Urban

             เมืองคือ การรวมตัวกันอย่างถาวรของประชาชนในพื้นที่หนึ่งและถ้าจะถามว่าเพราะเหตุใดจึงต้องมีการรวมตัวกันของประชาชนในพื้นที่ ก็อาจจะตอบได้ว่า เพื่อการสร้างมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้วยเหตุผลสองประการคือ การรวมตัวกันเพื่อเพิ่มผลิตภาพของคน และการรวมตัวเพื่อให้เกิดมีสินค้าและบริการมากขึ้น ในแง่ของการผลิต การรวมตัวของบุคคลและหน่วยผลิตจะมีรูปแบบของการผลิตที่มีความชำนาญเฉพาะอย่างได้มากขึน ดังนั้น จะสามารถมีผลผลิตมากขึ้น ด้วยระดับของทรัพยากรที่มีอยู่ทางด้านการบริโภค การอยู่ร่วมกันอย่างหนาแน่นช่วยให้เกิดตลอดที่มีขนาดใหญ่พอที่จะมีผลผลิตหลากหลายเข้ามาให้เลือกอย่างครบครัน ลักษณะที่สำคัญที่สุดของเมือง ก็คือความสะด้วก คนงานจะไปถึงโรงงานอย่างสะดวก ขฯะเดียวกันหน่วยผลิตจะติดต่อกันอย่างสะดวก ผู้ซื้อจะไปถึงร้านค้าอย่างสะดวก
ความสะดวกจึงหมายถึงมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดี
             เมืองทีหน้าที่มากมายที่เป็นทั้เงหน้าที่ในการเศรษฐศาสตร์ และหน้าที่ที่ไม่ใช่แบบเศรษฐศษสตร์ ได้กล่าวแล้วว่าเมืองก่อให้เกิดกลไก ที่จะนำผู้บริโภคและผู้ผลิตมาอยู่ร่วมกัน จากประวัติศาสตร์ได้ชี้ให้เห็ฯว่าการรวมตัวของประชาชนในพื้นที่หนึ่งและผูู้ผลิตมาอยู่ร่วมกัน จากประวัติศาสตร์ได้ชี้ให้เก็ฯว่าการรวมตัวของประชาชนในพื้นที่หนึ่งเกิดจากความต้องการทั้งทางด้านการป้องกันความปลอดภัยมากพอๆ กัน ความต้องการทางด้านเศรษฐกิจเช่นกัน  แต่ในโลกปัจจุบันอาวุธที่ทันสมัยอาทิ เช่น อาวุธนำวิถีที่สามารถยิงได้จากระยะไกลและอานุภาพร้ายแรง ทำให้หน้าที่ของเมืองในด้านการป้องกันควมปลอดภัยได้พ้นสมัยไป และในความเป็นจริงการเปลี่ยนแปลงของเมืองกลับเป็นไปในทางตรงกันข้ามการกระจายพลเมืองออกสู่ชานเมืองย่อมดีกว่าหากคำนึงถึงการถูกโจมตีด้วยปรมาณู
              หน้าที่ของเมืองที่ทำให้ปริวรรตกรรม (การแลกเปลี่ยน) และวิภาคกรรม (การกระจาย) เป็นไปโดยง่าย เป็นพื้นฐานในทุกระบบเศรษฐกิจ ความสะดวก จึงเป็นกุญแจสำคัญ ที่ทำให้ทรัพยากรและสินค้าและบริการสามารถเกิดการแลกเปลี่ยน และการกระจายไปได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าผู้ซื้อและผู้ขายได้รับความสะดวก เมืองจึงเป็นที่รวมของตัวแทนทางเศรษฐกิจ ผลประโยชน์จากการรวมตัวกันของพลเมืองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้มาตรฐานความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่าการที่อยู่กระจัดกระจายห่างไกลการรวมตัวกันดังกล่าวก็ยังคงมีผลเสียในหลายกรณี ซึ่งผลเสียเหล่านี้มีความสำคัญมากขึ้นทุกวันจนทำให้หลายๆ เมืองในปัจจุบันนี้ไม่สามารถทำได้ที่อย่างมีประสิทธิภาพ
                เป็นที่ชัดเจนว่าถึงแม้ความสะดวกจะเป็นกุญแจสำคัญไปสู่ผลประโยชน์ของชีวิตในเมือง ก็ตาม การอยู่ใกล้กันมากเกินไปก็เป็นที่มาของปัญหาอีกมากมาย ถ้าพลเมืองและหน่วยผลิตจะกระจายตัวออกไปตมพื้นที่ว่างรอบนอกของเมือง ก้จะทำให้ปัญหาความคับคั่งลดน้อยลงไปได้ ด้วยเหตุนี้การโยกย้ายออกไปอยู่ชานเมืองจึงเป็นปฏิกริยาที่คนมีาายได้สูงมีต่อผลเสียในเมืองมานับศตวรรษแล้ว ในเมืองใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยปัญหาความยากจน อาชญกรรมและแหล่งเสือมโทรมเหล่านี้เป็นผลที่จะต้งอจ่างจากการที่ได้พอใจกับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากการอยู่ร่วมกันแบบแออัดยัดเยียด                                                                                                                          
