Bann hin tak

             "พิพิธภันณ์บ้านหินแตก" หรือฐานที่มั่นของกองกำลังขุนส่าในอดีต และยังคงหลงเหลือร่องรอยแห่งการต่อสุ้ที่ยาวนา แข็งแกร่ง มั่นคง และมีมนต์ขลัง เต็มไปด้วยกลิ่นอายของการต่อสู้ ที่ประากฎอยุ่ตามโรงเรือนฝึกทหาร โรงครัว คุกิดน สถานที่ประชุมก่อนปฏิบัติการแต่ละครั้ง รวมไปถึงบ้านพักของขุนส่าบนเนื้อที่ 12 ไร่ ณ สถานที่แห่งนี้เมื่ออดีตจะมีกองกำลังของขุนส่าประจำอยู่ 2,000 คนทุกๆ 6 เดือนจะมีกองกำลังผลัดใหม่จากพม่าผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาฝึกยุทธวิธี ก่อนจะกลับไปปฏิบัติการตามฐานที่มัี่นต่างๆ สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเต็มไปด้วยผุ้คน มาบันนี้กลับว่างเปล่า มีเพียง "เครือเดือน ตุงคำ" นักวิจัยท้องถ่ินและเจ้าหน้าที่โครงการพัฒนาดอยตุง อยู่ดูแลในฐานะผู้เก็บรวบรวมข้อมุลเกี่ยวกบขุนส่าเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
               ขุนส่า เกิดเมือ่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2477 (1934) ที่บ้านผาผึ้ง ต.ดอยหม่อ อ อ.เมืองใหญ่ จ.ล่าเสี้ยวแคว้นแสนหวี (รัฐฉาน) เป็นบุตรของขุนอ้าย (จีน) กับนางแสงชุ่ม (ไทยใหญ่) ขุนอ้ายเป็นอดีตมะโยจา(กำนัน) ดอนหม่อ จึงมีคำนำหน้าว่า "ขุน" เครือเดือน อธิบายว่าหมายถึงคนที่สืบเื้อสายมาจากตระกูลชาวไทยใหญ่ ขุนส่าเกิดได้ไม่นานพ่อก็เสียชีวิต แม่แต่งงานใหม่ จงตกไปยุ่ในความดูแลของพ่อเลี้ยง
              ตอมา "ขุนยี่" ปู่ได้นำขุนส่าไปเลี้ยงที่เมืองดอยหม่อ ซึงเป้นช่วงที่เกิดสงครามโลครั้งที่ 2 เขาจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้ ตั้งแต่รเื่องภาษาจีน การเลี้ยงม้า ผสมพันธืม้า ล่อ รวมไปถึการปลูกข้าว ไร่ชา ตลอดจนไร่ฝิ่น เมื่อโตเป้นหนุ่ม "ขุนจ่า" ผุ้เป็นอาได้สอนยุทธวิธีการต่อสู้และปรัชญาชีวิต "ยอมหักไม่ยอมงอ" เพื่อไม่ให้ถูกทหารญี่ป่นุ พม่า หรือแม้แต่ทหารก๊กมินตั้ง (เคเอ็มที) กองพล 93 รังแก แต่กระนั้นเขาก็ยังจำภาพความโหดร้ายเมื่อรั้งหมุ่บ้านถูกปล้นสะดมไ้ติดตา
              กระทั่งปี 2491-2505 พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ ขุนส่าจึงรวบรวมสมัครพรรคพวกต่อต้านขับไล่ทหารก๊กมินตั้ง ที่เข้ามารุกรานชาวไทยใหญ่ โดยได้รับการสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายในการสู้รบจากการปลูกฝิ่นและขายฝิ่น จึงเป็นจุดเร่ิมต้นที่ทำให้ช่อของขุนส่าก้าวขึ้รมาอยู่แถวหน้าของขบวนการปลดแอกไทยใหญ่
