญ๋หลวงนัก ซึ่งสัญญาไว้แก่เรานั้นลืมเสียแล้วหรือ
กวนอู:ข้าพเจ้าสัญญาไว้ว่า ถ้าพบโจโฉแล้วมิได้เอาศีรษะมานั้นก็จะให้ศรีษะข้าพเจ้าแทนตามสัญญา
แล้วชักกระบี่ออกมาจะตัดศรีษะให้ขงเบ้ง ขงเบ้งเห็นกวนอูดังนั้นก็เข้ายุคมือไว้แล้ว
ขงเบ้ง:ซึ่งเราใช้ทานไปทั้งนี้ปรารถนาจะให้ท่าแทนคุณโจโฉ มิได้คิดจะเอาโทษท่าน ซึ่งท่านจะให้ศีรษะเราตามสัญญานั้นก็ขอบใจที่มำได้เสียความสัตย์ สมเป็นชาติทหาร …”
เมือครั้งโจโฉยกทัพเรือเพื่อจะมาตีเกงจิ๋ว ในครั้งนั้นซุนกวน และจิ่วยี่รวมถึงขุนนางทั้งหลายจะไม่ทำการสู้รบ ยังตกลงความมิได้ ทางฝ่ายเล่าปี (จ๊กก๊ก) เห็นว่าหากซุนกวนยอมสวามิภักดิ์แผ่นดินย่อมตกเป็นของโจโฉ จึงสงขงเบ้งไปหาซุนกวนและจิวยี่
ขงเบ้งต้องเจรจาและเกลี้ยกล่อมพร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่าหากสวามิภักดิ์ต่อโจโฉเท่ากับยกแผ่นดินในโจโฉ กระนั้นก็ไม่เป็นผล ขงเบ้งจึงว่าแก่ซุนกวนและจิวยี่เป็นทำนองว่า ถ้าเช่นนั้นก็ยก แม่นางเกี้ยวทั้งสอง ซึ่งมีรูปงามและเป็นเมียของซุนกวนและจิวยี่ให้โจโฉจึงหมดเรื่อง กล่าวต่อว่าอันที่จริงโจโฉต้องการแผ่นดินเกงจิ๋ว ที่ยกทัพมาหมายจะได้แม่นางสองเกี้ยวเท่านั้น เมือซุนกวนและจิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงตัดสินใจทัพสงครามกับทัพโจโฉ…
เมือกองทัพเรือโจโฉ บุกเข้ามาจิวยี่เป็นแม่ทัพเข้าต่อสู้กับทัพโจโฉ ด้วยทัพโจโฉมีลี้พลจำนวนมากและมีทหารเอกเป็นจำนวนมากจึงมิหาวิธีที่จะไปรบอย่างไร จึงผูกอุบายเชิญขงเบ้งว่าจะปรึกษาการสงครามแก่โจโฉ โดยให้พี่ชายขงเบ้ง คือ จูกัดกิ๋นมาเชิญโจโฉไปยังกองทัพ
โจโฉรู้ว่าการครั้งนี้ร้ายมากว่าดี แต่จำต้องไป โจโฉบอกวิธีการเอาชนะกองทัพเรือแก่จิวยี้ว่า ไฟและลม ให้เตรียมไฟไว้ด้วยขงเบ้งได้ทำอุบายให้ทัพเรือโจโฉโยงเรือติดกัน หากลำหนึ่งไหม้ไฟก็จะลามไปยังลำอื่นๆ ที่นี้ก็เหลือเพียงลมซึ่งต้องทำพิธีเรียกลม อันที่จริงขงเบ้งมีความรู้ทางภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ และพยากรณ์ศาสตร์จึงรู้ว่าเดือนใด ปีใด และวันใดลมสลาตันจะพัดมา เมือใกล้ถึงวันทีลมสลาตันจะมา จึงให้จัดทำพิธีและหาทางหนีทีไล่ …
เมือเหตุการณ์เป็นไปดังนี้ทัพเรือโจโฉจึงแตกพ่ายให้แก่จิวยี่
ซุนกวนซึ่งมาตั้งทัพอยู่ ครั้นเห็นแสงเพลิงไหม้ทัพโจโฉจึงรู้ว่าจิวยยี้ชนะกองทัพโจโฉ จึงให้ลกซุนจุดเพลิงขึ้นเป็นสัญญาณ โจโฉและทหารน้อยใหญ๋พากันหนี พอเห็นว่าไกลจากแสงไฟแล้วจึ่งรู้สึกโล่งใจ
