ตามตำนานขอมโบราณ พราหมณืเชื้อสายอินเดียชือ "โกณฑัญญะ" ซึ่งได้มาแต่างงานกับนางพญาขอมได้จักการปกครองอาณาจักรขอมให้เจริญรุ่งเรือง อาณาจักรอื่นๆ ใกล้เคียวได้แก อาณาจักรโครตบูรณ์ (ราวพุทธศักราชที่ 11-15 ) ซึงอยุ่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(ภาคเหนือของไทยและภาคกลางของลาว) ศูย์กลงอยุ่ท่นครพน (เชื่อว่าเมืองหลวงอยุ่บนฝั่งซ้ายขอวแม่น้ำโขง คือท่าแขกของลาว) นับถือศาสนาพุทธเถรวาท มีการสร้างเจดีย์สำคัญ คือ พระธาตุพนม อาณาจักโคตรบูรณืมีดินแดนที่กินพื้ที่จังหวัดอุรธานี หนองค่ย เวียงจันทร์ นครพนม (เจดีย์พระธาตุพนม) อุยบราชธานี และอาณาจักรทวาราวดี (ราวพุทธศักราชที่ 11-16) ที่มีอำนาจในบริวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา นอกจากนี้ยังมีอาณาจักรอื่นๆ ในดินแดนสุวรรณภูมิ เช่น อาณาจักรศรีเกษตร (พยู) อาณาจักน่านเจ้า (หนองแส : ราวพุทธศักาชที่ 6/8-17) ของเผ่่าคนไทย อาณาจักรศรีวิชัย (ราวพุทธศักราชที่11-18) อาณาจักรเชียงแสน (โยนกและเงินยาง : ราวพุทธศักราชที่ 9/11-18) ของคนไทยอีกสายหนึง ต่อมาอาณาจักรขอมสามารถอาณาจักรโครตบูรณ์และอาณาจักรทวาราวดีทวาราวดีได้อาณาจักขอมโบราณแบ่งออกเป็น 4 ยุคได้แก่
ื
- อาณาจักรขอมโบราณยุคแรก (ราวพุทธศตวรรษที่ 6/7-11) มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองปราสาทภู เขวงเมืองจัมปาศักดิ์ ประเทศลาว(จากหลักฐานการขุดค้นอาจเป็นอุบลราชธานี) ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอินทรปุระ(กัมปงจาม) ดินแดนกินพื้นที่บริเวณปกาแม่น้ำโขง กัมพุชา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย (สืบต่อมาจากอาณาจักรฟูนัน) บริเวณภาคตะวันออเแียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกของไทยปัจจุบัน รวมทังลุ่มน้ำเจ้าพระยา อาณาจักรขอมโบราณรับวัฒนธรรมมาจากอินเดีย ปกครองแบบเทวราช ระบบจตุสดมภ์ นับถือศาสนาพราหมณ์ มีการสร้างเทวรูปแลประสาทหิน ที่สำคัญคือนครวัด-นครธม ซึ่งนับเป็นสิ่งมหัจรรย์แห่งหนึ่งของโลก รวมทั้งประสาทอื่นๆ ในภาคตะวันออกเียงเหนือของไทยจำนวนมาก
- ยุคสมัยก่อนพระนครหรืออาณาจักรเจนละ ราวพุทธศตวรรษที่ 11-14) กษัตริย์ยุคนี้คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 1 (แยกจากอาณาจักรฟูนัน)
- ยุคเมืองพระนคร (ราว พ.ศ. 1345-1976) มีกษัตริย์ปกครอง 15 รัชกาล ต่อมาอาณาจักรขอมโบราณ ซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนสุวรรณภูมิได้ล่มสลายลง เนื่องถูกกองทัพประเทศสยาม (กรุงศรีอยุธยา) นำโดยพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา : พ.ศ. 1967-1991) ได้เข้ายึดเมืองพระนครได้ ทำให้พระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ไทย ที่ทรงมีพระบราราชานุภาพสูงมากที่สุดพระองค์หนึงของประเทศไทย
- ยุคหลังเมืองพระนคร มีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฎอยู่ปัจจุบัน ได้แก่ เมืองศรีเทพ(เพรชบูรณ์) เมืองสรีวัตตะปุระ อ. ศรีมหาโพธิ์(ปราจีนบุรี) อำเภอระโนด (สงขลา) rawatzefza2.wordpress.com/กิจกรรมการเรียนรู้โครง/อาณาจักรขอม/อาณาจักรขอมโบราณ/
