การรวมตัวเป็นผ่านชน : แบบอำนาจไม่กระชับกับอำนาจอยู่ที่ศุนย์กลาง มนุษย์เกิดมากว่า 2 ล้านปี หลังจากมีสภาพเป็นสัตว์สังคมไปแล้วย่อมมีการรวมตัวกันเป็นครอบครัว เป็นหมู่เป็นเหล่า การที่จะทราบว่าสมัยล้านปีก่อนมนุษย์มีการรวมตัวอย่างไรเป็นไปได้ยาก เป็นการสันนิษฐานประกอบเหตุผล อย่างไรก็ตาม อย่างไรก็ตามสนปัจจุบันมีความเข้าใจตรงกันว่ามีการรวมตัวในทางการเมืองเป็นในรูปเผ่าพันธุ์ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การรวมตัวเป็นหมู่เล่าซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์แบบหลวมๆ และอำนาจไม่กระชับ และ เฟ่าพันธุ์
แบบอำนาจอยู่ศุนย์กลาง
การรวมตัวขึ้นเป็นผ่าพันธุ์ยังหลงเหลือสืบเนหื่องมารจนถึงปัจจุบันนี้ในบางบริเวณของโลก เช่น ในบรรดาชนพื้นเมือง ของออสเตรเลีย ในป่าอเมซอนในอเมริกาใต้และในแอผริกา เป็นต้น
- การรวมตัวแบบอำนาจจำกัด โดยอำนาจไม่อยู่ที่ศูนย์กลาง อาจแยกเป็นประเภทต่างๆ กัน แต่จะหล่าวถึง 2 ลักษณะ ได้แก่ การรวตัวเป็นหมู่เล่า และการรวมตัวเป็นเผ่าพันธ์ุ
การรวมตัวเป้นหมู่เหล่ามีโครงสร้างอย่างหลวมๆ โดยรวมเอาครอบครัวหลายครอบครัวเข้าด้วยกันในบริเวรตแห่งใดแห่งหนึง เผ่าชนแบบหมู่เหล่านี้มีความสัมพันธ์ระหว่างกันเองน้อย ส่วนใหญ่ความสัมพันธ์เป็นในรูปของการแต่งงานในหมู่พวกเดียวกัน อาทิ ชนเผ่าพื้นเมืองในออสเตรเลีย และอินเดียแดงอาปาเช๋ ไม่มีการแบ่งหน้าที่การงานอย่างชัดเจน คอื ทำมาหาเลี้ยงชีพคล้ายๆ กัน หัวหน้าของหมู่เล่ามีแต่ไม่มีอำนาจามาก
- การรวมตัวเป็นเผ่าชน
เผ่าชน คือ การรวมตัวสที่ยึดสายเลบือด คือ ความเกี่ยวพันในการเป็นวงศาคฯาญาติทั้งใกล้และไกล จุดสำคัญอยุ่ที่มีการรวมกันอย่งเป้นระเบียบหรือมีการลดหลั่นในทางอำนาจค่อนข้างชัดเจน มีการเแข่งขันกันในทางอิทธิพลระหว่างสายต่างๆ ของเครือญาติหรือระหว่างตระกูล
ความเป็นปู้นำและการบริหาร บุคคลที่เป็นผุ้นำของเผ่ามีหน้าที่หนักไปแในเรื่องพิธีรีต่องทางศาสนาเหรือในทางความเชื่อ บทบาทเกี่ยวกับระงับข้อพิพาทระวห่างตระกูลมีบ้าง ปัญหาการบริหารมักตกลงกันภายในตระกุูลต่างๆ ที่รวมตัวเป็นเผ่านั้นเป็นไปในรูปของการสมรสระหวางตระกูลบ้าง ปัญหาการบริหารมักตกลงกันภายในตระกูล ระหวางตระกูลต่างๆ ที่รวมตัวเป้นเผ่านั้นเป็นไปในรูปของการสมรสระหว่างตระกูลบ้าง เีก่ยวกัยการร่วมมือในการทำมาหาเลี้ยงชีพย้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วควมสัมพันะ์เป็นไปในทางพิธีรีตอง
