Prostitute

            การค้ามนุษย์กว่า 80% เป็นการค้าเพื่อบริการทางเพศ "การคาผู้คนเป็นการกระทำผิดอันน่าตกใจต่อศักดิ์ศรีมนุาย์และเป็นการล่วงละเมิดขนานหนักต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ทาส การค้าประเวณี การขายสตรีและเด็ก และสภาพที่ทำงานที่ไร้ศักดิ์ศรี โดยถือว่าผู้คนเป็นเครื่องมือเพื่อได้กำไรมากกว่าเป็นบุคคลที่มีอสิระและรับผิดชอบ เป็น ฝไสิ่งชั่วร้ย" ซึ่ง "เป็นยาพิษต่อสังคมมนุษย์ ทำให้ผู้ที่ยังกระทำอยู่เลวทรามลงไป และเป็น "การไม่ให้เกี่ยรติต่อองค์พระผู้สร้าง"
           "สภาพการณ์เหล่านี้เป็นการดูหมิ่นต่อคุณค่าพื้นฐานทังหลาย ซึ่งทุกวัฒนธรมและ(ุ้คนทั้
หลายยกย่อง คุณค่าที่เป็นรากฐานของธรมชาติมนุษย์..ใครจะปฎิเสธได้ว่าบรรดาเหยื่อของอาชญากรมนี้นั้น ย่อยๆ แล้วเป็นผู้ยากจนที่สุดและสมาชิกที่ปกป้องตนเองได้น้อยที่สุดในครอบครัวมนุษยชาติ เป็นพี่น้องที่ "ต่ำต้อย" ที่่สุดของเรา
           แนวโน้มอันน่าเป็นห่วงในกรถือว่าการต้าประเวณีเป็นธุรกิจหรืออุตสาหกรรมน้้น มิใช่เพียงมีส่วนช่วยการค้ามนุษย์เท่านั้น แต่ในตัวมันเองก็แสดงถงความโน้มเอียวเพื่อขึ้นที่จะแยกอิสภาพออกไปจกฎหมายศีลธรรมอละลดรหัสนัยอันมั่งคั่งด้านเพศของมนุาย์ให้กลายเป็นเพียงสินค้าเท่าน้น" http://www.acu.ac.th/acu/img/E-book/PDF_file/01.pdf
           