โจโฉหัวเราะ สามครั้ง เหตุที่โจโฉหัวเราะ คือ เมื่อถึงที่ที่จะให้ทหารมาซุ่มโจมตี หรือที่คับขันโจโฉมิเห็นทหารจึงหยันความคิดของขงเบ้งและจิวยี่ แต่เมื่อสิ้นเสียงหัวเราะของโจโฉคราใดทหารฝ่ายตรงข้ามจำต้องมาล้อมจับโจโฉทุกทีไป
ในครั้งที่ หนึ่ง จูล่งเป็นผู้มาทำการดักจับโจโฉหนีไปได้
ในครั้งที่ สอง เตียวหุยทำการจับตัวโจโฉ และโจโฉหนีไปได้ ทหารทั้งปวงแตกหนีไป
ในครั้งที่ สาม กวนอูจับตัวได้ และหลีกทางให้โจโฉทำการหลบหนี
“ฝ่ายกวนอูครั้นเปิดทางให้โจโฉแล้ว จึงคุมทหารกลับมาถึงหน้าค่ายแฮเค้าพร้อมกันกับเตียวหุย จูล่ง ในขณะนั้นเตียหุย จูล่งได้ทหารแลม้ากับเครื่องศัสตราวุธสิ่งทของต่างๆ เข้าไปให้ขงเบ้ง ขงเบ้งครั้นรู้ว่ากวนอูมาถึงหน้าค่ายจึพาเล่าปี่ทำเป็นออกไปรับ แล้วว่าแก่กวนอูว่า
ขงเบ้ง: ตัวเราว่าท่านผู้มีน้ำใจช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินไปได้ศีรษะโจโฉซึ่งเป็นศัตรูราชสมบัติมา เราออกมารับท่านสด้วยความยินดี (กวนอูได้ฟังดับนั้นก็นิ่งอยู่ )
ขงเบ้ง: ท่านน้อยใจเราหรือว่าไม่ไปรับถึงกลางทาง แล้วว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เหตุใดจึงไม่บอกข่าวให้เรารู้ก่อนจะได้ไปรับกวนอู ..
กวนอู: ข้าพเจ้าจะมารับโทษขงเบ้งแกล้งถามว่า ท่านไปไม่พบโจโฉ จะกลับมาเอาศีรษะเราหรือ ..
กวนอู :ข้าพเจ้าไปนั้นพบโจโฉเหมือนคำท่าน แต่ข้าพเจ้าหามีผีมือไม่ โจโฉจึงหนีไปได้
ขงเบ้ง(หัวเราะ): อันตัวโจโฉหนีไปได้นั้นก็ตามทีเถิด แต่ท่านยังจับทหารมาได้บ้างหรือไม่
กวนอู: ถึงทหารโจโฉนั้นข้าพเจ้าก็จับไม่ได้
ขงเบ้ง(ทำเป็นโกรธ):ตัวท่านไปพบโจโฉแล้ว หากคิดถึงคุณเขาอยู่ จึงมิได้เอาศรีษะมานั้นโทษท่านใหญ๋หลวงนัก ซึ่งสัญญาไว้แก่เรานั้นลืมเสียแล้วหรือ
กวนอู:ข้าพเจ้าสัญญาไว้ว่า ถ้าพบโจโฉแล้วมิได้เอาศีรษะมานั้นก็จะให้ศรีษะข้าพเจ้าแทนตามสัญญา
แล้วชักกระบี่ออกมาจะตัดศรีษะให้ขงเบ้ง ขงเบ้งเห็นกวนอูดังนั้นก็เข้ายุคมือไว้แล้ว
ขงเบ้ง:ซึ่งเราใช้ทานไปทั้งนี้ปรารถนาจะให้ท่าแทนคุณโจโฉ มิได้คิดจะเอาโทษท่าน ซึ่งท่านจะให้ศีรษะเราตามสัญญานั้นก็ขอบใจที่มำได้เสียความสัตย์ สมเป็นชาติทหาร …”
Greco - Persian Wars
สงคราม เป็นสมบัติของมนุษยชาติ เป็นสิ่งคู่กับอารยธรรม ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จวบจนปัจจุบัน และสู่อนาคต ไม่มีจบสิ้น อุบายการทำสครามจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยก็คือ อาวุธยุททโธปกรณ์ และอาวุธยุทโธปกร์นั้นก็วิวัตณน์ไปตามอารยธรรมและเทคโนโลยีของของมนุษยชาติ ซึ่งจะพิจารณาได้จากสงครามหรือการรบตามภูมิภาคต่างๆ ในอายุของเรา….