              "กองกำลังเขาเเข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทางการพม่าต้องการตอบโต้ทหารก๊กมินตั๋งจึงจับมือกับขบวนการปดแอกไทยใหญ่ใช้ชื่อว่า กากวยเย (KKY) หรืออาสาสมัคร แต่ขุนส่าเองก็ถูกลอบทำร้ายหลายครั้ง ครั้งที่โด่งดังที่สุดก็คือช่วงสงครามฝิ่น เมื่อวันที่ 6-9 กรกฎาคม 2510 ทหารก๊กมินตั๋งวางแผนถล่มขุนส่าที่บ้านขวัญ ประเทศลาว" เครือเดือน เปิดลิ้นชักความรู้..ไม่นานขุนส่าก็ขยายอาณาเขตด้วยการต้งฐานที่มั่นอยู่ตามแนวชายแดนไทย-พม่า-ลาว ซึงขณะนั้นยังเต็มไปด้วยป่าเขายากแก่การเข้าปกครองของทางการ ปี 2506 กองกำลังติดอาวุธของขุนส่าก็เข้ามาบุกเบิกบนดอยหินแตก ภายหลังเกิดไข้ป่าระบาดผุ้คนลามตายลงจำนวนมาก...เครือเดือน อธิบายว่าสาเหตุที่ขุนส่าเลือกเอกบ้านหินแตกเป็นฐานที่มั่น ก็เพราะบ้านหินแตกเป็นที่ที่ชาวไทยใหญ่อพยพเข้ามาตั้งรกรากอยู่ก่อนแล้ว เป็นที่พักแรมของบรรดาพ่อค้าวัว และยังเป็นจุดศูนย์กลางการต้าระหว่งรัฐฉานกับรัฐโยนก ไม่นานนักบ้านหินแตกก็เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการสรี้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน บูรณะซ่อมแซมวัดวาอารามต่างๆ โดยนำเงินที่ได้จากการขายฝิ่นมาสร้างสิ่งเหล่านี้
           
  ขุนส่าลักลอบขนฝิ่นจาก รัฐฉานมายังบ้านหินแตก ด้วยการปะปนมากับคาราวานม้าต่างๆ ของพ่อค้านายทุน จากฐานที่มั่นเมืองดอยหม่อเข้าเมืองต้างยาน บ้านผาผึ่ง บ้านหนองคำ ข้ามแม่น้ำสาละวินที่ทาวันนอง ปากันฮ่อก ข้ามถนนใหญ่เส้นทางเชียงตุง-ตอง จีที่เมืองเปีียง เข้าเมืองขอน เมืองปั๊ก เมืองลุงข้ามแม่น้ำสายเข้าประเทศไทยที่บ้านผาจี ห้วยอื้น บ้านหินแตก เขาทำการต้ายาเสพติดมานานและด้วยปริมาณที่มากมายที่กระจายไปทั่วโลก ชื่อของขุนส่าจึงติดอนดับราชายาเสพติดโลกในชัวเวลาไม่นานเมื่อขุนสามาสร้างหลักปักฐานอยู่ที่บ้านหินแตก ทางการพม่าก็เร่ิมไม่ไว้วางใจราชายาเสพติดโลกคนนี้เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับรัฐบาลไทยมีนโยบายปราบปรามยาเสพติดให้หมดไปจากราชอาณาจักร โดยได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรสหประชาติ การกวาดล้างผลักดันครั้งใหญจึงเกิดขึ้น
            ขณะที่ทางการพม่าเองก็พยายามกัน ตัวเองให้พ้นจาข้อครหาของปรชคมโลกว่ เป้ฯผุ้อยู่เบื้องหลังการต้ายาเสพติดของขุนส่า เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจจึงจับกุมขุนส่าไปจำคุก ทว่าก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 5 ปีเท่านั้น เพราะลูกสมุนขุนส่าได้ลักพาตัวแพทย์ชาวรัศเซีย ไปกักขังไว้ที่บ้านหินแตก พร้อมกับื่อนข้อเสนอให้แลกเปลี่ยนตัวประกัน นายกรัฐมนตรีของไทย ร่วมกับเอกอักครราชทูตรัสเซียนประจำประเทศไทย เป้นตัวแทนช่วยเจรจากับทางกรพม่า นำมาสู่การแลกเปลี่ยนตัวประกันในที่สุด แต่กระนั้นก็ใช้เวลานานถึง 6 เพื่อน กว่าการเจรจาจะเป็นผลสำเร็จ
            เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ประเทศไทยตื่นตัว และเริ่มดำเนินนโบายผลักดันกองกำลังติดอาวุธของขุนส่าอย่างจริงจัง นำมาสู่ยุทธการบ้านหินแตกboard.postjung.com/924303.html
ต.ช.ด.ประจำฐานปฏิบัติการบ้านหินแตก

            เมื่อครั้ง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2423 ประเทศไทยได้รับการตำหนิจากนานาชาติว่า ไม่เอาจริงเอาจังกับการปราบปรามยาเสพติด บางคำหล่วหาก็ตั้งข้อสงสัยว่ารัฐบาลไทยร่วมมือกับขุนส่า ข่าวปรากฎค่อนข้างัดเจนว่าขุนส่าได้มาตั้งฐานผลิตเฮโรอีอยู่ที่บ้านหินแตก ซึ่งอยู่ลึกเข้ามาในเขตแดนไทย กว่า 10 กิโลเมตร เรื่องทำลายแหล่งผลิตยาเสพติดจึงนับเป็นนโยบายเร่งด่วยประการหนึ่งของท่าน โดยเฉพาะโรงานผลิตเฮโรอีนที่บ้านหินแตก ซึ่งในกองทัพบกช่วงนั้น พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เป้นผู้บัญชาการทหารบก
              พล.อ,อรพันธ์ วัฒนวิบูลย์ ซึ่งปัจจุบันเกษียณอายุแล้วเล่าให้ฟังว่... "พล.อ.เปรมฯ ได้หารือกับกองทัพบกว่ากองทัพบกรับทำเรื่องน้ได้ไหม กองทัพบกก็ตอบรับ เรื่องไม่ได้พูดกันกว้างขวางชนิดว่ามีหนังสือโต้ตอบกัน เป้ฯการพูดเฉพาะตัว เพราะเป็นเรื่องที่รั่วไหลไม่ได้
              พล.อ.ชวลิต.. ท่านได้รับเรื่องมาแล้ว ผมจำได้ว่าเป็นปลายเดือน ก.ค. 2524 ท่านเรีกผมไปพบ ตอนนั้นผม่ยศเป็นพันเอก มีตำแหน่งเป้นผุ้บงคับการกรมรบพิเศษที่ 2 ท่านบอกว่ามีงานที่สำคัญชิ้นหนึ่ง เป้นงานในระดบรัฐบาลมอบหมายมาให้กองทัพบก..ท่านบอกว่าจะใช้กำลังต่อกลุ่มบุคคลหรือกองกำลังกลุ่มหนึ่ง แต่ไม่พุดว่าเป้นปัญหายาเสพติด ท่านบอกว่าบริเวณตะเขช็บชายแดน ในการเดินเข้าไปนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านบอกว่าอยากได้กำลังที่เข้มแข็งกล้าหาญเอาจริงเอาจังและกล้าตาย เราไม่สามารถใช้คนมาเพราะเป้ฯการทำงานที่ล่อแหลมมาก ไม่สามารถจะให้คนรู้มา รู้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น"
           
อดีตไร่ฝิ่นที่บ้านหินแตก