ภาษาเขมร เป็นหนึ่งในภาษาหลักของภาษากลุ่มออสโตรเอเซียติก และได้รับอิทธิพลมาจากภาาาสันสกฤตและภาษาบาลี พอสมควร ซึ่งอิทธิพลเหล่านี้มาจากอิทธิพลของศาสนาพุทธและศาสนฮินดู ต่อวัฒนธรรมของชาวเขมรในขณะที่อิทธิพลอื่นๆ เช่น จากภาษาไทย ภาษาลาวและภาษเวยดนามเป้นผลมาจากการติดต่อกันทางด้านภาาาและความใกล้ชิดกัในทางภูมิศาสตร์ ภาษาเขมรแปลกไปจากภาษาในประเทศเพื่อนบ้าน(ภาษาไทย ภาษาลาว และภาษาเวียดนาม) เนื่องจากมไ่มีเสียงวรรณยุกต์
อักรเขมร คือรูปอักษรที่ดัดแปลงมาจากอักษรหลังปัลลวะ (ราว พ.ศ. 1200-1400) ซึ่งเป็นอักษรที่พัฒนามาจากอักษรปัลลวะ (ราว พ.ศ. 1100-1200) อีกต่อหนึ่ง อักษรปลลวะนี้ เป็นอักษรที่มาจากอินเียตอนใต้ซึ่งเป็นชุดอักษรที่มีกำเนิดมาจากอักษรพราหมี ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (ราวพุทธ ศตวรรษที่ 3) จารึกอักษรเขมรเก่าสุดพบในปราสาทโบเรีย จ.ตาแก้ว ทางใต้ของพนมเปญ อายุราว พ.ศ. 1154 รูปแบบโบราณของอักษรเขมร ที่เรียกอักษรขอมเป็นแม่แบบของอักษรไทย อักษรลาว อักษรเขมรใช้เขียนภาษาเขมรและมนต์คาถา
อักษรขอม พัฒนามาจากอักษรหลังปัลลวะ ซึ่งพัฒนามาจากอักษรปัลลงะอีกทีหนึ่งเป็นตัวอักษรของราชวงศ์ปัลลวะในอินเดียใต้ภายหลังได้มาติดต่อกับภูมิภาคอุษาคเนย์จึงได้ถ่ายทอดวัฒนธรรมซึ่งรวมถึงตัวอักษรไว้ให้กับกลุ่มคนที่อาศัยอยุ่บรเิวณนี้อีกด้วย ต่อมาอักษรชนิดนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในภูมิภาคนี้ มีวิวัฒนาการต่อไป จากอักษรปัลลวะ เป็นอักษรหลังปัลลงะ หลังจากนั้นก็แตกแขนงเป็นสองสาขาใหญ่ๆ คือ อักษรมอญโบราณ และอักษรขอมโบราณ
อักษรขอมโบราณใช้ในอาณาจักรต่างๆ สองฝั่งแม่น้ำโขงตั้งแต่สมัยก่อนเมืองพระนครต่อมาจึงกลายเป็นอักษรท้องถ่ินในสมัยพระนคร และเป็นต้นแบบของอักษรไทยและอักษรเขมรในปัจจุบัน
เอกลักษณ์ของอักษรขอม คเือ เปลี่ยนบ่าอักษรของอักษรปัลลวะเป็นศกหรือหนามเตย อักษรนี้พัฒนาไป 2 ทิศทาง คือ เป็นอักษรขอม ในประเทศไทย (ใช้เขียนภาษาไทย ภาษาบาลี ภาษาเขมร) และอักษรขอมในประเทศกัมพูชา (ใช้เขียนภาษาเขมร ภาษาบาลี)
อักษรขอมเขมร |
ในประเทศทไย อักษรขอมถือเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ ใช้ในงานด้านศาสนาเป็นส่วนใหญ่อักษรขอมที่ใช้เขียนภาษาบาลีเรียกว่า อักษรขอมบาลี ส่วนที่ใช้เขียนภาษาไทยเรียกว่าขอมไทย ซึ่งมีอักขรวิธีต่างจากอักษรของกลุ่มอื่นๆ ต่อมา อักษรขอมไทยถูกแทนที่ด้วยอักษรไทย ส่วนอักษรขอมบาลียังคงใช้เขียนภาษาบาลีเรื่อยมา แม้จะมีการพัฒนาอักษรไทยและอักษรอริยกะมาเขียนภาษาบาลีก็ตาม อักษรขอมบาลีถูกยกเลิกไปในสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม
รูปแบบของอักษรขอมในประเทศไทยทั้งขอมไทยและขอมบาลี แข่งได้เป็น 3 แบบคือ
- อักษรบรรจง เป็นรูปสีเหลี่ยม ทรงมน ใช้เขียนคัมภีร์ทางศาสนา