การใช้กำลังเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ เป็นเครื่องมือของการดำเนินความสัมพันธ์แบบสุดท้าย หลังจากวิธีการแบบอื่นๆ ไม่ได้ผลแล้วแต่ในบางยุคบางสมัย ก็มีผู้นำที่นิยมใช้สงครามเป็นเสมือน “เกมส์(พระราชา)”เท่านั้น
ร้อยละแปดสิบถึงเก้าสิบของกิจกรรมของมนุษยชาตินั้น ออกมาในรูปของการใช้กำลัง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หมายความว่า มนุษย์ใช้เวลาไปในการสู้รบ มากว่าเวลาที่เอาไปใช้เพื่อการสร้างสรรค์ สิ่งประดิษย์อันยิ่งใหญ่ของมนุษย์จำนวนมาก เกิดขึ้นด้วยแรงผลักดันในความพยายามที่จะทำลายล้างกัน…
เทพแห่งสงคราม
สงคราม กรีก-เปอร์เซีย คือสงครามของพวกกรีกกับชาวเปอร์เซียที่บุกมาจากทางฝั่งอาหรับเข้ามาทางตอนเหนือ ประวัติศาสตร์ได้จดบันทึกวีรกรรมของชาวสปาร์ตา Spsrta ที่ไปรบขวางพวกเปอร์เซียที่มีเป็นแสนด้วยกำลังคนไม่กีพันที่ช่องเขา”เทอร์โมพีเล”หยุดพวกเปอร์เซียได้หลายวันก่อนถูกทำลาย ถ่วงเวลาให้ชาวกรีกมีเวลาตั้งตัวต่อกรกับชาวเปอร์เซียได้สำเร็จในภายหลัง
สงครามเปโลโปนีเซีย สงครามกลางเมือง ระหว่างรัฐของชาวเอเธนส์มหาอำราจทางทะเลกับชาวสปาต้าร์
ชาวสปาร์ตาได้ขอความช่วยเหลือจากพวกเปอร์เซียให้ช่วยต่อเรือสู้กับชาวเอเธนส์ ตัดเสบียงทางทะเลกระทั่งชาวเอเธนส์อดอย่ากยอมแพ้ไปในที่สุด… หลังจากสงครามครั้งนี้รัฐกรีกก็เริ่มทำสงครามกันเรื่อยมาทำให้เสื่อมอำนาจลงอย่างรวดเร็ว และการมาถึงของชาว มาซีดอน
อเล็กซานเดอร์มหาราช
ในขณะที่รัฐของกรีกแตกกระจัดกระจาย ชาวมาซีดอนทางตอนเหนือก็เรืองอำนาจขึ้นมา ฟิลลิปป์ เป็นผู้ที่เริ่มสร้างฐานอำนาจนำกองทัพบุกรัฐกรีกขึ้นเป็นผู้นำสมาพันธ์กรีกกุมอำนาจไว้ในมือ
หลังจากสงครามกับพวกเปอร์เซียชาวกรีกก็ยังแค้นไม่หาย พยายามอย่างย่งที่จะบุกเข้าไปบ้าง ฟิลลิปป์สร้างกองทัพของเขาบ้างหลังจากที่รวมกรีกไว้ได้ แต่ก็มาถูกสัหาร อเล็กซานเดอร์ลูกชายเพียงคนเดียวขึ้นครองอำนาจ นำทัพสู้กับชาวเปอร์เซียบุกลงไปถึง”อียิปต์” จนชาวเปอร์เซียที่เคยรุ่งเรืองมากที่สุดอาณาจักรหนึ่งต้องมาเสื่อมอำนาจไป…
กรีก ในสมัยก่อนคริสตศักราช 600-500ปี กรีกยังไม่ได้รวมกันเป็นประเทศ หรือชาติรัฐ แต่แยกกัน เป็น นครรัฐ ต่างเป็นอิสระแก่กัน ในคาบสมุทรกรีก แต่ละรัฐมีคุณลักษณะ ความสามารถโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไป
เปอร์เซีย มีแสนยานุภาพ และยิ่งใหญ่มาก สามารถปราบปรามและยึดครองอาณาจักรต่าง ๆ ไว้ในอำนาจ เป็นที่ครั้นคร้ามยำเกรงแก่กลุ่มชาติต่าง ๆ ในย่ามนั้น ยุคนั้น โดยทั่วไป มีอาณาเขตกว้างขวาง
สงครามกรีก-เปอร์เซีย ครั้งที่ 1
ในปี 492 ก่อนคริสตกาล กษัตริย์ดาริอุสที่ 1 แห่งเปอร์เซีย ให้มาร์โดนิอุส เป็นแม่ทัพ ยกกองทัพข้ามช่องเฮิลสปอนต์..และเรือเดินทัพมายังคาบสมุทรกรีกถูกพายุใหญ่ เรื่อส่วนใหญ่อัปปางจึงต้องเลิกทัพกลับ เมือชนะด้วยกองทัพไม่ได้กษัตริย์ดาริอุสที่ 1 จึงส่งคณะทูตไปยังรัฐต่างๆ ของกรีกเจรจาให้ยอมส่งส่วย แต่มีบางรัฐไม่ยอม อาทิ เอเธนส์ สปาร์ตาร์ เป็นต้น