การต้าประเวณี คือธุรกิจหรือวิธีปฏิบัติโดยการทำกิจกรรมทางเพศเพื่อแลกกับค่าตอบแทน ในรูปแบบต่างๆ เช่น เงิน ของ บริการ หรือประโยชน์แบบอื่นตามแต่ตกลง
             หญิงค้าประเวณีนั้นเรีก นครโสเภณี แปลว่ "หยิงงารเมือง" และมักตัดไปเรียกว่ "โสเภณี" เฉยๆ ส่วนภาษาถิ่นอีสารเรียก "หญิงแม่จ้าง" ภาษาปากเรียก "กะหรี่" "หญิงหากิน" หรือ "อีตัว" เป็นต้น
            ยุโรปราวคริสต์สตวรรษที่ ถ-15 ถูกแบ่งช่วงเวลาภายหลังโดยนักประวัติศาสตรืและเรียอยางกว้างๆ ว่า "ยุคกลาง" ที่คุณภาพชีวิตผู้คนเสื่อมลงจากสมัยกรีกโรมัน คริสตจักรเริ่มมีอำนาจทั้งทางโฃกย์และทางธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งยุโรปตะวันตกเที่เต็มไปด้วยสงครามนักประวัติศาสตร์อธิบายว่าดสเภณีตกเป็นอาชีพที่ถูกศาสนจักณมองว่าขัดตอศีลธรรมอันดีงามและต้องถูกลงโทษ ซึ่งรูปแบบการลงโทษที่มักถุกยกเป็นตัวอย่างก็คือการขังในกรงแล้วจุ่มลงบ่อหรือแม่นำ้ครั้งแล้วครั้งเล่า อนที่จริงมาตการลงโทษนี้เป้นไปตามกฎหมาย้อง่ินบริเวรตะวันตกเฉียงใต้ของร่งเศส สำหรับผุ้ที่ดูหมิ่นศาสนาในช่วงยุคหลางตอนปลาย และโสเภณีในปลายศตวรรษที่ 16-17 มาแล้วเท่านั้น ไม่ใช่บทลงโทษสำหรับการต้าประเวณี
           อันที่จริงทั้งจักรพรรดิโรมันและคริสเตียไม่ได้มีกฎหมายลงโทษโสเภณี ในจักรวรรดิโรมัน นางกลางเมือเป็นที่พอยอมรับได้ในฐานะส่วนหน่งของชีวิต ถูกใช้เป็นเครื่องมือแยกเด็กหนุมไม่ให้ไยุ่งเกี่ยวกับหญิงที่แต่างงานแล้ว ดสเภณีเป็นอาีพที่ต้องจดทะเบียนและพูกรัฐเก็บภาษีตั้งแต่ขวบปีีแรกของคริสต์ศักราช และเมื่อขึ้นทะเบียนแล้วก็จะถูกตีตราเป็นโสเภณีไปตลอดแม้ว่าจะหันไปประกอบอาชีพอื่นแล้วก็ตาม เจ้าของซ่องเองก็ถูกตัดสิทธิพลเมือง
          "สังคมเชื่อว่าอาชพีโสเภณีก็ยังดีกว่าการคบชู้ทีเป็นบาปสวนบุคคล และาสจักรก็ไม่แสดงท่าทีที่จะกำจัด นักบุญออกัสตินแห่งฮโป เตือนว่า การยกเลิกโสเภณีแม้จะเป็นไปได้แต่จะหายนะมาสู่สังคม โสเภณีก็คือความชั่วร้ายอนันจำเป็นที่ไม่สามาหลีกเลี่ยงได้ในโลกที่ไมสมบูรณ์แบบ"
           สำหรับคริสต์ศาสนาไม่ว่าใครก็มีบาปติดตัวมาแต่กำเนิด โสเภณีในยุคั้นก็ไม่ต่างจากคนอื่นที่เป้นคนบาปและต้องสำนึกผิด แม้คริสตจักรจะประณามอาชีพนี้แต่ก็สนับสนุนให้พวกเธอสำนึกผิดต่อบาป และในช่วงตัคริสตจักรก็มีนักบุญหญิงหลยคนเคยจดทะเบียเนเป็นโสเภณีมาก่อน
           คำสอนของคริสตจักรมีอทะิพลและสร้างความชอบธรรมให้จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิธิ์ ออกกำหมายห้าหฃค้าประเวณีทาส ห้ามพ่อหรือผู้ปกคอรงบังคับลูกสาวหรือเด็กหญิงงขายตัว บิชอพ โจนสแห่งเมืองออร์ลีน ผุ้มบทบาทสำคัญทางการเมืองในรัชกาลจักรพรรดิหลุยส์ผู้ศรัทธา ที่ปฏิรูปศีลธรมเฉพาะกับผู้หญิงในราชสำนักเท่านั้น ก็ได้ให้คำสอนศีลธรรมทางเพศ เตือนเด็กหนุ่มในสังคมชนชั้นสูงทังหลายว่า อย่าไปมีสัมพันธาพกับพวกคณิกาหรือพวกหยิงรับใช้
           โสเภณีในยุคกลางไม่เพียงเป็นอาชีพสีเท่าที่อยู่ร่วมกนอย่างพอดอทนได้ แต่ยงถูกทำให้เป็นสภาบันทางสังคม มีบันทึกว่า มีงนเฉลิมฉลองประจำปีที่โด่งดังอุทิสแต่ เซนต์แมรี แม็กดาเลน ทุกวันที่ 22 กรกฎาคม เป็นจารีตประเพณีท้องถ่ินประจำเทศบาล ที่นายกเทศมนตรีจะต้องเป็นเจ้ภาพจัดกิจกรรมต่างๆ ในเทศกาล รวไปถึงการแข่งขันกรีฑาของนางกลางเมือง
           Languedoc สถิติของโสเภณีเแฑาะที่ลงทะเบียนแล้ว มประมาร 1 ครต่อประชากร 1,000 คน และรัฐเองอุปถัมภ์เพราะเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาโครงสร้างสังคม เมื่อประชากรลดน้อยลงอย่างรวดเร็วในศตวรณที่ 14 เนื่องจากเกิดกาฬโรคระบาดและสงคราม รัฐจึงเร่งเพ่ิมอัตราการเกิดและโสเภณีก็ือกลไกหน่ง เพราะแม้ว่าซ่องจะเป็นส่ิงขั่วร้าย แตก็จำะเป็นอย่างยิ่งเพื่อป้องกันความชั่วร้ายที่ย่ิงใหญ่กว่า ก็คือ ผุ้ชายไปมีเพศสัมพันะ์กันเอง และเชื่อว่าช่วลดการข่มขืนเด็กและหญิงสาว