เมื่อรับภารกิจมาแล้วท่านก็เร่ิมเตรียมการทันที่ใช้รุปการจัแบบหน่วยจู่โจมเฉพาะกิจซึ่งเรกียกเป้นรหัสของหน่วยว่า "หน่วยเฉพาะกิจเสือดำ" ประกอบด้วยกำลังพลเพียง 62 คน แต่เป็น 62 คนที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้วเป็นอย่างดีและเมื่อผ่านการฝึกอย่างหนักแล้วก็เคลื่อ่นย้ายกำลังออกจาค่ายปักธงชัยเพื่อเข้าสู่พื้นที่ปฏิบัติการเมือ 26 ก.ย. 2524 ทั้งนี้อยู่ในการรักษาความลับอยางเช้มงวด
            "เราเดินทางโดยใช้รถ 6 ล้อ 2-3 คัน เมื่อลงรถเราเดินลัดเลาะเข้าไปใกล้ๆ ทางขึ้นดอยตุง แถวนั้นเป็นดงของขุนส่าซึงมีอิทธิพลในหมุ่บ้าห้วยไคร้ เป็นหมู่บ้านไทยใหญ่ เขามีหน่วยสนับสนุน หน่วยส่งกำลังที่จัดตั้งไว้ รวมทั้งสืบความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ด้วย เพาระฉะนั้นเมือไปถึงบริเวณนั้นเกือบ 5 ทุ่มแล้วไม่มีคนสนใจ ไม่มีคนรุ้เห็น หน่วยเดินตัดขึ้นเขา พอถึงสันเขาชายแดนก้รู้สึกจะเป็นเวลา ตีสอง ตีสามแล้ว จากนั้นก็ลงหาลำน้ำแม่สาย ตอนนั้นน้ำป่าเชี่ยวกราก เราอาศัยเกาะห่วงยาง แพยางที่จัดหาไปจากรุงเทพ เราเตรียมไปเสร็จ มีอินหราเรดตายจการณ์กลางคือ ลำน้ำแม่สายถึงแม้ไม่กว้างนักแต่กระแสน้ำเชี่ยวจัด เราเดินตัดข้ามกลับไปกลับมาหลายครั้ง ..แต่ทหารเดินเหมือนเคยเดินมาแล้ว เพาะศึกาาจาแผนที่ ที่จำลองและขยายดูรายละเอียด
              เราเดินตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย.จนถึงวันที่ 3 ต.ค. ใช้เวลาหลายวน เดินกลางคือนนอนกลางวันไม่ต้องการหให้ใครเห็นตัวโรงงานผลิตนั้นอยุ่ลึกมาก มันเป็นเวิ้งเข้าไป มีโรงเรือนหลายหลัง เป้นโรงงานค่อนข้างใหญ่ มีกำลงคุ้้มกันเป็นกองร้อย
             คนของเราที่เข้าไปนั้นประมาณ 30-40 คน ส่วนผมควบคุมอยู่บนยดอดดอยสูงด้วยการติดต่อสื่อสารทางวิทยุเข้ารหัสไม่ไกลากเป้าหมายมากนักบริเวณตะเข็บชายแดน
              หลังจากเคลื่อกำลังเป็นวันที่ 6 ก็ถึงที่หมาย เราเดินกลางคือพอกลางวันก็หยุดพัก ในที่สุดก็เข้าโจมตี
              พอเข้าไปก็เจอกับกองรักษาด่าน จุเผ้าตรวจเหมือนกับการปฏิบัติของทหาร มีกำลังติดอาวุธเป็ฯกองร้อยเรียกว่ากองกำลังฉานเสตรท คือกองกำลังของขุนส่ามีหลายพันคน มีอาวุธคอ่นข้างทันสมัย มีอาวุธเอ็ม 16 เอ็ม 79 มีเครืองมือติดต่อสื่อสารทันสมัย มีวิทยุมือถือให้ใช้กัยอย่งมาก (มีเงินมาก) กระทั่งเราเข้าจ่อตรงบรเวิณโรงงานตอนกลางคือและเผ้าอุย่จถึงรุ่งเช้า วางแผนว่าตอนบ่ายจะเข้าตี
             ประมาณ 4 โมงเย็น เข้าโจมตีโดยชาร์จเข้าไปทั้งหน่วย ตอนนั้นเริ่มจะเข้าฤดูหนาว ประมาณสัก 6 โมงเย็นก็มืดสนิท เมื่อชาร์จลไปเขาไม่สู้ (เขารู้ตัวก่อนล่วงหน้า มีการเผาเรือนนอนและแตกตื่นคนวิ่งกันไปมาตั้งแต่ช่วงบ่าย) แตกตื่อนหนีกันอุตลุด จากนั้นเราก็เข้าไปวางระเบิด อย่างระเบิดเพลิงและเผาซ้ำเข้าไป แต่เข้าใจว่าจะขนบางส่วนหนีไปได้ แต่ที่หนีไม่ได้ก็เยอะ