สงครามกรีก-เปอร์เซีย ครั้งที่ 2
สงครามมารรธอน
ในฤดูร้อน 490 ปีกอ่นคริสตกาล กษัตริย์ดาริอุสที่ 1 จึงให้ ดาติส และ อาร์ตาเปอร์เนส ซึ่งเป็นหลาน เป็นแม่ทัพยกทัพไปปราบรัฐกรีก
โดยปกติ รัฐต่างๆ ของกรีกมีจะรบพุ่งกันตามเขตแดนเสมอ คาดกันว่า เมื่อได้รับข่าวศึกนั้น รัฐเอเธนส์จะสามารถรวบรวมทหารและจัดเป็นกองทัพที่สามาถทำการรบได้ไม่เกินหนึ่งหมืน คน
ความช่วยเหลือจากรัฐอื่นๆ
สปาร์ตา สัญญาว่าจะช่วยรัฐเอเธนส์สู้รบ แต่เมือกองทัพเปอร์เซียขึ้นฝั่งที่อ่าวอาราธอนนั้น เป็นวันขึ้น 6 คำ ซึ่งตามความเชื่อของชนชาติกรีกยุคนั้นต้องรอให้พระจันทร์เต็มดวงก่อน จึงจะเดินทัพได้ สปาร์ตาจึงยังไม่สามารถส่งกองทหารไปช่วยได้
พลาตาเอ รัฐเล็กๆ ในแค้วนโบเอเตีย ได้ส่งกำลังทหารที่มีอยู่ไปช่วรัฐเอเธนส์ กำลังทหารของรัฐพลาตาเอที่ส่งไปช่วยรบที่ทุ่งมาราธอนนี้ มีจำนวน 1,000 คน ถึงแม้ว่ากำลังทหารจากพลาตาเอจะมีจำนวนเพียงน้อยนิด เทียบไม่ได้กับกองทัพมหาศาลของฝ่ายรุกราน แต่เก็มไปด้วยความมุ่งมั้น และจิตวิญญาณที่จะมาช่วยเหลือในยามคับขัน ทำให้ชาวเอเธนส์รู้สึกว่า ไม่ต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว
ทุ่งมาราธอน อยุ่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นอัตติกา เหนืออ่าวมาราธอน ห่างจากกรุงเอเธนส์ประมาณ 25 ไมล์ มีลักษณะเป็นครึ่งวงกลม จกาชายฝั่งเป็นที่ราบไปถึงเชิงเขาระยะประมาณ 6 ไมล์ กว้างประมาณ 2 ไมล์ สองข้างกระหนาบด้วย ลำน้ำ ภูเขา และหนองน้ำ รอบทุ่งราบนี้เป็นป่าสน มะกอก ซีดาร์ และไม้พุ่มเตี้ยมีกลิ่นหอ
ม
ความมุ่งหมายของกองทัพทั้งสองที่เผชิญหน้ากันอยู่นั้น ฝ่ายหนึ่ง ต้องการชัยชนะเพื่อแผ่ขยายอำนาจ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง ต่อสู้เพื่อความอยู่รอด เมื่อกาลเวลาผ่านไป ปรากฎว่า ผลของการรบคราวนี้ไม่ได้เป็นแต่เพียงการพ่ายแพ้ หรือชัยชนะของกองทัพ เท่านั้น แต่มีผลไปถึงความเจริญก้าวหน้า และอารยธรรมของมนุษยชาติมาตราบปัจจุบัน
กรีก กองทัพเล็กๆ มีทหารราบไม่เกิน 11,000 ไม่มีพลธนู ไม่มีทหารม้า ต้งอค่ายอยู่บนเนินเขา สามารถมองเห็นการเคลื่อไหวของข้าศึกได้ทุกระยะ
เปอร์เซีย กองทัพมีรี้พลมากมายมหาศาล ถึง 250,000 คน พลากหลายเชื่อชาต ในเครื่องแต่งกายหลากหลายสีสัน กางเต็นท์เรียงรายกันอยู่รอบอ่าวมาราธอน
กองทัพเปอร์เซียนอกจากจะแตกต่างกันในเรื่องดังกล่าวแล้วยังแตกต่างกันในเรื่อง ภาษา วัฒนธรรม ศรัทธา ความเชื่อ และหลักนิยมในทางทหาร แต่กองทัพเปอร์เซียนั้นคุ้นเคยกับชัยชนะ คือเป็น กองทัพที่ไม่รู้จักแพ้
การวางแผนการรบ เนื่องจากกำลังของกรีกน้อยกว่ายี่สิบห้าเท่าจึงต้องพิจารณาแผนอย่างมาก กลุ่มหนึ่งเห็นว่าควรตั้งค่ายอยู่บนที่สูง ตามทานการบุกโจมตี รอกองกำลังจากสปาตาร์..