ปลายยุคกลางในแคว้น
           และเพื่อไม่ให้เกิดกบฎตอต้านอำนาจัฐ ในช่วงวิกฤตการณืปายสมัยกลางที่เกิดภาวะเงินเฟ้อ ช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนถ่างออก อัตราภาษีสูงขึ้นขณะที่่ราษฎรอดอยาก รัฐจงต้องใส่ใจงานบริการซ่องเป็นอย่างดี เพื่อควบคุมมิให้ชาวนากระฎุมพีหัวก้าวหน้าก่อการปฏิวัติ ท้ั้งนี้เพราะในการปฏิวัติครั้งหนึ่ง พวกที่ก่อการปฏิวัติส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำของซ่องต่างๆ  รัฐจึงเกรงว่า ถ้าพวกเขาเหล่านี้ไม่มีที่ปลอปล่อยความต้องการทางเพศมากเพียงพอ กาจจะนำไปสู่การลุกฮือ ประท้วงจนบานปลายไปถึงการต่อต้าขุนนางักบวชและกษัตริย์ ไม่พอใและกำเริบทำการปฏิวัติอื่นๆ ต่อไปอีก
          ด้วยกำไรและผลประโยชน์มหาศาลไปจนถึงความั่นคงทางเการเมือง ซ่องจึงถูกควคุมอย่งเข้มงวดจน "ย่านซ่อง" ต้องลดลงเหลือเป็นบ้านหลังเดียวประจำท้องที่และอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลเทศบาลหรือชนชั้นสูง เพมื่อพวกชนชั้นปกครองเข้ามาบริหารธุรกิจ ก็เร่ิมกำหนดกฎเกฎฑ์การจัดการทางการเงิน ขอปฏิบัติของผุ้ใช้และให้บริการรัฐเองก็สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้คล่องมือ นำไปสู่การปฏิรูปซ่องและกลยเป็นธุรกิจของชนชั้นสูงในศตวรรษที่ 15 ที่กษัตริย์เท่านั้นที่จะให้สิทธิขุนนางหรือเทศบาลใดๆ ในการประกอบะูรกิจซ่อง หรือสกัดคู่แข่งกิจการในรูปแบบของการปราบปรามซ่องผิดกฏหมาย..https://thematter.co/thinkers/prostitution-as-institution/30443
            คนสวิสกับซ่องแบบไดร์ฟ อิน และโสเภณี ที่ถูกกฎหมาย
            คสสวิสโดยทั่วไปแล้วเป็นคนประเถทปฏิบัตินยิม ือป็นคนประเภทที่ไม่ยึดถือเอาคำสอนของศสนาเป็นมาตรฐสรวัดว่าอะไรถูกอะไรผิด แบบว่าคุณธรรม จริยธรม ของศาสนา โดยเฉพาะของศาสนาคริสต์นั้นเป็นเรื่องเหลวไหลอย่างิส้นเชิงไปเลยที่เดียว ดังนั้น คนสวิสจึงประกาศตั้งตัวเป็นกลางไมเข้าข้างฝ่ายใดในความขัดแย้งทั้งปวงในทวีปยุโรปมาร่วม 500 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยยุคสงคราม 30 ปี เป็นสงครามความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสกับราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ในการเป็นมหาอำนาจในยุโรป และในที่สุดก็กลายเป็นสงครามที่ไม่เหตุผลใดเกี่ยวกับศาสนาในที่สุด
         ความเป็นกลางของชาวสวิสเกิดจาปฏิบัตินิยม โดยเแพาะชายชาวสวิสจำนวนมากมีอาชีพเป็นทหารรับจ้างบริการทางทหารให้กับประเทศต่างๆ ซึ่งความเป็นทหารมืออาชีพ เป็นที่นิยมของประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปมานานแล้ว แม้ในปัจจุบันทหารของนครรัฐวาติกันก็ยังใช้ทหารรับจ้างชาวสวิสกระทั้งทุกวันนี้ จนมีคำพูดติดปากชาวยุโรปว่า "ที่ไหนไม่มีเงิน ที่นั้นไม่มีคนสวิส"
         ในทวีปยุโรปมีประเทศที่ีโสเภณีและซ่องโสเภณีที่ถูกต้องตามกฎหมาย 7 ประเทศ คือ เดินมาร์ก, เยอรมัน, เนเธอร์แลนด์, ออสเตรีย, สวิตเซอ์แลนด์, กรีซ และตุรกี ส่วนประเทศท่ให้โสเภณีถูกต้องตามกฎหมายแต่ห้ามีซ่องโสเภณีมีอยู่ 16 ประเทศ มี 3 ประเทศที่ที่ถือว่าโสเภณีผิดกฎหมาย แต่หากมีการละเมิดกฎหมาย ผู้ผิดคือลูกค้า ไม่ใช้ตัวโสเภณี...https://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1377666808
            กฎหมายจัดระเบียบการต้าประเวณี : มองเยอมนีแล้วย้อนมาไทย
           