บ้านหินแตกในปัจจุบัน
             ตอนที่ถอนตัว เราตีฝ่าจุดสกัดของฝ่ายตรงข้ามเข้ามาด้านฝั่งไทยซึ่งพวกนี้ยัไงไม่ถอน เราเข้าโจมตีกลางคือ มีอินฟราเรดช่วยนำทางเข้าไปประชิด ยุทธวิธีการรบแบบจู่โจมและการกระจายกำลังกันตีหลายๆ จุดพร้อมๆ กัน เมื่อมารวมกันที่สันชายแดนก็เริ่มสว่างแล้ว ตอนนี้แหละเขาไใช้กำลังจากบ้านหินแกา มีกำลัง กองทัพบรัฐฉาน อยู่ที่บ้านหินแกตหลายกองร้อยเข้าล้อมกรอบตามเส้นทางต่าง ๆเขาชำนาญเส้นทางกว่าเรา เราก็เลยจำเป็นต้องลงตามร่องน้ำแม่คำ ตอนนี้เขารุกเราหลายกองร้อย เขาได้แต่สงสัยแต่หาที่ตั้งเราไม่แน่นอนไม่เจอ เขาใช้ ปืน ค. ระดมยิงรายรอบพื้นที่เป็นระยะยๆ ต่อเนื่องมา 2 วัน...
            เมื่อวันที่เราเข้าโจมตีเป้าหมายโรงานนั้น ทางด้าน พล.อ.เปรมฯ อยุ่ที่สหรัฐกำลังไปพบประธานาธิบดีเรแกน เราเข้าตีวันที่ 6 ของแผนปฏิบัติการ รุ่งเข้าวันที่ 7 ก็ถอนกำลัง ตอนเช้าของวันที่เราถอนตัว ข่าวถึงสหรัฐทางสหรัฐก็รายงานถึงวอชิงตัน พล.อ.เปรมกับท่านเรแกนทราบตลอด..(จากผลอันนี้ทำให้ทางหสรัฐมีความรู้สึกเชื่อมั่นว่าไทยมีความจริงใจในการปราบปรามยาเสพติด ตอนนั้นเหตุการ์ครึกโครมไปทั่วโลก รู้ว่าเป็นกองกำลังของไทย แต่ไ่รู้ว่าหน่วยไหน แม้ในกองทัพบก หลายคนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ไม่รู้ ..)
              หลังจากเข้าตีแล้ว ก็ถอนตัวใช้เวลา 2 วัย ฝ่ายเราก็ถูกเก็บไปเรื่อง เราตายวันละคนสองคน เบ็ดเสร็จรวมทั้งหมด 7 คน นายทหาร-นายสิบ 4 ยนาย ทหารพราน 3 นาย ตามศพได้ตามลำจ้ำ ส่วนมากจะบาดเจ็บ มาก่อนที่เราจะล่องนำ้แม่คำ
               น้ำแม่คำเป็นน้ำที่ไลงลงมาจากภูเขามาออกเกือบจะถึงอำเภอแม่จัน เรานำคนเจ็บ่องตามน้ำมาถูกหินกระแทกบ้าง อะไรบ้าง มีการจมน้ำเสียชีวิตบ้าง นอกนั้นบาดเจ็บสาหัสอีก กว่า ยี่สิบคน ครึ่งหน่วยในส่วนโจมตี ส่วนหน่วยสนับสนุน หน่วยปฏิบัติการลวงไม่บอบช้ำมากนัก..
               จากนั้นพอถึงเดือน มกราคม ปีถัดมา รัฐบาลจึงตัดสินใจใช้กำลัง ตชด. จำนวนหลายพันคนเข้าปฏิบัติการจนสามารถเข้ายึดบ้านหินแตกได้อย่างเบ็ดเสร็จ ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ จนทำให้กองกำลังขุนส่าต้องถอยร่อนออกไปจากแผ่นดินไทยอย่างถาวรจากวันนั้นจนบัดนี้www.clipmass.com/story/8237
             

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Chanson de Roland

City of God (St. Augustine)

Republik Indonesia I (The Kingdom)