- อักษรตัวเกษียณ เป็นตัวเแียงทแยง เอียงขวา ใช้บันทึกคำอธิบาย หรือเขียนหวัด
- อักษรเฉียงขอมหรือเฉมเขม คล้ายอักษรเขมรแบบตัวเชรียง รูปสระและการประสมสระต่างไปจาก 2 แบบ ข้างต้นth.wikipedia.org/wiki/อักษรขอม
อักษรขอมไทย สามารถพบได้ในคัีมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ตำรายา ตำราคาถาอาคม รูปยันต์ต่างๆ โดยมากปรากฎในแถบภาคกลาง และอาจพบได้บ้างในภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
พยัญชนะมีทั้งหมด 35 ตัว ดดยแต่ละตัวมีทั้งรูปตังวเต็มกับตัวเชิงหรือพยัญชนะซ้อน มีการจัดบ่งเป็นวรรตามระบบภาษาสันสกฤต
รูปพยัญชนะตามผังอักษรข้างต้นถอดเป็นพยัญชนะไทยได้ดังนี้
วรรค กะ (แถวที่ 1 จากบน) ก ข ค ฆ ง
วรรค จะ (แถวที่ 2) จ ฉ ช ฌ ญ
วรรค ฎะ (แถวที่ 3) ฎ ฐ ฑ ฒ ณ
วรรค ตะ (แถวที่ 4) ต ถ ท ธ น
วรรค ปะ (แถวที่ 5) ป ผ พ ภ ม
เศษวรรค (แถวที่ 6) ย ร ล ว ศ
(แถวที่ 7) ษ ส ห ฬ อ
รูปพยัญชนะอักษรขอมไทยน้อยกว่อักษรไทย 9 ตัว โดยรูปพยัญชนะที่ขาดไป 9 คือ ข ขวด ค คน ซ ฎ ด บ ฝ ฟ และ ฮ ซึ่งการเขียนคำที่มีพยัญชนะที่ขาดไปเป็นตังนี้ตัว ด ใช้ ฑ หรือ ตแทน, ตัว ฝ ใช้ผ แทน, ตัว ซ ใช้ ฌ ช หรือ ส แทน, ตัว บ และ ฟ นิยมนำรูปตัว (ป) ของอักษรขอมมาเขียนแทน บ และเพิ่มหางขึ้นเป็นรูปตัว (ป) ส่วนตัว ฟ ใช้รูปตัว (พ) ของอักษรขอมมาเติมหางเช่นกันเป็นรูป แต่ในหลายกรณี รูปตัว ป ของอักษรขอมทั้งที่มีหางและไม่มีหางมักใช้ปะปนกัน บางครั้งแทนเสียง ป บางครั้งแทนเสียง บ
รูปตัว ฝ ใช้อักษรขอม ตัว พ เติมหางเช่นเดียวกับตัว ฟ
ตัว ข ขวด ค คน ฎ ฮ ไม่มีที่ใช้ ดดยใช้ ข ค ฎ และ ห แทน
ตัวสะกด นิยมเขียนด้วยรูปตัวเชิงใต้พยัญชนะต้นหรือสระ เว้นแต่พยัญชนะที่รูปสระหรือตัวควบกล้ำอยู่ข้างล่างอยู่แล้วจึงใช้รูปตัวเต็ม
สระ แบ่งเป็นสระลอยกับสระจม รูปสระลอยใช้เขียนคำที่มีเสียง อ มีทั้งหมด 8 ตัว ได้แก่
จากซ้าย อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ
รูปสระจมหรือประสมคล้ายกับอักษรไทยปัจจุบัน ที่ต่างไปมีดังนี้
สระเอีย-นิยมเขียนด้วยตัวเชิงของตัว ย ดฺยว = เดียว หรือใช้ทั้งสระ เอ + อิ(อี) + ตัวเชิงของ ย เช่น เสีย = เสีย
สระเอืด มีทั้งแบบที่ใช้รูปสระ เอ + อิ + อ เช่น เพิอ = เพื่อ และ เอ + อิ (อี) + ตัวเชิงของ อ เช่น เงื่อน + เงื่อน
เธอ+ เํธอ และใช้สระเอ + อี +ตัวเชิงของ อ เมื่อมีตัวสะกด เช่น เตือม= เติม หรือ ตัดตัวเชิงของ อ ใช้ตัวเชิงของตัวสะกดแทน
สระเออ ใช้สระ เอ กับตัวเชิงของ อ เมื่อไม่มีตัวสะกด เช่น
สระอัว -้ ไม้หันอากาศกับตัวเชิงของ ว เมื่อไม่มีตัวสะกด หรือใช้ตัวเชิงของ ว อย่างเดียวเมื่อมีตัวสะกด เช่น ตวย = ด้วย
วรรณยุก การใช้ไม่แน่นอนมีทั้งที่ไม่เติมวรรณยุกต์ ใช้รูปวรรณยุกต์ต่างจากปัจจุบัน หรือใช้เหมือนกัน
ไม้หันอากาศ มีทั้งเขียนบนพยัญชนะต้นและตัวสะกด บางครั้งไม่ใช้ไม้หันอากาสแต่เพ่ิมตัวสะกดเป็น 2 ตัวแทน เช่น วนฺน = วัน, ทงั = ทั้งth.wikipedia.org/wiki/อักษรขอมไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น