เยอมนี ประเทศซึ่งยอมให้การต้าบริากรทางเพศเป็นเรื่องถูกกฎหมายมาตั้งแต่ปี 2545 เตรยมบังคับใช้ กฎหมายจัดระเบียบการต้าประเวณี ฉบับใหม่เดือนกรกฎาคมนี้ โดยกำหนดให้ผุ้ขายบริากรทางเพศต้องลงทะเบียนทำใบอนุญาตกับเจ้หน้าที่รัฐ ต้องตรวจสุขภาพร่างกายอย่างสม่ำเสมอส่วนผู้ประกอบการธุรกิจนี้ต้องขอใบอนุญาต อีกทั้งยังบับคับให้ผู้ซื้อบริการต้องใช้ถุงยางอนามัย หญิงไทยที่ผ่านการผ่าตัดแปลงเพศ และประกอบอาชีพค้าบริการมาเกือบ 30 ปีเห็นว่าไทยควรเอาอย่ง ชี้เป็นการคุ้มครองทั้งผู้ขาย ผู้ซื้อบริการและจะลดปัญหาอาชญากรรม
          เยอมนีนับเป็นประเทศที่มีกฎหมายด้านการค้าประเวณีที่ "เสรี" ที่สุดในโลก ไม่ต่างจากเนเธอแลนด์และนิวซีแลนด์ จุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับเยอมนีีคือการผ่านกฎหมายเมื่อปี พ.ศ. 2545 ที่ทำให้การค้าประเวณเป็นส่ิงถูกกฎหมายอย่างเต็มรูปแบบ เปิดทางให้ผุ้ขายบริากรทางเพศสามารถฟ้องเรียกร้องเรื่องค่าจ้างได้ ได้รับการคุ้มครองด้านการประกันสุขภาพ ประกันสังคม และทำให้การขายบริากรทางเพศไมถือเป็น "สิ่งที่ผิดศีลธรรม" อย่างท่กฎหมายเคยนิยามอีกต่อไป
          หลังผ่านกฎหมายมาแล้ว 15 ปี ธุรกิจให้บริการทางเพศขยายตัวจนมีมุลค่าปีละ กว่า 1.6 หมือนล้านยูดร และสถานบริากรทางเพศขยดใหญ่ก้มีจำนวนมาก ดึงดูดนักท่องเที่ยวจกประเทศใกล้เคียงที่มกฎหมายทีเข้มงวด รวมทั้งดึงดูดผู้ให้บริการทางเพศจาดยุโรปตะวันออกและชาติอื่เข้าไปทำงานด้วยโดยคาดว่าตัวเลขโสเภณีในเยอมรนีมจำนวนเพ่ิมขึ้นจากเดิมเป็นเท่าตัว คือีผุ้ค้าลริการประมาณ สีแสนคนในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา
          แม้ว่าจะเป็นวามเปลี่ยนแปลงที่ดุมี "เจตนา" ที่ดี แตหลายฝ่ายเชื่อว่กว่าทศวรรษให้ลหัง การทำให้การต้าประเวณีถูกกฎหมายอย่างเต็มรูปแบบเช่นนั้นได้ทำให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบและการต้ามนุษย์เพื่อธุรกิจการค้บริากรทางเพศอยา่งกว้างขวาง องค์กรสิทธิมนุษยชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนง เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ที่มีมติสนับสนุนใหการค้าประเวณีโดยควายินยิม เป็นเรื่องถูกกฎหมายทั่วโลกอย่างไรก็ดี แอมเนสตี้ฯ ระบุว่าสิ่งนี้ไม่ได้เปลี่ยนจุดยืนที่ยึดถือมานากว่า การค้าและบังคับใช้แงงานเพื่อแสวงหประโยชน์ทางเพศคือการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง....http://www.bbc.com/thai/features-40367176
         
         
         

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Chanson de Roland

City of God (St. Augustine)

Republik Indonesia I (The Kingdom)