อีกกลุ่มเห็นว่า ควรรีบเข้าโจมตีก่อนที่ฝ่ายเปอร์เซียจะพร้อมเต็มที่ แต่การโจมตีก่อน เปจะเป็นการเสียงอย่างสูง ฉะนั้น กรีกจึงต้องพยายามเอาชนะทางปีกให้ได้ก่อน ก่อนที่ส่วนกลางจะปราชัย หรือก่อนถูกทหารม้าเปอร์เซียโอบหลัง และเมือเอาชนะด้านปีกได้แล้ว รีบโอบเขช้าด้านหลังกองทัพเปอร์เซีย
ส่วนทางฝ่ายเปอร์เซีย เป็นกองทัพที่ไม่รู้จักแพ้และมีกำลังมากกว่า จึงพิจารณาได้ว่าแทบจะไม่มีการวางแผนเป็นพิเศษ
ฝ่ายเปอร์เซียถูกจู่โจมด้วยการเข้าตีในรูปแบบที่ไม่เคยประสบมากอ่น กองทัพอันใหญ่โตถูกจำกัดให้อยู่ในพ้นที่แคบ ไม่สามารถใช้กำลังรบให้เป็นประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ จึงปราชัยอยางง่ายดายตามหลักฐานว่าต้องสูญเสียทหารเป็นจำนวน 6,400 คนส่วนที่เหลือถอยลงเรือกลับไปได้ ผ่ายกรีก สูญเสีย 192 คน ซึ่งชัยชนะที่ได้รับจากทุ่งมาราธอนในวันนั้น ทำให้ขวัญและกำลังใจของฝ่ายกรีกเข้มแข้ง เลิกกลังความยิ่งใหญ่จากทางฝ่ายเปอร์เซีย
สงครามกรีก-เปอร์เซีย ครั้งที่ 3
ในปี 481 ก่อนคริสตกาล กองทัพเปอร์เซีย เคลื่อนทัพจากเอเซียไมเนอร์ โดยใช้ทางเรื่อในครังแรก เรือรบ 600 ลำ สนับสนุนด้วยเรืออื่นๆ อีก 3,000 ลำ ทางบกเคลื่อนทัพในครั้งที่สองเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นดังครั้งก่อนๆ
เมือฝ่ายกรีกได้รับข่าวสงคราม จึงทิ้งเรื่องบาดหมางระหว่างกัน จัดตั้งสหพันธรัฐกรีก เพื่อรวมพลังต่อต้านเปอร์เซีย
ในขั้นแรกไม่มีแผนการที่ชัดเจนที่จะสู้รบกับกองทัพเปอร์เซีย ทางเลือกที่ได้ตกลงกันคือ เคลื่อนที่ไปทางทิศเหนือ และสกันกั้นกองทัพเปอร์เซียทางบก ที่ช่องทางผ่านเทือกเขาทางเหนือ ในขณะที่ กำลังทางเรือผสมของกรีกต้องพยายามดึงกองเรือของเปอร์เซียเข้ามาในพ้อนที่จำกัด
ผู้นำสปาร์ตา “ลีโอนิดัส”นำกำลังทหารสปาร์ตา 300 คน ขึ้นเหนือไปยึดช่องเขาเทอร์โมพเล โดยรัฐต่าง ๆ ส่งกำลังมาร่วมด้วยอีก 6,000
ส่วนกองเรือพันธมิตรกรีก เลือกใช้น่านน้ำอาร์ที่มีซีอุมเป็นพื้นน้ำทำการรบ แผนของกรีกได้ผลดี ฝ่ายเปอร์เซียไม่สามารถทำอะไรได้ที่เทอร์โมพิเลได้ ฝ่ายเปอร์เซียจึงพยายามใช้กองเรือล้อมเกาะยูบัว เพื่อเป็นการสกัดกองเรือฝ่ายกรีกให้อยู่ในช่องยูบัว แต่โชคร้ายกองเรือเปอร์เซียถูกพายุทำลายอีก
การรบที่ช่องเขาเทอร์โมพิเล ลิโอนีดัสได้ต่อสู้ต้านทานทัพเปอเซียอยู่ได้หลายวัน เพราะภูมิประเทศเกื้อกูลแก่ฝ่ายตั้งรับ ทหารเปอร์เซียหาทางล้อมฝ่ายกรีกได้ทหารทั้ง 300 คนของสปาร์ตาจึงพลีชีพที่ช่องเขาเทอร์โมปิเลนั้น และกองทัพเปอร์เซียก็มุ่งสู่ เอเธนส์
การรบทางเรื่อที่ซาลามิส
ทัพเรือกรีกมีจำนวนน้อยกว่าจำเป็นที่จะต้อง “ต้อน” ทัพเรือเปอร์เซียเข้าที่แคบ เพื่อจะใช้ “ความสามารถในการรบชดเชยจำนวนที่น้อยกว่า” เพื่อให้แผ่นสำเร็จ จึงทำการเปิดช่องโหว่ทางด้านหลังไม่มีการปอ้งกันระวัง พร้อมปล่อยข่าว ว่ากองเรือกรีกเกรงกลังเปอร์เซียและไม่ลงรอยกันและยังหาทางหนีทัพ เมือข่าวไปเข้าหู้ฝ่ายตรงข้ามพร้อมกับรูปการที่ไม่มีการระวังหลัง ฝ่ายเปอร์เซียจึงเห็นเป็นการจริง จึงเร่องกองเรือเปอร์เซียเข้าบทขยี้กองเรือกรีก…ติดกับ เมือกองเรือที่ยิ่งใหญ่เข้าไปอยู่ในพื้อนที่ที่จำกัด