- การรวมตัวเป็นผ่าแบบอำนาจอยุ่ที่ศุนยกลาง การวมตัวเป็นเผป่าดดยอำนาจของหัวหน้าเผป่ามีมาก เช่นชนเผ่าซูลู ในแอฟริกา
การเมืองแยกตัวออกมา จากความเป็นเครือญาติหรือสมาชิกของตระำกูล ตำแหน่งผุ้นำหรอตำแหน่งอื่นๆ ทางการเมืองมิได้ขึ้นอยุ่ในฐานะหรือสถานภาพในหมุ่เครือญาติ แต่มีลักษณะเป็นเอกเทศมากพอควร
การมีเจ้า เผ่าชนที่มีอำนาจอยุ่ในศูนย์กลาง รวมตัวเป็ฯอาณาจักรโดยหัวหน้าเผ่าเป็นเจ้า ระบบปกครองอาจเป็นแบบมีอำนาจอยุ่ที่ศุนย์กลางเต็มที่ หรือโดยที่อำนาจกระจายอยุ่กับหัวหน้าตระกูลต่างๆ ในกรณีหลัง เจ้าหรือกษัตริย์ต้องพึ่งพาหัวหน้าตระุลหรือกลุ่มอื่นๆ ในการดำเนินการต่างๆ
- การวิวัฒนการสู่สภาวะการเมืองที่เด่นชีัดยิ่งขึค้น รูปแบบการวมตัวข้างต้น ยังไม่มีการแยกแยะสภาวะที่เป็นการเมือง ที่ชัดเจน การเป้นหัวหน้าหรือการมีบทบาทสำคัญในเผ่าหรือในหมู่+ยังขึ้นอยุ่กับสภานภาพในวงศ์ตระกุลมิใช่น้อย นอกจากนี้ การเป็นผุ้นำยงมีบทบาท เกี่ยนวกับพิธีรีตอง หรือทางศาสนาปะปนอยุ่มาก เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น คือ กิจการรมที่เีก่ยวกับการเมืองมีากขึ้น มีศุนย์กลางด้านต่างๆ มากขึ้น
กิจกรรมที่เกี่นยวกับการเมืองโดยตรมมีมากขึ้น ในยุคก่อน ุ้มีบทบาทางการเมืองมักเป้นผุ้อยุ่ในตำแหน่งที่ดีของวงศ์กระกูลที่ใหญ่หรือสำคัญ มักเป็นผุ้รู้ทางพิธีหรือในเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศกักิ์สิทธิ ต่อมาผุ้ที่เป็นหัวหน้าได้เป็นหัวหน้าเพราะความสามารถส่วนตัวมากขึ้น ฐานะในวงศ์ตระกูลอาจไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญก็ได้แต่มีอำนาจหรือบทบาทางการเมือเหนือผุ้อยุ่ในตำแหน่งได้ การตัดสินใจดำเนินการต่างๆ เร่ิมทีความเป้นเอกเทศ หรือเป็นสาธารณะมากขึ้น
มีศูนย์กลางในด้านต่างๆ มากขึ้น
กิจกรรมาที่เร่ิมเป็นเฉพาะ "การเมือง" หรือเฉฑาะ "ศาสนา" หรือเฉพาะ "วัฒนธรรม" สะท้อนภาพออกมาในรูป รูปลักาณะ หรือ "ศูนย์กลาง"ของกิจกรรม เช่น มีการออกจัดทำระเบียบปฏิบัติอย่างเป็นทางการในทางการเมืองในรูปของกฎหมาย อนึ่งมีการสร้างศุนย์พิธีกรรม หรือศาสนาสถานขึ้นเืพ่ประดยชน์ทืางจิตใจของบุคคล นอกจากนี้ มีการแบ่งบริเวณออกเป็น "เมือง" และ "ชนบท" การวิวัฒนาการที่กล่าวถึงนี้กินเวลานานมาก และการเปลี่ยนแปลงมิได้สมำ่เสมอ จาการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวลแะอื่นๆ ต่อมาได้เกิดการรวมตัวแบบเป็น "นครรัฐ"ขึ้นมา
ที่มา /http://old-book.ru.ac.th/e-book/s/SO477/so477-4.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น