              กระบวนการทำให้เป็นเมือง เป็นผลที่เกิดกระบวนการทำให้เป็นความทันสมัย ประชาชนจะเข้ามาอาศัยหหางานทำในเมืองมากขึ้น ระบบเศรษฐกิจจะถูกรวมศูนย์อยู่กับเมืองเป็นหลัก โอกาสในการจ้างงานในเมืองมีมากกว่า
              เมื่องเกิดจากกรวมตัวกันอย่างถาวรประชาชนในพื้นที่หนึ่ง เพื่อสร้างมาตรฐานความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น โดยอาศัยความเได้เปรียบที่เป็นลักษณะสัำคัญของเมืองคือ ความสะดวกเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มผลิตภาพและระะบบการตลาดที่มีประสิทธิภาพ หน้าที่ทางด้านเศรษฐศาสตร์ของเมืองก็คือ การก่อให้เกิปริวรรตกรรมและวิภาพกรรม อันเป็นกิจกรรมพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งต้องอาศัยความสะดวกที่เกิดจากการรวมตัวของทรัพยากร และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในเมือง  
              การรวมตัวของพลเมืองที่หนาแน่นมากเกินปกลับเกิดปัญหาในทางลบต่อการพัฒนาเขตเมือง อาทิ ปัญหาจราจร ปัญหาแหล่งเสือมโทรมปัญหาอาชญากรรมและปัญหามลภาวะต่างๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นล้วนแต่มีแง่มุมทางเศรษฐศาสตร์ทั้งสิ้น การศึกษาวิเคราะห์ในประเด็นปัญหาต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายสาธารณะที่ใช้แก้ปัญหาของเมืองต่อไป  การแบ่งอารณาเขตของการตั้งถ่ินฐานของมนุษย์อย่างหยาบคอเป็นเขตชุมชนกับชนบท โดยสภาพกายภาพที่แตกต่างนั้น ไม่ตัวเลขที่แน่นอนทางสถิติ ซึ่งเป็นเรื่องลำบากทีจะระบุให้ชัดเจน ในที่สุดเรนาจึงหักมาใช้จำนวนประชากเป็นหลักในการกำหนดเขตเมืองในระดับต่าง ๆ อาทิ พลเมืองเกิด 20,000 เรียกชุมชนเมือง เกิน 100,000 เรียก นคร  ถ้าพลเมืองเกิน 500,000 เรียกนครหลวง และถ้าเกิน 2,500,000 เรียกมหานครเป็นต้น
            การตั้งถิ่นฐานและการกลายเป็นเมือง
            การตั้งถิ่นฐานหมายถึง การอยู่เป็นหลักแหล่งอันถาวร มีการสร้างอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ขึ้นมา รวมทั้งอาคารบ้านเรือน ที่กำบัง ทรัพย์สมบัติ ถนนหนทางรั้วกำแพง นอกจากนี้ยังรวมถึงบทบาทหน้าที่และรูปร่างของการตั้งถ่ินฐานเป็นส่วนรวมด้วยองค์ประกอิบทั้งหมดนี้คือผลรวมของวัฒนธรรมหนึ่งๆ ซึ่งอาจแตกต่างกันไปจากวัฒนธรรมกลุ่มอื่นๆก็ได้ (ฉัตรชัย, 2527 ) การศึกษาถึงกาตั้งถ่ินฐานในปัจจุบัน นอกจากจะทำให้เราเข้าใจลักษณะองค์ประกอบโครงสร้างของการตั้งถ่ินฐานในระยะเวลานั้นแล้ว ยังทำให้เห็นถึงระบบของการตั้งถ่ินฐานทั้งหมดซึ่งอาจประกอบด้วย จำนวน ขนาดและระยะห่างของบริเวณตั้งถ่ินฐานแต่ละแห่งไม่ว่าจะเป็นชนบทหรือเมือง ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งก่อสร้างตลอดจนสิ่งของทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่อยู่คงทนต่าง ๆ อาจทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจอดีตความเป็นมาของผู้อาศัยในแหล่งตั้งถ่ินฐานนั้นได้ แหลฃ่งตั้งถ่ินฐานในปัจจุบันคือผลรวมของรูปแบบที่เกิดขึ้นในอดีต และสะท้อนให้เป็นช่วงระยะของการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในแง่ของสังคม ความชำนาญควารมรู้ทางวิชาการ ความเจริญทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการสืบเนื่องของวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี
            การกลายเป็นเมือง UrbaniZation เป็นกระบวนการที่เพิ่งปรากฎในตอนต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนปี ค.ศ. 1850 ไม่มีประเทศใดหรือสังคมใดที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสังคมเมืองล้วน แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีสหราชอาณาจักรเพียงประเทศเดียวที่มีลักษณะเป็นแหล่งชุมชน อีก 80 ปีต่อมาประเทศอุตสาหกรรมทั้งหมดก็ได้ก้าวสู่ความเป็นแหล่งชุมชนในระดับต่างกัน ส่วนประเทศอื่นๆ ในโลกปัจจุบันที่กำลังตกอยู่ภายใต้อิทธิของกระบวนการกลายเป็นชุมชนเมือง
          กระบวนการอันซับซ้อนทางสังคมและเสณาฐกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปในสังคมหสึ่งจากสถาพความเป็นอยู่แบบชนบทโดยทั่วไปได้ก้าวไปสู่ความเป็นแปล่งชุมชนเรียกว่า กระบวนการกลายเป็นแปล่งชุมชนเมือง ขั้นที่กระบวนการเปลี่ยนแปลงในประเทศหนึ่งก้าวไปสู่อีกระดับหนึ่งในเวลาหนึ่งเรียกว่าระดับของแหล่งชุมชน
            การพัฒนาและการขยายตัวของเมืองเกิดจาก ความได้เปรียบเป็นทุนเดิม เป็นจุดเปลี่ยนถ่ยของการขนส่ง เป็ฯทางไปสู่สิ่งท่ต้องการ มีการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ ขบวนการรวมตัวกันอยู่รายรอบ ไม่เพียงเท่านั้น ขบวนการพัฒนาเมืองเกุ่ยเนื่องกับลักษณะของพื้นที่ วิทยาการและวัฒนธรรมในภูมิภาคน้นเช่นกัน และยังเป็นไปได้ที่จะอธิบายพัฒนาเมืองอย่างมีขบวนการเป็นลำดับขั้น
           แหล่งที่เรียกว่าเมืองเกิขึ้นเมือง 5,500 ปีที่ผ่าสมาในแถบตะวันออกกลาง และต่อๆมาเมืองก็ไดขยายตัวไปสู่ส่วนต่างๆ ของโลก คำว่าเมือง มีความหมายเท่ากับอารยธรรม ซึ่งมาจากภาษาละตินที่ว่า ซิวิลิส อันหมายถึง ชาวเมือง ปัจจัยสภคัญซึ่งทำให้เกิดเมืองนั้น เนื่องจากมนุษย์เรารู้จักตั้งหลักแหล่งเป็นที่แน่นอนและสมารถผลิตอาหารได้มากมาย รู้จักกักเก็บอาหารไว้ในยามจำเป็นนอกจากนั้นยังสามารถขีดเขียนและบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆทำให้เกิดกฎหมาย วรรฯคดี และศาสนาขึ้นมา สิ่งที่ตำิตามมาก็คือ การบริหารสังคมที่มีประสิทธิภาพก็เกิดขึ้น ยิ่งกว่านั้นสภาพแวดล้อมก็ม่ส่วนส่งเสริมด้วยคือ การบริหารสังคมที่มีประสิทธิภาพก็เกิดขึ้น ยิ่งกว่านั้นสภาพแวดล้อมก็มีส่วนส่งเสิรมด้วยคือ โดยทั่วไปจะต้องมีลมฟ้าอากาศที่เหมาะสมและอุดมสมบูรณ์ซึ่งในมยก่อนก็ได้แก่บริเวณลุ่มแม่น้ำใหญ่ๆ ในเขตอบอุ่นนั้นเอง เมืองคงเป็นความเป็นเมืองอยู่ได้หรือสามารถขยายตัวใหญ่ขึ้นได้ ต้องอาศัย ความเป็นศูนย์กลาง ความเป้ฯสัญลักษณ์ และสวัสดิการ ซึ่งเมืองโดยทั่วไปจะต้องมีคุณสมบลัติต่างๆ ดังกล่าวไม่มากก็น้อย เมืองจะต้องเป็นศูนย์รวมของชนบทรอบๆ ในด้านการคมนาคมติดต่อ ในด้านการแจกจ่ายและบริการสินค้า ความเป็นแหล่งกลางที่เกิดจากการแบ่งแยกแรงงาน และยึดหลักความสะดวกโดยการเลือกทำเลที่ตั้งให้เหมาะสมที่สุด นั้คือกิจกรรมต่างๆ จะมารวมกันอยู่ตรงใจกลางเมือง.
..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Chanson de Roland

City of God (St. Augustine)

Republik Indonesia I (The Kingdom)