เรื่อเอเธนส์มีขนาดใหญ่กว่าแต่มีจำนวนน้อยกว่าจึงสามารถดำเนินกลยุทธได้ง่ายกว่า กองเรือเปอร์เซียเหมือนถูกตรึงอยู่ในพื้นที่จำกัด กองเรือกรีกจึงใช้ขนาดเบียดและทำลายพายของฝ่ายกองเรือเปอร์เซียทำให้ไม่สามารถควบคุมเรือได้… ผลของการรบทางการรบทางเรือที่ซาลามิส เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของกรีก
ลาตาเอ การรบครั้งสุดท้ายของ กรีก-เปอร์เซีย
มาร์โดนิอุสเลือการถอยเข้าไปในแค้วนแสซาลี ในฤดูหนาว เมือหมดฤดูหนาวแล้วก็จะนำทัพมุ่งลงใต้เตรียมทำศึกกับกรีกต่อไปดีก
ทางฝ่ายกรีก นั้นเมือพิจารณาและถกกันอย่างกว้างขวางแล้ว สรุปได้วา จะเข้ารุกต่อกองทัพเปอร์เซียของมาร์โดนิอุส ปรากฎว่า รัฐกรีกรวบรวมรี้พลได้ 8 หมืน เป็นทหารราบล้วนไม่มีทหารม้า แม่ทัพสปาร์ตาเป็นแม่ทัพ นำกองทัพกรีกขึ้นเหนือ สู พลาตาเอ
กองทัพทั้งสองเผชิญหน้ากัน ได้ 8 วัน กองทัพกรีกได้อยู่ในภูมิประเทศที่ได้เปรียบ และฝ่ายเปอร์เซียก็หวังที่จะใช้ทหารม้าตีโต้ตอบ แต่ในสนามรบสิ่งที่ไม่คาดคิดอาจจะเกิดขึ้นได้เสมอ มาร์โดนิอุสได้รับรู้ถึงการย้ายที่ตั้งของฝ่ายกรีก จึงสังห้เข้าโจมตี ทหารกรีกสู้รบอยางกล้าหาญยิ่ง การบดำเนินอยู่นานไม่มีฝ่ายใดแพ้ชนะกระทั่งมาร์โดนิอุสถูกสังหารในการรบ กองทัพเปอร์เซียขากการควบคุม และบังคับบัญชาที่มีประสิทธิภาพ จึง พ่ายแพ้อย่างราบคาบ กำลังส่วนที่รอดชีวิตต้องล่าถอยขึ้นไปทางเหนืออย่างรวดเร็ว
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555
Turks
คาบสมุทรอาราเบียอยู่ทางตะวันตกสุดทวีปเอเซีย เป็นคาบสมุทรยื่นออกไปในมหาสมุทรอินเดีย ล้อมรอบด้วยทะเลแดง ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่ราบสูงอาร์เมเนียและอ่าวเปอร์เซียปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกลุ่มอาหรับ แต่เดิมดินแดนนี้ไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย การดำเนินชีวิตมี 2 แบบคือ
พวกเร่ร่อนตามทะเลทราย มีอาชีพเลี้ยงสัตว์ ต้องเร่ร่อนหาทุ่งหญ้าและแหล่งน้ำ ทำให้ไม่สามารถหนุดตั้งหลักแหล่งได้ ดำเนินชีวิตอยู่ในกระโจมเรียงรายเป็นกลุ่มเพื่อสะดวกในการโยกย้าย และพวกอาหรับชาวเมืองซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพคาขายมีสำพชีวิตสะดวกสบาย อุดมสมบูรณ์ มั่งคั่ง คุมอำนาจทั้งด้านการเมืองและเศษฐกิจ เมืองใหญ่ๆ เหล่านี้ได้แก่ เมกกะ ยาเทรปซึ่งปัจจุบันคือเมืองเมอินา ในคาบสมุทรอราเบีย
ชาวอาหรับไม่เคยรวมกันได้ ไม่มีบทบาททั้งทางการรบและอารยธรรมแต่กลับมีความสำคัญขึ้นอย่างมากเพราะศาสนาอิสลามเป็นสำคัญ
อาณาจักรมุสลิม แบ่งการปกครองออกเป็น 3 ระยะ ระหว่าง ค.ศ. 632-1258
- สมัยการปกครองของเคาะรีฟะหฺ ค.ศ. 632-661 มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเมดินา ในประเทศซาอุดิอาระเบียปัจจุบัน
- สมัยปกครองราชวงศ์อุมัยยัค ค.ศ. 661-750 มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองดามัสกัส ในประเทศซีเรียปัจจุบัน
- สมัยปกครองราชวงศ์อับบาสิค ค.ศ. 750-1258 มีศูนย์กลางอยู่ที่แบกแดด ในประเทศอิรักปัจจุบัน
ในศตวาษที่ 11 พวกเซลจุค เติร์ก(เติร์กชนเผ่าหนึ่ง) ภายใต้การนำของ เตอร์โก มัน คุซซ์ ได้ตีเมืองแบกอดดได้ กาหลิบราชวงศ์อับบาสิดได้ประทานตำแหน่างผู้สำเร็จราชการให้กับห้วหน้าพวกเติร์ก เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พวกเซลจุคเติร์ก มีอำนาจในอาณาจักรมุสลิมเกือบสองศตวรรษ
ชัยชนะของพวกเซลจุค เติร์ก ครั้งนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับอาณษจักรบิแซนไทน์และสัตะปาปาที่กรุงโรม ในที่สุดพวกคริสเตีนได้จัดกองทัพมาปราบพวกเตร์ก กลายเป็นสงครามครูเสด พวกเซลจุค เติร์ก ได้ยึดดินแดนเหนือซีเรียที่เรียว่า อนาโตเลีย หรือพวมุสลิมเรียกว่า “แผ่นดินโรม” ได้เป็นการถาวร ให้เป็นรัฐขึ้นตรงต่อกาหลิบราชวงศ์อับบาสิด มีชาวเตอร์จากดินแดนอื่น ๆ อพยพเข้ามาอยู่ในรัฐที่ตั้งขึ้นใหม่เพิ่มมากขึ้น เท่านกับเป็นการเริ่มต้นของขบวนการทำให้เป็นเติร์ก “Turkification”
ในระยะต้น สุลต่านของพวกเซลจุค เติร์ก แม้จะป่าเถื่อน ขาดการศึกษา แต่ได้ปกครองประเทศอย่างชาญฉลาด โดยอาศัยชาวเปอร์เซียดำรงตำแหน่างเป็นวิเชียร์ เป็นผู้ทำหน้าที่สำคัญ อาณาจักรมุสลิมได้แผ่ขยายอิทธิพลอย่างกว้างใหญ่ไพศาล การปกครองของพวกเซลจุคเติร์ก ได้ให้สิ่งใหม่แก่ศาสนาอิสลาม คือความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ที่รับมาจากทวีปเอเซียตอนกลางนอกจากนี้ได้นำลัทธิอัศวิน ของพวกยุโรปยุคกลางมาสู่โลกอิสลามด้วย
ต่อมาในกลางศตวรรษที่ 13 พวกมองโกลภายใต้การนำของจักรพรรดิเจงกิสข่าน เดินทางมาจากตะวันออก และรุรานดินแดนต่าง ๆ ของอาณาจักร มุลสิมอย่างทารุณโหดร้าย เรียกค่าไถ่ตามเมืองต่างๆ ที่ผ่านมาเมืองใดที่คิดสู้รบถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง แต่โชคคดีของอาณาจักรมุสลิมที่รอดพ้นมาได้จากการยึดครองของพวกมองโกล
นัดดาของเจงกิสข่าน ได้นำทัพมารุกรานอาณาจักรมุสลิมและตีเมืองแบกแดดได้ ในที่สุด ราชวงอับบาสิคถูกกวาดล้างอย่างสิ้นเชิง
ในกลางศตวรรษที่ 13 พวกออตโตมาน เติร์ก เริ่มมีอำนาจรุ่งโรจน์ท่ามกลางความยุ่งยากของพวกมุสลิมที่แตกแยกกันเอง ในที่สุดพวกออตโตมาน เติร์กได้รวบรวมพวกเติร์กและมุสลิมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่ภายใต้การปกครองเดียวกัน แต่สมัยของอาณาจักร ออตโตมาน เติร์ก โลกอิสลามได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ประวัติศาสรต์สมัยกลางของอาณาจักรมุสลิมยุติลงในลักษณะของความปั่นป่วนพวกออตโตมาน เติร์กได้เข้ายึดกรุงคอนสแตนติโนเปิล ของจักรวรรดิไบแซนไทน์ และตั้งเป็นอาณาจักร ออตโตมาน เติร์ก แทนจักรวรรดิโรมันตะวันออก ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์บางกลุ่มเชื่อว่าเป็นการสิ้นสุดยุคกลางด้วย
มหาวิหารอาร์เทมีส
ความสัมพันธ์ระหว่างชาวเติร์กและโลกอาหรับ
.
ในปี ฮ.ศ.22(ค.ศ.642)กองทัพอิสลามยกทัพเพื่อไปพิชิตหัวเมืองต่าง ๆ ในเขตที่ชาวเติร์กอาศัยอยู่มีการเผชิญหน้าระหว่างแม่ทัพอิสลาม กับ กษัตริย์ชาวเติร์ก กษัตริย์ได้ยื่นข้อเสนอขอทำสัญญาสงบศึก พร้อมกับแสดงท่าทีว่ากองทัพของเขาพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับกองทัพอิสลามในการทำศึก ดังนั้นแม่ทัพจึงพากษัตริย์เติร์กไปพบกษัตริย์ของตน กษัตริย์เติร์กเขียนสารเพื่อแสดงเจตนาของตน ทางฝ่ายอิสลามมีความเห็นตรงกันจึงเขียนสารทำสัญญาสงบศึกหลังจากนั้นกองทัพทั้งสองจึงเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองอัรมันเพื่อร่วมกันโจมตี
เติร์กกับศาสนาอิสลาม
ร้อย 99 ของประชาชกรในประเทศตุรกีนับถือศาสนาอสลาม ชาวเติร์ก ซึ่งแต่เดิมอยู่ในเอเซียกลางเริ่มมีการติดต่อสัมพันธ์กับคนที่นับถืออิสลาม โดยผ่านทางกองคาราวานสินค้าชาวอาหรับเมือศตวรรษที่ 8 และในศตรวรรษที่ 10 ชาวเติร์กส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม
กองทัพอิสลามคงเดินหน้าต่อไปเพื่อเผยแผ่อิสลามและพิชิตเมืองต่างๆ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรเปอร์เซียกรทั่งการเรียกร้องเชิญชวนสู่อิสลามได้แพร่สะพัดจนครอบคลุมพื้นที่ส่วใหญ่ของบริเวณดังกล่าว และหลังจากที่อาณาจักรเปอร์เซียอันเป็นกำแพงที่สกัดกั้นการเดินหน้าของการเรียกร้องเชิญชวนสู่อิสลามของชาวมุสลิมถูกพิชิตลงอย่างราบคาบโดยกองทัพอิสลาม ความสัมพันธ์ระหว่างสังคมชาวมุสลิมกับพลเมืองแห่งอาณาจักรเปอร์เซีย ซึ่งมีชาวเติร์กรวมอยู่ด้วย จึงเริ่มขึ้นและทยอยกันเข้ารับอิสลามอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเสนอตัวเข้าเป็นแนวร่วมของอกงทัพอิสลามในฐานะมุสลิมคนหนึ่ง เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการเผยแผ่อิสลามและพิชิตเมืองต่าง ๆ ต่อไป “มีคำกล่าวคำกล่าวที่ว่า อิสลามเผยแพร่ด้วยดาบ”
สมัยการปกครองของเคาะลีหฺ มุอาวียะฮฺ ฯ กองทัพอิสลามสามารถพิชิตเมืองต่างๆ ในเขตพ้นทะเลกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอิสลาม
ชาวเตริก์เริ่มเข้ามามีบทบาทในอาณาจักรอิสลามเนื้องจากเคาะห์ลีฟะหฺต้องการคานอำนาจชาวเปอร์เซีย กระทั่งชาวเติร์กสามารถสร้างอาณาจักรเคียงข้างอิสลาม คือ อาณาจักรของพวกเซลจุก และสภาปนาอาณาจักรของตนนั้นคือพวก ออตโตมาน เติร์ก ในเวลาต่อมา
บัลกาเรีย ตั้งอยู่ด้านเหนือของ กรีซและตุรกี ด้านใต้ ของโรมาเนีย ประเทศในภาพนี้เกือบทั้งหมดเคยตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิมุสลิมออตโตมานเติร์กราว 400-500 ช่วศตวรรษ14-19
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...